ความสนใจต่อ หลวงทัศนัยนิยมศึก ได้ผลิบานขึ้นในความนึกคิดของผมมาแต่ครั้งยังเรียนปริญญาตรีช่วงต้นทศวรรษ 2550 เนื่องจากผมเจอหนังสืองานพระราชทานเพลิงศพของนายทหารม้าผู้นี้โดยบังเอิญ แล้วก็ตระหนักว่าเขาคือผู้ก่อการคณะราษฎรที่ยังมิค่อยมีใครรู้จักมักคุ้นเท่าที่ควร จึงน่าที่จะศึกษาและค้นคว้าข้อมูลเพิ่มเติมให้กระจ่างชัด
ล่วงมาต้นปี พ.ศ. 2558 ผมสบโอกาสได้เข้าพบและสนทนากับ คุณวาณี พนมยงค์ ซึ่งตอนหนึ่ง คุณวาณี เอ่ยถึง หลวงทัศนัยนิยมศึก ในฐานะเพื่อนแท้ผู้มีความสนิทสนมแน่นแฟ้นกับ นายปรีดี พนมยงค์ บิดาของเธอ แต่น่าเสียดายที่อายุสั้น ต้องสูญสิ้นชีวิตในวัยหนุ่ม นั่นยิ่งจุดประกายให้ผมทบทวีความอยากจะเขียนถ่ายทอดเรื่องราวของคุณหลวงนายทหารม้าสู่สายตาสาธารณะ หากจนแล้วจนรอดก็ยังมิได้ลงมือสักที
กาลเวลาค่อยๆ ปลิดปลิวผ่านหลายปี จวบกระทั่งทุกวันนี้ แลเห็นว่าได้มีผู้นำเสนอเนื้อหาว่าด้วย หลวงทัศนัยนิยมศึก กันไม่น้อยแล้ว ทั้งยังแสดงรายละเอียดอย่างถี่ถ้วน
ครั้นพอเดือนกันยายน พ.ศ. 2568 ผมได้รับมอบหมายจากทางกองบรรณาธิการให้ช่วยเขียนบทความเกี่ยวกับคุณหลวงนายทหารม้าสักชิ้น จึงครุ่นคิดใคร่ครวญว่าจะลองหาแง่มุมที่ยังมิค่อยได้รับการกล่าวถึงมาร่ายเรียงเป็นขบวนตัวอักษร เพื่อยังความเพลิดเพลินสำหรับคุณผู้อ่านทุกๆท่าน
แม้ หลวงทัศนัยฯ ครองชีวิตไม่ยืนยาว ขณะถึงแก่กรรมอายุเพียงแค่สามสิบต้นๆ แต่เขาก็มีบทบาทโดดเด่นในโฉมหน้าประวัติศาสตร์ไทยมิใช่น้อย เพราะเป็นหนึ่งในผู้ก่อการแรกเริ่มของคณะราษฎรอันก่อตัวขึ้นในประเทศฝรั่งเศส โดยเข้าร่วมประชุมเป็นทางการครั้งแรกเมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1927 ณ หอพักเลขที่ 9 ถนนซอมเมอราร์ (Rue de Sommerard) กรุงปารีส
สำหรับผู้เข้าประชุมครั้งนั้นมีจำนวน 7 คนด้วยกัน เป็นผู้พำนักในฝรั่งเศส 5 คน และมาจากที่อื่น 2 คน ได้แก่
- ร้อยโท แปลก ขีตตะสังคะ นักเรียนวิชาทหารปืนใหญ่
- ปรีดี พนมยงค์ นักเรียนวิชากฎหมาย
- ร้อยโท ประยูร ภมรมนตรี นักเรียนวิชารัฐศาสตร์
- ร้อยตรี ทัศนัย มิตรภักดี นักเรียนวิชาทหารม้า
- ตั้ว ลพานุกรม นักเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ จากสวิตเซอร์แลนด์
- จรูญ สิงหเสนี ผู้ช่วยราชการสถานทูตสยามประจำฝรั่งเศส
- แนบ พหลโยธิน นักเรียนวิชากฎหมาย จากอังกฤษ
หลวงทัศนัยนิยมศึก ลืมตายลโลกหนแรกสุดเกิดเมื่อวันเสาร์ที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2443 ณ บ้านพักในจังหวัดนครราชสีมา เป็นบุตรคนที่สี่ของ พระยานรินทรราชเสนี (พร้อม) และคุณหญิงเจิม ตอนที่เกิดนั้น บิดาซึ่งยังมีบรรดาศักดิ์ “หลวงผจงสรรพกิจ” และมารดากำลังเดินทางกลับจากไปราชการที่มณฑลอุดร
นามว่า “ทัศนัย” นั้น ได้รับการประทานจาก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงประจักษ์ศิลปาคม ผู้เป็นเจ้านายของท่านเจ้าคุณบิดา ครั้นมีการประกาศใช้พระราชบัญญัติขนานนามสกุลในสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 กรมหลวงประจักษ์ศิลปาคม ก็ยังได้ประทานนามสกุลให้แก่ พระยานรินทรราชเสนี อีกว่า "มิตรภักดี" โดยนำมาจากครั้งที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 เสด็จขึ้นครองราชย์แล้วมีรับสั่งว่านายมิตรมหาดเล็กเป็นผู้จงรักภักดี
ทัศนัย เริ่มเรียนหนังสือที่โรงเรียนวัดสุทัศน์เทพวราราม ก่อนจะย้ายไปศึกษาที่โรงเรียนอัสสัมชัญ พอย่างเข้าวัยรุ่น เจ้าคุณบิดาได้นำถวายตัวเป็นมหาดเล็กใน เจ้าฟ้ากรมหลวงพิษณุโลกประชานาถ ทั้งยังเข้าศึกษาในโรงเรียนนายร้อยทหารบก
พระยานรินทรราชเสนี (พร้อม มิตรภักดี) และ หลวงทัศนัยนิยมศึก ในวัยเยาว์
ทัศนัย ชื่นชอบการขี่ม้าและคลุกคลีกับม้ามาตั้งแต่เด็กๆ เล่ากันว่า เขาถึงกับต้องนั่งกินข้าวบนหลังม้าแกลบ และก่อนนอนต้องได้ยินเสียงม้าแกลบย่ำเท้าจึงจะหลับลง ครั้นเป็นนักเรียนนายร้อยก็ย่อมมีความใฝ่ฝันจะเป็นนายทหารม้า หากช่วงที่รับราชการครั้งแรกได้สังกัดกรมทหารพราน กองพลทหารบกที่ 3 จังหวัดสระบุรี จากนั้นค่อยย้ายไปสังกัดที่กรมการทหารม้าที่ 5 จังหวัดนครราชสีมา ได้ประดับยศนายร้อยตรีเมื่อปี พ.ศ. 2465 และดำรงตำแหน่งผู้บังคับหมวด
ร้อยตรีทัศนัย มิตรภักดี ขณะเป็นนายทหารม้าที่จังหวัดนครราชสีมา
