พระเจ้าจักรากำลังเสวยพระกระยาหารกลางวันใกล้จะแล้ว
โต๊ะเสวยตั้งอยู่บนพระระเบียง ฝาผนังด้านหลังแขวนภาพปักลวดลายงดงามฝีมือช่างเอกแห่งอโยธยา
ที่ข้างหน้าของพระองค์มีถาดใส่ผลไม้อยู่หลายใบ พระเจ้าจักราทอดพระเนตรผลไม้ แล้วทรงนับผลไม้นั้นด้วยพระทัยที่เลื่อนลอย ผลไม้เหล่านี้มีสีสันแปลก ๆ กันออกไป เช่น ฝรั่ง ยวงขนุนที่แกะออกมาจากเปลือกหุ้มอันขรุขระ มะม่วงปลายฤดูยังพอหาได้ มังคุดผลกลม มะละกอ สีแดงหลายชิ้น ละมุด และรวมถึงทุเรียนต้นฤดูเนื้อผิวเรียบ รสอร่อย เป็นเลิศกว่าผลไม้ทั้งปวง
พระราชาทรงคำนึงว่ากรุงอโยธยานี้มีเทพประทานพรให้โดยแท้ เพราะมีผลิตผลชั้นเลิศถึงเพียงนี้ “วันนี้ไม่มีกล้วยหรือ”
มหาดเล็กถวายคำนับ “วันนี้ไม่มีกล้วย พ่ะย่ะค่ะ แต่มีส้มโอ...” แล้วยื่นถาดส้มโอถวายองค์กษัตริย์ “ดีกว่ากล้วยและส้มเกลี้ยงอีก พ่ะย่ะค่ะ” เขาย้ำ
“ดี! ดี” พระราชดำรัส ทรงหยิบส้มโอมาผลหนึ่ง
พระองค์เพิ่งจะทรงปอกเปลือกส้มโอผลหนึ่งเสร็จ กำลังจะแกะกลีบขาว ๆ อันชุ่มฉ่ำข้างในนั้น ก็มีเสียงเคาะที่ประตู
พระเจ้าจักราดูจะทรงพิศวง นี่ไม่ใช่เวลาให้เข้าเฝ้า ใครจะกล้าเข้ามาในเวลาเช่นนี้ เวลาน้อยนิดที่พระองค์ทรงมีเป็นส่วนพระองค์
แต่เสียงเคาะก็ดังยิ่งขึ้นอีก และเมื่อทรงให้สัญญาณ มหาดเล็กจึงไปเปิดประตู
มหาดเล็กถอยกลับมาทูลรายงานทันที
“ท่านสมุหกลาโหม และท่านสมุหราชมณเฑียร พ่ะย่ะค่ะ!”
พระราชาทรงผงกพระเศียร
“ให้เข้ามา”
ขุนนางผู้ใหญ่ทั้งสองปรากฎกายผ่านทวารใหญ่แล้วประตูเบื้องหลังก็ปิดลง สายพระเนตรบอกเชิญชวนให้พูด ทั้งสองคุกเข่าถวายบังคม เป็นอากัปกริยาที่ไม่มีใครลืมได้แม้ในยามวิกฤต แล้วสมุหกลาโหมก็รีบ ถวายคำอธิบายด้วยเสียงสั่น ๆ
“ขอเดชะ พระเจ้าหงสายึดเมืองกานบุรีได้แล้ว พ่ะย่ะค่ะ”
สมุหราชมณเฑียรแทรกขึ้นมา...
