ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก
บทบาท-ผลงาน

พระเจ้าช้างเผือก ตอนที่ 9 : การโจมตีกานบุรี

14
พฤศจิกายน
2568

“กษัตริย์จะเป็นกษัตริย์ ก็ยามทรงฉลองพระองค์เพื่อการยุทธ์”
ที่มา : ภาพยนตร์เรื่อง “พระเจ้าช้างเผือก”

 

“กษัตริย์จะเป็นกษัตริย์ ก็ยามทรงฉลองพระองค์เพื่อการยุทธ์”[1]

พระเจ้าหงสาตรัสพลางสวมฉลองพระองค์ในชุดออกศึก พร้อมกับเลือกพระแสงหอก พระแสงดาบและพระแสงโล่ จากบรรดาศัสตราวุธที่โปรดปราน

พระเจ้าหงสาทรงเรียกช้างศึกประจำพระองค์เข้ามา ทรงไต่ขึ้นทางด้านข้างของช้างทรงโดยมีราชองครักษ์ช่วยให้พระองค์เสด็จขึ้นประทับบนพาหนะสูงใหญ่และบึกบึนราวกับคฤหาสน์ พระที่นั่งบนหลังช้างแกะสลักอย่างงามและปูด้วยหนังสัตว์อันมีค่า ด้านข้าง ซ้ายขวา เป็นศัตราวุธประเภทต่างๆ ที่พระเจ้าหงสาอาจจะทรงใช้นับตั้งแต่ หอก ง้าว แหลน หลาว ดั้ง เขน โตมร ศัสตราวุธทั้งหลายยามต้องแสงอาทิตย์เกิดประกายเงาวับ

กองทัพที่อัครมหาเสนาบดีเป็นแม่ทัพนั้นได้ออกเดินทางล่วงหน้าพระเจ้าหงสาไปแล้ว ทหารม้านำขบวนเพื่อให้ทหารเดินเท้าจำนวนมากมายที่ตามหลังรักษาจังหวะฝีเท้าอันรวดเร็ว

กองทัพทั้งหมดต้องเดินฝ่าป่าดงตามเส้นทางที่มีลำน้ำหรือห้วยบึงเป็นเครื่องหมาย เพื่อให้ม้าพักผ่อนดื่มน้ำ ไม่มีป่าไม้ กลับมีแต่พุ่มไม้ต่างๆ ซึ่งสามารถเดินผ่านได้โดยไม่ลำบาก ถึงแม้พื้นดินจะค่อนข้างแข็งและขรุขระเนื่องจากฤดูฝนที่เพิ่งผ่านไป

 

“กองทัพทั้งหมดต้องเดินฝ่าป่าดงตามเส้นทางที่มีลำน้ำหรือห้วยบึงเป็นเครื่องหมาย เพื่อให้ม้าพักผ่อนดื่มน้ำ ไม่มีป่าไม้ กลับมีแต่พุ่มไม้ต่างๆ ซึ่งสามารถเดินผ่านได้โดยไม่ลำบาก…”
ที่มา : ภาพยนตร์เรื่อง “พระเจ้าช้างเผือก”

 

ภูเขายาวทอดขนานไปกับขอบฟ้าใช้เป็นเครื่องหมายนำทาง โดยในตอนแรกที่เห็นนั้นเป็นเพียงจุดรางในท้องฟ้าเท่านั้น

จุดนี้เองที่อัครมหาเสนาบดีหมายตาเอาไว้เพื่อนำกองทัพมุ่งไป ใกล้เข้าไปทุกทีๆ จนกองทัพไปถึงเชิงเขา กระทั่งสามารถแหงนมองดูความลาดชันของไหล่เขาได้

นายทหารผู้ควบม้าไปกับอัครมหาเสนาบดี ใช้แขนวาดไปในอากาศเป็นเส้นยาวขนานกับแนวยาวของภูเขา

“นี่คือเส้นแบ่งพรมแดนระหว่างหงสากับอโยธยา”

อัครมหาเสนาบดีกล่าวเตือน

“จงระมัดระวังพวกทหารรักษาการณ์ของอโยธยาที่ชายแดนไว้ให้จงหนัก”

