ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก
บทบาท-ผลงาน

นางสาวเล็ก กรรมกรสตรีผู้เป็นแรงดาลใจให้ “นายผี” เขียนบทกวี “เราชะนะแล้ว, แม่จ๋า”

18
ตุลาคม
2568

 

อัศนี พลจันทร (พ.ศ. 2461 - 2530) หรือเป็นที่รู้จักในนามปากกา "นายผี" "สหายไฟ" หรือ "ลุงไฟ"

 

นายผี (อัศนี พลจันทร). เราชะนะแล้ว,แม่จ๋า. และกาพย์กลอน “ความเปลี่ยนแปลง”. กรุงเทพฯ: อ่าน, 2557.

 

ปฏิเสธมิได้เลยว่าบทกวี “เราชะนะแล้ว, แม่จ๋า” คือผลงานประพันธ์อันลือเลื่องชิ้นหนึ่งของ “นายผี” ซึ่งเป็นนามปากกาของ อัศนี พลจันทร ถึงแม้งานชิ้นนี้จะไม่ได้รับการเผยแพร่ตั้งแต่ตอนที่เพิ่งเขียนเสร็จสิ้นหมาดใหม่ ต้องรอคอยเวลาราวสองทศวรรษหรือ 20 ปี กว่าจะได้อวดโฉมสู่สายตาประชาชนทั้งหลาย ซึ่งตอนนั้น ผู้ประพันธ์อย่าง “นายผี” ไม่ได้อยู่ในเมืองไทยแล้ว แต่ไปใช้ชีวิตในเขตป่าเขาของประเทศลาวในฐานะ “สหายไฟ” หรือ “ลุงไฟ” แห่งกองทัพปลดแอกประชาชนจากอำนาจนำของรัฐ หากเมื่อบทกวีดังกล่าวได้รับการเผยแพร่ก็จะสร้างความประทับใจ ทั้งยังปลุกเร้าให้ผู้อ่านเกิดจิตสำนึกทางสังคมและมีความเห็นอกเห็นใจต่อเพื่อนมนุษย์

ใครที่เคยอ่าน “เราชะนะแล้ว, แม่จ๋า” ย่อมจะทราบว่าเป็นบทกวีที่ถ่ายทอดเรื่องราวของกรรมกรสตรีผู้มีอุดมการณ์และต่อสู้เพื่อเรียกร้องความเป็นธรรมให้กับผู้ใช้แรงงานด้วยการนัดหยุดงาน แม้ว่าเธอจะต้องสูญเสียมารดาและน้อง ๆ ไป แต่เธอก็ยังไม่ย่อท้อและยืนหยัดต่อสู้อย่างแข็งขัน

“นายผี” เขียนบทกวี “เราชะนะแล้ว, แม่จ๋า” ขึ้นระหว่างที่เขากำลังหลบหนีการจับกุมและซ่อนตัวอยู่ในบ้านของมิตรกรรมกรจากกรณี “กบฏสันติภาพ” เมื่อช่วงเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2495 ซึ่งมีนักคิดนักเขียนถูกจับขังคุกเป็นจำนวนนับร้อยราย คนหนึ่งที่สำคัญคือ กุหลาบ สายประดิษฐ์ หรือ “ศรีบูรพา”

แรกเริ่มเดิมที “นายผี” ให้ชื่อบทกวีที่เขาเขียนว่า “แม่จ๋า, เราชะนะแล้ว” แต่ต้นฉบับกลับยังไม่ได้ตีพิมพ์เผยแพร่มาเนิ่นนานหลายปี จนกระทั่งเริ่มมีผู้นำเนื้อหาบางส่วนของบทกวีมานำเสนอผ่านหน้าสื่อสิ่งพิมพ์ช่วงก่อนเหตุการณ์ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2516 ครั้นนิสิตนักศึกษาต่อสู้เรียกร้องประชาธิปไตยและสามารถขับไล่รัฐบาลเผด็จการทหารไปได้สำเร็จ จึงมีการนำบทกวีทั้งหมดมาตีพิมพ์เป็นรูปเล่มหนังสือครั้งแรกและออกวางจำหน่ายในชื่อปกว่า เราชะนะแล้ว, แม่จ๋า จัดพิมพ์โดยสำนักพิมพ์คนหนุ่ม เมื่อปี พ.ศ. 2517 และตั้งราคาขายไว้ 3 บาท

ต่อมายังมีการจัดพิมพ์ เราชะนะแล้ว, แม่จ๋า เป็นครั้งที่สองในปี พ.ศ. 2519 โดยสำนักพิมพ์กระแสลม พอปี พ.ศ. 2522 สำนักพิมพ์เยาวชนได้นำบทกวี “เราชะนะแล้ว, แม่จ๋า” มาจัดพิมพ์อีกครั้ง พร้อมทั้งนำบทกวี “ความเปลี่ยนแปลง” และกาพย์กลอนอื่น ๆ อีก 15 เรื่องของ “นายผี” รวมถึงเรื่องสั้นแปลชื่อ “อิฟตารี” ของราษิท ชาหันที่ “นายผี” เป็นผู้แปลมาพิมพ์รวมไว้ด้วยกัน

หลังจากนั้น ในปี พ.ศ. 2533 สำนักพิมพ์เกี้ยว - เกล้า พิมพการ ที่ดำเนินงานโดยครอบครัวของ เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ ก็นำบทกวี “เราชะนะแล้ว, แม่จ๋า” มาจัดพิมพ์ซ้ำ แต่เปลี่ยนชื่อหนังสือเป็น ชะนะแล้ว…แม่จ๋า

หลังจากนั้นในปี 2535 มีการจัดพิมพ์ “เราชะนะแล้ว, แม่จ๋า” เป็นฉบับเฉพาะกิจโดยสำนักพิมพ์ทะเลหญ้าของ วิมล พลจันทร ผู้เป็นภรรยา เพื่อใช้ประกอบการจัดแสดงละครจินตภาพประกอบบทกวีในงานคอนเสิร์ต 75 ปีอัศนี พลจันทร และภายหลังการเชิญอัฐิของ “นายผี” คืนสู่ประเทศไทยในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2540 ก็มีการนำ “เราชะนะแล้ว, แม่จ๋า” มาตีพิมพ์ในหนังสือ รวมบทกวี “นายผี” : อัศนี พลจันทร โดยสำนักพิมพ์สามัญชน