“ข้าศึกจับผู้หญิงเป็นเชลย ฆ่าผู้ชายและเด็ก ทั้งยังเผาบ้านเรือน ในเมืองหมดทุกหลังด้วย พ่ะย่ะค่ะ”
พระเจ้าจักราทรงรู้สึกพระโลหิตฉีดขึ้นพระพักตร์ร้อนวูบ สีพระพักตร์มีแววเหมือนพายุที่ลอยต่ำแต่ยังไม่ทันเริ่มพัดตึง
“พระเจ้าหงสาวดีบุกตีเราโดยไม่ประกาศสงครามเป็นทางการหรือ?” ทรงอุทาน “อย่างนี้มันผิดธรรมเนียมระหว่างประเทศ แท้ ๆ”

พระเจ้าจักราทรงครุ่นคิด และทรงดำเนินไปมาในห้องพระโรง ยกพระพาหาทั้งสองข้างขึ้นด้วยความพิโรธ เสด็จออกไปที่พระระเบียง กลับเข้ามากลับออกไปอีก สุดท้ายก็ไปประทับยืนพิงลูกกรงสูงอยู่ข้างนอกนั้นเอง
“แต่เราจะหวังอะไรได้” ตรัสต่อ เม้มพระโอษฐ์แน่น “จากผู้มีคำพูดอันเชื่อถือมิได้”
ทรงยกพระพาหา เรียกเสนาบดีให้เข้ามาฟัง แล้วตรัสด้วยสุรเสียงอันเคร่งขรึม
“พวกท่านจำเรื่องพระสารีบุตรกับปีศาจสองตนได้ไหม?”
“เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อครั้งพุทธกาล เมื่อพระพุทธองค์ทรงประทับอยู่ ณ ป่าเวฬุวัน กรุงราชคฤห์ มีพระอรหันต์สองรูป พระสารีบุตรกับสหาย คือพระมหาโมคคัลลาน์ พำนักอยู่ในอารามใกล้ ๆ กันนั้น
คืนหนึ่งเมื่อดวงจันทร์ส่องแสงสว่างท่ามกลางท้องฟ้าใส พระสารีบุตรออกมานั่งข้างนอกวัดเพื่อรับอากาศบริสุทธิ์ และเมื่อท่านทำจิตเป็นสมาธิได้ไม่นานก็บรรลุถึงปิติสุข
ขณะนั้นมีปีศาจสองตนผ่านมาโดยบังเอิญ มันกำลังมุ่งไปทางอื่นเพื่อกระทำความชั่วร้ายบางอย่าง ครั้นได้มาพบพระสารีบุตร ซึ่งดูสงบและห่างไกลจากกิเลสทั้งมวล ตนแรกจึงเอ่ยขึ้นว่า “สหายเอ๋ย คงน่าสนุกดีนะ ถ้าจะทุบหัวโล้นของภิกษุนี่แรง ๆ สักทีหนึ่ง?”
“สหาย” ตนที่สองตอบ “อย่าทำร้ายต่อภิกษุรูปนี้เชียว ท่านทรงความศักดิ์สิทธิ์ มีอิทธิฤทธิ์เหนือธรรมชาติ”
แต่ปีศาจตนแรกยังยืนยันความคิดเดิม และปรารภซ้ำถึง ๓ คำรบ เมื่อไม่ฟังคำห้ามของสหายเสียแล้ว มันก็ทุบศีรษะพระสารีบุตรหนึ่งครั้ง
แรงทุบนั้นหนักนัก พอที่จะล้มช้างสูงเจ็ดศอกหรือถล่มภูเขาได้ แต่ในขณะนั้นเอง เจ้าปีศาจตัวชั่วก็ร้องเสียงโหยหวน “ข้ากำลังไหม้! กำลัง ไหม้!” และตกสู่อเวจีที่ซึ่งมันผุดออกมา
พระมหาโมคคัลลาน์ พระสาวกอีกรูปหนึ่ง ได้เห็นพระสารีบุตรถูกปีศาจทุบศีรษะ จึงรีบเข้าไปถาม “ดูกร ภราดา ท่านรู้สึกสบายดีอยู่หรือ? ไม่มีสิ่งใดผิดประหลาดเกิดแก่ท่านหรือ?”