ในปี พ.ศ. 2467 ร้อยตรีทัศนัย ตั้งใจจะไปศึกษาวิชาทหารม้าที่ประเทศฝรั่งเศส โดยอาศัยทุนทรัพย์ส่วนตัว ซึ่งเขายังได้เดินทางไปพร้อมกับนักเรียนทุนกระทรวงกลาโหมที่จะไปศึกษาวิชาทหารปืนใหญ่อย่าง ร้อยโทแปลก ขีตตะสังคะ กล่าวคือโดยสารรถไฟจากกรุงเทพฯเพื่อไปลงเรือเดินสมุทรที่สิงคโปร์
ร้อยตรีทัศนัย เดินทางถึงฝรั่งเศสเมื่อวันที่ 20 มิถุนายนปีเดียวกัน เริ่มต้นเรียนภาษาฝรั่งเศสก่อน แล้วจึงสอบเข้าโรงเรียนทหารม้าแห่งเมืองโซมูร์ หรือ École de cavalerie de Saumur ทางตะวันตกของประเทศอันมีชื่อเสียงเลื่องลือได้ในเดือนตุลาคม ค.ศ. 1925 (ตรงกับ พ.ศ. 2468)
ช่วงระหว่างที่ศึกษาในโรงเรียนทหารม้า ร้อยตรีทัศนัย ได้รับการชื่นชมว่ามีความสามารถสูงทางด้านการขี่ม้า ทั้งยังชนะเลิศในการแข่งขันขี่ม้าโลดโผนอีกด้วย
ร้อยตรีทัศนัย มิตรภักดี ชนะเลิศการแข่งขันขี่ม้าโลดโผนขณะอยู่ที่โรงเรียนทหารม้าแห่งเมืองโซมูร์
ร้อยตรีทัศนัย มิตรภักดี ฉายภาพร่วมกับผู้บัญชาการ คณาจารย์ และนักเรียนชาวต่างประเทศ ณ โรงเรียนทหารม้าแห่งเมืองโซมูร์
ครั้นสำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนวิชาทหารม้าเมื่อต้นเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1926 (ตรงกับ พ.ศ. 2469) แล้ว พระยานรินทรราชเสนี ผู้เป็นบิดามีความเห็นว่าถ้าลำพังเรียนขี่ม้าอย่างเดียว พอกลับมารับราชการแล้วเกิดอุบัติเหตุตกม้าแขนขาหัก หรือความรู้ที่ร่ำเรียนมาไม่อาจใช้ในราชการทหารม้าได้ ก็ควรที่จะมีความรู้แขนงอื่นเพิ่มเติมไว้เลี้ยงชีพด้วย ร้อยตรีทัศนัย จึงถูกส่งไปศึกษาที่โรงเรียนผสมสัตว์แห่งเมืองแปงด์ของรัฐบาลฝรั่งเศส เพราะช่วงนั้นวิชาการผสมสัตว์เพิ่งจะได้รับความนิยม จนสำเร็จการศึกษาเมื่อเดือนมีนาคม ค.ศ. 1929
ร้อยตรีทัศนัย หวนกลับคืนมาถึงประเทศสยามในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2471 ทางกระทรวงกลาโหมได้ให้กลับเข้าประจำการเป็นนายร้อยโท โดยรับหน้าที่ครูประจำโรงเรียนการขี่ม้า จวบจนเดือนเมษายน พ.ศ. 2473 ก็ได้เลื่อนขึ้นเป็นนายร้อยเอก กระทั่งในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2474 จึงได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็น “หลวงทัศนัยนิยมศึก”
ความที่ หลวงทัศนัยฯ สนิทสนมกับทั้ง นายปรีดี พนมยงค์ ซึ่งตอนนั้นมีบรรดาศักดิ์ “หลวงประดิษฐ์มนูธรรม” และ พันตรีแปลก ขีตตะสังคะ ซึ่งตอนนั้นมีบรรดาศักดิ์ “หลวงพิบูลสงคราม” มาตั้งแต่ครั้งอยู่ในประเทศฝรั่งเศส ดังนั้น เมื่อแกนนำคณะราษฎรทั้งสองตัดสินใจที่จะต้องทำการเปลี่ยนแปลงการปกครองในกลางปี พ.ศ. 2475 หลวงทัศนัยฯ จึงย่อมเข้าร่วมด้วยอย่างแข็งขันโดยมิพักต้องสงสัย
หลวงพิบูลสงคราม เชื่อมั่นว่าเพื่อนนายทหารม้าที่มักจะแวะเวียนมาคลุกคลีที่บ้านบางซื่อเนืองๆ คือความหวังสำคัญในการที่จะนำทหารม้าและรถรบเข้ายึดอำนาจ
เช้าวันศุกร์ที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 หลวงทัศนัยฯ สวมบทบาทผู้บัญชาการรถรบ รถเกราะ และทหารม้า เคลื่อนกำลังเข้ายึดสถานที่ยุทธศาสตร์ต่าง ๆ ตามคำสั่งของ พระยาพหลพลพยุหเสนา (พจน์ พหลโยธิน) ซึ่งเขาก็ปฏิบัติการได้ดีเยี่ยมจนเป็นที่ชมเชย พอเดือนสิงหาคมปีเดียวกัน ก็ได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้บังคับกองพันทหารม้าที่ 1 รักษาพระองค์ และในเดือนเมษายน พ.ศ. 2476 ก็ได้เลื่อนยศเป็นนายพันตรี
สืบเนื่องจากในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2475 (หากนับเทียบศักราชแบบปัจจุบันจะตรงกับเดือนมีนาคม พ.ศ. 2476) นายปรีดี พนมยงค์ หรือ หลวงประดิษฐ์มนูธรรม ได้ตัดสินใจเสนอเค้าโครงการเศรษฐกิจในชื่อ "พระราชบัญญัติว่าด้วยการประกันความสุขสมบูรณ์ของราษฎร" หรือเรียกขานกันว่า "สมุดปกเหลือง" ต่อรัฐบาลที่ พระยามโนปกรณ์นิติธาดา ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เพื่อใช้ดำเนินนโยบายทางเศรษฐกิจ แต่เค้าโครงการเศรษฐกิจฉบับนี้ถูกกล่าวหาว่าเข้าข่ายลักษณะแบบคอมมิวนิสต์และเป็นอันตรายต่อประเทศชาติ
