ย้อนกาลเวลาสู่ช่วงทศวรรษ 2440 กลางท้องทุ่งริมเขตแดนของอำเภออุทัย (ยุคนั้นเรียก “อำเภออุไทย”) แห่งอยุธยา มณฑลกรุงเก่า ได้ปรากฏบุรุษสามรายผู้ประพฤติตนเป็น “นักต่อสู้ไล่ช้าง” อันมีนามว่า คุณแดง นายฮ้อ และนายเสียง เรื่องราวของพวกเขาจะเป็นอย่างไร? และเกี่ยวข้องประการใดกับ นายปรีดี พนมยงค์?
โปรดติดตาม ณ บัดนี้
ในหนังสือ ประสบการณ์และความเห็นบางประการของรัฐบุรุษอาวุโส ปรีดี พนมยงค์ ซึ่งถ่ายทอดเนื้อหาที่ ฉัตรทิพย์ นาถสุภา ได้เข้าสัมภาษณ์นายปรีดีเมื่อวันเสาร์ที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2525 โดยความตอนหนึ่งเปิดเผยเรื่องราวของนายเสียงว่า
“นายเสียง บิดาปรีดีนั้นไม่ชอบรับราชการ เพราะนายเสียงชอบผจญภัย ดังนั้นภายหลังที่แต่งงานกับแม่ของปรีดีมีบุตรหัวปีแล้ว นายเสียงจึงไปทำป่าไม้ที่บริเวณพระพุทธบาท ถิ่นที่มีไข้ป่าชุกชุม สมัยนั้นการทำป่าไม้ไม่คุ้มกับการต้องป่วยไข้ จึงได้เปลี่ยนไปทำนาที่ท่าหลวง ซึ่งญาติผู้ใหญ่อันดับอาผู้หนึ่งชื่อผึ้ง (ขุนประเสริฐ) เป็นผู้มีหลักฐานในตำบลนั้น สมัยนั้นยังไม่มีการชลประทาน”
นายปรีดีถามฉัตรทิพย์ “ท่าหลวงเคยไปหรือเปล่า” ครั้นฉัตรทิพย์ตอบ “ท่าหลวงที่มีโรงงานใช่ไหมครับ” นายปรีดีพลันอธิบายเพิ่มเติม
“คือ แต่ก่อนนี้โรงงานปูนซีเมนต์ก็ไม่มี เขื่อนกั้นน้ำก็ไม่มี ที่เขาเรียกท่าหลวงเพราะว่า คำว่า ท่าหลวง หมายถึงท่าของพระเจ้าแผ่นดิน เดิมแต่ครั้งโบราณจากท่าหลวง เขาตัดถนนซึ่งเมื่อผมยังเล็กๆ เขาเรียกถนนฝรั่งส่องกล้อง ยาว 1 โยชน์ ตัดตรงจากท่าหลวงไปพระพุทธบาท ตำบลนั้นเขาจึงเรียกว่า ท่าหลวง แล้วต่อมาในหลวงเวลาจะเสด็จไปพระพุทธบาท ก็เสด็จจากที่ๆ เวลานี้เรียกว่าท่าเรือ ตรงนั้นเดิมทีเดียวก็มีทาง สุนทรภู่เคยเขียนไว้เหมือนกัน แต่เขาไปช้างกัน ไปจนถึงพระพุทธบาท แล้วต่อๆ มาทางนั้นถูกลบ กรมพระนราฯ ท่านได้สัมปทานรถไฟเล็กจากท่าเรือไปพระพุทธบาท”
เดี๋ยวนี้ ตำบลท่าหลวงอยู่ในเขตอำเภอท่าเรือ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ส่วนเขื่อนที่อ้างถึงว่ายังไม่มีคือ เขื่อนพระรามหก สร้างขึ้นกั้นแม่น้ำป่าสัก เริ่มดำเนินการสร้างนับแต่ปลายทศวรรษ 2450 ยาวนานกว่าจะเสร็จสิ้นปลายทศวรรษ 2460 ในสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ถือเป็นเขื่อนทดน้ำแห่งแรกของเมืองไทย
“นายเสียง” ทำนาที่ท่าหลวงไปได้สักพัก ก็เกิดเหตุการณ์มิคาด เพราะ “...ฝนแล้งติดต่อกัน 2 ปี ทำนาไม่ได้ผล” ฉะนั้น เขา “...จึงไปปรับทุกข์กับเจ้าคุณไชยวิชิต (นาค) ถึงการจะหางานทำเพื่อเลี้ยงชีพกับครอบครัว ท่านเจ้าคุณได้ลาออกจากราชการไปก่อนแล้วหลายปี จึงแนะนำว่านายเสียงชอบผจญภัย จึงควรไปบุกเบิกที่บริเวณชายอำเภออุทัย ซึ่งสมัยนั้นเป็นทุ่งช้าง....”
