มักจะเป็นในเดือนกันยายนของแต่ละปีหรือบางทีอาจล่วงเลยไปถึงเดือนตุลาคมบ้างที่จะมีการจัดงานประเพณีสารทเดือนสิบขึ้นในจังหวัดต่างๆทางภาคใต้ของประเทศไทย ดังในปี พ.ศ. 2568 นี้ ช่วงงานบุญสารทเดือนสิบจะเริ่มตั้งแต่วันจันทร์ที่ 8 กันยายน (แรม 1 ค่ำ เดือนสิบ) ไปจนถึงวันจันทร์ที่ 22 กันยายน (แรม 15 ค่ำ เดือนสิบ)
ผมเองย่อมคุ้นเคยกับประเพณีสารทเดือนสิบอย่างดี มิใช่แค่เพราะว่าเป็นคนใต้ มีภูมิลำเนาอยู่ที่จังหวัดสุราษฎร์ธานีเท่านั้น กระทั่งพ่อของผมก็มีชื่อเกี่ยวข้องกับงานบุญสารทเดือนสิบ
ย้อนกาลเวลาไปเมื่อวันจันทร์ที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2501 (แรม 1 ค่ำ เดือนสิบ) พ่อของผมได้ลืมตายลโลกหนแรกสุดที่บ้านกงตาก ตำบลช้างซ้าย อำเภอกาญจนดิษฐ์ จังหวัดสุราษฎร์ธานี วันนั้นเป็นวันแรกสุดของงานประเพณีสารทเดือนสิบ ย่าของผมกำลังจะเดินทางไปทำบุญที่วัด แต่กลับปวดท้องและคลอดพ่อของผมที่บ้าน ด้วยเหตุนี้ ปู่ของผมจึงตั้งชื่อให้พ่อว่า “วันสารท” แต่ตอนไปแจ้งเกิด เจ้าพนักงานเขียนลงในใบทะเบียนโดยสะกดผิดเป็น “วันสาด” กลายเป็นว่าพ่อผมต้องใช้ชื่อดังกล่าวมาจวบปัจจุบัน
ด้วยความที่ชื่อพ่อของผมมีความเชื่อมโยงกับงานบุญสารทเดือนสิบกระมัง จึงไม่แปลกที่ผมจะให้ความสนใจและหมั่นค้นคว้าเรื่องราวเกี่ยวกับงานประเพณีนี้เสมอมา
สารทเดือนสิบคือการทำบุญให้บรรพบุรุษผู้ล่วงลับไปแล้วในช่วงเดือนสิบของแต่ละปี ต้นกำเนิดของประเพณีนี้มาจากธรรมเนียมของพราหมณ์ในอินเดียตั้งแต่ยุคก่อนพุทธกาล กล่าวคือหลังจากบรรพบุรุษอันได้แก่ บิดา มารดา ปู่ย่าตายายอำลาโลก ลูกหลานก็จะตั้งพิธีทำบุญไปให้ที่เรียกกันว่า “ศราทธ์” ซึ่งมักจะกำหนดให้จัดพิธีกันในช่วงสิ้นฤดูเก็บเกี่ยวพืชผล หรือที่เรียกว่า “ฤดูสารท”
สำหรับพิธีพราหมณ์แบบดั้งเดิมก็จะมีการเซ่นไหว้ผีบรรพบุรุษ แต่ต่อมาเมื่อการทำบุญให้บรรพบุรุษผู้ล่วงลับได้รับอิทธิพลจากพุทธศาสนา จึงมีพิธีสงฆ์เข้ามาด้วย ดังที่ในสมัยพุทธกาล หลังจาก พระเจ้าพิมพิสาร แห่งแคว้นมคธได้หันมานับถือศาสนาพุทธแล้วก็ได้ทำบุญให้บรรพบุรุษผู้ล่วงลับแบบผสมผสาน โดยยังคงทำพิธีการแบบพราหมณ์ แต่ก็นิมนต์พระพุทธเจ้าพร้อมพระภิกษุสงฆ์มารับภัตตาหารด้วย
อิทธิพลของพระพุทธศาสนาที่แผ่จากอินเดียเข้ามาสู่ดินแดนที่เป็นเมืองไทยในปัจจุบัน จึงทำให้ปรากฏการทำบุญสารทขึ้นทั่วทุกภูมิภาค แต่อาจมีชื่อเรียกขานไม่เหมือนกัน โดยเฉพาะในภาคใต้นั้นจะเรียกว่า “สารทเดือนสิบ” ซึ่งจะเริ่มต้นงานบุญตั้งแต่ช่วงวันแรม 1 ค่ำ เดือนสิบไปจนถึงวันแรม 15 ค่ำ เดือนสิบของแต่ละปี
ในการทำบุญสารทเดือนสิบ ยังมีความเชื่อเรื่องเปรตหรือการทำบุญอุทิศกุศลไปให้บรรพบุรุษที่ล่วงลับแล้วไปตกอยู่ในภพภูมิที่ลำบากเพราะผลกรรมที่เคยก่อไว้หรือกลายเป็นเปรต เพื่อผลบุญที่ลูกหลานทำนั้นจะช่วยผ่อนผันความทุกข์ยากให้เบาลง ซึ่งเรียกว่า “ปุพพเปตพลี”
ตามความเชื่อทางพุทธศาสนานั้น บรรพบุรุษที่ล่วงลับไปแล้วจะได้รับอนุญาตให้เดินทางจากอีกภพภูมิหนึ่งมาพบลูกหลานและญาติพี่น้องของตนในวันแรม 1 ค่ำ เดือนสิบ ก่อนที่จะอำลากลับไปยังภพภูมิที่จากมาในวันแรม 15 ค่ำ เดือนสิบ ลูกหลานและญาติพี่น้องจึงต้องอาศัยช่วงเวลานี้หมั่นไปทำบุญและถวายภัตตาหารเลี้ยงพระตามวัดต่างๆเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้ โดยจะจัดทำสำรับอาหารคาวหวานและขนมที่ตกแต่งประดับประดาด้วยดอกไม้อย่างสวยงามไว้ถวายแด่พระภิกษุสงฆ์เพื่อส่งผลบุญกุศลไปให้ถึงบรรพบุรุษที่ล่วงลับ ซึ่งในภาษาท้องถิ่นภาคใต้จะเรียกสำรับดังกล่าวว่า “หฺมฺรับ”