พอเดือนเมษายน พ.ศ. 2476 พระยามโนฯ ได้ออกพระราชกฤษฎีกาปิดประชุมสภาผู้แทนราษฎรและจัดตั้งคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ ทั้งยังเร่งออก พระราชบัญญัติว่าด้วยคอมมิวนิสต์ พ.ศ. 2476 ส่งผลให้ หลวงประดิษฐ์มนูธรรม หรือ นายปรีดี มีความ หม่นหมองด้วยข้อครหาว่าเป็นพวกคอมมิวนิสต์ จนต้องเดินทางออกนอกประเทศในวันที่ 12 เมษายน เพื่อลี้ภัยไปพำนักอยู่ในฝรั่งเศส
หลวงทัศนัยฯ ได้แสดงออกถึงความเป็นเพื่อนแท้ ด้วยการเดินทางไปส่ง หลวงประดิษฐ์มนูธรรม หรือ นายปรีดี และภรรยาถึงสิงคโปร์ พร้อมกับคนอื่นๆที่ไปด้วย ได้แก่ นายร้อยเอกทวน วิชัยขัทคะ และ นายจรูญ สืบแสง
หลวงทัศนัยนิยมศึก นายร้อยเอกทวน และ นายจรูญ คราวที่เดินทางไปส่งหลวงประดิษฐ์มนูธรรม และภริยา ที่สิงคโปร์ เมื่อเดือนเมษายน พ.ศ. 2476
พอส่ง นายปรีดี และ พูนศุข ลงเรือเดินสมุทรบ่ายหน้าสู่ฝรั่งเศสแล้ว หลวงทัศนัยฯ นายร้อยเอกทวน และ นายจรูญ ก็เดินทางกลับโดยรถไฟ ตอนที่รถไฟแล่นผ่านสงขลา หลวงทัศนัยฯ ยังแวะเยี่ยม นายพลตรี หม่อมเจ้าทองฑีฆายุ ทองใหญ่ ผู้เคยอุปถัมภ์ค้ำชูเมื่อคราวที่ยังเป็นร้อยตรีทัศนัยและเรียนวิชาทหารม้าในฝรั่งเศส จากนั้น จึงกลับมาถึงกรุงเทพมหานครเมื่อวันที่ 25 เมษายนปีเดียวกัน
แฟนแหม่มฝรั่งเศส
ชีวประวัติของ หลวงทัศนัยนิยมศึก ตามที่ปรากฏในหนังสืองานพระราชทานเพลิงศพย่อมระบุว่าคุณหลวงนายทหารม้ามีภริยาเป็นคนไทยเท่านั้น และคงจะไม่เปิดเผยว่าเขาเคยมีแฟนสาวเป็นแหม่มชาวฝรั่งเศส หากผมกลับมองว่าเรื่องนี้เป็นสิ่งที่น่าพิจารณา
ประยูร ภมรมนตรี ซึ่งได้เจอกับ หลวงทัศนัยฯ ที่ฝรั่งเศสในตอนที่เรียนภาษาฝรั่งเศสที่โรงเรียนเดียวกัน อีกทั้ง ประยูร ยังอ้างอีกว่า หลวงทัศนัยฯ ถือเป็นญาติของตนโดยโยงสัมพันธ์กับสกุลภมรมนตรีทางสายอินทรกำแหง เป็นผู้เปิดเผยถึงการที่ หลวงทัศนัยฯ เคยมีแฟนสาวเป็นแหม่มชาวฝรั่งเศสในช่วงที่เรียนวิชาทหารม้าและวิชาผสมสัตว์ แต่ภายหลังจากที่ หลวงทัศนัยฯ สำเร็จการศึกษาและออกเดินทางจากฝรั่งเศสเพื่อกลับเมืองไทยช่วงต้นเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2471 ก็ได้ละทิ้งแหม่มชาวฝรั่งเศส เธอเลยต้องมาคอยตามพัวพันอยู่กับ ประยูร แทน ดังที่ ประยูร ได้บันทึกความทรงจำไว้ด้วยน้ำเสียงตัดพ้อว่า
“การเดินทางกลับบ้านของข้าพเจ้าทุลักทุเล เดินทางชั้น ๓ ทั้งรถไฟและเรือ ไม่ได้บอกเพื่อนฝูง ไม่ได้ลาใคร แม้แต่แฟนของ ร.ต. ทัศนัย มิตรภักดี (พ.ท. หลวงทัศนัยนิยมศึก) ที่ถูกทอดทิ้งมาเกาะกินพัวพันกับข้าพเจ้าอยู่ปีเศษ ก็ไม่ได้บอกให้รู้ว่าจะไปไหน ร่ำลากันหน้าบ้านจับมือเย็นสั่นๆ น้ำตาคลอ บอกเพียงว่าไม่ตายพบกันใหม่ ผู้หญิงถ้าไม่ใช่คู่ล่มหัวจมท้ายแล้วบอกอะไรกันไม่ได้…”
ไม่ใช่เรื่องแปลกเลยที่นักเรียนชาวสยามในต่างประเทศช่วงเวลานั้นมักจะคบหาเชิงชู้สาวกับหญิงสาวชาวต่างชาติ แต่ส่วนใหญ่แล้ว เมื่อต้องเดินทางกลับบ้านเกิดเมืองนอนของตนเองก็มักจะใช้วิธีบอกเลิกรากัน แล้วจึงกลับมาเข้าพิธีวิวาห์กับหญิงชาวไทย มีส่วนน้อยที่จะพาแฟนแหม่มสาวชาวฝรั่งกลับมาอยู่ด้วยกันที่เมืองไทย ตัวอย่างก็เช่น หลวงวิจิตรวาทการ หรือบางทีพอพากลับมาอยู่ที่กรุงเทพฯแล้ว แหม่มสาวก็ทนสภาพอากาศร้อนรวมถึงปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตไม่ได้ จนต้องขอลากลับไปยังบ้านเมืองของเธอเอง
สำหรับ หลวงทัศนัยฯ เมื่อกลับมาอยู่เมืองไทย ต่อมาก็ได้สมรสกับ หม่อมหลวงเวก สนิทวงศ์ ณ อยุธยา เมื่อวันจันทร์ที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2473 ณ วังถนนวิทยุ ทั้งสองเคยมีบุตรหญิงด้วยกัน แต่เสียชีวิตทันทีภายหลังการคลอด จากนั้น ก็มิได้มีบุตรด้วยกันอีกเลย
หลวงทัศนัยนิยมศึก และ หม่อมหลวงเวก สนิทวงศ์ ณ อยุธยา ภายหลังเข้าพิธีสมรส
เหตุมรณกรรมนายทหารม้า
หลังจาก หลวงทัศนัยนิยมศึก เดินทางกลับจากสิงคโปร์มาถึงกรุงเทพมหานครแล้ว พอวันพฤหัสบดีที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2476 เขาก็ได้รับเชิญไปเลี้ยงอาหารเพื่อเป็นเกียรติที่เพิ่งได้เลื่อนยศเป็นนายพันตรี พร้อมกับนายทหารรายอื่นๆที่ได้รับยศในงานคราวเดียวกัน งานเลี้ยงนี้จัดขึ้นที่โฮเตลราชธานีของกรมรถไฟหลวง
ล่วงมาในวันที่ 6 และวันที่ 7 พฤษภาคม หลวงทัศนัยฯ มีอาการปวดท้อง ตัวร้อนนอนไม่หลับและไม่ถ่ายอุจจาระ แม้จะสูบอุจจาระถึง 2 ครั้งก็ยังถ่ายไม่ออก พอตามนายแพทย์มาตรวจอาการและฉีดยา อาการก็ไม่บรรเทา