โดยล่าสุด สำนักพิมพ์อ่านก็ได้จัดพิมพ์หนังสือ เราชะนะแล้ว,แม่จ๋า. และกาพย์กลอน “ความเปลี่ยนแปลง” เมื่อเดือนมีนาคม พ.ศ. 2557

สำหรับบทกวี “เราชะนะแล้ว, แม่จ๋า” นั้น “นายผี” ได้รับแรงดาลใจในการเขียนมาจากเรื่องราวจริง ๆ ของกรรมกรสตรีรายหนึ่ง เธอคือ นางสาวเล็ก เป็นกรรมกรประจำโรงเลื่อยไม้ของบริษัทอีสต์เอเชียติก (The East Asiatic Company) ซึ่ง “นายผี” เคยไปพำนักคลุกคลีที่บ้านและครอบครัวของเธอ จึงได้แลเห็นความลำบากยากเข็ญของชีวิตกรรมกร ขณะเดียวกันก็ตระหนึกถึงจิตใจอันแข็งแกร่งของกรรมกรที่นัดหยุดงานเพื่อต่อสู้กับความไม่เป็นธรรมจากนายทุนที่เอารัดเอาเปรียบ

“นายผี” หรือ อัศนี พลจันทร เคยเอ่ยอ้างถึง นางสาวเล็ก ไว้ผ่านงานเขียนเรื่อง “ข้อคิดเห็นเกี่ยวกับปาฐกถาฐานะของสตรีตามที่เป็นมาในประวัติศาสตร์” ซึ่งใช้นามปากกา “อินทรายุธ” และลงพิมพ์เผยแพร่ในหนังสือพิมพ์ ปวงชนรายสัปดาห์ เมื่อปี พ.ศ. 2495

มูลเหตุที่ทำให้ “อินทรายุธ” เขียนงานชิ้นนี้ สืบเนื่องมาจาก กุหลาบ สายประดิษฐ์ ได้ไปกล่าวปาฐกถาเรื่อง “ฐานะของสตรีตามที่เป็นมาในประวัติศาสตร์” ณ อาคารตึกโดม มหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง เมื่อวันที่ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2495 ซึ่งเป็นที่สนใจของผู้ฟังอย่างยิ่ง เพราะแสดงความคิดเห็นว่าด้วยเรื่องสถานภาพ และสิทธิเสรีภาพของสตรีในมุมมองที่ก้าวหน้า

อัศนี พลจันทร เป็นคนหนึ่งที่ได้ไปรับฟังการกล่าวปาฐกถาของ กุหลาบ อย่างตั้งใจ ทั้งยังกลับมาเขียนงานที่สะท้อนข้อคิดเห็นของตนเองเกี่ยวกับบทปาฐกถาดังกล่าวแล้วส่งไปตีพิมพ์ในหน้าหนังสือพิมพ์โดยใช้นามแฝงด้วย

ในร่างทรงของ “อินทรายุธ” ที่แสดงข้อคิดเห็นนั้น อัศนี ได้อภิปรายถึงการต่อสู้เรียกร้องของสตรีในโลกจำนวนมาก โดยเขายกประเด็นปัญหาต่าง ๆ ที่ส่งผลกระทบต่อสิทธิของสตรี ทั้งปัญหาครอบครัวและปัญหาเศรษฐกิจ โดยเฉพาะปัญหาเศรษฐกิจที่ส่งผลต่อชีวิตของกรรมกรสตรี

 

....เมื่อเราก้าวสู่ปัญหาเศรษฐกิจเรายิ่งจะเห็นว่า โดยทั่วไปสตรีได้ถูกเอารัดเอาเปรียบมากมาย สตรีได้ถูกกีดกันไม่ได้ทำงานหลายอย่าง ทั้งงานเอกชนและงานของรัฐ กรรมกรสตรีได้รับค่าจ้างแรงงานต่ำกว่ากรรมกรชายในจำนวนงานเท่ากัน และไม่ได้รับความช่วยเหลือเกื้อกูล และเห็นอกเห็นใจในยามป่วยไข้, หยุดงาน,และคลอดบุตร, นายจ้างเอาแต่ "งาน" เท่านั้น ส่วนคนงานจะเป็นเช่นไร "ไม่ใช่เรื่องของฉัน, ฉันไม่รับรู้!" นายทุนให้ความเป็นธรรมในการทำงาน ไม่บังคับให้ทำอย่างพวกศักดินาบังคับ แต่นี่ก็เป็นข้ออ้างเท่านั้น เพราะเมื่อกรรมกรไม่ทำ เขาก็ไม่มีข้าวกิน การบังคับโดยทางเศรษฐกิจ เป็นการปลิ้นปล้อนหลอกลวงที่ร้ายกาจรูปแบบใหม่ของพวกนายทุน ทุกวันนี้ กรรมกรสตรีกำลังตกอยู่ในชะตากรรมอันโหดร้ายทารุณถึงขนาด แน่นอน วันหนึ่งเขาก็จะต้องเข้าจัดการกับชะตากรรมเหล่านี้ด้วยตนเอง

 

อย่างไรก็ดี “อินทรายุธ” มองว่าสภาพความตกต่ำของสตรีได้คลี่คลายมาเป็นลำดับ เนื่องจากสตรีได้รับสิทธิทางการเมืองมากขึ้น และค่าจ้างแรงงานของสตรีที่ไม่เป็นธรรมก็ค่อย ๆ ได้รับการแก้ไข แต่นั่นก็มิใช่ได้มาเอง หากเพราะสตรีได้ยืนหยัดต่อสู้เรียกร้องความเป็นธรรมเรื่อยมาอย่างแข็งขันและไม่ท้อถอย สอดคล้องกับคำกล่าวของสตรีนักเคลื่อนไหวทางการเมืองชาวสเปนอย่าง La Pasionaria หรือ โดโลเรส อิบาร์รูรี (Dolores Ibárruri) ที่ว่า “ตายบนตีนของเธอเองดีกว่ามีชีวิตอยู่บนเข่าของเธอ”

 

โดโลเรส อิบาร์รูรี (Dolores Ibárruri) สตรีนักเคลื่อนไหวทางการเมืองชาวสเปน
เจ้าของวาทะ “ตายบนตีนของเธอเองดีกว่ามีชีวิตอยู่บนเข่าของเธอ” 
ที่มา : lasinnovadoras.com

 

ไม่เพียงเท่านั้น “อินทรายุธ” ยังยกตัวอย่างกรณีของกรรมกรสตรีชาวไทยอีกว่า

 

…กรรมกรสตรีผู้หนึ่งได้เสียสละอย่างสูงอันควรแก่การคารวะของผู้ก้าวหน้าทั้งหลาย เธอได้เสียมารดาผู้แก่ชราและหิวโหยกับน้องเล็ก ๆ ของเธอไปในการยืนหยัดต่อสู้นี้ แต่เธอก็หาหวั่นไหวไม่ แม้ว่าจะเจ็บช้ำและชอกช้ำอย่างแสนสาหัส วีรกรรมของเธอเรียกร้องน้ำตา และความเห็นอกเห็นใจจากประชาชนทั้งประเทศ การเสียสละของเธอเป็นการบุกเบิกที่สูงค่าสำหรับการต่อสู้ของสตรี เพื่ออุดมการอันยิ่งใหญ่ของมนุษยชาติ ใครเล่าจะอาจปฏิเสธการคารวะวีรกรรมของ น.ส. เล็ก กรรมกรสตรีในบริษัทอีสต์เอเซียติคผู้นี้ได้?...