“เจ้าคุณไชยวิชิต” ที่นายเสียงไปปรึกษาหารือเป็นคนเดียวกันกับ พระยาไชยวิชิตสิทธิสาตรา (นาค ณ ป้อมเพชร์) เคยรับราชการกระทรวงนครบาล ตำแหน่งผู้รักษากรุงเก่า ทั้งยังเคยรับราชการตำแหน่ง หลวงวิเศษสาลี ผู้ช่วยสถานทูตประจำกรุงลอนดอน ซึ่งเข้าร่วมกับพระเจ้าน้องยาเธอ 3 องค์ พระวรวงศ์เธอ 1 องค์ และข้าราชการสถานทูตสยามประจำกรุงลอนดอนและประจำกรุงปารีสอีก 6 ราย รวมทั้งสิ้น 11 ราย ทำหนังสือกราบบังคมทูลความเห็นขอให้พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 จัดการเปลี่ยนแปลงการปกครองราชการแผ่นดินจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นระบอบ “คอนสติตูชาแนลโมนากี” เมื่อเดือนมกราคม ร.ศ. 103 (นับเทียบศักราชแบบปัจจุบันจะตรงกับเดือนมกราคม พ.ศ. 2427) ผู้ลงลายมือชื่อประกอบด้วย
- พระเจ้าน้องยาเธอ พระองค์เจ้ากฤดาภินิหาร กรมหมื่นนเรศวรฤทธิ์
- พระเจ้าน้องยาเธอ พระองค์เจ้าโสณบัณฑิต
- พระเจ้าน้องยาเธอ พระองค์เจ้าสวัสดิโสภณ
- พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าปฤษฎางค์
- พระยาดำรงราชพลขันธ์ (นกแก้ว คชเสนี)
- หลวงเดชนายเวร (สุ่น สาตราภัย)
- นายเสน่ห์ หุ้มแพร (บุศย์ เพ็ญกุล)
- ขุนปฏิภาณพิจิตร (หรุ่น)
- นายร้อยเอกเปลี่ยน หัสดิเสวี
- หลวงวิเศษสาลี (นาค ณ ป้อมเพชร์)
- สับเลฟ ติแนนต์ สอาด สิงหเสนี
พระยาไชยวิชิตฯ เป็นญาติกับนายเสียง แม่ของท่านเจ้าคุณ คือ พี่น้องร่วมบิดามารดากับย่าของเขา (ต่อมาเจ้าคุณไชยวิชิตฯ ยังมีศักดิ์เป็นปู่ของพูนศุข ภริยานายปรีดี บุตรชายของนายเสียง)
ใช่ว่าจะให้นายเสียงไปบุกเบิกจับจองที่ดินเพียงผู้เดียว ท่านเจ้าคุณชราแนะนำให้ชวน นายฮ้อ พี่ชาย (บุตรคนที่ 6 ของนายเกิดและนางคุ้ม ส่วนนายเสียงเป็นบุตรคนที่ 7) พร้อมทั้งให้ คุณแดง บุตรชายของตนผู้กำลังหนุ่มแน่น (ต่อมาเข้ารับราชการกระทรวงนครบาล จนได้รับบรรดาศักดิ์ “หลวงปราณีตโยธากิจ”) ร่วมไล่ช้างบุกเบิกที่ดินบริเวณทุ่งช้างของอำเภออุทัยด้วย โดยจะจัดแบ่งที่ดินที่จับจองได้มาออกเป็นสามส่วนเท่าๆ กัน
ในที่สุด ภารกิจของนักต่อสู้ไล่ช้างทั้งสามนายจึงเริ่มต้นขึ้น !
