ข้าพเจ้าเกิดเมื่อวันที่ ๒ มกราคม ๒๔๕๕ ตรงกับวันอังคาร ขึ้น ๑๔ ค่ำ เดือนอ้าย ปีกุน ที่จวนผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรปราการริมน้ำ เยื้องพระสมุทรเจดีย์ เป็นบุตรมหาอำมาตย์ตรีพระยาชัยวิชิตวิศิษฏ์ธรรมธาดา (ขำ ณ ป้อมเพชร์) และคุณหญิงเพ็ง (สกุลเดิม สุวรรณศร) คุณพ่อคุณแม่ได้พาเข้าเฝ้าสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ขณะประทับแรมที่พลับพลาในบริเวณจวนผู้ว่าฯ เพื่อขอรับพระราชทานชื่อ ซึ่งทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานนามว่า “พูนศุข” เมื่อวันที่ ๓๐ พฤษภาคม ร.ศ. ๑๓๑ (พ.ศ. ๒๔๕๕)
วัยเยาว์
ในระหว่างที่คุณพ่ออยู่จังหวัดสมุทรปราการ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวได้โปรดเกล้าฯ ตั้งกองเสือป่า และเวลาเย็นมีการฝึกพวกเสือป่ากันแทบทุกวันที่จวนผู้ว่าฯ นอกจากฝึกการใช้อาวุธแล้วยังมีการร้องเพลงปลุกใจอีกด้วย ตอนนั้นข้าพเจ้ายังจำความไม่ได้ แต่ผู้ใหญ่เล่าให้ฟังว่าข้าพเจ้าร้องเพลงเสือป่าได้ และได้รับรางวัลจากเจ้านายที่ไปประทับ ณ ที่นั้นบ่อยครั้ง
ต่อมาเมื่อคุณพ่อย้ายเข้ามารับราชการในกรุงเทพมหานคร และเมื่อข้าพเจ้ามีอายุประมาณ ๖-๗ ขวบ ได้เข้าเฝ้าเป็นครั้งที่ ๒ ในวันเฉลิมพระชนมพรรษา ที่พระราชวังพญาไท รับพระราชทานสลากเพื่อไปขึ้นเอาของเล่น รับพระราชทานเลี้ยงอาหารเย็นด้วย
เมื่อมาอยู่ในกรุงเทพฯ คุณพ่อได้รับพระราชทานบ้านอยู่ที่เหนือปากคลองสาน พี่สาวซึ่งแก่กว่า ๒ ปี ได้ถูกส่งไปเข้าโรงเรียนเซนต์โยเซฟคอนแวนต์ และพักอยู่ที่ “บ้านศาลาแดง” ซึ่งเป็นบ้านของท่านเจ้าพระยายมราช (ปั้น สุขุม) ปัจจุบันเป็นโรงแรมดุสิตธานี เพราะใกล้โรงเรียน เนื่องจากบ้านที่อยู่ไม่สะดวกแก่การเดินทาง ต้องข้ามฟากมาขึ้นที่กรมเจ้าท่าและขึ้นรถต่อไปโรงเรียน พอพี่สาวเข้าเรียนได้ราว ๒ สับดาห์ กลับมาบ้านเล่าเรื่องโรงเรียนให้ฟัง ข้าพเจ้าจึงอยากจะไปเรียนบ้าง
คุณพ่อคุณแม่ก็เต็มใจ จึงเริ่มเข้าเรียนโดยเป็นนักเรียนไปมา พักอยู่ “บ้านศาลาแดง” วันเสาร์จึงกลับบ้าน เมื่อพักอยู่ “บ้านศาลาแดง” ได้ระยะหนึ่งเกิดคิดถึงบ้าน จึงกลับมาอยู่ที่บ้าน ซึ่งการเดินทางลำบากมาก คือ ต้องนั่งเรือจ้างข้ามแม่น้ำไปขึ้นที่กรมเจ้าท่า แล้วขึ้นรถยนต์ต่อไปโรงเรียน หากฝนตกก็ไม่ได้ไปโรงเรียน คุณพ่อมาสร้างบ้านที่ถนนสีลม เมื่อพุทธศักราช ๒๔๖๔ และให้ชื่อว่า “บ้านป้อมเพชร์” บ้านอยู่ไม่ไกลจากโรงเรียน ถึงกระนั้นเราก็นั่งรถยนต์ไปเรียน และบางครั้งก็กลับมารับประทานอาหารกลางวันที่บ้าน