พิธีกรรมเกี่ยวกับสำรับอาหารคาวหวานและขนมที่เรียกว่า “หฺมฺรับ” ยังถูกทำให้เป็นเอกลักษณ์ของงานประเพณีสารทเดือนสิบที่จังหวัดนครศรีธรรมราช โดยเฉพาะการ “ยกหฺมฺรับ” ซึ่งจะจัดเป็นขบวนแห่อย่างใหญ่โตและเอิกเกริก บางครั้งมีผู้เข้าร่วมขบวนแห่นับร้อยราย
ในประเพณีสารทเดือนสิบ จะเริ่มมีการทำบุญวันแรกคือวันแรม 1 ค่ำ เดือนสิบ ที่เรียกกันว่า “วันรับตายาย” หรือ “วันหฺมฺรับเล็ก” และจะทำบุญส่งท้ายในวันแรม 15 ค่ำ เดือนสิบ ที่เรียกกันว่า “วันส่งตายาย” หรือ “วันหฺมฺรับใหญ่”
สิ่งที่ดูเหมือนจะขาดไม่ได้ใน “หฺมฺรับ” คือขนมงานเดือนสิบที่จะเป็นขนมแห้งๆสามารถเก็บไว้ได้นาน ซึ่งส่วนใหญ่จะมี 5 อย่าง ได้แก่ ขนมพอง ซึ่งเชื่อว่าบรรพบุรุษจะใช้เป็นแพล่องข้ามห้วงมหรรณพ ขนมลา เสมือนเครื่องนุ่งห่ม ขนมกง แทนเครื่องประดับ ขนมดีซำ แทนเงินเพื่อใช้สอย และ ขนมบ้า เพื่อใช้เล่นสะบ้าต้อนรับสงกรานต์ อีกทั้งในบางท้องถิ่นอาจมีขนมอื่นๆเพิ่มเติมเข้าไปด้วย
ชาวภาคใต้นิยมจะจัด “หฺมฺรับ”ขนาดใหญ่พร้อมยกเป็นขบวนแห่ไปยังวัดในวันแรม 15 ค่ำ เดือนสิบ หรือ “วันส่งตายาย” ซึ่งจะมีการฉลองสมโภช “หฺมฺรับ”
ในวันเดียวกันนี้ หลังจากที่มีการรฉลองสมโภช “หฺมฺรับ” และถวายภัตตาหารแด่พระภิกษุสงฆ์แล้ว ยังมี “การตั้งเปรต” เพื่ออุทิศส่วนกุศลแก่วิญญาณที่ไม่มีลูกหลานและญาติพี่น้องมาทำบุญให้ โดยจะมีการตั้งเปรตทั้งนอกวัดและในวัด
ตั้งเปรตนอกวัดก็คือการนำอาหารและขนมเดือนสิบส่วนหนึ่งไปวางไว้ตามบริเวณต่างๆ เช่น ตรงทางเข้าวัด ริมกำแพงวัด และโคนต้นไม้ ส่วนตั้งเปรตในวัดคือการทำเป็นคล้ายๆปะรำหรือศาลายกพื้นสูงขึ้นในวัดและมักจะตั้งอยู่ใกล้ๆกับศาลาที่พระภิกษุสงฆ์ฉันภัตตาหาร เรียกกันว่า “หลาเปรต” โดยมีสายสิญจน์โยงรายรอบและโยงไปถึงพระภิกษุสงฆ์ที่กำลังเจริญพระพุทธมนต์ ชาวบ้านที่มาทำบุญจะนำอาหาร ขนม และข้าวของต่างๆไปวางรวมๆ กันบนที่ตั้งเปรตนั้น
อีกพิธีกรรมหนึ่งซึ่งจะปรากฏขึ้นในตอนที่พระภิกษุสงฆ์สวดบทยะถาสัพพีเพื่อให้พรแก่ญาติโยมจนใกล้จะจบ คือ “การชิงเปรต” โดยพระจะชักสายสิญจน์ขึ้นเป็นสัญญาณ ก่อนที่ชาวบ้านจะกรูกันไปแย่งชิงสิ่งต่างๆที่วางอยู่บน “หลาเปรต” เชื่อกันว่าเมื่อเปรตหรือผีบรรพบุรุษที่ล่วงลับได้เห็นว่ามีคนมาแย่งชิงอาหาร ขนม และข้าวของที่ตั้งไว้สำหรับพวกตนก็จะดีใจและกลับไปอีกภพภูมิอย่างมีความสุข
“การชิงเปรต” ยังถูกทำให้เป็นกิจกรรมที่สนุกสนาน ในบางวัดได้สร้าง “หลาเปรต” ให้สูงและมีเสาต้นเดียวที่ทาน้ำมันลื่นๆ เพื่อชาวบ้านจะป่ายปีนขึ้นไปแย่งชิงสิ่งที่ตั้งไว้สำหรับเปรตได้ยากขึ้น จนปลุกเร้าความรู้สึกท้าทาย
พอว่าถึงการตั้งเปรตแล้ว พ่อของผมเล่าให้ฟังว่าสมัยที่พ่อยังเป็นเด็ก ย่าเคยบอกว่าถ้าอยากให้ต้นไม้ผลของตนออกผลไม้อย่างดกดื่น ก็ให้นำเศษอาหารต่างๆที่ถูกนำไปตั้งเปรตนั้นมาทาใต้โคนต้นไม้ผล ซึ่งสะท้อนถึงความเชื่อหรือภูมิปัญญาแบบชาวบ้าน
งานทำบุญสารทเดือนสิบเป็นประเพณีที่ปรากฏอยู่ในทุกจังหวัดของภาคใต้ แต่ที่โดดเด่นและเป็นที่เลื่องลือก็คือ งานทำบุญสารทเดือนสิบที่เมืองนครศรีธรรมราช ซึ่งถือว่าเป็นทั้งงานบุญและงานเทศกาลรื่นเริงประจำปีที่ยิ่งใหญ่
เล่าเพลินมาเสียยืดยาว คุณผู้อ่านอาจจะนึกสงสัยเต็มทีแล้วว่างานประเพณีสารทเดือนสิบและการชิงเปรตไปเกี่ยวข้องกับคณะราษฎรอย่างไรกัน เอาละ ผมจะอธิบายแจกแจงให้ทุกท่านได้กระจ่างชัดบัดเดี๋ยวนี้
ก็อย่างที่ผมบอกแหละครับ ว่างานประเพณีสารทเดือนสิบอันเป็นต้นตำรับและขจรขจายชื่อเสียงที่สุดย่อมมิพ้นงานที่เมืองนครศรีธรรมราช