นายปรีดีบอกเล่าต่อว่า
“เมื่อบุกเบิกต่อสู้ช้างจนโขลงช้างถอยออกจากบริเวณนั้นแล้ว ก็แบ่งที่บุกเบิกระหว่างกัน คุณแดงจับจองแถวลำแดง นายฮ้อกับนายเสียงจับจองแถวลำชะแมก แต่ช้างก็ยังรบกวนอยู่เสมอ โดยเฉพาะเมื่อข้าวออกรวงงอกงาม ช้างก็พากันมาทั้งโขลงกินข้าวที่เพาะปลูกไว้ ต่อมาราชการได้ตั้งอำเภอวังน้อยขึ้น จึงโอนบริเวณลำแดงและลำชะแมก ซึ่งเดิมอยู่เขตอำเภออุทัยนั้นขึ้นกับอำเภอวังน้อย”
ตอนพื้นที่อำเภอวังน้อยเพิ่งแยกออกมาจากอำเภออุทัยราวปลายปี ร.ศ. 126 (นับเทียบศักราชแบบปัจจุบันจะตรงกับช่วงต้นปี พ.ศ. 2451) จะเรียกขานว่า “อำเภออุไทยน้อย” รวมท้องที่ทั้งสิ้น 10 ตำบล ดังระบุตามประกาศใน ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 24 วันที่ 23 กุมภาพันธ์ ร.ศ. 126 ได้แก่ “ตำบลบ่อตาโล่ ๑ ตำบลลำไซ ๑ ตำบลลำตาเสา ๑ ตำบลพะยอม ๑ ตำบลวังน้อย ๑ ตำบลหันตะเภา ๑ ตำบลชะแมบ ๑ ตำบลวังกุลา ๑ ตำบลสนับทึบ ๑ ตำบลเข้างาม ๑...”
กระทั่งเดือนเมษายน พ.ศ. 2460 มีประกาศเปลี่ยนชื่อ “อำเภออุไทยน้อย” เป็น “อำเภอวังน้อย”
อาณาบริเวณที่นายฮ้อกับนายเสียงจับจอง ซึ่งนายปรีดีเรียก “ลำชะแมก” น่าจะหมายถึง “ลำชะแมบ” หรือ ตำบลชะแมบในอำเภอวังน้อยเสียมากกว่า ชาวท้องถิ่นให้ความเห็นเกี่ยวกับที่มาของชื่อว่า เพี้ยนจาก “ช้างม่อย” มาเป็น “ช้างแมบ” และเป็น “ชะแมบ” เพราะเคยเป็นแหล่งน้ำอุดมสมบูรณ์ที่โขลงช้างป่ามักแวะนอนพักผ่อนมาแต่ยุคโบราณ
ต้นทศวรรษ 2440 นายเสียงและนายฮ้อยังคงปฏิบัติการไล่ช้างอยู่ แม้ตอนนายปรีดีถือกำเนิดแล้ว (พ.ศ. 2443) สอดคล้องกับเสียงเล่าที่ว่า “...บิดาผม ลุงผม ท่านไปไล่ช้างผมก็เกิดแล้ว แต่คลับคล้ายคลับคลา การจับจองที่ดินว่างเปล่าต้องต่อสู้กับช้าง...” เด็กชายปรีดีอาจจะเติบโตไม่ทันได้ไปช่วยบิดาไล่ช้างอย่างจริงจัง แต่เขาทันพบเห็นภาพบรรยากาศความเป็น “ทุ่งช้าง” ของละแวกทุ่งรังสิตจรดอยุธยา ซึ่ง “...แต่ก่อนนี้เป็นทุ่งช้างจริงๆ ในปีที่ผมได้ทุนรัฐบาลไปเรียนในฝรั่งเศสเมื่อ พ.ศ. 2463 นั้น ก่อนจะจากสยามไปผมได้ไปบ้านที่อยุธยา แล้วสังเกตกลางทุ่งนายังเห็นช้าง จำได้ตะคุ่มๆ โดยมากมันมักอยู่กัน 2 ตัว ถึงเวลาที่มีข้าวมันก็มากันหลายตัว...”
นายปรีดีเองก็เคยทำนาตามคำสั่งของบิดา ด้วยเจตนาจะบ่มเพาะบุตรชายให้รู้จักความยากลำบากเยี่ยงเดียวกับที่ตนลิ้มรสชาติเรื่อยมา ความรู้สึกของนายปรีดีที่มีต่อนายเสียงจึงเป็นไปทำนอง “...บิดาผมเลือกอาชีพทำนา จึงประสบชะตากรรมอย่างชาวนาซึ่งกระทบถึงความเป็นอยู่ของครอบครัว ผมประสบพบเห็นความอัตคัดของบิดามารดา และเมื่อไปอยู่กับบิดาก็พบเห็นความอัตคัดขัดสนของชาวนาทั่วไป”
กระนั้น นายเสียงมิเคยมองว่าการทำนาเป็นของน่าเหนื่อยหน่ายหรือสิ่งไม่ดีงาม เขากลับนิยมชมชอบอาชีพกสิกรรมแขนงนี้ หนังสือ คำแนะนำและข้อสกิดใจในการทำนา ที่เจ้าภาพพิมพ์แจกในการฌาปนกิจศพนายเสียง พนมยงค์ ณ วัดเทพศิรินทราวาส เมื่อวันจันทร์ที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2479 บุคคลที่เขียนประวัติผู้วายชนม์กล่าวว่า “นายเสียง พนมยงค์ เป็นผู้สนใจในกสิกรรมและที่สนใจที่สุดคือการทำนา ดูเหมือนว่าพบกันกับข้าพเจ้าครั้งไรที่จะไม่พูดกันถึงเรื่องทำนาเป็นไม่มี แต่ถึงว่าจะฝักใฝ่ในการทำนาอยู่มากก็จริง นายเสียง พนมยงค์ มิได้ละเลยที่จะสงเคราะห์และให้การศึกษาแก่บุตรเลย…”
ภายหลังจากนักต่อสู้ไล่ช้างทั้งสามเอาชนะโขลงช้างสำเร็จ สามารถจับจองที่ดินทำการเกษตรได้สักระยะ พวกเขาต้องเผชิญหน้ากับอุปสรรคใหม่ที่ถาโถมมาพร้อมๆ เครื่องจักรกลในช่วงทศวรรษ 2440 ดังนายปรีดีแจกแจงว่า
“ต่อมาบริษัทขุดคลองคูนาสยามได้ขุดคลองมาถึงบริเวณที่คุณแดง นายฮ้อ นายเสียงบุกเบิกจับจองไว้ ในสัมปทานที่รัฐบาลให้แก่บริษัทนั้นมีความว่า ถ้าบริษัทได้ขุดคลองไปถึงที่ใดก็ให้ถือบริเวณ 40 เส้นตั้งแต่ฝั่งคลองแต่ละฝั่งเป็นของบริษัทนั้น แต่บริษัทก็ให้สิทธิแก่ผู้จับจองไว้ก่อนแล้วที่เสียค่าขุดคลองในอัตราไร่ละ 4 บาท เพื่อได้กรรมสิทธิในที่ดินที่จับจองไว้ก่อนนั้น เจ้าคุณกรุง (พระยาไชยวิชิตฯ (นาค)) ในนามคุณแดงกับคุณขัน นายฮ้อ นายเสียง จึงต้องเสียเงินให้บริษัทคนละประมาณ 200 ไร่...”
นั่นหมายความว่า เฉพาะแค่ตัวนายเสียงจะต้องจ่ายเงินให้ บริษัทขุดคลองคูนาสยาม (Siam Canals, Lands and Irrigation Company) ซึ่งผู้ดำเนินงานคือกลุ่มชนชั้นนำและ “...ตั้งโดย 3 หุ้นใหญ่ หุ้นหนึ่งคือ พระองค์เจ้าสายสนิทวงศ์ และ ม.ร.ว. สุวพันธ์ ลูกคนโตของพระองค์เจ้าสาย และพระปฏิบัติราชประสงค์เป็นชาวเยอรมันชื่อมูลเล่อร์...” เป็นจำนวนประมาณ 800 บาท ถือว่าราคาสูงลิบลิ่วสำหรับสมัยนั้น ด้านชาวบ้านธรรมดาสามัญที่ไม่มีเงินเพียงพอ ก็คงปลงตกจำใจให้ทางบริษัทยึดเอาที่ดินอันพวกตนเคยต่อสู้ไล่ช้างเพื่อบุกเบิกจับจอง และลงเรี่ยวแรงเพาะปลูกพืชพรรณไปเสียง่ายดาย ขณะที่ดินสองฝั่งคลองที่ขุดตลอดสายค่อยๆ กลายเป็นของบริษัท ส่วนชาวนาผู้เคยจับจองพื้นที่ดั้งเดิมต้องทนตรากตรำกรำงานหนักโดยไม่มีที่ดินเป็นของตนเอง เพราะพวกเขาทั้งหลายไม่มีเงินจ่าย “ค่ากรอกนา” ไร่ละ 4 บาท