ข้าพเจ้าได้เข้าเรียนชั้นเดียวกับพี่สาวมีครูเป็นแม่ชี ในสมัยนั้นแม่ชีส่วนใหญ่เป็นฝรั่งจะมีแม่ชีที่เป็นคนเวียดนามไม่กี่คน ครั้งแรกเข้าชั้น Elementary แล้วเลื่อนเป็น Preparatory แล้วจึงขึ้นเป็น Standard ซึ่งครูจะใช้ภาษาต่างประเทศสอน ขณะนั้นทางโรงเรียนมี ๒ แผนกคือแผนกภาษาฝรั่งเศสและแผนกภาษาอังกฤษ ส่วนข้าพเจ้าได้เข้าเรียนแผนกภาษาอังกฤษ การเรียนอยู่ในขั้นปานกลาง ในสมัยนั้นนักเรียนมีประมาณ ๒๐๐ คน จึงรู้จักกันเป็นส่วนใหญ่ เรียนอยู่จนถึง Standard 7 จึงลาออกมาแต่งงาน นอกจากเรียนหนังสือแล้วยังได้เรียนเปียโนอีกด้วย ข้าพเจ้าได้แสดงเปียโนสี่มือ (Duet) คู่กับเพื่อนซึ่งเรียนชั้นเดียวกัน ๒ ครั้ง ในวันปิดเทอมมีพิธีแจกประกาศนียบัตร
ทางบ้านไม่ปล่อยให้ไปเที่ยวโดยลำพัง ให้ผู้ใหญ่พาไปดูหนังกลางวันบ้างเป็นครั้งคราว เมื่อมีงานฤดูหนาวก็ได้ไปเกือบทุกคืน ตั้งแต่มีงานที่สวนจิตรลดาจนถึงสวนสราญรมย์ งานฤดูหนาวนั้นอากาศหนาว ตอนเป็นเด็กก็ใส่เสื้อสเวตเตอร์ พอถึงวัยรุ่น คุณแม่ตัดเสื้อ Cloak[1] ให้ ในงานมีออกร้านขายของและขายอาหาร ที่ว่าไปเกือบทุกคืนคือ คุณพ่อเป็นอธิบดีกรมราชทัณฑ์จึงมีร้านของกรมฯ ขายสิ่งของฝีมือผู้ต้องหา บางทีได้ที่เหมาะพอที่จะตั้งโต๊ะขายอาหาร คุณแม่ขายอาหารราคาย่อมเยา ส่วนในงานมีร้านที่ขายของแพงทั้งนั้น
มีอยู่ปีหนึ่งพระเจ้าอยู่หัวตั้งร้านถ่ายรูป ครอบครัวเราได้ไปถ่ายรูป ภาพฝีพระหัตถ์พระบาทสมเด็จหมู่ซึ่งในหลวงรัชกาลที่ ๖ ทรงถ่ายด้วยพระองค์เอง คิดอัตรา ๓ รูป ๑๐๐ บาท และเซ็นพระนาม “ราม ป.ร.” ไว้ใต้รูปด้วย สำหรับในหลวงรัชกาลที่ ๖
ข้าพเจ้าได้มีโอกาสเฝ้าใกล้ชิด ๒ ครั้ง ครั้งแรกเมื่ออายุประมาณ ๘ ขวบ คือพระองค์ได้เสด็จพระราชดำเนินไปประทับแรมที่พลับพลาตำบลป้อมเพชร์ ซึ่งใกล้กับหมู่บ้านของบุพการีข้าพเจ้า คุณพ่อจึงนำลูกหลานในสกุล “ณ ป้อมเพชร์” เข้าเฝ้า และถวายหีบบุหรี่ไม้ปุ่มฝาหีบมีตรา “ณ ป้อมเพชร์” ทองลงยาฝังเพชรเล็ก ๑ เม็ด