การทำบุญสารทเดือนสิบคงจะเป็นประเพณีที่มีมาตั้งแต่อดีตกาล ซึ่งนครศรีธรรมราชอันเป็นเมืองโบราณอาจจะได้รับอิทธิพลจากการแพร่เข้ามาของทั้งศาสนาพราหมณ์และพุทธศาสนา การทำบุญสารทเดือนสิบของเมืองนครศรีธรรมราชยังเป็นที่รับรู้ในกลุ่มชนชั้นนำสยามมาตั้งแต่สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น โดยถูกนำมาเป็นต้นแบบของการจัดพระราชพิธีตรุษและสารทที่กรุงเทพมหานคร
อย่างไรก็ดี สิ่งที่ทำให้งานประเพณีสารทเดือนสิบของนครศรีธรรมราชโดดเด่น ก็เพราะทางจังหวัดได้จัดงานเทศกาลรื่นเริงประจำปีที่ใครๆเรียกขานกันว่า “งานเดือนสิบ” ควบคู่ไปกับพิธีทำบุญด้วย ซึ่งงานดังกล่าวนี้เพิ่งจะเริ่มต้นจัดขึ้นเมื่อราว 102 ปีก่อน
มูลเหตุของการจัด “งานเดือนสิบ” ที่นครศรีธรรมราชนั้น สืบเนื่องมาจากในปี พ.ศ. 2465 ได้มีการจัดงานวันวิสาขบูชาขึ้นที่วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร โดยสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ายุคลทิฆัมพร กรมขุนลพบุรีราเมศวร์ (พระยศขณะนั้น) อุปราชมณฑลปักษ์ใต้ โปรดเกล้าฯ ให้ พระยารัษฎานุประดิษฐ์ (สินธุ์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา) ผู้ว่าราชการจังหวัดนครศรีธรรมราช ทำการซ่อมแซมพระวิหารหลายหลังทั้งพระวิหารหลวง วิหารพระทรงม้า และวิหารเขียนในวัดพระมหาธาตุฯ แต่งบประมาณหมดลงกลางคัน พระยารัษฎาฯ จึงจัดให้มีงานออกร้านจำหน่ายสินค้าและอนุญาตให้เล่นการพนันประเภทสองภายในวัดได้เพื่อหางบประมาณมาใช้จ่าย โดยจัดงานขึ้นเป็นเวลา 3 วัน 3 คืนบริเวณลานโล่งทางทิศใต้ของพระวิหารหลวงซึ่งเรียกว่า “สวนดอกไม้” และได้เงินจากการประมูลร้านและเปิดให้เล่นการพนันเป็นจำนวนนับหมื่นบาท จนสามารถซ่อมแชมพระวิหารในวัดพระมหาธาตุฯได้สำเร็จลุล่วง
พระยารัษฎานุประดิษฐ์ (สินธุ์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา)
ต่อมา พระภัทรนาวิกธรรมจำรูญ (เอื้อน ภัทรนาวิก) ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลจังหวัดนครศรีธรรมราช ทั้งยังเป็นนายกศรีธรรรมราชสโมสรหรือสโมสรข้าราชการจังหวัดนครศรีธรรมราช คิดที่จะจัดสร้างอาคารศรีธรรมราชสโมสรขึ้นใหม่ให้เป็นตึกถาวร เพราะอาคารเดิมที่เป็นโรงเรือนไม้ฝากระดาน หลังคามุงจาก และปูพื้นด้วยอิฐที่สร้างมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2451 ชำรุดทรุดโทรม แต่ขัดข้องเรื่องงบประมาณก่อสร้างมานาน จึงได้ไปปรึกษาหารือกับ พระยารัษฎาฯ ซึ่งท่านผู้ว่าราชการจังหวัดก็เล็งเห็นว่าการงานออกร้านจำหน่ายสินค้ามีผลตอบรับที่ดีและมีรายได้จากการจัดงานสูง จึงเสนอว่าควรจะจัดงานออกร้านในงานทำบุญสารทเดือนสิบ ประจำปี พ.ศ. 2466 ขึ้นด้วย ซึ่งทาง พระภัทรนาวิกฯ และคณะกรรมการจังหวัดก็เห็นพ้องตาม
งานเทศกาลรื่นเริงในช่วงการทำบุญสารทเดือนสิบ หรือ “งานเดือนสิบ” จึงถูกจัดขึ้นครั้งแรกในช่วงต้นเดือนตุลาคม พ.ศ. 2466 ณ สนามหน้าเมือง คณะกรรมการจัดงานประกอบด้วย พระภัทรนาวิกฯ เป็นประธานกรรมการ พระยารัษฏาฯ เป็นที่ปรึกษา หลวงนิติกฤตย์ประภันย์ (นิติกฤตย์ อินสว่าง) ผู้พิพากษาศาลปากพนัง หลวงอรรถกัลยาวินิจ (เอื้อน ยุกตะนันทน์) ขุนบวรรัตนารักษ์ (ยิดเส้ง ตัญญพงษ์) ขุนประจักษ์รัตนกิจ (กิมส่วน ทัพมงคล) ขุนสุมนสุขภาร (ซุ่นฮวด ลิมปิชาติ) และข้าราชการจังหวัดทุกแผนกทุกอำเภอร่วมเป็นกรรมการ
ใน “งานเดือนสิบ” ครั้งแรกสุดซึ่งจัดงานเป็นเวลา 3 วัน 3 คืนนั้น นับตั้งแต่วันแรม 12 ค่ำ (วันเสาร์ที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2466) ไปจนถึงวันแรม 14 ค่ำ (วันจันทร์ที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2466) มีทั้งการออกร้านและอนุญาตให้เล่นการพนันประเภทสอง ไม่ว่าจะเป็นชนโค ยิงเป้า บิงโก สะบ้าชุด และมวย รวมถึงจัดแสดงมหรสพต่างๆ โดยอาศัยงานฤดูหนาวที่วัดเบญจมบพิตรในกรุงเทพมหานครมาเป็นต้นแบบ เก็บค่าผ่านประตูเข้างานคือ ผู้ใหญ่คนละ 10 สตางค์ และเด็กคนละ 5 สตางค์ ซึ่งทำให้มีรายได้จากการจัดงานเกือบสามพันบาท จึงนำไปสร้างอาคารศรีธรรมราชสโมสรขึ้นใหม่บริเวณสนามหน้าเมือง แต่กว่าจะสร้างเสร็จสิ้นก็ในปี พ.ศ. 2469 ซึ่งอาคารนี้ยังคงอยู่มาตราบปัจจุบัน