 

ความสนใจของ อัศนี พลจันทร ที่มีต่อกรรมกรสตรีอย่าง นางสาวเล็ก ดังที่เอ่ยถึงไว้ในข้อเขียนเมื่อกลางปี พ.ศ. 2495 ทำให้ต่อมาในช่วงปลายปีเดียวกัน เขาจึงใช้นามปากกา “นายผี” เขียนบทกวี “แม่จ๋า, เราชะนะแล้ว” ขึ้นในระหว่างหลบซ่อนตัวและระหกระเหินหนีการไล่ล่าจับกุมในฐานเป็นกบฏ

อีกหลักฐานที่ยืนยันว่าบทกวี “เราชะนะแล้ว, แม่จ๋า” มีต้นเค้ามาจากเหตุการณ์จริงในกรณีของ นางสาวเล็ก กรรมกรหญิงประจำโรงเลื่อยของบริษัทอีสต์เอเชียติก คงมิแคล้วจดหมายลงวันที่ 10 พฤษภาคม ค.ศ. 1980 (ตรงกับ พ.ศ. 2523) ซึ่ง “นายผี” เขียนถึงกวีหนุ่มคนหนึ่งในช่วงที่ตนเองได้ตัดสินใจเข้าไปต่อสู้ในเขตป่าเขาแล้ว หรือ “จดหมายนายผีถึงกวีรุ่นหนุ่มคนหนึ่ง ลงวันที่ 10 พ.ค. 1980” ซึ่งอ้างถึงในหนังสือ สายธารวรรณกรรมเพื่อชีวิตของไทย ของเสถียร จันทิมาธร โดย “นายผี” ระบุถึงผลงาน “เราชะนะแล้ว, แม่จ๋า” ว่า 

 

… ก็แต่งปี 95 นั้นเอง, มิใช่ปี 90, คือแต่งพร้อมกับความเปลี่ยนแปลง ที่บ้านมิตรกรรมกรผู้หนึ่ง. เราสดุดีชนชั้นกรรมกร, สะท้อนภาพการต่อสู้นัดหยุดงานโดยเอาภาพกรรมกรหญิง (ชื่อเล็ก) แห่งอีสต์เอเซียติคเป็นหลัก, ภาพชีวิตกรรมกรส่วนตัวทั้งหมด คือภาพครอบครัวบ้านกรรมกรที่ผมไปอยู่ด้วย. เซ็ตติ้งและแบ็คกราวนด์ก็ที่นั่นทั้งนั้น, ต้นแก้วออกดอกหอมกรุ่นอยู่ริมบันไดเรือน, กาเหว่าก็ร้องวิเวกอยู่บนยอดหลังคาเรือน. ความรักระหว่างครอบครัวพ่อแม่พี่น้องของเขาก็เป็นเช่นนั้นทั้งหมด, แต่อาจไม่ตรงกับครอบครัวนางสาวเล็กก็ได้. เรารวบรวมเอาขึ้นมาเป็นแก่นและเป็นแบบอย่างเท่านั้น. แต่งเสร็จแล้วผมก็ไปตามเรื่องของผมและของ…,ตอนนั้นผมทิ้งลูกชายและลูกสาวน้อย ๆ ไว้กับภรรยาข้างหลัง, ไม่รู้เป็นตายร้ายดี, ฉะนั้น อารมณ์ในกลอนก็อาจมีสิ่งนั้นผนวกอยู่ด้วยก็เป็นได้.

 

พ.ศ. 2495 นับเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในชีวิตของ “นายผี” โดยเฉพาะในด้านความคิดทางสังคมและการเมือง ซึ่งเขาหันไปให้ความสนใจการเคลื่อนไหวต่อสู้ของสามัญชนและชนชั้นแรงงานตามแนวทางแบบสังคมนิยมหรือแนวคิดแบบมาร์กซิสม์ ดังที่ในปีนี้ เขาได้เขียนบทกวีซึ่งได้รับการยกย่องว่าเป็นผลงานชิ้นเอกและระบือลือลั่นขึ้นหลายชิ้น ทั้ง “อีศาน” ที่ตีพิมพ์เผยแพร่ใน สยามสมัยรายสัปดาห์ เมื่อเดือนเมษายน และ “เราชะนะแล้ว, แม่จ๋า” รวมถึง “ความเปลี่ยนแปลง” ที่เขียนในช่วงครึ่งปีหลัง

ไม่เพียงเท่านั้น พอปลายปีเดียวกันเขายังตัดสินใจลาออกจากราชการมาเป็น “อิสรชน” เต็มตัวอีกด้วย

“เราชะนะแล้ว, แม่จ๋า” เป็นกวีนิพนธ์ขนาดยาวจำนวน 370 บทที่ผูกเป็นเรื่องราวเรียงร้อยกัน มุ่งนำเสนอถึงชีวิตของกรรมกรครอบครัวหนึ่งซึ่งตัวเอกเป็นกรรมกรหญิง เธอได้ร่วมกับเพื่อน ๆ ในโรงงานนัดกันหยุดงานประท้วงหรือสไตรค์ (strike) ต่อนายทุนผู้เอารัดเอาเปรียบ แม้เธอจะได้รับชัยชนะในการต่อสู้เรียกร้อง จนกระทั่งนายทุนผู้เป็นนายจ้างยินยอมขึ้นค่าแรงให้ แต่พอรีบกลับไปหาแม่ผู้กำลังป่วยหนัก แม่กลับสูญสิ้นลมหายใจอำลาจากเธอไปเสียก่อน ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านั้น เธอก็เพิ่งสูญเสียน้องชายและน้องสาวไปแล้ว โดยเนื้อหาของกวีนิพนธ์เรื่องนี้แบ่งออกเป็น 4 ส่วน ดังต่อไปนี้