นายเสียงได้มีที่ดินเป็นของตนเองอยู่ก็จริง ทว่า “...นาตั้ง 200 ไร่ ทำคนเดียวก็ไม่ไหว ก็ให้เขาเช่าไปบางปี ทีแรกก็ทำนาเอง บิดาผมมีควาย 5-6 ตัว ผมยังจำได้ว่าขโมยเอาไปหมดเลย ชาวนาจึงเดือดร้อนหลายอย่างรวมทั้งถูกขโมยควาย”
การรุกเข้ามาของบริษัทขุดคลองที่อาศัยประสิทธิภาพของเครื่องจักร แม้จะนำมาซึ่งความเจริญแบบสมัยใหม่ แต่ผลประโยชน์มหาศาลตกอยู่ในมือชนชั้นนำและผู้ถือหุ้นบริษัท ขณะชาวบ้านและชาวนาทั้งหลายที่เคยลงทุนลงแรงถึงกับต้องเสี่ยงเป็น “นักต่อสู้ไล่ช้าง” เพื่อจับจองที่ดินทำมาหากิน กลับเผชิญความลำบากยากเข็ญ คนธรรมดาสามัญเยี่ยงพวกเขาอาจเคยเอาชนะโขลงช้างตามธรรมชาติได้ แต่ท้ายสุดก็พ่ายแพ้ต่อกลุ่มคนที่ประหนึ่ง “ขี่ช้างจักรกล” มายึดเอาที่ดินไป
เอกสารอ้างอิง
- กรมเกษตรและการประมง. คำแนะนำและข้อสกิดใจในการทำนา. เจ้าภาพพิมพ์แจกในการฌาปนกิจศพ นายเสียง พนมยงค์ ณ วัดเทพศิรินทราวาส วันที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2479. พระนคร : โรงพิมพ์อักษรนิติ, 2479
- “แจ้งความกระทรวงมหาดไทย เรื่อง แบ่งท้องที่อำเภอพระราชวัง ตั้งขึ้นอีกหนึ่งอำเภอเรียกว่าอำเภออุทัยน้อยและโอนตำบลต่างๆ ๔ ตำบล จากอำเภอพระราชวัง กับตัดตำบลหนองน้ำส้ม จากอำเภออุทัยใหญ่ หนองแขม จากอำเภอหนองแครวมแห่งละกึ่งตำบลมาขึ้นอำเภออุทัย.” ราชกิจจานุเบกษา. 24 (47) (23 กุมภาพันธ์ ร.ศ.126). หน้า 1252–1253.
- “ประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง เปลี่ยนชื่ออำเภอ.” ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 34 ตอนที่ 10 (29 เมษายน 2460). หน้า 40-68
- ปรีดี พนมยงค์. ประสบการณ์และความเห็นบางประการของรัฐบุรุษอาวุโส ปรีดี พนมยงค์. ฉัตรทิพย์ นาถสุภา สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2525. กรุงเทพฯ: โครงการ “ปรีดี พนมยงค์กับสังคมไทย”, 2526
- อาชญาสิทธิ์ ศรีสุวรรณ
- ฉัตรทิพย์ นาถสุภา
- เสียง พนมยงค์
- ลูกจันทน์ พนมยงค์
- สุนทรภู่
- พระยาไชยวิชิตสิทธิสาตรา
- นาค ณ ป้อมเพชร
- พระเจ้าน้องยาเธอ พระองค์เจ้ากฤดาภินิหาร กรมหมื่นนเรศวรฤทธิ์
- พระเจ้าน้องยาเธอ พระองค์เจ้าโสณบัณฑิต
- พระเจ้าน้องยาเธอ พระองค์เจ้าสวัสดิโสภณ
- พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าปฤษฎางค์
- พระยาดำรงราชพลขันธ์
- นกแก้ว คชเสนี
- หลวงเดชนายเวร
- สุ่น สาตราภัย
- เสน่ห์ หุ้มแพร
- บุศย์ เพ็ญกุล
- ขุนปฏิภาณพิจิตร
- เปลี่ยน หัสดิเสวี
- หลวงวิเศษสาลี
- สอาด สิงหเสนี
- พูนศุข พนมยงค์
- หลวงปราณีตโยธากิจ
- พระองค์เจ้าสายสนิทวงศ์
- สุวพันธ์ สนิทวงศ์
- พระปฏิบัติราชประสงค์