พระภัทรนาวิกฯ ประธานกรรมการจัด “งานเดือนสิบ” ที่นครศรีธรรมราชครั้งแรกสุด ต่อมาช่วงต้นทศวรรษ 2470 เขาได้เลื่อนบรรดาศักดิ์ขึ้นเป็นพระยาและดำรงตำแหน่งอธิบดีผู้พิพากษาศาลมณฑลนครศรีธรรมราชซึ่งตั้งอยู่ที่เมืองสงขลา ทั้งยังมีบทบาทผลักดันให้มีการก่อสร้างอาคารสถานสงขลาสโมสรขึ้นบริเวณไม่ไกลจากหาดสมิหลา แม้เดิมทีสงขลาสโมสรหรือสโมสรข้าราชการจังหวัดสงขลาเคยจะก่อตั้งขึ้นมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2455 ทว่ายังต้องไปใช้สถานที่อื่น ไม่มีอาคารสโมสรของตนเลย ปัจจุบันอาคารนี้ยังคงอยู่และกลายเป็นโบราณสถานแห่งความทรงจำ
พระยาภัทรนาวิกธรรมจำรูญ (เอื้อน ภัทรนาวิก)
เมื่อการจัด “งานเดือนสิบ” ที่นครศรีธรรมราชครั้งแรกสุดประสบความสำเร็จอย่างมาก จึงมีการจัดงานนี้ในปีถัดมาอีกและจัดอย่างต่อเนื่องทุกปี โดยทางศรีธรรรมราชสโมสรหรือสโมสรข้าราชการจังหวัดนครศรีธรรมราชเป็นผู้ดำเนินการจัดงาน และนำเงินรายได้มาบำรุงสโมสรเป็นหลัก
อาคารศรีธรรรมราชสโมสร ที่เริ่มต้นสร้างขึ้นจากเงินรายได้ในการจัด “งานเดือนสิบ” ครั้งแรกสุดเมื่อปี พ.ศ. 2466
ภายหลังเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อวันศุกร์ที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 รัฐบาลคณะราษฎรได้เข้ามาครองบทบาทในการบริหารประเทศภายใต้ระบอบรัฐธรรมนูญ กระนั้น ผู้ที่ยังดำเนินการจัด “งานเดือนสิบ” ที่เมืองนครศรีธรรมราชในปี พ.ศ. 2475 และ พ.ศ. 2476 ก็ยังคงเป็นศรีธรรรมราชสโมสร
โดยเฉพาะ “งานเดือนสิบ” ในปี พ.ศ. 2476 ยังเริ่มให้มีการจัดประกวด “หฺมฺรับ” ขึ้นเป็นครั้งแรก ซึ่งกรรมการจะมาตรวจดูในตอนเช้าและตัดสิน ถ้า “หฺมฺรับ” ใดได้รับรางวัลก็จะแห่แหนไปฉลองสมโภชยังวัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร
รัฐบาลคณะราษฎรยังพยายามจะมอบสิทธิเสรีภาพให้ประชาชนทั้งหลายชายหญิงมีส่วนร่วมทางการเมืองอย่างเท่าเทียม จึงได้ผลักดันให้มีการประกาศใช้พระราชบัญญัติการเลือกตั้ง นำไปสู่การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรครั้งแรกในเมืองไทย กำหนดวันเข้าคูหาลงคะแนนพร้อมกันทุกจังหวัดตรงกับวันพุธที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2476
การเลือกตั้งครั้งแรกอาศัยวิธีแบบทางอ้อม คือรัฐบาลได้รับสมัครผู้แทนตำบล ประชาชนต้องเลือกตั้งผู้แทนตำบลก่อน จากนั้นผู้แทนตำบลที่ได้รับเลือกจะไปเลือกสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรระดับจังหวัดอีกหน ยึดหลักเกณฑ์จำนวนราษฎร 200,000 คนต่อผู้แทนราษฎรหนึ่งคน ผู้แทนตำบลดำรงตำแหน่งคราวละ 4 ปี พอทำหน้าที่ลงคะแนนเลือกผู้แทนราษฎรเข้าสภาเสร็จสิ้น ก็ยังครองสถานะหัวหน้าชาวบ้านประจำตำบล คอยเป็นปากเสียงเรียกร้องสิทธิเสรีภาพแก่มวลชนในภูมิลำเนาของตน
ผลจากการเลือกตั้งเมื่อกลางเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2476 ทำให้ได้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรประเภทที่หนึ่งมาจากการเลือกตั้งทั่วประเทศทั้งหมด 78 คน และประเภทที่สองมาจากพระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งอีก 78 คน รวมจำนวน 156 คน