ส่วนแรกสุดคือ “แม่” ซึ่งประพันธ์ด้วยสัททุลวิกกีฬิตฉันท์ 19 อันเป็นฉันท์ที่มีท่วงท่าลีลาเหมือนเสือดาวกระโดดโลดเต้น จำนวน 91 บท ฉายภาพความสัมพันธ์ระหว่างแม่ผู้กำลังป่วยหนักกับลูกสาวผู้เป็นกรรมกรที่กำลังจะนัดหยุดงานเพื่อประท้วงเรียกร้องค่าแรงอันยุติธรรมจากนายห้างเพื่อนำเงินมาซื้อยารักษาอาการของแม่ ผู้ที่อ่านเนื้อหาส่วนนี้มักจะจดจำการเปิดฉากที่ขึ้นต้นด้วย “อ้าราตรีขณะนี้…” ดังจะยกมาแสดงว่า 

 

อ้าราตรีขณะนี้มิมีสินะสำเนียง

แสนเงียบบ่งึมเสียง                           สงัด

อ้าราตรีขณะนี้สิพฤกษบ่สบัด

ใบลมบโลมพัด                                และพาน

อ้าราตรีขณะนี้พิกลกลพิการ

ดาวเดือนบันดาลหาย                        ฤ เห็น

 

อีกตอนหนึ่งในส่วนแรกของบทกวีที่ตราตรึงใจคือ ตอนที่กรรมกรสตรีจะร่วมกันต่อสู้เรียกร้องค่าแรงที่เป็นธรรมจากนายห้าง ความว่า 

 

อย่าอย่าเราผิว่ายอมคือยอมทุขอันทา

รุณเราทังมวลมา                                    มีใจ

เพื่อว่าเราแลมาสู้จะชูพิชิตชัย

กำลังอันเกรียงไกร                                 เรามี

เพื่อว่าเรานี้มารวมและร่วมสิสามัคคี

คืออาวุธอันตี                                         ให้ซุด

เพื่อว่าเรานี้มารวมและร่วมกันว่าจะหยุด

งานเรื่อยฤาเฉือยฉุด                               ไฉน

นายห้างเหี้ยมหฤโหดจะโกรธก็บ่กระไร

กลัวกรรมกรไกร                                     มาตีฯ

ชัยชัยชัยอันพิชิตเพราะคิดแต่สามัคคี

สหอาชีวะ                                             วิชัย

ชัยชัยชัยเราวิชิตเพราะคิดว่าเราคือใคร

กำลังอันเกรียงไกร                                 เรามี

ตีตีตีแต่ละทีจะตีก็ดูจงดี

หนักหน่วงท่วงทีไป่                                ประมาท

ตีตีตีแต่ละทีจะตีแลก็จงคาด

ขอบเขตเหตุผลอาจ                               เอาชัย

โอ้โอ้โอ้เรากรรมกรแต่ก่อนร่อนชะไร

พ่ายแพ้คือโพยภัย                                 อันพาน

โอ้โอ้โอ้เรากรรมกรในอนาคตกาล

จักชื่นพิชิตนาน                                     นิรันดร์ฯ

 

ในส่วนที่สองคือ “พี่” ซึ่งประพันธ์ด้วยกาพย์ยานี 11 จำนวน 117 บท ได้ถ่ายทอดความรู้สึกนึกคิดและพลังการต่อสู้ของกรรมกรไว้อย่างขึงขังและชวนให้ฮึกเหิมครามครัน แม้จะเปิดฉากมาด้วยบรรยากาศของธรรมชาติน่ารื่นรมย์ว่า 

 

เรื่อยเรื่อยมารินริน             แลสายลมนั้นโรยริว

แสงทองที่ส่องทิว            พฤกษพร่างอยู่พราวพราม

งามโลกแลงามหล้า         ทั้งฟากฟ้าอันงามงาม

แสงทองที่ส่องทาม          นั้นสร้านทั่วทั้งธรณี

 

หากเมื่อเอ่ยถึงการรวมพลังของคนจนและกรรมกร “นายผี” ก็ใช้ถ้อยคำปลุกเร้าอารมณ์ให้ผู้อ่านอยากจะร่วมต่อสู้เคียงข้างกรรมกรทั้งหลายไปด้วย

 

ผู้คนที่จนยาก                 อันหลามหลากในธรณี

ล้วนลุกขึ้นทันที              แล้วถอนใจอยู่จาบัลย์

เริ่มเหนื่อยละหนอเรา      แลเริ่มเศร้าเริ่มโศกศัลย์

เริ่มทุขเริ่มอาธรรม์          เริ่มขูดรีดและรังแก

ใครใดในแดนดิน            ทั่วทั้งสิ้นฤามาแล

เกื้อกันนั้นก็แต่               ผู้ตกยากอยู่ด้วยกัน

คนจนมีจำนวน               แม้นประมวลก็มากครัน

แสนล้านแลเราอัน          ใดจะด้อยให้ดูแคลน

คนจนอันกระจาย            เรี่ยรายทั่วทังดินแดน

ลุกแล้วทั้งล้านแสน        ก็จะสิ้นที่โศกศัลย์

พร่างพรายผกายเพลิง    อันสะพรั่งพิลาสครัน

เมื่อไรจะรวมกัน             เป็นเพลิงป่าโอฬาร์เรือง

ทุขร้อนอันแรงรุม           คือเพลิงคุมอยู่แค้นเคือง

ท้องนาและในเมือง        จะหมดสิ้นอย่าศงกา

สองกรของเรากำ           ชตากรรมอยู่แล้วรา

แสนล้านแลเราสา          มัคคีกันอย่าหวั่นไหว

พลิกพื้นแผ่นดินดาล       ให้สท้านทั้งภพไตร

ปิดฟ้าให้เฟือนไป           ทั้งหล้าโลกด้วยแรงเรา

สองมือมาเลี้ยงชีพ          ที่ทุขบีบบ่บางเบา

ร้อยทุขฤาบันเทา            เพราะมาท้อมิทานทน

แสงทองที่ส่องแทง         ทะลุรัตติกาลกล

แสงใจของคนจน            ที่ส่องจ้ากลางอาธรรม์

แสงทองยิ่งส่องสร้า        ยิ่งเตือนสามัคคีครัน

ตื่นตัวอยู่ทั่วกัน               ก็สำหรับจะเริงชัย

แสนล้านประชาชน          อันเกลื่อนกล่นทั้งกรุงไกร

ลุกแล้วก็เร่งไป                ประกอบกิจการงาน

แสงทองอันรองเรือง        มาประเทืองระทวยปราณ

ปราณีฤดีดาล                  ก็ได้แรงบ่อิดโรย

แสงทองอันรองไร            มาส่องให้สิ้นเหี่ยวโหย

แช่มชื่นระรื่นโชย              ด้วยลมเช้าชะลอโลม

แสงทองที่ส่องถูก             ทั่วร่างลูกแลคือโคม

ทองส่องให้สิ้นโทม           นัสเห็นหนทางจร

แสงทองที่ส่องทั่ว             ทั้งตัวพี่ก็คือพร

ปลุกแก้วกรรมกร               ให้ตื่นกายอันเกรียงไกรฯ

 