“ข้าพเจ้ารู้สึกสบายดี ภราดาโมคคัลลาน์ สบายดี แต่ข้าพเจ้า ปวดศีรษะเล็กน้อยเท่านั้น”
“อัศจรรย์นัก ภราดาสารีบุตร!” พระโมคคัลลาน์อุทาน “กำลังและอำนาจของท่านสารีบุตรช่างพิสดารนัก”
“แต่ที่ท่านกล่าวมาทั้งหมดนี้มันเรื่องอะไรกันเล่า” ฝ่ายหลังถามด้วยความสงสัย
“ก็มีปีศาจตนหนึ่งมาทุบศีรษะท่านด้วยกำลังมากหนักหนา ถึงกับสามารถล้มช้างสูงเจ็ดศอกหรือแม้แต่ทำลายภูเขาได้ แต่ในขณะเดียวกันท่านสารีบุตรยังบอกว่ารู้สึกสบายดี นอกจากปวดศีรษะเพียงเล็กน้อยเท่านั้น”
บัดนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงสดับการสนทนาด้วยพระกรรณอันเหนือกว่าบุคคลธรรมดา จึงตรัสพุทธพจน์อันเป็นอมตะไว้
“บุคคลผู้มีจิตใจแกร่งดังหิน
ไม่มีอะไรผ่านเข้าไปได้ ไม่มีสิ่งใดรบกวนได้
ผู้ซึ่งโลกียสุขไม่สามารถทำให้ตื่นเต้น
ผู้ซึ่งการยั่วยุแหย่ไม่สามารถทำให้โกรธ
ผู้ฝึกฝนจิตดีแล้ว
ยังมีสิ่งร้ายใดมาเยือนเขาได้?”
จึงในปัจจุบัน อโยธยาจักต้องมั่นคงดังพระสารีบุตร เมื่อเหล่าปีศาจที่อาศัยอยู่อีกฟากเขาเข้ามาบุกรุกอย่างไร้เหตุผล อโยธยาจักส่งเหล่าปีศาจกลับไปสู่นรก ด้วยความดีแห่งตนดังเช่นพระสารีบุตรได้กระทำแล้ว นั่นแล...”
พระเจ้าจักราตรัสสรุป และหันไปทางสมุหกลาโหม
“เตรียมทัพของท่านให้พร้อม พวกเราจะออกไปเผชิญกับมัน”
“พ่ะย่ะค่ะ” สมุหกลาโหมรับราชโองการแล้วรีบออกไปโดยเร็ว

พระเจ้าจักราประทับพิงขอบพระระเบียง ขมวดพระขนงทอดพระเนตรเลื่อนลอยไปตามยอดปราสาทราชวัง แถวเสาระเบียงโบสถ์ ความรุ่งโรจน์แต่โบราณกาลของอโยธยาทอดตัวอยู่เบื้องหน้าพระองค์ และกำลังตกอยู่ในอันตรายด้วยอำนาจความโกรธของศัตรู
สมุหราชมณเฑียรสั่นศีรษะ
ท่านตามสมุหกลาโหมไปได้ก้าวหนึ่ง แล้วก็ก้าวอีกสองก้าวเพื่อเข้ามาใกล้พระราชา อึกอักอยู่ แล้วจึงตัดสินใจไม่ปล่อยโอกาสให้ผ่านไป เวลาช่วงนี้มีค่ามาก
ถวายคำนับตามพิธีแล้ว ท่านก็กราบบังคมทูล
“ขอเดชะฯ...”
พระเจ้าจักราทรงหันมาทอดพระเนตรเป็นเชิงถาม
“ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท” ท่านกล่าวต่ออย่างกลัว ๆ “คงจะไม่ทรงลืมที่จะปฏิบัติตามราชประเพณีก่อนออกสงครามนะ พ่ะย่ะค่ะ!”
“อย่ามาพูดเรื่องนางสนมอีก” พระเจ้าจักราตรัสดุ “พอข้าไปท่านก็จงอยู่ในกรุงคอยดูแลทุกข์สุขของราษฎรเถอะ”