ด้วยบรรยากาศที่กล่าวมาข้างต้น ได้นำมาสู่ความเปลี่ยนแปลงของการจัด “งานเดือนสิบ” ที่เมืองนครศรีธรรมราชเช่นกัน
หลังจากที่จังหวัดนครศรีธรรมราชได้มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรคนแรกสุดคือ นายมงคล รัตนวิจิตร อันเป็นตำแหน่งใหม่ที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน ครั้นทางจังหวัดนครศรีธรรมราชปรึกษาหารือกันเรื่องจะจัด “งานเดือนสิบ” ประจำปี พ.ศ. 2477 นายมงคล และ หลวงสรรพนิตินิพัทธ์ (เพียร บุญยะผลึก) พร้อมทั้งผู้ที่เคยเป็นกรรมการจัดงานปีก่อนหน้าบางราย มีความเห็นพ้องต้องกันว่าควรจะนำเงินรายได้จากการจัด“งานเดือนสิบ” ไปใช้ประโยชน์ในกิจการสาธารณะบ้างแทนที่จะนำมาบำรุงศรีธรรรมราชสโมสรอย่างเดียว ดังที่ขณะนั้นที่เมืองนครเกิดปัญหาจำนวนนักเรียนล้นโรงเรียนรัฐบาล เพราะสถานที่จำกัด ทำให้มีเด็กราว 200 คนเศษไม่มีโอกาสได้เรียนหนังสือ จึงควรที่จะนำเงินรายได้จากการจัดงานมาช่วยเหลือเรื่องนี้
นายมงคล ได้มีหนังสือคำร้องแจ้งความประสงค์ต่อคณะกรรมการจังหวัดเพื่อขอร่วมจัด “งานเดือนสิบ” แต่คณะกรรมการจังหวัดเข้าใจว่า นายมงคล ต้องการเพียงแค่สถานที่เพื่อจัดงานประจำปีเท่านั้น จึงอนุญาตให้ให้ใช้สนามหน้าเมืองเป็นที่จัดงาน แต่ทางคณะกรรมการจังหวัดและศรีธรรมราชสโมสรไม่ได้ร่วมมือในการจัดงานด้วย
“งานเดือนสิบ” ประจำปี พ.ศ. 2477 จัดขึ้นในช่วงต้นเดือนตุลาคม ณ สนามหน้าเมือง คณะกรรมการจัดงานประกอบด้วย นายมงคล หลวงสรรพนิติฯ สมาชิกนครสมาคม พ่อค้าคหบดี กรรมการพิเศษผู้แทนตำบล ศึกษาธิการจังหวัด และโรงเรียนต่างๆ รวมถึงประชาชนชาวนครศรีธรรมราช แต่ข้าราชการและตำรวจภูธรซึ่งเคยเข้าร่วมอย่างแข็งขันในปีก่อนๆ กลับไม่เข้าร่วมในปีนี้
นายมงคล เป็นผู้ศรัทธาต่อระบอบประชาธิปไตยอย่างแรงกล้า ทั้งยังชื่นชมและสนับสนุนคณะราษฎรที่ได้กล้าหาญเสี่ยงชีวิตเพื่อเปลี่ยนแปลงการปกครอง ซึ่งก่อนหน้านั้น นายมงคล ก็เคยชื่นชมคณะ ร.ศ. 130 มาก่อน โดยเฉพาะร้อยตรีถัด รัตนพันธุ์ ซึ่งเป็นชาวปักษ์ใต้เหมือนกัน (ร้อยตรีถัด เป็นชาวพัทลุง) แม้คณะ ร.ศ. 130 จะทำการไม่สำเร็จ แต่ในที่สุด นายมงคล ก็รู้สึกว่า “...อรุณแห่งแสงธรรมได้รุ่งโรจน์ขึ้นแล้ว เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ.2475”
หลังจากเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแล้ว นายมงคล ได้เสนอให้รัฐบาลคณะราษฎรจัดทำเหรียญเกียรติยศขึ้นเพื่อมอบแก่ผู้แทนตำบลทั่วประเทศ ทั้งยังเป็นหนึ่งในผู้ที่อาสาออกไปกล่าวปาฐกถาเผยแพร่ระบอบประชาธิปไตยและแนวคิดหลักหกประการของคณะราษฎรให้ราษฎรตามชนบทของทุกจังหวัดได้รับรู้ โดยเฉพาะที่จังหวัดนครศรีธรรมราชนั้น นายมงคล มักจะกล่าวโน้มน้าวให้ราษฎรมีความเลื่อมใสต่อระบอบประชาธิปไตยและช่วยสนับสนุนรัฐบาลคณะราษฎรอยู่เนืองๆ ดังที่เขาเคยกล่าวว่า
“เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ.2475 ท่านอย่าลืม อย่าลืมจนวันตาย วันนั้นได้มีบุคคลรักชาติ เห็นอกคนสิบสองล้านคณะหนึ่ง เข้ายึดอำนาจการปกครอง ชัยโยสิ ชัยโยสิพี่น้อง แต่ชัยโยในใจก่อน เราเรียกผู้กล้าหาญคณะนี้ว่า คณะราษฎร ท่านอย่าลืมคณะราษฎรผู้พลิกฟื้นหรือขุดรื้อความจริง คือความเป็นมนุษย์ของเรา อันถูกกลบถูกปกปิดเสียนานแล้วมาให้เรา”
นายมงคล ยังเป็นผู้มีฝีปากกริบคม ดังที่ตอนหนึ่งเขาเอ่ยถึงความเสมอภาคและวิพากษ์วิจารณ์พวกขุนนางศักดินาอย่างเผ็ดร้อนว่า “ใต้เท้า ใต้ธุลีตีนอะไรกัน ผู้ที่สำคัญตนว่าตนสูงนั้นฝืนธรรมชาติ นั่นกินของแสลงเข้าไป ความจริงคนเราไม่สูงต่ำกว่ากันเลย” หรืออีกตอนหนึ่งที่กล่าวถึงการที่รัฐธรรมนูญมอบอำนาจปกครองให้เป็นของราษฎรว่า “ท่านและข้าพเจ้าจะอยู่ได้นานสักเท่าใด แต่ลูกหลานของเราเกิดมาเต็มบ้านเต็มเมืองทุกวัน ท่านจะยอมให้ใครเรียกลูกหลานของท่านว่าไพร่ ว่าหญ้าแผ่นดิน ว่าข้าอีกหรือ? ท่านต้องไม่ยอม ฉะนั้น ท่านต้องรักรัฐธรรมนูญ ท่านต้องกอดรัฐธรรมนูญเข้าไว้”