ตอนท้ายของส่วนที่สองนี้ยังเผยให้ทราบว่าน้องชายและน้องสาวของกรรมกรหญิงในเรื่องได้หมดสิ้นลมหายใจไปเสียทั้งสองคน

ดังนั้น ในส่วนที่สามคือ “ลูก” ซึ่งประพันธ์ด้วยกาพย์ฉบัง 16 จำนวน 155 บท จึงเปิดฉากด้วยความเศร้าโศกที่ผู้เป็นแม่ของกรรมกรหญิงต้องสูญเสียลูก

 

เมื่อนั้นจึงแม่ผู้มี

ทุขเท่าคีรี                         ก็มาตระลึงเลงลาญฯ

เจ็บปวดรวดร้าวเหลือประมาณ

แสนยวงวิญญาณ               เพียงยุ่ยสยายวายวาง

ลูกชายตายคาแขนนาง

ลูกหญิงสยบกลาง              ตักแม่มาสิ้นสมปฤดี

 

ในส่วนที่ 3 นี้จะปรากฏตอนที่แสดงให้เห็นว่า “นายผี” ได้อาศัยบรรยากาศที่บ้านของ นางสาวเล็ก กรรมกรสตรีประจำโรงเลื่อยของบริษัทอีสต์เอเชียติกมาเป็นฉากในบทกวีด้วย นั่นคือ 

 

ได้กลิ่นดอกแก้วกำจร

ระรวยรอนรอน                     ที่ริมบันไดโรงรมย์

ได้รสหวานหอมดอมดม

ระรื่นชื่นชม                         มาชุบชีวิตอาวรณ์

แว่วแว่วกาเหว่าเกลากลอน

กาพย์โคลงโยนยอน            กังวาฬวิเวกวังเวง ฯ

 

ซึ่งมีความสอดคล้องกับที่ “นายผี” เล่าไว้ใน “จดหมายนายผีถึงกวีรุ่นหนุ่มคนหนึ่ง ลงวันที่ 10 พ.ค. 1980” ว่า 

 

…ภาพชีวิตกรรมกรส่วนตัวทั้งหมด คือภาพครอบครัวบ้านกรรมกรที่ผมไปอยู่ด้วย. เซ็ตติ้งและแบ็คกราวนด์ก็ที่นั่นทั้งนั้น, ต้นแก้วออกดอกหอมกรุ่นอยู่ริมบันไดเรือน, กาเหว่าก็ร้องวิเวกอยู่บนยอดหลังคาเรือน.

 

ไม่เพียงเท่านั้น ยังมีการระบุในบทร้อยกรองด้วยว่ากรรมกรสตรีเป็นเพื่อนกับ “นายผี” ดังความที่ว่า 

 

ทุขลูกแลจะคือใครคำ

นวณหมดจดจำ                 ก็จักมิได้โดยดี

มาตรแม้นบมิมีกวี   

คือเพื่อนนายผี                  มาผูกเป็นกาพยกลอนกล

สำหรับขับขานทานทน

ท่าวฟ้าดินดล                   อันดรธานดูทีฯ

 

ในตอนท้ายของส่วนที่ 3 เมื่อกรรมกรสตรีได้รับชัยชนะในการต่อสู้เรียกร้องให้นายห้างขึ้นค่าแรงแล้ว เธอก็รีบกลับไปหาแม่ซึ่งกำลังป่วยหนัก แต่กลับค้นพบว่าแม่หมดสิ้นลมหายใจลาจากไปแล้ว

 

โดดขึ้นบันไดโดยพลัน

ผลุนเข้าห้องหัน               มาเห็นก็ไห้โหยหาฯ

โถมเข้ากอดแม่แลมา                                                                                                                   

ฟูมฟายน้ำตา                   ก็ตีเอาอกอึงอล

ชอกช้ำกายายับยน                                                                                                          

ชอกช้ำใจจน                   จะจ่อมทำลายวายวาง

แสนแค้นแสนเคียดแสนระคาง

แสนป่วยใจปาง                ประจักษ์ว่าแม่มามรณ์

แสนรักแสนโรคแสนรอน

แสนทุขท่วมทอน              ใจแสนถวิลจินดา

สุดจะร่ำรำพันพรรณนา

เสียดศัลย์สหสา                ก็สุดสระอื้นอาลัย

ขืนคิดคิดขืนคืนไป

ขืนจักเข้าใจ                     ว่าแม่ยังมีชีวา

เคียดคลุ้มอุ้มแม่ขึ้นมา

กระซิบ… “แม่จ๋า                เราชะนะแล้ว…. แม่จ๋า”

 

ในส่วนที่ 4 คือ “และนั่นใครหนอ?” ซึ่งประพันธ์ด้วยอินทรวิเชียรฉันท์ 11 จำนวน 7 บท คือบทสรุปของเรื่องราวทั้งหมดและทิ้งท้ายอย่างไม่สิ้นหวัง

 

ครานั้นตะวันดับ               และด่วนลับบ่รอรา

ครานั้นแลนิสา                 กรสุกสกาวแสง

สาดดาษแผ่นดินดอน       ละอออ่อนมิร้อนแรง

แสงทอนั้นก็แทง              ทะลุโรงชรามา

โลมกายอันเกรียงไกร       ที่ตระกองกอดมารดา

ไล้ร่างอันชรา                  ที่สิ้นลมอยู่รังรอง

แสงย้วยก็ชวยเย็น            เป็นเงินยวงอันลำยอง

ต้องโลงละออออง            อดิเรกณราตรี

กลิ่นแก้วยิ่งกำจาย            ฟะฟายทั่วทั้งธรณี

กาเหว่ายิ่งทวี                   วังเวงเพลงพิไรเลือน

ท่ามกลางราตรีกาล           อันละลานด้วยแสงเดือน

เหมือนเสียงกระซิบเตือน    มาแต่ไกลจะเบาเบา

เสียงนั้นฟังหนักแน่น         บ่คลอนแคลนดั่งขุนเขา

"แน่นอน...แน่นอน, เรา     ชะนะแน่ไม่นานเลย"