แต่ไม่ปรากฏว่ามีสิ่งใดเคลื่อนไหวในดินแดนอีกฝั่งหนึ่ง นี่ชาวอโยธยาไม่สำเหนียกอะไรเลยหรือ หรือว่าช่างมั่นอกมั่นใจในตนเองเสียเหลือเกิน

มองเลยไปในที่สุด พวกเขาก็สังเกตเห็นพลตระเวนอย่างน้อย ๓ คน ท่าทางเหมือนกำลังเดินเล่นอยู่อย่างสงบ สายตามองเรื่อยไปที่ขอบฟ้าอย่างไม่สนใจสิ่งรอบข้าง

นายทหารจึงสั่งให้ทหารม้า ๔ นายลงจากม้า ย่องไปหาพลตระเวนเหล่านั้นแล้วฆ่าเสียอย่าให้ทันรู้ตัว ทั้งสี่นายจึงค่อยๆ คืบเข้าไป ผ่านจากพุ่มไม้หนึ่งไปอีกพุ่มหนึ่ง จากกอหนึ่งไปอีกกอหนึ่ง ถึงที่หมายโดยไร้สุ้มเสียง โดยการคืบคลานไปทีละน้อยๆ แบบตัวหนอน ในเวลาบ่ายอันชวนง่วงหลับใหล

ทหารทั้งสี่ได้เข้าประชิดศัตรูแล้ว พลตระเวนสองคนไม่ทันระวังป้องกันตัวก็ถูกฆ่าไปก่อน แต่คนที่สามไหวทัน ได้ต่อสู้และฟันฝ่ายหงสาได้คนหนึ่งก่อนจะปราดไปยังดงไม้ที่ซ่อนม้าไว้

ก่อนที่เหล่าทหารหงสาจะขัดขวางได้ทัน พลตระเวนนายนั้นก็กระโดดขึ้นหลังม้า ห้อไปยังกานบุรี เมืองหน้าด่านซึ่งเห็นกำแพงอยู่ลิบๆ นั้นทันที

กานบุรีก็มีลักษณะเช่นหัวบ้านหัวเมืองอื่นๆ ทั่วไปที่สร้างในสมัยนั้น มีการตั้งบ้านเรือนอยู่รวมกัน บ้างกระจุกอยู่เป็นกลุ่มก้อน บ้างก็อยู่เว้นห่างกันโดยมีผืนไร่นาขนาดใหญ่คั่น บ้านเรือนโดยทั่วไปสร้างด้วยไม้หรือไม้ไผ่ มุงแฝก ทุกหลังคาเรือนจะมีชานยื่นออกมา มีทั้งแบบเปิดโล่งและมีชายคา ดูน่าสบายไว้สำหรับนั่งเล่น นอนเล่นหรือเลี้ยงดูปูเสื่อกันในยามแดดร่มลมตก

ประตูเมืองเปิดอยู่

พลตระเวนผู้นั้นควบม้าเข้าสู่เมืองกานบุรี มุ่งตรงไปที่จวนเจ้าเมือง ฝูงชนเปิดทางให้โดยดี

ที่กลางถนนข้างหน้า มีกลุ่มคนอยู่ห่างไปไม่กี่ร้อยหลา ช่างประจวบกันดีนักด้วยท่านเจ้าเมืองก็อยู่ที่นั่น ท่านกำลังออกตรวจตราผู้คนพลเมืองดังเป็นกิจวัตรทุกวัน

ท่านเจ้าเมืองลงเดินจูงม้าไปตามทาง ซึ่งสะดวกสำหรับท่านในการทักทายปราศรัยกับชาวบ้านชาวเมือง ท่านไม่มีอาการถือตัวไว้ยศไว้อย่าง แม้เครื่องยศอันมีเสื้อคลุมปักดิ้นทองและหมวกทองยอดแหลมท่านก็ถอดออกให้บ่าวคอยถือตามอยู่เบื้องหลัง