นายมงคล รัตนวิจิตร
ในฐานะที่เป็นผู้มีจิตสำนึกเรื่องความเท่าเทียมกันและมีความสามารถทางด้านการพูด เมื่อ นายมงคล มาเป็นผู้ดำเนินการจัด “งานเดือนสิบ” เขาจึงสร้างบรรยากาศของงานให้อบอวลไปด้วยกลิ่นอายประชาธิปไตย โดยจัดให้มีการกล่าวปาฐกถาเพื่อส่งเสริมและเผยแพร่รัฐธรรมนูญขึ้น ณ นครสมาคม ซึ่งมีที่ทำการคือตึกยาว
ตึกยาว นับเป็นตึกอาคารก่ออิฐและฉาบปูนรุ่นเก่าตั้งอยู่ในละแวกย่านท่าวัง สร้างขึ้นในช่วงทศวรรษ 2440 โดยชาวจีนจากสิงคโปร์ที่เข้ามาทำธุรกิจเหมืองแร่ในนครศรีธรรมราช เดิมทีเคยเป็นทั้งสถานที่ประกอบธุรกิจมาสารพัดและเคยเป็นโรงเรียน ก่อนที่นายแพทย์มิชชันนารีจากเซี่ยงไฮ้จะเปิดเป็นสถานพยาบาล
ในช่วง “งานเดือนสิบ” ประจำปี พ.ศ. 2477 ที่มีการกล่าวปาฐกถาเพื่อส่งเสริมและเผยแพร่รัฐธรรมนูญนั้น ตึกยาวน่าจะถูกใช้เป็นโรงเรียนตงฮั้วหรือ จง หัว เสวีย เซียว พร้อมกับเป็นที่ตั้งของนครสมาคม ซึ่งบุคคลหนึ่งที่มีบทบาทสำคัญในสมาคมนี้คือ ขุนบวรรัตนารักษ์
กระทั่งต่อมา ตึกยาว ได้กลายเป็นสมบัติของ ขุนบวรฯ และตกทอดมายังรุ่นลูกหลาน ซึ่งปัจจุบันบริเวณตึกยาวได้เปิดเป็นพื้นที่การเรียนรู้สร้างสรรค์ในชื่อว่า “บวรนคร”
ตึกยาว เมื่อครั้งที่ถูกใช้เป็นโรงเรียนตงฮั้ว
ขุนบวรฯ เป็นบุตรชายของ นายเรือตันยิ้ม พ่อค้าชาวจีนแต้จิ๋ว และ อำแดงอิ่ม ซึ่งมีศักดิ์เป็นพี่สาวของ ลิ่มซุ่นหงวน คหบดีแห่งเมืองนครศรีธรรมราชที่ นายปรีดี พนมยงค์ เคยเป็นทนายว่าความแก้ต่างให้จนชนะคดี
ขุนบวรฯ เป็นคหบดีผู้ประกอบกิจการค้าขายและทำเหมืองแร่วุลแฟรม โดยเปิดร้านชื่อ “ตันยิดเส็ง” ริมถนนราชดำเนิน ก่อนที่ต่อมาภายหลังจะขยับขยายกลายเป็นบริษัทบวรพาณิชย์ จำกัด เขาเคยสมัครเป็นสมาชิกเสือป่าในช่วงต้นทศวรรษ 2460 และได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นขุนจากพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6
ในปี พ.ศ. 2466 ขุนบวรฯ เป็นกรรมการพิเศษประจำจังหวัดนครศรีธรรมราช สังกัดกระทรวงมหาดไทย และเป็นที่ปรึกษาข้าหลวงประจำจังหวัด จึงไม่แปลกที่เขาจะร่วมจัด “งานเดือนสิบ” ครั้งแรกสุดด้วย
ล่วงมาในปี พ.ศ. 2477 เมื่อสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรคนแรกสุดของจังหวัดอย่าง นายมงคล เป็นผู้ดำเนินการจัด “งานเดือนสิบ” โดยไม่ได้รับความร่วมมือจากคณะกรรมการจังหวัดและศรีธรรมราชสโมสร แต่คหบดีอย่าง ขุนบวรฯ ก็ยังคงให้การสนับสนุน เพราะมองถึงประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นต่อราษฎรชาวเมืองนคร
ขุนบวรรัตนารักษ์ (ยิดเส้ง ตัญญพงษ์)
ความที่ นายมงคล เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เขาจึงล่วงรู้ว่าในปี พ.ศ. 2477 กระทรวงมหาดไทยจะเป็นเจ้าภาพจัดการประกวดนางสาวสยามขึ้นเป็นครั้งแรก ณ บริเวณอุทยานสราญรมย์ กรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของงานฉลองรัฐธรรมนูญในช่วงเดือนธันวาคมปีนั้น นายมงคล เลยเกิดความคิดที่จะจัดให้มีการประกวดนางสาวนครศรีธรรมราชขึ้นใน “งานเดือนสิบ” ด้วย
ไม่เพียงเท่านั้น ยังมีการพิมพ์หนังสือที่ระลึกในการจัด “งานเดือนสิบ” ขึ้นเป็นเล่มแรกคือหนังสือ งานประจำปีนครศรีธรรมราช ซึ่งประชาชนร่วมใจกันจัดทำเพื่อเผยแพร่ให้ประเพณีนี้เป็นที่รู้จักในวงกว้าง