 

“เราชะนะแล้ว, แม่จ๋า” ยังได้รับการกล่าวขวัญถึงในฐานะเป็นผลงานประพันธ์ที่ “นายผี” ได้นำขนบการเขียนบทร้อยกรองแบบชนชั้นนำจำพวกฉันท์ ทั้งสัททุลวิกกีฬิตฉันท์ 19 อินทรวิเชียรฉันท์ 11 และกาพย์ฉบัง 16 รวมถึงกาพย์ยานี 11 มาใช้ถ่ายทอดเรื่องราวชีวิตของสามัญชนผู้ทุกข์เข็ญ โดยเฉพาะชนชั้นกรรมาชีพอย่างพวกกรรมกร นักวิจารณ์หลายคนวิเคราะห์ว่า “นายผี” น่าจะได้รับอิทธิพลมาจากวรรณคดีสมัยอยุธยาอย่าง กาพย์ห่อโคลง ของเจ้าฟ้าธรรมาธิเบศร์ และ สมุทรโฆษคำฉันท์ ขณะที่นักวิจารณ์จำนวนไม่น้อยมองว่า นี่คือการต่อสู้อันเฉียบคมของ “นายผี” ด้วยการนำเอาขนบวรรณคดีและวิธีการเขียนแบบชนชั้นนำมาสะท้อนเรื่องราวของคนสามัญ ทั้งยังส่งเสียงเย้ยหยันวิพากษ์วิจารณ์ชนชั้นนำไปในคราวเดียว และน่าจะเป็นครั้งแรกที่มีผู้กระทำเช่นนี้ ที่สำคัญคือ “นายผี” ไม่ได้ปลาบปลื้มหรือซาบซึ้งจนคล้อยตามวรรณคดีเก่าอย่าง สมุทรโฆษคำฉันท์ แต่กลับนำมาใช้เพื่อล้อเลียนต่างหาก โดยยกเอาเรื่องความเพียรของตัวละครพระสมุทรโฆษที่อดทนว่ายน้ำฝ่าฟันอุปสรรคกลางมหาสมุทรมาเปรียบเทียบกับการต่อสู้อย่างทุกข์ยากของกรรมกร ถือเป็นการยกสามัญชนให้ขึ้นมาเท่าเทียมเสมอกันกับชนชั้นนำอย่างเปี่ยมล้นชั้นเชิงวรรณศิลป์ ดังในปี พ.ศ. 2517 ชลธิรา กลัดอยู่ ได้ยกย่องผลงานชิ้นนี้ให้เป็น “วรรณคดีของประชาชน”

ถ้าลองสังเกตดูดี ๆ ในบทกวี “เราชะนะแล้ว, แม่จ๋า” จะพบการใช้ถ้อยคำไพเราะอลังการแบบขนบวรรณคดีเก่ามาผสมผสานเข้ากับคำศัพท์แบบสังคมนิยมหรือแบบมาร์กซิสม์อย่างลงตัว

กระนั้น “นายผี” ได้เคยกล่าวถึงการที่ตนเองใช้ฉันทลักษณ์ในการประพันธ์ “เราชะนะแล้ว, แม่จ๋า” ไว้ผ่านจดหมายถึงกวีหนุ่มคนหนึ่ง ลงวันที่ 10 พฤษภาคม ค.ศ. 1980 (ตรงกับ พ.ศ. 2523) ความว่า

 

“เราชะนะแล้ว, แม่จ๋า เขาว่าผมแต่งเป็นฉันท์, สุดแล้วแต่เขา. แต่ผมแต่งตามที่ผมคิดเท่านั้น, ไม่ได้นึกถึงสัททุลอะไร เพราะตรงนั้นไม่น่าจะใช้ทำนองเสือเต้นเลย. ยิ่งฉบบง, ยานี, อะไรแล้วยิ่งไม่ได้นึก, เพราะฉะนั้นมันก็ไม่มี 11, 16 อะไรดอก…”

 

ดังกล่าวไปแล้วว่า นางสาวเล็ก ต้นเค้าของตัวละครเอกใน “เราชะนะแล้ว, แม่จ๋า” เธอเป็นกรรมกรสตรีประจำโรงเลื่อยของบริษัทอีสต์เอเชียติก ผมจึงใคร่จะอธิบายเสริมถึงความเป็นมาของบริษัทนี้สมทบด้วย

บริษัทอีสต์เอเชียติก (The East Asiatic Company) ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2440 (ตรงกับ ค.ศ. 1897) โดย มิสเตอร์ ฮันส์ นีลส์ แอนเดอร์เซน (H.N. Andersen) กัปตันเรือชาวเดนมาร์ก ซึ่งบริษัทนี้มีรากฐานมาจากบริษัท Andersen & Company 

 

มิสเตอร์ ฮันส์ นีลส์ แอนเดอร์เสน (H.N. Andersen) ผู้ก่อตั้งบริษัทอีสต์เอเชียติก
ที่มา : สถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงโคเปนเฮเกน

 

มิสเตอร์แอนเดอร์เซน เดินทางถึงกรุงเทพมหานครครั้งแรกในปี พ.ศ. 2416 กระทั่งต่อมาได้รับราชการเป็นผู้บังคับการประจำเรือหลวงพระที่นั่งในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 อยู่ราวสองปี ก่อนจะลาออกมาประกอบกิจการส่วนตัว โดยซื้อโรงแรมโอเรียนเต็ลมาบริหารพร้อมกับเป็นนายหน้าค้าที่ดินและอสังหาริมทรัพย์บริเวณริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา ทั้งยังก่อตั้งบริษัท Andersen & Company ขึ้นในปี พ.ศ. 2427 (ตรงกับ ค.ศ. 1884) เพื่อทำธุรกิจการเดินเรือและขนส่งไม้สักจากทางภาคเหนือที่ได้รับสัมปทาน

 

เรือพระที่นั่ง “ทูลกระหม่อม” ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5) ซึ่งนายฮันส์ นีลส์ แอนเดอร์เซน ผู้ก่อตั้งบริษัทอีสเอเชียติก เป็นกัปตันเรือ
ที่มา : สถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงโคเปนเฮเกน

 

ในปี พ.ศ. 2437 (ตรงกับ ค.ศ. 1894) มิสเตอร์แอนเดอร์เซน ได้ขายกิจการโรงแรมโอเรียนเต็ลและเดินทางกลับเดนมาร์ก ก่อนที่จะก่อตั้งบริษัทอีสต์เอเชียติกขึ้นมา

บริษัทอีสต์เอเชียติก หรือเดิมคือบริษัท Andersen & Company นับเป็นบริษัทแรกที่สามารถเปิดตลาดไม้สักสยามในทวีปยุโรปได้สำเร็จ เดิมทีนั้น ทางยุโรปไม่ได้สนใจไม้สักสยามเลย แต่จะสนใจไม้สักพม่าแทน ทั้งนี้เป็นเพราะรัฐบาลสยามวางกฎระเบียบที่เข้มงวด และไม้สักสยามก็เป็นที่โจษขานในด้านที่ไม่ดีนัก

อย่างไรก็ดี มิสเตอร์แอนเดอร์เซน แห่งบริษัทอีสต์เอเชียติก ได้พยายามส่งไม้สักไทยไปขายในทวีปยุโรปในช่วงกลางทศวรรษ 2420 และพัฒนาคุณภาพของไม้สักรวมถึงเป็นที่ยอมรับในหมู่ชาวตะวันตก ประกอบกับช่วงนั้น รัฐบาลอาณานิคมอังกฤษได้ขึ้นค่าภาษีท่อนซุงในพม่า จึงทำให้พ่อค้าไม้ในพม่าหันมาสนใจไม้สักของสยามแทน

แท้จริงแล้ว บริษัทบอร์เนียว จำกัด (Borneo Company Limited) อันเป็นบริษัทสัญชาติอังกฤษคือผู้ก่อตั้งโรงเลื่อยจักรแห่งแรกในสยามหลังจากที่ได้เริ่มทำกิจการป่าไม้เมื่อปี พ.ศ. 2432 โดยอาศัยช้างประมาณ 600 เชือกในการชักลากไม้ซุงลงน้ำ การมีโรงเลื่อยจักรส่งผลให้บริษัทเติบโตอย่างยิ่ง เพราะสามารถผลิตไม้ได้อย่างรวดเร็ว

กระทั่งต่อมาบริษัทอื่น ๆ ที่ได้สัมปทานป่าไม้ ไม่ว่าจะเป็นบริษัทสัญชาติอังกฤษ บริษัทสัญชาติฝรั่งเศส สัญชาติจีน หรือบริษัทสัญชาติเดนมาร์กอย่างบริษัทอีสต์เอเชียติกก็ได้สร้างโรงเลื่อยจักรขึ้นด้วยเช่นกัน

 

สำนักงานใหญ่บริษัทอีสท์เอเชียติก ในกรุงเทพฯ 
ที่มา : สถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงโคเปนเฮเกน
 

 

โรงเลื่อยบริษัทอีสท์เอเชียติก
ที่มา : สถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงโคเปนเฮเกน

 

ในช่วงต้นทศวรรษ 2480 กิจการทำไม้สักสร้างมูลค่าให้แก่ประเทศไทยเป็นอย่างมาก และมีบริษัทที่ได้สัมปทานป่าไม้สักมากถึงสามสิบกว่าแห่ง ทว่าครั้นสงครามโลกครั้งที่ 2 อุบัติขึ้นในประเทศไทยเมื่อต้นเดือนธันวาคม พ.ศ. 2484 บริษัทสัญชาติอังกฤษซึ่งเป็นฝ่ายสัมพันธมิตรก็ได้ถูกรัฐบาลไทยยึดสัมปทานและไม้ในครอบครอง ขณะที่บริษัทอีสต์เอเชียติกเป็นบริษัทสัญชาติเดนมาร์กซึ่งไม่ใช่คู่กรณีในสงครามโลกครั้งที่ 2 จึงสามารถประกอบกิจการได้ต่อไปและมีความรุ่งเรืองอย่างมาก ดังนั้น ในช่วงที่ นางสาวเล็ก เป็นกรรมกรประจำโรงเลื่อยของบริษัทในช่วงทศวรรษ 2490 จึงเป็นห้วงยามที่การประกอบธุรกิจกำลังคึกคักและมีความจำเป็นต้องอาศัยแรงงานของกรรมกรจำนวนมาก

ความที่กรณีของ นางสาวเล็ก เป็นการต่อสู้เรียกร้องความเป็นธรรมโดยกรรมกรสตรี ผมจึงหมายใจจะอธิบายให้เห็นถึงความเป็นมาของกรรมกรสตรีในประเทศไทยด้วย

อันที่จริง กรรมกรสตรีเริ่มปรากฏมาตั้งแต่ก่อนการเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 โดยพวกเธอจะปฏิบัติหน้าที่ในโรงงานอุตสาหกรรมสิ่งทอ ไม่ว่าจะเป็นการปั่นด้าย ทอผ้า และย้อมผ้า แต่จำนวนของกรรมกรสตรีก็ยังคงมีไม่มากเท่าใดนัก กระนั้นก็ตาม รัฐบาลสยามยุคสมบูรณาญาสิทธิราชย์ก็แสดงความคำนึงถึงเรื่องความปลอดภัยในการทำงานของกรรมกรสตรี โดยเฉพาะกรรมกรสตรีที่มีครรภ์ ด้วยเกรงว่านายจ้างจะใช้แรงงานของกรรมกรที่ตั้งครรภ์หนักเกินไปจนก่ออันตรายต่อเธอและบุตรในครรภ์

เดิมที กรรมกรในโรงงานต่าง ๆ ของไทยมักจะเป็นชาวต่างชาติ โดยเฉพาะชาวจีน ทว่าพอ หลวงพิบูลสงคราม ก้าวขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีช่วงต้นทศวรรษ 2480 ก็มีการประกาศนโยบายสงวนอาชีพสำหรับชาวไทยเพื่อกีดกันการประกอบอาชีพโดยชาวต่างชาติ และส่งเสริมให้ชาวไทยมีงานทำ ทั้งยังประกาศพระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. 2482 กำหนดให้โรงงานแต่ละแห่งต้องจ้างกรรมกรในโรงงานเป็นคนไทยอย่างน้อยร้อยละ 75 ของจำนวนกรรมกรทั้งหมด นโยบายดังกล่าวส่งผลให้กรรมกรชาวต่างชาติถูกขับไล่ออกจากโรงงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกรรมกรชาวจีน ทั้งยังเป็นการเพิ่มจำนวนกรรมกรชาวไทยมากขึ้น

ภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ปิดฉากลงช่วงปลายทศวรรษ 2480 ได้เกิดภาวะขาดแคลนแรงงาน เพราะกรรมกรเดิมอพยพหนีภัยสงครามไปเป็นจำนวนมากแล้วไม่ยอมกลับมาอีก จึงทำให้ตามโรงงานต่าง ๆ เริ่มมีกรรมกรสตรีเข้ามาทำงานทดแทนในสิ่งที่กรรมกรชายเคยทำ 

อย่างไรก็ดี สิ่งที่กรรมกรสตรีต้องเผชิญก็คือ แม้พวกเธอจะใช้แรงงานอย่างหนักไม่แพ้กรรมกรชาย แต่กลับได้รับค่าแรงต่ำกว่ากรรมกรชาย ในช่วงทศวรรษ 2490 จึงเกิดการรวมตัวกันของกรรมกรสตรีและจัดตั้งขึ้นเป็นสมาคมกรรมกรอย่างแข็งขัน เพื่อจะได้มีความกลมเกลียวกันและร่วมต่อสู้เรียกร้องความเป็นธรรมจากนายจ้างที่เอารัดเอาเปรียบ ประกอบกับช่วงเวลานั้น แนวคิดเรื่องสถานภาพและบทบาทของสตรีรวมถึงแนวคิดเรื่องสิทธิเสรีภาพของผู้หญิงกำลังเข้มข้น สมทบด้วยบรรยากาศที่ชนชั้นแรงงานหลายแห่งทั่วโลกได้ลุกขึ้นเรียกร้องสิทธิ์ในเรื่องต่าง ๆ โดยเฉพาะการนัดหยุดงานเพื่อประท้วงหรือสไตรค์

ลักษณะข้างต้นได้แพร่มาสู่สังคมไทยด้วยเช่นกัน ในที่สุด พอช่วงกลางทศวรรษ 2490 ก็เริ่มมีการนัดหยุดงานเพื่อประท้วงหรือสไตรค์โดยกรรมกรสตรีเกิดขึ้น และค่อย ๆ ทวีความแข็งขัน

นางสาวเล็ก มิแคล้วเป็นหนึ่งในกรรมกรสตรีที่เผชิญความทุกข์และลุกขึ้นต่อสู้ แม้ท้ายสุด เธอจะต้องพบกับความหมองเศร้า แต่การที่เธอหาญกล้าเรียกร้องความเป็นธรรมย่อมจะเป็นฟันเฟืองของการขับเคลื่อนพลังแห่งกรรมสตรีให้โลดแล่นมาจวบจนปัจจุบัน

จริงอยู่ว่า การต่อสู้ของกรรมกรสตรีในช่วงทศวรรษ 2490 อาจจะยังไม่ค่อยได้รับการจดจำและถูกเมินเฉยในโฉมหน้าประวัติศาสตร์ อีกทั้งคงจะมิได้โดดเด่นเท่าขบวนการกรรมกรสตรีในช่วงทศวรรษ 2510 เรื่อยมาตราบปัจจุบัน ทว่ากรณีของ นางสาวเล็ก กรรมกรสตรีประจำโรงเลื่อยของบริษัทอีสต์เอเชียติกนั้น ได้รับความสนใจจากนักคิดนักเขียนอย่าง “นายผี” หรือ อัศนี พลจันทร ทั้งเขายังบันทึกการต่อสู้ของเธอไว้ผ่านบทกวี “เราชะนะแล้ว, แม่จ๋า” ที่ถึงแม้จะไม่ได้เผยแพร่ในช่วงเวลาเดียวกันกับที่เธอลุกขึ้นต่อสู้ และกว่าจะมาเผยแพร่ครั้งแรกก็หลังจากนั้นราว 20 ปี แต่เรื่องราวของ นางสาวเล็ก ก็ได้กลายเป็นตำนานและต้นแบบของนักต่อสู้เคียงคู่กับนามอุโฆษของ “นายผี” ความสะท้านสะเทือนใจของผู้อ่านทุกยุคสมัยที่มีต่อชะตากรรมของเธอและครอบครัวก็ยังคงเป็นอมตะอยู่ตลอด

นี่แหละคือชัยชนะที่ไม่ถูกจำกัดด้วยกาลเวลา เพราะผลิบานในหัวใจและกึกก้องในจิตสำนึกของผู้อ่านเสมอ ๆ ว่า...

“แม่จ๋า เราชะนะแล้ว… แม่จ๋า”


หมายเหตุ :

  • รูปแบบฉันทลักษณ์คงไว้ตามเอกสารต้นฉบับ

 

เอกสารอ้างอิง : 

  • จิรกาญจน์ สงวนพวก. การเคลื่อนไหวของกรรมกรหญิงโรงงานทอผ้า พ.ศ. 2504-2519. วิทยานิพนธ์อักษรศาสตรมหาบัณฑิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2538.
  • ชลธิรา กลัดอยู่. วรรณคดีของปวงชน. กรุงเทพฯ: อักษรสาส์น, 2517.
  • นายผี (อัศนี พลจันทร). เราชะนะแล้ว,แม่จ๋า. และกาพย์กลอน “ความเปลี่ยนแปลง”. กรุงเทพฯ: อ่าน, 2557.
  • มหาชนทรรศนะ รวมปาฐกถาพิเศษภาคฤดูร้อน พ.ศ. 2495 แสดง ณ มหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง. กรุงเทพฯ: กลุ่มวิชาการเพื่อประชาชน, 2517.
  • ศรีอินทรายุธ (อัศนี พลจันทร). ศิลปาการแห่งกาพย์กลอน. พิมพ์ครั้งที่ 4. กรุงเทพฯ: ทะเลหญ้า, 2534.
  • สุจิรา คุปตารักษ์. วิเคราะห์บทร้อยกรองของนายผี. ปริญญานิพนธ์หลักสูตรการศึกษามหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร, 2526.
  • เสถียร จันทิมาธร. สายธารวรรณกรรมเพื่อชีวิตของไทย. กรุงเทพฯ: เจ้าพระยา, 2525.
  • Landon, Kenneth Perry. Siam in transition : a brief survey of cultural trends in the five years since the revolution of 1932. New York : Greenwood Press, 1968.
  • Suehiro, A.. Capital accumulation in Thailand, 1855-1985. Chiang Mai: Silkworm Books, 1996.