ครั้นวันที่ 8 พฤษภาคม อาการกลับทรุดหนัก แต่ตอนนั้น ได้เกิดพายุลมฝนและลูกเห็บตก จนทำให้โรงทหารม้ากองร้อยที่ 2 และสโมสรทหารม้าที่บางซื่อพังทลาย หลวงทัศนัยฯ แสดงออกถึงความรับผิดชอบจ่อหน้าที่ พอทราบเหตุจึงกรำลมฝนรีบไปรายงานต่อผู้บังคับบัญชา แล้วยังกลับมาสั่งการให้พวกนายสิบพลทหาร รื้อซากหักพัง พร้อมทั้งค้นหาผู้บาดเจ็บและผู้ถึงแก่ความตายจากเหตุนี้
ในวันที่ 9 พฤษภาคม คุณหญิงเจิม ผู้เป็นมารดาทราบอาการป่วยของบุตรชาย จึงมารับเอาตัวไปรักษาพยาบาลที่บ้านถนนเพชรบุรี แต่ดูเหมือนอาการไม่ดีขึ้นเลย
เช้าวันพุธที่ 10 พฤษภาคม เวลาประมาณ 10.30 น. หลวงทัศนัยฯ ได้ส่งเสียงเพ้อเรียกนายทหารคนสนิท เพื่อสั่งการเกี่ยวกับรถรบและรถเกราะ ก่อนที่สูญสิ้นลมหายใจไปในขณะที่กำลังยิ้มอยู่
มรณกรรมของคุณหลวงนายทหารม้าสร้างความเศร้าโศกให้แก่ครอบครัว ไม่ว่าจะเป็นมารดา ภรรยา หรือเครือญาติทั้งหลาย อีกผู้หนึ่งที่เสียใจยิ่งนักคือ พระยานรินทรราชเสนี ซึ่งขณะนั้นเป็นนายทหารนอกราชการและกำลังอยู่ในต่างจังหวัด ไม่สามารถกลับมาดูใจบุตรชายของตนได้ทันกาล
พิธีศพของ หลวงทัศนัยฯ จัดขึ้นบ้านถนนเพชรบุรี อำเภอดุสิตอย่างสมเกียรตินับตั้งแต่วันที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2476 และมีการสวดพระอภิธรรมและบำเพ็ญกุศลต่อเนื่องถึง 100 วัน บุคคลสำคัญทั้งนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี ผู้บัญชาการทหารบก และรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหม ข้าราชการระดับสูงทั้งฝ่ายทหาร พลเรือน ตลอดจนพ่อค้าคหบดีทั้งในและนอกประเทศพากันมาร่วมไว้อาลัยอย่างล้นหลาม
ขาดไปบุคคลหนึ่งซึ่งหากยังอยู่ในเมืองไทยก็ย่อมจะต้องมาแสดงความอาลัยต่อเพื่อนรักอย่างแน่แท้ นั่นคือ หลวงประดิษฐ์มนูธรรม หรือ นายปรีดี พนมยงค์ แต่ที่ไม่ได้มาเพราะกำลังถูกเนรเทศให้ไปพำนักอยู่ที่ฝรั่งเศส
ตามคำวินิจฉัยอันเป็นทางการนั้น ระบุว่า หลวงทัศนัยนิยมศึก ถึงแก่กรรมเพราะโรคไตอักเสบอย่างแรงเนื่องจากยาอย่างใดอย่างหนึ่ง แต่ก็มีเสียงลือกันว่า เหตุมรณกรรมที่แท้จริงคือการถูกวางยาพิษ สันนิษฐานว่าเป็นการตั้งใจกำจัดโดยฝ่ายรัฐบาลพระยามโนฯ เนื่องจาก หลวงทัศนัยฯ เป็นคนที่แสดงตัวว่าจะปกป้อง หลวงประดิษฐ์มนูธรรม รวมถึงยังเป็นผู้มีกำลังรบอยู่ในมือ อีกทั้งตอนที่ นายปรีดี ถูกรัฐบาลพระยามโนฯเนรเทศออกไปจากเมืองไทยนั้น หลวงทัศนัยฯ โกรธมากและจะใช้กำลังเข้าบุกยึดอำนาจรัฐบาลพระยามโนฯเลย แต่เพื่อนรักอีกคนอย่าง หลวงพิบูลสงคราม ห้ามปรามไว้ นั่นจึงอาจจะเป็นสาเหตุที่ทำให้มีผู้คิดสังหาร หลวงทัศนัยฯ ด้วยวิธีการแนบเนียน
ในวันที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2476 พระยาพหลพลพยุหเสนา ได้ยึดอำนาจจาก รัฐบาลของ พระยามโนปกรณ์นิติธาดา แล้วขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแทน
ล่วงมาช่วงต้นเดือนสิงหาคมปีเดียวกัน รัฐบาลพระยาพหลฯ จึงจะจัดงานพระราชทานเพลิงศพให้กับ หลวงทัศนัยนิยมศึก รวมถึงสมาชิกคณะราษฎรอีกรายที่ถือว่าเป็นคณะราษฎรคนแรกสุดเลยที่ถึงแก่กรรมเมื่อวันที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2475 (หากนับเทียบศักราชแบบปัจจุบันจะตรงกับ 20 มกราคม พ.ศ. 2476) นั่นคือ นายเรือตรีทองดี ระงับภัย ไปพร้อมกันในคราวเดียวเลย
ดังที่ พระยาพหลฯ ได้มีหนังสือไปถึงศาลาว่าการพระราชวัง (เป็นชื่อเรียกขณะนั้นของกระทรวงวัง)
วังปารุสกวัน
วันที่ ๙ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๔๗๖
นายกรัฐมนตรี เรียน ผู้สำเร็จราชการพระราชวัง
ด้วยนายพันตรี หลวงทัสนัยนิยมศึก กับนายเรือตรีทองดี ระงับภัย ซึ่งเป็นผู้ที่ได้ทำคุณประโยชน์ให้แก่ประเทศชาติเป็นพิเศษ ได้ป่วยถึงแก่กรรมลง บัดนนี้จะจัดการปลงศพนายทหารทั้งสองนี้ ในวันที่ ๑๙ สิงหาคม ศกนี้ จึ่งใคร่จะขอรับพระราชทานพระบรมราชานุญาตปลงศพนายทหารทั้งสองนี้ ณ สุสานหลวง วัดเทพสิรินทราวาส เพื่อเป็นเกียรติยศแก่ผู้ที่ถึงแก่กรรมไปแล้วและครอบครัวสืบไป
จึ่งเรียนมา ถ้ามีโอกาสอันควร ขอได้โปรดนำความขึ้นกราบบังคมทูลพระกรุณา ทราบฝ่าละอองธุลีพระบาท เพื่อขอรับพระราชทานพระบรมราชานุญาตปลงศพตามความประสงค์ด้วย.
ควรมิควรแล้วแต่จะโปรด
พ.อ. พระยาพหลพลพยุหเสนา
นายกรัฐมนตรี.