มิหนำซ้ำ ก่อนหน้าที่จัดงาน ยังมีผู้ส่งข้อเขียนเกี่ยวกับงานประเพณีสารทเดือนสิบของนครศรีธรรมราชไปลงพิมพ์เผยแพร่ในหนังสือพิมพ์ ประชาไทย ฉบับประจำวันพุธที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2477 ใช้นามปากกาว่า “นายนครศรีธรรมราช”
แม้ “งานเดือนสิบ” ประจำปี พ.ศ. 2477 จะดูโดดเด่นในฐานะงานเทศกาลรื่นเริงที่มุ่งเน้นการจัดขึ้นโดยประชาชน ไม่ใช่คณะกรรมการจังหวัดและข้าราชการ ซึ่งดูสอดคล้องกับบรรยากาศประชาธิปไตยในยุครัฐบาลคณะราษฎร ทว่า “งานเดือนสิบ” ครั้งนั้นต้องพบกับการขาดทุน ซึ่งอาจเป็นเพราะขาดความสามัคคีและความร่วมมือกันในการจัดงานจากทุกภาคส่วน
พอในปีถัดมาคือ พ.ศ. 2478 การจัด “งานเดือนสิบ” จึงกลับมาดำเนินการโดยผู้ว่าราชการจังหวัด คณะกรรมการจังหวัด และศรีธรรมราชสโมสรอีกครั้ง และจัดต่อเนื่องมาอีกหลายปี ทั้งยังทบทวีรายได้จากการจัดงานเพิ่มมากขึ้น อย่างไรก็ดี แนวคิดของการจัด “งานเดือนสิบ” ก็เปลี่ยนแปลงไป กล่าวคือมิได้มุ่งเน้นนำรายได้มาบำรุงศรีธรรมราชสโมสรแล้ว แต่นำไปใช้ในการบำรุงสาธารณะประโยชน์ในเมืองนครศรีธรรมราชมากขึ้น
คงเป็นที่รับทราบกันดีว่า นายปรีดี พนมยงค์ คือผู้มีบทบาทสำคัญในการตราพระราชบัญญัติจัดระเบียบเทศบาล พ.ศ. 2476 ซึ่งสนับสนุนให้ท้องถิ่นมีอํานาจปกครองตนเอง โดยมีสภาเทศบาลและคณะเทศมนตรีเป็นผู้ดําเนินงาน นายปรีดี คาดหวังที่จะยกตำบลต่างๆขึ้นเป็นเทศกาล ทั้งยังมองว่าการปกครองแบบเทศบาลจะช่วยเสริมสร้างระบอบรัฐธรรมนูญให้มั่นคง
การก่อกำเนิดขึ้นของการปกครองแบบเทศบาลย่อมส่งผลต่อการจัด “งานเดือนสิบ” ที่เมืองนครศรีธรรมราช ดังที่ในปี พ.ศ. 2482 เทศบาลได้เข้ามีบทบาทแข็งขันในการจัดงาน ซึ่งรายได้จากการจัดงานก็จะนำไปใช้ภารกิจที่เทศบาลต้องบริการสังคมและสร้างประโยชน์สาธารณะ ด้านกิจกรรมในงานก็มีความหลากหลายมากขึ้น ทั้งการแสดงมหรสพ ศิลปะและการละเล่นพื้นเมือง การประกวดศิลปหัตถกรรม เป็นต้น
ในช่วงระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 อุบัติขึ้นในเมืองไทย นครศรีธรรมราชเป็นจังหวัดหนึ่งที่ถูกกองทัพญี่ปุ่นบุกเข้ายึดครองภายหลังการยกพลขึ้นบกในเช้าวันอาทิตย์ที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2484 ดังนั้น จึงมีการงดจัดงานประจำปีในการทำบุญสารทเดือนสิบไป กระทั่งช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ปิดฉากลง ก็มีการกลับมาจัด “งานเดือนสิบ” อีก
กระนั้น ภายหลังการรัฐประหาร พ.ศ. 2490 ซึ่งคณะทหารเข้ายึดอำนาจจากรัฐบาลฝ่ายประชาธิปไตยของ พล.ร.ต.ถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ ตั้งแต่กลางดึกวันศุกร์ที่ 7 พฤศจิกายน ต่อเนื่องจนเช้าวันเสาร์ที่ 8 พฤศจิกายน ก็ถือได้ว่าเป็นการหมดยุคสมัยของรัฐบาลคณะราษฎรแล้ว
แม้ในสมัยรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม ซึ่งเป็นสมาชิกคนสำคัญของคณะราษฎร แต่ตลอดช่วงทศวรรษ 2490 กลับปกครองเมืองไทยแบบเผด็จการทหารนั้น การจัดงาน “งานเดือนสิบ” ที่นครศรีธรรมราช ดูเหมือนจะมีความคึกคักและครึกครื้นเพิ่มขึ้น
ดังที่ใน “งานเดือนสิบ” ประจำปี พ.ศ. 2497 สมัยที่ ขุนจรรยาวิเศษ (บุญเที่ยง บุณยนิตย์) เป็นผู้ว่าราชการจังหวัด ได้มีทั้งการออกร้านจำหน่ายสินค้า การอนุญาตให้เล่นการพนัน 3 ประเภทคือ มวย ชนโค และสะบ้าชุด นอกจากนี้ก็มหรสพต่างๆ ทั้งภาพยนตร์ รำวง ประกวดร้องเพลง ประกวดนางงาม ประกวดพืชและสัตว์ พร้อมทั้งประกวดฝีมือนักเรียน อย่างไรก็ดี กลับมีเสียงร้องเรียนไปยังทางกระทรวงมหาดไทยว่าในงานมีการแสดงระบำลามก แต่ ขุนจรรยาวิเศษ ได้ตรวจสอบและชี้แจงว่า ไม่พบการแสดงระบำลามก มีเพียงแค่การแสดงระบำและรำไทย สลับกับการแสดงมายากลและละครย่อยบ้าง