ในบรรดาพี่น้อง ข้าพเจ้าเป็นลูกที่ติดตามคุณพ่อคุณแม่ไปงานต่างๆ ที่มีในขณะนั้น เช่น งานพระบรมศพสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง และงานพระบรมศพพระมงกุฎเกล้าฯ รัชกาลที่ ๖ ซึ่งมีทุกสัปดาห์ พวกเรานั่งที่ปะรำข้างทูลละอองพระบาทฝ่ายในทางเสด็จพระราชดำเนินผ่าน จึงได้เห็นราชประเพณีหลายอย่างติดตามาจนทุกวันนี้
เรื่องการศึกษา ข้าพเจ้าเรียนอยู่ที่ ร.ร. เซนต์โยเซฟคอนแวนต์ ๑๐ ปี เข้าเรียนเวลา ๘ .๓๐ น. เลิกเวลา ๑๖ น. ตั้งแต่วันจันทร์ อังคาร พุธ วันพฤหัสบดีหยุด และเปิดต่อวันศุกร์ เสาร์ หยุดวันอาทิตย์ เมื่อเข้าห้องเรียนจะมีการสวดเป็นภาษาอังกฤษ ต่อมาแม่ชีซึ่งสมัยนั้นเรียก “แม่ดำ” (คงจะเป็นเพราะแต่งชุดดำหรือเพี้ยนมาจาก Madame) จะอ่าน Gospel[2] ให้ฟัง และมีวิชา Catechism ซึ่งมีคำถามและตอบเป็นข้อๆ เกี่ยวกับศาสนาคริสต์ แล้วจึงเรียนวิชาสามัญตามตารางโดยสอนเป็นภาษาอังกฤษ ถึงเวลา ๑๑.๓๐ น. หยุดพักรับประทานอาหารกลางวันและเล่น เช่น กระโดดเชือก หมากเก็บ ตักหอย ฯลฯ
พอเวลา ๑๓ น. เข้าเรียน ชั่วโมงแรกเรียนภาษาไทย ซึ่งเรียนไม่ตรงกับชั้นที่เรียนภาษาอังกฤษ และนักเรียนทั้ง ๒ ภาษาเรียนพร้อมกัน เช่น ข้าพเจ้าเรียนชั้น Standard สูงกว่าชั้นที่เรียนภาษาไทย ในขณะนั้นที่โรงเรียนมีตึกเพียง ๓ หลัง ต่อมาได้สร้างขึ้นอีก ๑ หลัง มีโบสถ์เล็กๆ (Chapel) ด้วย ซึ่งนักเรียนต้องไปโบสถ์ทุกวันศุกร์ต้นเดือน เมื่อสร้างตึกใหม่เสร็จ
ในหลวงรัชกาลที่ ๖ เสด็จไปทรงเปิด รับเสด็จโดยนักเรียนแสดงเปียโนและเต้นระบำถวาย นอกจากนั้นบางครั้งมีแขกผู้ใหญ่ เช่น ผู้สำเร็จราชการอินโดจีนมาเยี่ยม ทางโรงเรียนก็จัดงานต้อนรับโดยให้นักเรียนร้องเพลงหมู่ประสานเสียง นักเรียนประจำแบ่งออกเป็น ๓ ชั้น คือ ชั้น ๑ ชั้น ๒ และชั้น ๓ ซึ่งมักจะเป็นเด็กกำพร้าหรือไม่เสียเงินค่าเล่าเรียน และสอนวิชาตัดเสื้อให้เพื่อจะได้มีอาชีพต่อไป
ชีวิตครอบครัว
ข้าพเจ้าแต่งงานเมื่อวันที่ ๑๖ พฤศจิกายน ๒๔๗๑ ที่บ้านป้อมเพชร์ กับ นายปรีดี พนมยงค์ ซึ่งมีศักดิ์เป็นญาติห่างๆ คือมีเชียด[3] คนเดียวกัน นายปรีดีมีอายุแก่กว่าข้าพเจ้า ๑๑ ปี เรียนกฎหมายสำเร็จเป็นเนติบัณฑิต และได้รับเลือกให้ไปศึกษาต่อ ณ ประเทศฝรั่งเศส เรียนอยู่ ๗ ปี สอบไล่ได้ปริญญารัฐเป็นดุษฎีบัณฑิตกฎหมาย Docteur en Droit ฝ่ายนิติศาสตร์ ประกาศนียบัตรชั้นสูงทางเศรษฐศาสตร์ (Diplome d'Etudes Superieures d' Economie Pottique) เมื่อต้นปี ๒๔๗๐