การมาของพลตระเวนผู้นั้นได้ขัดจังหวะการเดินเยี่ยมเยียนชาวบ้านของท่านเสียแล้ว พลตระเวนหยุดม้า หอบหายใจ แต่ดูจะอยากพูดกับเจ้าเมือง

“มีเหตุอะไรหรือ?” ท่านถาม

“พวกหงสาข้าศึกกำลังบุกเข้ามาแล้วขอรับ”

“เจ้าว่าอะไรนะ!?” เจ้าเมืองออกอุทาน

“พวกมันข้ามแดนมาทางภูเขาขอรับ” พลตระเวนบอก

ตอนนี้ไม่ใช่เรื่องของการออกตรวจอย่างเงียบๆ เสียแล้ว

ถึงท่านเจ้าเมืองจะไม่ใช่ชายฉกรรจ์ ท่านก็ยังคงมีความแข็งแกร่งของความเป็นทหารชำนาญศึก

ท่านเรียกเสื้อคลุมประจำตำแหน่งกับหมวกมาสวมเรียบร้อย…แล้วขึ้นขี่บนหลังอาชาไนย

“เตรียมรบ!  เตรียมรบ!” ท่านเจ้าเมืองคนกล้าร้องประกาศ พลางควบม้าตรงไปยังโรงทหาร

“เตรียมรบ!  เตรียมรบ!” พวกชาวเมืองร้องบอกกันต่อๆ ไปอย่างตื่นตระหนก ข่าวแพร่สะพัดไปอย่างรวดเร็วดุจสายฟ้าแลบ

“เตรียมรบ!  เตรียมรบ!” เสียงแตรรบดังก้องไปในอากาศ

 

“เตรียมรบ!  เตรียมรบ!” ท่านเจ้าเมืองคนกล้าร้องประกาศ…”
ที่มา : ภาพยนตร์เรื่อง “พระเจ้าช้างเผือก”

 

ที่ต้องทำก่อนอย่างอื่นคือปิดประตูเมือง ทหารคนหนึ่งพยายามจะปิดประตูนั้น แต่คนเดียวไม่ไหว เลยเรียกพวกชาวเมืองมาช่วยกันปิดประตูเมืองอันจะเป็นเกราะกั้นระหว่างทหารหงสากับชาวเมืองกานบุรี

เสียงฆ้องใหญ่ดัง โมง…โมง…โมง กระหึ่มไปทั่ว

เสียงกึง กึง นั้นเล่าก็ดังมาจากประตูเมืองซึ่งถูกกระแทกปิดในความรีบด่วน

“เตรียมรบ!  เตรียมรบ!” เหล่าทหาร ซึ่งเพิ่งรี่มาถึงร้องตะโกนดัง บางคนถือปืน บ้างถือหลาว บ้างถือหอก

พวกทหารไต่บันไดแคบชันขึ้นไปบนเชิงเทิน แล้วไปประจำที่ของตนตามช่องกำแพงเมือง

ใช่แล้ว!...ใช่แล้ว!... โน่นแน่ะทัพหงสา

“ทหารทุกคนเข้าประจำที่!” ท่านเจ้าเมืองร้องสั่ง ตาจับอยู่ที่เชิงเทิน “เร็วเข้า!”

ตอนนี้ทุกคนก็เห็นทหารข้าศึกผู้รุกราน กำลังกวัดแกว่งอาวุธจู่โจมเข้ามายังตัวเมืองกานบุรี

พวกหงสาตระหนักดีว่าไม่สามารถเข้ายึดเมืองได้ง่ายๆ อย่างที่คิด การสู้รบเป็นสิ่งจำเป็น

เสียงปืนดังมาจากช่องเสมาบนกำแพงสูง เป็นระยะๆ ไม่ถี่นัก เพราะความที่ปืนพวกนี้ใช้ยาก จะต้องชำนาญวิธีบรรจุดินปืนไม่เช่นนั้นอาจจะระเบิดใส่มือเจ้าของที่ไม่ระมัดระวังได้อีกด้วย

เหล่าทหารในพระเจ้าจักราทำหน้าที่อย่างดีที่สุด กระสุนแม่นปืนบางนัดยิงถูกทหารข้าศึกตายลงบนแผ่นดินที่เข้ามารุกราน…