ทว่าหากมุ่งพิจารณาถึงประเพณีสารทเดือนสิบในสมัยคณะราษฎรแล้ว ขอบเขตของเวลาก็คงจะสิ้นสุดลงเพียงช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ปิดฉากลง
การทำบุญสารทเดือนสิบเป็นประเพณีที่ดำรงอยู่คู่กับพื้นที่จังหวัดทางภาคใต้ของไทยมาอย่างยาวนานนับแต่อดีตกาล ซึ่งเป็นกิจกรรมที่ราษฎรสืบทอดปฏิบัติกันจากรุ่นสู่รุ่น ทว่าสิ่งที่สะท้อนถึงการที่รัฐเข้ามาเกี่ยวข้องกับประเพณีสารทเดือนสิบก็คือการจัดให้มีเทศกาลงานรื่นเริงประจำปีควบคู่ไปด้วยที่เรียกว่า “งานเดือนสิบ” ซึ่งเริ่มปรากฏขึ้นที่เมืองนครศรีธรรมราชเมื่อราว 102 ปีก่อน อีกทั้ง “งานเดือนสิบ” ยังมีความเชื่อมโยงกับการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 และยุครัฐบาลคณะราษฎรในแง่ที่ว่าเป็นช่วงเวลาของความเปลี่ยนแปลงแนวคิดและวัตถุประสงค์ในการจัดงาน ซึ่งมุ่งเน้นที่จะนำรายได้ไปสร้างสาธารณะประโยชน์ให้ราษฎรโดยรวมเสียมากกว่าการบำรุงสถานที่ของข้าราชการหรือก่อประโยชน์ต่อรัฐแต่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น
เอกสารอ้างอิง
- หจช มท 0201.2.1.43/197 งานเดือนสิบของจังหวัดนครศรีธรรมราช (พ.ศ. 2497)
- กฤษณาสอนน้องคำฉันท์ ฉะบับกรุงธนบุรี. ขุนบวรรัตนารักษ์ พิมพ์ในงานฌาปนกิจศพ นางอิ่ม ตัญญพงศ์ มารดา. ม.ป.ท.,2479.
- ดำรงราชานุภาพ, สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยา. ตำนานพิธีตรุษ พระนิพนธ์กับทั้งพระวิจารณ์.พิมพ์เป็นอนุสรณ์ในงานพระราชทานเพลิงศพ หลวงอักษรสารกิจ ณ เมรุวัดมกุฏกษัตริยาราม วันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2503. พระนคร: โรงพิมพ์มหาดไทย, 2503.
- ดิเรก พรตตะเสน. ประเพณีของจังหวัดนครศรีธรรมราช. นครศรีธรรมราช: วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร, 2527.
- ดุลยกรณ์พิทารณ์ (เชิด บุนนาค), พระ. ราชทินนามผู้พิพากษา. นางประเทือง โตแสง ร.อ. ประทีป ภัทรนาวิก ร.น. พิมพ์ในงานพระราชทานเพลิงศพ พระยาภัทรนาวิกธรรมจำรูญฯ (เอื้อน ภัทรนาวิก) ณ เมรุพลับพลาอิสริยาภรณ์ วัดเทพศิรินทราวาส วันที่ 21 มีนาคม 2497. พระนคร: กระทรวงยุติธรรม, 2497.
- ตำนานพราหมณ์เมืองนครศรีธรรมราช. พิมพ์ในงานพระราชทานเพลิงศพ อำมาตย์เอก พระยารัษฎานุประดิษฐ์ (สินธุ์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา) เมื่อปีมะเมีย พ.ศ. 2473. พระนคร: โรงพิมพ์โสภณพิพรรฒธนากร, 2473.
- ประทุม ชุ่มเพ็งพันธุ์. นครศรีธรรมราช. พิมพ์เป็นอนุสรณ์ในงานพระราชทานเพลิงศพ ขุนบวรรัตนารักษ์ ณ เมรุวัดจันทาราม ต.ท่าวัง อ.เมือง จ.นครศรีธรรมราช 10 มิถุนายน 2515. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์คุรุสภาลาดพร้าว, 2515.
- ปริญญา มงคลพาณิชย์. งานสารทเดือนสิบ นครศรีธรรมราช: พัฒนาการของความสัมพันธ์เชิงวัฒนธรรมระหว่างรัฐกับชุมชน (พ.ศ. 2520-2550). วิทยานิพนธ์ศิลปศาสตรมหาบัณฑิต (ประวัติศาสตร์) มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2556.
- ปาฐกถาเรื่องเผยแผ่รัฐธรรมนูญ ของ นายมงคล รัตนวิจิตร เนติบัณฑิต ผู้แทนราษฎรจังหวัดนครศรีธรรมราช. พิมพ์แจกเป็นที่ระลึก เมื่อ พ.ศ. 2477. พระนคร: โรงพิมพ์ธรรมพิทยาคาร, 2477.
- อนุสสรเมืองสงขลา. คณะศาลจังหวัดสงขลา พิมพ์แจกเป็นที่ระฤกในงานพิธีเปิดที่ทำการใหม่ ศาลจังหวัดสงขลา วันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2484. พระนคร: โรงพิมพ์โสภณพิพรรฒธนากร, 2484.
- เอื้อม อุบลพันธุ์. “งานวันสารทเดือนสิบ ประเพณีทางศาสนาของชาวเมืองนครศรีธรรมราช”. สารนครศรีธรรมราช ปีที่ 24 ฉบับที่ 8 (สิงหาคม 2537). หน้า 9-22.