คุณพ่อปลูกเรือนหอให้ในบริเวณบ้านป้อมเพชร์ ถนนสีลม ซึ่งขณะนี้กลายเป็นถนนใหญ่ซึ่งตัดตรงจากช่องนนทรีไปจบที่ถนนสุรวงศ์ ขณะนั้นนายปรีดีรับราชการเป็นผู้ช่วยเลขานุการกรมร่างกฎหมาย (ปัจจุบันคือคณะกรรมการกฤษฎีกา) และครูสอนโรงเรียนกฎหมาย กระทรวงยุติธรรม นอกจากนั้นนายปรีดียังมีโรงพิมพ์ส่วนตัว พิมพ์หนังสือวิชากฎหมายและเศรษฐศาสตร์ ชื่อ นิติสาส์น อีกด้วย
เราได้ร่วมกันทำงาน คือ ทางโรงพิมพ์ ข้าพเจ้ามีหน้าที่ช่วยตรวจปรู๊ฟ ส่วนการสอนที่โรงเรียนกฎหมายซึ่งสอนสัปดาห์ละ ๒ ครั้งก่อนไปเลกเชอร์ นายปรีดีได้ให้ข้าพเจ้าเขียนตามคำบอก ทำให้ข้าพเจ้าได้รับความรู้เพิ่มเติมอีกเป็นอันมาก นอกจากนี้ยังเปิดสอนพิเศษแก่ผู้ประสงค์จะเรียนในเวลาค่ำที่บ้าน มีนักเรียนมาเรียนทั้งชายและหญิงประมาณ ๒๐ คน นายปรีดีได้มอบเงินเดือนทั้งหมดให้ข้าพเจ้า ยกเว้นค่าสอนซึ่งเอาไว้ใช้ส่วนตัว อาหารการกินขึ้นไปรับประทานร่วมกันกับคุณพ่อคุณแม่บนตึกใหญ่โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น
การใช้ชีวิตครอบครัว เมื่อถึงวันหยุดก็ไปชมภาพยนตร์บ้าง ไปจังหวัดใกล้เคียง เช่น อยุธยาซึ่งเป็นบ้านเกิดนายปรีดีบ้าง สมัยนั้นข้าราชการกระทรวงยุติธรรมได้หยุด ๑ เดือน คือเดือนเมษายน ภายหลังแต่งงานเราได้ไปเที่ยวชายทะเลแถบตะวันออก โดยเรือภาณุรังษี ออกจากกรุงเทพฯ เที่ยงวันเสาร์แวะระยอง จันทบุรี เข้าเขตกัมพูชา แวะเมืองเรียม เมืองเด๊ป และเมืองซาเตียนซึ่งขึ้นกับเวียดนาม เรือเทียบท่าเฉพาะจันทบุรีและเมืองเรียม ใช้เวลา ๖ วัน ถึงกรุงเทพฯ เช้าวันพฤหัสบดี เสียค่าโดยสารคนละ ๖๐ บาท นับว่าเป็นการท่องเที่ยวที่คุ้มค่า เพราะได้อากาศทะเล อาหารดีทั้งไทยและฝรั่ง ปีต่อๆ ไปได้ไปสงขลาและเลยไปเกาะปีนัง นับเป็นการออกไปต่างประเทศครั้งแรกของข้าพเจ้า และปีต่อไปก็ไปพักตากอากาศที่อำเภอหัวหินซึ่งเสียค่าเช่าบังกะโลเพียงวันละ ๔ บาท บางปีก็ไม่ได้ไปไหนเพราะมีลูกอ่อน เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๗๘ ไปอินโดจีนโดยรถยนต์ที่บรรทุกรถไฟจนถึงอรัญประเทศ จากนั้นนั่งรถยนต์เข้าเขตกัมพูชาที่ด่านคลองลึก ผ่านปอยเป็ต โพธิสัตว์ พระตะบอง ไซ่ง่อน (ปัจจุบันโฮจิมินห์ชิตี้) จากไช่ง่อนขึ้นเขาไปดาลัต เพื่อส่งน้องสาว ๒ คน คือนวลจันทร์และอุษา เข้าเรียนที่ Lycee Yersin