ต่อมาทางเลขาธิการคณะรัฐมนตรีคือ หลวงธำรงนาวาสวัสดิ์ ได้มีหนังสืออีกฉบับส่งไปยังผู้สำเร็จราชการพระราชวัง ความว่า
กรมเลขาธิการคณะรัฐมนตรี
วันที่ ๑๕ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๔๗๖
เลขาธิการคณะรัฐมนตรี เรียน ผู้สำเร็จราชการพระราชวัง
หนังสือเรียนนายกรัฐมนตรีที่ ๑๘/๑๘๐ ลงวันที่ ๑๔ เดือนนี้ ว่า โปรดเกล้าฯ พระราชทานพระบรมราชานุญาตให้ปลงศพนายพันตรี หลวงทัศนัยนิยมศึก กับนายเรือตรีทองดี ระงับภัย ณ สุสานหลวง วัดเทพสิรินทราวาส ในวันที่ ๑๙ เดือนนี้นั้น ขอมอบให้พระบริรักษ์กฤษฎีกา และนายยนต์ ยมาภัย มาทำการติดต่อกับศาลาว่าการพระราชวังในเรื่องนี้ต่อไป.
ควรมิควรแล้วแต่จะโปรด
ธำรง
เลขาธิการคณะรัฐมนตรี.
ในวันเดียวกัน ทางเลขาธิการคณะรัฐมนตรียังมีหนังสือไปยังกระทรวงมหาดไทยเพื่อ “...ใคร่จะขอความอนุเคราะห์ได้โปรดให้เจ้าหน้าที่ออกใบอนุญาตเผาสพนายพันตรี หลวงทัศนัยนิยมศึก กับนายเรือตรีทองดี ระงับภัย และใบอนุญาตนำศพนายเรือตรีทองดีจากจังหวัดนนทบุรีมากรุงเทพฯด้วย”
ถัดมาอีกสามวัน ก็มีหนังสือตอบกลับจากทางกรมบัญชาการ ศาลาว่าการพระราชวัง ลงวันที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2476 มาว่า
ปลัดบัญชาการพระราชวัง เรียน เลขาธิการคณะรัฐมนตรี
หนังสือที่ ฌ. ๒๖๙๑/๒๔๗๖ ลงวันที่ ๑๕ เดือนนี้ มอบให้ พระบริรักษ์กฤษฎีกา และนายยนต์ ยมาภัย ไปทำการติดต่อกับศาลาว่าการพระราชวัง ในการพระราชทานเพลิงศพนายพันตรี หลวงทัศนัยนิยมศึก และนายเรือตรีทองดี ระงับภัย ที่สุสานหลวงวัดเทพสิรินทราวาส นั้น
ได้สั่งเจ้าหน้าที่ในศาลาว่าการพระราชวังคอยทำการติดต่อกับพระบริรักษ์ฯ และนายยนต์ ยมาภัย ตามความประสงค์แล้ว อนึ่ง การปลงศพที่วัดนี้ ทางศาลาว่าการนครบาลได้ตกลงกันไว้ว่า เมื่อได้รับพระราชทานพระบรมราชานุญาตแล้ว ให้เจ้าภาพไปขอรับใบอนุญาตพิเศษที่นครบาล ฉนั้นจึงเรียนมาเพื่อได้ไปขอรับใบอนุญาตพิเศษตามระเบียบ.
ต่อมาทางกระทรวงมหาดไทยซึ่งมี พระยาอุดมพงศ์เพ็ญสวัสดิ์ (หม่อมราชวงศ์ประยูร อิศรศักดิ์) เป็นรัฐมนตรีว่าการได้แจ้งมายังเลขาธิการคณะรัฐมนตรีว่า ได้ให้ทางนครบาลออกใบอนุญาตห้าฉบับส่งมาให้แล้ว
ในวันเสาร์ที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2476 ได้มีพิธีพระราชทานเพลิงศพทั้ง นายพันตรี หลวงทัศนัยนิยมศึก และ นายเรือตรีทองดี ระงับภัย ณ สุสานหลวงวัดเทพศิรินทราวาส เมื่อ 17.00 น.
ในงานพระราชทานเพลิงศพคราวนี้ ยังมีการแจกหนังสืออันแสดงความระลึกถึงผู้วายชนม์ที่เป็นสมาชิกคณะราษฎรถึง 3 เล่ม
หนังสือเล่มแรกสุดคือ ประวัติ นายพันตรี หลวงทัศไนยนิยมศึก ( ทัศนัย มิตรภักดี ) ที่เขียนขึ้นโดยครอบครัวของผู้วายชนม์ และ นายวรกิจบรรหาร (พงษ์ รังควร) เป็นผู้จัดพิมพ์
หนังสือเล่มที่สองคือ บทเรียนรัฐธรรมนูญ เรียบเรียงโดย หลวงวิจิตรวาทการ หลวงพิบูลสงคราม เป็นผู้ลงทุนจัดพิมพ์จำนวน 2,000 เล่ม โดย พระยาพหลพลพยุหเสนา เขียนคำนำให้ด้วย
และหนังสือเล่มที่สามคือ ประเทศสยามของเรา เรียบเรียงโดย นายหงวน ทองประเสริฐ (เนติบัณฑิตย์) ซึ่งระบุว่าเป็นสานุศิษย์ของ หลวงประดิษฐ์มนูธรรม จัดพิมพ์โดยคณะราษฎรฝ่ายพลเรือน
เป็นที่น่าเสียดายว่า นายปรีดี ยังมิได้เดินทางกลับมาร่วมในงานพระราชทานเพลิงศพของ หลวงทัศนัยนิยมศึก ผู้เป็นมิตรรักในเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2476 เพราะกว่าจะกลับมาถึงเมืองไทยก็เดือนกันยายนของปีนั้นเสียแล้ว
หนังสือ “ประเทศสยามของเรา”
งานเมรุพันเอกพร้อม
อาจเป็นความเศร้าอย่างลึกซึ้งในหัวใจของ นายปรีดี ที่มิได้มาร่วมงานพระราชทานเพลิงศพของ หลวงทัศนัยนิยมศึก แต่ความผูกพันแน่นแฟ้นระหว่างเพื่อนทั้งสองมิได้สูญสลายไปเพียงเพราะฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งตายจาก
สิ่งหนึ่งที่สะท้อนให้เห็น นายปรีดี ยังคงระลึกถึง หลวงทัศนัยฯ อยู่มิวาย นั่นคือตอนที่ พระยานรินทรราชเสนี หรือ พันเอกพร้อม มิตรภักดี ผู้เป็นบิดาของ หลวงทัศนัยฯ ถึงแก่กรรมเมื่อวันพุธที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2486 ในช่วงระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 เนื่องจากป่วยเป็นอัมพาตมานานหลายปี