แต่ที่จริงพวกทหารถนัดการต่อสู้แบบตัวต่อตัวมากกว่า ซึ่งเป็นการต่อสู้ที่องอาจสง่างามตามแบบโบราณ ประตูเมืองถูกแง้มไว้ เพื่อให้ทหารข้างในกรูออกไปนอกกำแพงเพื่อประจัญบานกับทหารหงสา

ไม่ช้านัก ทั้งสองฝ่ายก็ประจันหน้ากัน เสียงตะโกนด่ากันดังขรมไปหมด แล้วก็มีการรบพุ่งฆ่าฟันกันชุลมุน

หลังการโจมตีชุดแรกทหารม้า สมทบด้วยพลเดินเท้าเสริมกำลังกองหน้าก็ออกมาจากดงไม้ที่ซุ่มซ่อน การรบกำลังติดพัน เสียงคำสั่งได้ยินไปทั่ว กองทัพหงสาเริ่มเคลื่อนไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว

ทว่าเหล่าพลปืนบนกำแพงเมืองก็ต่อต้านทัพม้าหงสาอย่างได้ผลแม่นยำมาก ทำให้ข้าศึกเริ่มระส่ำระสาย ม้าร้องด้วยความตื่นเสียงปืน และกองทัพหงสาชักไม่เป็นกระบวนมากขึ้นทุกขณะ กานบุรีออกจะป้องกันตัวเองได้ดีกว่าที่เคยคาดไว้ ถึงแก่ทำให้อัครมหาเสนาบดีเกิดลังเลใจ ซึ่งแต่เดิมก็ไม่ค่อยจะยินดีกับการสงครามคราวนี้สักเท่าใด การจู่โจมครั้งนี้ล้มเหลวกระนั้นหรือ? จะอย่างไรก็ตาม ควรหรือไม่ที่จะกลับไปขอพระราชวินิจฉัยจากพระเจ้าหงสา ผู้ซึ่งความใฝ่สงครามของพระองค์เป็นเหตุให้ยกทัพมาครั้งนี้

 

“...เหล่าพลปืนบนกำแพงเมืองก็ต่อต้านทัพม้าหงสาอย่างได้ผลแม่นยำมาก ทำให้ข้าศึกเริ่มระส่ำระสาย ม้าร้องด้วยความตื่นเสียงปืน และกองทัพหงสาชักไม่เป็นกระบวนมากขึ้นทุกขณะ…”
ที่มา : ภาพยนตร์เรื่อง “พระเจ้าช้างเผือก”

 

การยุทธ์เริ่มเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ไม่ดีต่อทัพหงสา ทหารเกิดสับสนอลหม่านเพราะประจันกับการต่อสู้ที่ไม่นึกว่าจะเกิดขึ้น อัครมหาเสนาบดีตัดสินใจ

“เฮ้ย! ถอย! …เฮ้ย! ถอย! …ถอย!” เขาออกคำสั่งไปยังนายทัพ “สั่งให้ถอยทัพก่อน”

“ถอยทัพ! ถอยทัพ!” นายทัพสั่งต่อลงไป

แล้วกองทัพหงสาก็ล่าถอยกลับไปตั้งอยู่ในชัยภูมิที่ได้เตรียมการไว้แล้ว ทิ้งพื้นที่โล่งไว้พอที่จะนับจำนวนซากศพและผู้ที่ใกล้จะเสียชีวิตได้

 

หมายเหตุ :

  • อักขรวิธีสะกดคงไว้ตามต้นฉบับ

บรรณานุกรม :

  • ปรีดี พนมยงค์, การโจมตีกานบุรี , พระเจ้าช้างเผือก (กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์มูลนิธิเด็ก, ๒๕๔๒), น. ๔๗-๕๑.

 

อ่านนวนิยาย "พระเจ้าช้างเผือก" ในรูปแบบ E-Book ได้ที่นี่

สั่งซื้อนวนิยาย "พระเจ้าช้างเผือก The King Of The White Elephant" ได้ที่นี่

 


[1] จากธรรมบท, ขุททกนิกาย