นายปรีดี ซึ่งขณะนั้นครองตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ได้อุทิศตนเพื่อจัดงานพระราชทานเพลิงศพและจัดสร้างเมรุให้กับ พันเอกพร้อม อย่างสมเกียรติยศทั้งยังดูแลในด้านการจัดพิมพ์หนังสือในงานพระราชทานเพลิงศพ โดยเลือกเรื่องที่จะมาพิมพ์ พร้อมลงมือค้นคว้าและเรียบเรียงประวัติของผู้วายชนม์ด้วยตนเองเลย
พระยานรินทรราชเสนี หรือ พันเอกพร้อม มิตรภักดี
ดังที่ นายปรีดี แจกแจงผ่าน “คำนำ” ในหนังสืองานพระราชทานเพลิงศพของพันเอกพร้อม ความว่า
ไนงานพระราชทานเพลิงสพ พันเอกพร้อม มิตรภักดี เจ้าภาพมีความประสงค์ที่จะพิมพ์หนังสือแจกสมนาคุนแก่ท่านที่มาในงานนี้ จึงได้ขอให้ฉันช่วยเหลือหาเรื่องที่จะพิมพ์พร้อมทั้งเขียนคำนำ เเละเรียบเรียงประวัติท่านที่ล่วงลับไปแล้วด้วย ฉันมีความยินดีและเต็มไจสนองคำขอนี้ เพราะเปนโอกาสอีกหย่างหนึ่งที่ฉันจะได้มีส่วนร่วมกับเจ้าภาพไนการบำเพ็ญกุสลไห้แก่พันเอกพร้อม มิตรภักดี ซึ่งฉันได้นับถือเสมือนญาติผู้ไหย่ผู้หนึ่ง นอกจากนี้ พันตรี หลวงทัสนัยนิยมสึก (ทัสนัย มิตรภักดี ) เปนมิตรที่รักของฉัน ซึ่งเปนผู้หนึ่งที่ได้ร่วมคิดเปลี่ยน เเปลงการปกครองขอพระราชทานรัถธัมนูญมาด้วยกันตั้งแต่ครั้งยังสึกสาวิชาหยู่ไนประเทสฝรั่งเสส ได้ถึงแก่กัมก่อนท่านบิดา ไม่มีโอกาสที่จะสนองคุนไนวาระสุดท้ายของท่านบิดา ฉันจึงรู้สึกพากพูมใจที่ฉันได้มีส่วนบ้างไนการสนองคุนบิดาแทนพันตรี หลวงทัสนัย ฯ
ไนการพิมพ์หนังสือเเจกไนงานสพ ได้เคยมีญาติมิตรขอร้องไห้ฉันเปนผู้เลือกเรื่องที่จะพิมพ์ให้ ไนระหว่างนี้ฉันได้เลือกเรื่องที่เกี่ยวแก่พุทธสาสนาโดยมาก เพราะเห็นว่าเปนเรื่องที่เกี่ยวกับความจิงเที่ยงแท้เเน่นอน แต่มาไนคราวนี้ ฉันระลึกขึ้นได้ว่า เมื่อครั้งฉันยังหยู่ไนกรุงปารีสพร้อมกับพันตรีหลวงทัสนัยฯ ฉันได้เคยเอาไจใส่ไนการค้นคว้าหาหลักถานเกี่ยวกับประวัติสาตรของประเทสไทยด้วย เมื่อค้นคว้ามาได้แล้ว เคยได้นำมาเล่าสู่มิตรสหายซึ่งรวมทั้งทั้งพันตรี หลวงทัสนัยฯ ไนการค้นคว้าเช่นนี้ ความประสงค์ก็เพื่อจะค้นหาความจิง เพราะพระราชพงสาวดารกรุงเก่าที่มีผู้พิมพ์ในสมัยรัตนโกสินทนี้ ปรากตว่ามีเหตุการน์ และสักราชแตกต่างกับที่ปรากดไนเอกสาร ซึ่งชาวยุโรปได้ตีพิมพ์ไว้ไนสมัยกรุงสรีอยุธยา เแต่ถ้ายิ่งค้นไปถึงต้นฉบับรายงานซึ่งคนะบาดหลวงที่กรุงสรีอยุธยาได้เขียนส่งไปยังสำนักงานคนะบาดหลวงต่างด้าว(MISSIONS ÉTRANGÈRES) ซึ่งเขียนไนเวลากะชั้นชิดกับเหตุการน์นั้น ก็จะปรากตความเตกต่างกันมาก เพื่อที่จะสอบความจิง ฉันได้พบข้อความไนจดหมายเหตุคนะทูตฝรั่งเสสที่มาจเริน ทางพระราชไมตรีไนรัชสมัยสมเด็ดพระนารายน์มหาราช ปรากตข้อความตอนหนึ่งว่า สมเด็ดพระนารายน์มหาราชได้ซงค้นคว้าหาหลักถานเรียบเรียงพระราชพงสาวดารของประเทสไทยขึ้น แล้วได้มอบสำเนาไห้แก่คนะทูตเพื่อถวายพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 หนึ่งฉบับ ฉันได้พยายามค้นดูไนหอสมุดต่างๆด้วยตนเองก็ดี โดยจ้างพนักงานหอสมุดไห้ช่วยค้นก็ดี ก็ไม่ปรากตสำเนาพระราชพงสาวดารที่กล่าวถึงนี้ ต่อมาเมื่อฉันได้กลับมาจากประเทสฝรั่งเสสแล้ว จึงซาบว่ามีพระราชพงสาวดารกรุงเก่าฉบับหนึ่ง ซึ่งพระยาปริยัติธัมธาดา (แพ ปเรียญ) เมื่อครั้งเปนหลวงประเสิดอักสรนิติได้ต้นฉบับสมุดไทยดำจากบ้านราสดรแห่งหนึ่ง เขียนด้วยอักสรไทยตัวเดิม กัมการหอสมุดวชิรญานเห็นว่า สมุดไทยเล่มนั้นเปนหนังสือพระราชพงสาวดารเขียนไนสมัยกรุงสรีอยุธยา และไนบานแผนกสแดงไห้เห็นว่า ต้นฉบับเดิมได้เรียบเรียงขึ้นโดยรับสั่งสมเด็ดพระนารายน์มหาราช เมื่อได้ฉบับนี้มาแล้ว สมเด็ดกรมพระยาดำรงราชานุภาพได้แก้ไขสักราชไหม่ ( ประชุมพงสาวดาร ภาค 5) โดยอาสัยพงสาวดารฉบับนี้เปนหลัก ฉะนั้น พระราชพงสาวดารกรุงเก่าฉบับนี้ก็เปนเอกสารฉบับหนึ่งที่เกี่ยวกับการพิสูจน์ความจิง ฉะนั้น การที่ฉันเลือกพระราชพงสาวดารกรุงเก่าฉบับนี้ไห้เจ้าภาพพิมพ์ ก็เปนเรื่องที่หยู่ไนกรอบของพระพุทธสาสนา คือการค้นหาความจิงนั่นเอง.
การแต่งเรื่องประวัติสาตรไม่ใช่เปนการแต่งเรื่องอ่านเล่นซึ่งผู้แต่งสมมติตัวละคอนพระเอกนางเอก พรรนนาข้อความโลดโผนรักโสกตามชอบไจ ผู้แต่งเรื่องประวัติสาตรจะต้องบำเพ็นตนประดุจเปนตุลาการที่เที่ยงธัม คือประการแรกจะต้องวินิจฉัยข้อเท็ดจิงเสียก่อนว่า เอกสารก็ดี ข้อความที่มีผู้เล่าไห้ฟังก็ดี ซึ่งเปรียบประดุจเปนพยานไนคดีประวัติสาตรว่าพยานเหล่านั้นจะให้การตามตรง หรือไห้การเท็ด หรือมีเล่ห์กลอคติประการไดเคลือบเเฝงหยู่ด้วย เรื่องบางชนิดผู้แต่งอาสัยชื่อบุคคล สถานที่ วันเวลาไนประวัติสาตร เเต่พรรนนาเหตุ การน์ไปอีกหย่างหนึ่งต่างหากจากความจิง หรือพรรนนาไปในทำนองเรื่องอ่านเล่น เรื่องชนิดนี้เปนเรื่องอิงประวัติสาตร ฉนั้น หนังสือเล่มไดแม้จะมีชื่อว่าประวัติสาตร แต่ถ้ามีข้อความตอนไดซึ่งเปนไปไนทางสมมติไม่ไช่ของจิงแล้ว ข้อความนั้นก็มีค่าแต่เพียงเปนเรื่องอิงประวัติสาตรเท่านั้น ตุลาการแห่งคดีประวัติสาตรจำต้องล้วงค้นชำระข้อเท็ดจิงไห้ขาวสอาด เมื่อข้อเท็ดจิงผิดพลาด การตัดสินคดีประวัติสาตรคือการลงความเห็นว่า การกะทำนั้นๆ ดีหรือไม่ มีประโยชน์หรือไม่มีประโยชน์ ก็ย่อมจะผิดพลาดไปทั้งหมด เมื่อฟังข้อเท็ดจิงได้โดยถูกต้องเเน่แท้แล้ว การที่จะตัดสินคดีประวัติสาตรดังกล่าวแล้วก็จะเปนไปได้โดยถูกต้องสมควน ไม่มีการอุทธรน์ดีกาที่จะตัดสินกลับสัจโดยยุวชนรุ่นหลัง ทั้งนี้ผู้สนไจไนวิชาประวัติสาตรย่อมเห็นประจักส์หยู่แล้วว่า หนังสือประวัติสาตรบางเล่มที่เเต่งไว้ก่อนๆโดยอาศัยข้อเท็ดจิงที่ผิดพลาดต้องถูกแก้ไขในชั้นหลังๆนี้ก็มีหยู่ หนังสือพระราชพงสาวดารกรุงเก่าก็ได้พิมพ์โดยโรงพิมพ์หมอบรัดเลย์ หรือที่ได้พิมพ์ต่อๆมาโดยอาสัยต้นฉบับจากหอสมุด ซึ่งได้มาจากกรมราชเลขาธิการ ก็ได้มีการชำระสะสางจากต้นฉบับก่อนๆ โดยได้ข้อเท็ดจิงที่ปรากตขึ้นในตอนหลัง ไนบางตอน ต้นฉบับได้เขียนโดยรับสั่งพระเจ้าหยู่หัวบรมโกส ซึ่งสืบเนื่องมาแต่พระเพทราชาและขุนหลวงสรสักดิ์ ข้อเท็ดจิงบางหย่างซึ่งเปนการไม่ดีในสมัยพระมหากสัตรทั้งสองพระองค์นั้น ถูกปกปิดเสียก็มี คุนความดีของสมเด็ดพระนารายน์ที่ยังมีอีกมากมายหลายหย่าง ไนการปรับปรุงบ้านเมืองไห้ทันสมัยไนทาง วิทยาสาตรและสิลปสาตร ได้ถูกปกปดไว้ก็มี บางตอนได้พรรนนาเปนไปในทำนองเรื่องอ่านเล่น หรือเรื่องอิงประวัติสาตร เช่นอภินิหารต่าง ๆ ที่เจ้าพระยาโกสาปานได้สแดงไห้กระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ดูก็ดี พระการุนย์ภาพของพระเจ้าหลุยส์ที่14 ที่มีต่อราชทูตไทย เช่นกล่าวว่า ซงพระราชทานนางข้าหลวงไห้ เปนภรรยาราชทูตคนหนึ่ง เเละราชทูตหยู่สมัคสังวาสด้วยภรรยาจนมีบุตรชายคนหนึ่ง มีรูปร่างเหมือนบิดา หยู่ประมาน 3 ปี ราชทูตจึงกราบถวายบังคมลา แล้วทูนฝากบุตรภรรยา เช่นนี้ถ้าสอบสวนเอกสารต่างๆตลอดจนเวลาที่ราชทูตหยู่ไนประเทสฝรั่งเสส ก็จะเห็นว่าเปนเรื่องอิงประวัติสาตร ฉะนั้น จึงเปนการสมควนหย่างยิ่งที่ข้อเท็ดจิงต่างๆ ดังปรากตไนหนังสือพระราชพงสาวดาร จะต้องมีการชำระสังคายนาไนชั้นหลังนี้สักครั้งหนึ่ง.
พระราชพงสาวดารกรุงเก่าฉบับหลวงประเสิดนี้ อาดเปนเอกสารฉบับหนึ่งที่จะช่วยพิสูจน์ข้อเท็ดจิง เมื่อได้อ่านดูข้อความเเล้ว จะเห็นได้ว่าได้เขียนไว้หย่างกลางๆ เหตุการน์ที่จดลงไว้และสักราชก็พ้องกับจดหมายเหตุอื่นๆบางฉบับ ซึ่งเท่ากับมีพยานเอกสารอื่นสนับสนนหยู่ด้วย ฉะนั้น ในชั้นนี้ถ้ายังมิได้มีพยานดีกว่าที่จะหักล้างพยานนี้ได้ ก็ควนที่นักประวัติสาตรจะยอมถือไว้ก่อนว่า พระราชพงสาวดารกรุงเก่าฉบับนี้เปนเอกสารพยานที่ดีฉบับหนึ่งในคดีประวัติสาตรของกรุงสรีอยุธยาสมัยก่อนสมเด็ดพระนารายน์มหาราช.
ต่อจากคำนำนี้ ฉันได้เรียบเรียงประวัติพันเอกพร้อม มิตรภักดี โดยอาสัยข้อความที่ปรากตไนสมุดประวัติที่เก็บไว้นะกะซวงกลาโหมฉบับหนึ่ง และนะสำนักพระราชวังฉบับหนึ่ง.
ขอผลกุสลอันพึงบังเกิดจากการเผยแพร่วิทยาทานโดยหนังสือที่พิมพ์ขึ้นแจกไนงานพระราชทานเพลิงสพนี้ จงดนบันดานไห้พ้นเอกพร้อม มิตรภักดี ประสบความสุขไนสัมปรายภพทุกประการ เทอน.
17 กรกดาคม 2486
ปรีดี พนมยงค์
(คงอักขร การสะกดคำศัพท์ การเว้นวรรคตามเอกสารต้นฉบับ)
นับว่า นายปรีดี ทำหน้าที่แทนเพื่อนรักคือ หลวงทัศนัยนิยมศึก ได้อย่างน่าประทับใจ
ดอกส้มสีทอง
คุณผู้อ่านอาจจะขมวดคิ้วนึกสงสัยว่า ก็กำลังอ่านเรื่องราวของ หลวงทัศนัยนิยมศึก อยู่แท้ๆ เหตุไฉนจึงไปเอ่ยถึง ดอกส้มสีทอง อันเป็นละครโทรทัศน์แนวดราม่าในช่วงปี พ.ศ. 2554 และทำให้ชื่อตัวละครอย่าง เรยา ติดปากคนไทยไปทั่วประเทศ
ละครเรื่องนี้สร้างมาจากนวนิยายที่เป็นบทประพันธ์ของ ถ่ายเถา สุจริตกุล ซึ่งเคยมีผลงานก่อนหน้าอย่างเรื่อง มงกุฎดอกส้ม
ก็ผู้ประพันธ์คือ ถ่ายเถา นี่แหละครับ ที่มีความเชื่อมโยงกับ หลวงทัศนัยฯ กล่าวคือ ถ่ายเถา เป็นหลานตาของ พระยานรินทรราชเสนี หรือ พันเอกพร้อม มิตรภักดี
พระยานรินทรราชเสนี มีภรรยาทั้งหมด 4 คน ภรรยาหลวงคือ คุณหญิงเจิม ซึ่งมีบุตรธิดาด้วยกัน ได้แก่
- เด็กชายแดงใหญ่ ถึงแก่กรรมเมื่ออายุ 11 เดือน
- พระสุนทรพินิจ (บริบูรณ์ มิตรภักดี)
- เด็กหญิง ภูนสวัสดิ์ ถึงแก่กรรมเมื่ออายุ 8 เดือน
- หลวงทัศนัยนิยมศึก (ทัศนัย มิตรภักดี)
- ประไพพิศ
บุตรสาวคนเล็กคือ ประไพพิศ นั้น ต่อมาได้สมรสกับ นายเคเถา ศุภวานิช มีบุตรธิดาด้วยกัน คือ
- ถ่ายเถา
- ถ่องเถา
เมื่อ นายเคเถา ถึงแก่กรรม ประไพพิศ ได้สมรสอีกครั้งกับ นายบุญชิต เกตุรายนาค มีบุตรธิดาด้วยกันคือ
- รื่นรวย
- ชิตาภา
- ปัญญาสัย
สำหรับ ถ่ายเถา นั้น ได้สมรสกับศาสตราจารย์ ดร. สมปอง สุจริตกุล มีบุตรชายคนหนึ่งเป็นทั้งวาทยากร คีตกร และนักประพันธ์ที่ผลงานนวนิยายแนววิทยาศาสตร์ที่มีชื่อเสียงในโลกภาษาอังกฤษอย่าง สมเถา สุจริตกุล หรือเจ้าของนามปากกา SP Somtow
สรุปได้ว่า หลวงทัศนัยนิยมศึก มีศักดิ์เป็นลุงของผู้ประพันธ์เรื่อง ดอกส้มสีทอง นั่นเอง
ส่งท้าย
หลวงทัศนัยนิยมศึก นับเป็นสมาชิกคณะราษฎรที่ชีวประวัติของเขายังมีอะไรให้ชวนค้นหาอีกยิ่งนัก แม้ว่าเขาจะมีอายุสั้นเพียงแค่ 32 ปี 7 เดือน 18 วันก็ตามที แต่นั่นมิได้หมายความว่าจะทำให้เรื่องราวของคุณหลวงนายทหารม้าผู้นี้ปราศจากความน่าสนใจมิใช่หรือ?
เอกสารอ้างอิง
- หจช. ศธ0701.41.2/16 การเมรุ พันเอกพร้อม มิตรภักดี (พ.ศ. 2486)
- หจช. สร 0201.26/4 ขอปลงศพนายพันตรี หลวงทัศนัย นิยมศึก กับนายเรือตรี ทองดี ระงับภัย ที่สุสานวัดเทพศิรินทร์ฯ (พ.ศ. 2476)
- นริศ จรัสจรรยาวงศ์. “มิตรภักดี ของ ปรีดี “หลวงทัศไนยนิยมศึก” ทหารม้าหัวหอกอภิวัฒน์ 2475” สถาบันปรีดี พนมยงค์ PRIDI BANOMYONG INSTITUTE (10พฤษภาคม 2568)
- นายหงวน ทองประเสริฐ. ประเทศสยามของเรา. คณะราษฎรฝ่ายพลเรือน พิมพ์แจกในงานพระราชทานเพลิงศพ นายพันตรี หลวงทัศไนยนิยมศึก กับนายเรือโท ทองดี ระงับภัย ณ วัดเทพศิรินทราวาส ในวันที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2476. พระนคร: โรงพิมพ์กรุงเทพฯวารศัพท์, 2476.
- ประวัติ นายพันตรี หลวงทัศไนยนิยมศึก ( ทัศนัย มิตรภักดี ). นายวรกิจบรรหาร พิมพ์แจกในงานพระราชทานเพลิงศพ หลวงทัศไนยนิยมศึก ที่วัดเทพศิรินทราวาส ในวันที่ 19 สิงหาคม พุทธศักราช 2476. พระนคร: โรงพิมพ์อักษรนิติ, 2476.
- ประยูร ภมรมนตรี, พลโท. ชีวิต ๕ แผ่นดินของข้าพเจ้า. กรุงเทพฯ: บรรณกิจ, 2518.
- พระราชพงสาวดารกรุงเก่า ฉบับหลวงประเสิด. เจ้าภาพพิมพ์แจกไนงานพระราชทานเพลิงศพ พันเอก พร้อม มิตรภักดี (พระยานรินทร์ราชเสนี) พ.ส. 2486. พระนคร: บริษัท การพิมพ์ไทย, 2486.
- วิจิตรวาทการ,หลวง. บทเรียนรัฐธรรมนูญ. นายพันโท หลวงพิบูลสงคราม พิมพ์แจกในงานศพ นายพันตรี หลวงทัศไนยนิยมศึก (ทัศนัย มิตรภักดี) กับนายเรือตรี ทองดี ระงับภัย ณ วันที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2476. พระนคร: โรงพิมพ์ไทยใหม่, 2476.
- อนุสรณ์เนื่องด้วยทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานเพลิงศพหม่อมหลวงเวก ทัศนัยนิยมศึก ในพระบรมราชานุเคราะห์ ณ เมรุวัดเทพศิรินทราวาส วันที่ 22 มีนาคม 2515. นครหลวงกรุงเทพธนบุรี: โรงพิมพ์รุ่งเรืองรัตน์, 2515.