แม่[4] แต่งงานได้ ๑ ปีกับ ๔ เดือน จึงให้กำเนิดลูกหญิงคนแรก ซึ่งทูลหม่อมฟ้าหญิงฯ (สมเด็จพระราชปิตุจฉา เจ้าฟ้าวไลอลงกรณ์กรมหลวงเพชรบุรีราชสิรินธร) ประทานชื่อว่า “ลลิตา” ต่อมาอีก ๑ ปี ๔ เดือน ได้ลูกชายให้ชื่อว่า “ปาน” เพราะเมื่อเกิดมีปานแดงอยู่ที่หน้าผาก ต่อมาคุณยายตัดผมให้ด้วยกรรไกรไปสะกิดที่ปานมีเลือดออก ปานแดงจึงหายไป เราจึงเปลี่ยนชื่อให้เป็น “ปาล”
ต้นปี ๒๔๗๕ ราวต้นเดือนมิถุนายน พ่อบอกกับแม่ว่าจะขออนุญาตไปบวช แม่ก็ตอบเต็มใจ เมื่อวันที่ ๒๓ มิถุนายน พ่อบอกแม่ว่าจะไปลาคุณปู่ซึ่งอยู่ที่นา อำเภอวังน้อย จังหวัดอยุธยา ตอนเช้าพ่อไปทำงานตามปกติ เย็นก็กลับมาบ้านเพื่อเตรียมเดินทาง แม่จึงติดรถพาลูกไปส่งที่สถานีหัวลำโพง ในคืนวันนั้นเวลาสองยามเศษปาลซึ่งมีอายุ ๖ เดือนร้องไห้โดยไม่มีอะไรผิดปกติเป็นเวลานาน จนคุณตาซึ่งอยู่บนตึกใหญ่ได้ยินจึงให้คนใช้มาถามว่าเป็นอะไร แต่ไม่ทราบสาเหตุ ได้อุ้มปาลไปลงเปลที่ตึกหลังบ้านจึงสงบ แม่นึกสังหรณ์เกรงว่าพ่อจะเป็นอันตราย เพราะการเดินทางไปอำเภอวังน้อยไม่สะดวกต้องนั่งเรือจากอยุธยาไม่เหมือนทุกวันนี้ซึ่งมีความเจริญมาก
พอรุ่งเช้าวันที่ ๒๔ มิถุนายน พาปาลลงไปถ่ายรูปในสนามหญ้าหน้าบ้าน ฝนตกหยิมๆ ไม่มากนัก ท่านเจ้าพระยายมราช (ปั้น สุขุม) ได้มาที่บ้าน บอกว่าเกิดเหตุใหญ่ คือ คนเรือของท่านที่จอดอยู่หน้าบ้านวัดสามพระยามารายงานว่า มีทหารกลุ่มหนึ่งพร้อมทั้งรถถังมาจับทูลหม่อมชายไป (สมเด็จเจ้าฟ้าบริพัตรฯ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต) ท่านเจ้าพระยายมราชมาถามดูเผื่อว่าทางบ้านเราพอจะรู้อะไรบ้าง เมื่อยังไม่ได้ความ พอดีมีเพื่อนคุณตามาที่บ้าน ในขณะนั้น ท่านจึงขอให้คุณตาและเจ้าคุณคนนั้นออกไปสืบหาความจริง และท่านยังกำชับไม่ให้นั่งรถเก๋งเพราะเกรงว่าจะเป็นที่ขวางหูขวางตา จึงไปกับรถเจ้าคุณคนนั้นซึ่งเป็นรถประทุน
ส่วนทางบ้านก็เป็นห่วงเจ้านายที่ถูกเชิญตัวไป จนบ่ายคุณตากับเพื่อนกลับมา ได้ความว่ามีพันเอกพระยาพหลฯ เป็นหัวหน้ายึดอำนาจการปกครอง แต่ไม่ทราบรายละเอียด ขณะนั้นคนงานที่โรงพิมพ์นิติสาส์นได้มารายงานว่ามีทหารมา ๑ คันรถ สั่งให้พิมพ์ใบปลิว ซึ่งเข้าใจว่าเรียงพิมพ์ไว้แล้ว ท่านผู้ใหญ่ซึ่งอยู่ในขณะนั้นบอกว่าให้ทำตามเขาเถิด ต่อมามีเพื่อนคุณตามาที่บ้านพูดทำนองว่า พ่อมีส่วนเกี่ยวข้องกับการยึดอำนาจ แต่เห็นทางบ้านเราไม่รู้อะไรจึงกลับไป พอเวลาค่ำประมาณ ๓ ทุ่ม ได้มีชายผู้หนึ่งกับผู้ติดตาม ๒ คนมาที่ประตูบ้านซึ่งปิดแล้ว บอกว่าชื่อ ซิม วีระไวทยะ มาขอรับเครื่องแต่งตัวพ่อเพื่อประชุมเสนาบดีในวันพรุ่งนี้ พร้อมทั้งขอเสบียงอาหารด้วย เพราะตั้งแต่เช้ายังไม่ได้รับประทานอาหาร คุณตาไมให้เปิดประตูเพราะไม่รู้จัก แต่เผอิญญาติแม่ซึ่งเป็นผู้พิพากษาและอยู่ในบ้านรู้จัก จึงได้จัดของให้ไปและทราบทันทีว่าพ่อมีส่วนเกี่ยวข้องในเหตุการณ์วันนี้ แม่ขอเพิ่มเติมว่าประตูบ้านป้อมเพชร์ เป็นประตูเหล็กเป็นซี่ๆ โปร่งมองเห็นกัน
ตั้งแต่เย็นวันที่ ๒๓ มิถุนายน พ่อไม่ได้กลับบ้านเลยจนวันที่ ๓ กรกฎาคม พ่อได้เขียนจดหมายถึงแม่จากพระที่นั่งอนันตสมาคม ขอโทษที่ไม่ได้พูดความจริง เพราะเกรงเรื่องจะแตก และว่าเจ้าหน้าที่สืบทราบและจะจับพ่อในวันที่ ๒๔ บอกว่าที่ทำไปเพื่อเห็นแก่ชาติและราษฎร ๑๔ ล้าน (ในขณะนั้น) ได้บุญยิ่งกว่าไปบวช คิดถึงลูก แต่ขณะนี้ควรอยู่กับทหารดีกว่า ฯลฯ ระหว่างนั้นพ่อได้ให้นายกรัฐมนตรีมาเยี่ยมแม่แทนตัว จนถึงเดือนกรกฎาคม จึงย้ายมาทำงานที่วังปารุสกวัน ซึ่งทางการจัดให้อยู่ที่ตึกหลังเล็กๆ ในบริเวณเดียวกัน
ต่อมาปลายเดือนกรกฎาคม แม่จึงพาลลิตากับคนเลี้ยงไปอยู่ด้วย พ่อทำงานหนักมาก ต้องจัดระเบียบราชการตั้งแต่เป็นเลขาธิการคนแรกของสภาผู้แทนฯ จัดงานเกี่ยวกับสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ฯลฯ ต่อมาทางรัฐบาลได้มอบให้พ่อร่างเค้าโครงการเศรษฐกิจตามที่ได้มีการแถลงไว้ในประกาศของคณะราษฎร เมื่อวันที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๔๗๕ แต่เมื่อนำเสนอต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรี ปรากฏว่ารัฐมนตรีส่วนมากไม่เห็นชอบด้วย
วันที่ ๑ เมษายน พ.ศ. ๒๔๗๖ พระยามโนปกรณ์ฯ ปิดสภาผู้แทนราษฎร และงดใช้รัฐธรรมนูญบางมาตรา พร้อมกันนั้นได้ออกกฎหมาย “พระราชบัญญัติคอมมิวนิสต์ ๒๔๗๖” และออกแถลงการณ์ประณามพ่อว่า “เป็นคอมมิวนิสต์” อีกทั้งบังคับให้พ่อออกจากประเทศไทย พ่อได้เลือกไปประเทศฝรั่งเศส และพาแม่ไปด้วย เมื่อวันที่ ๑๒ เมษายน ๒๔๗๖ ซึ่งเป็นการไปยุโรปครั้งแรกของแม่
ระหว่างที่พำนักอยู่ในประเทศฝรั่งเศส พ่อได้ทำงานศึกษาค้นคว้าหาความรู้เพิ่มเติมโดยไปหอสมุดแห่งชาติเกือบทุกวัน ส่วนแม่ก็ไปเรียนภาษา ได้มีโอกาสพักผ่อนหย่อนใจด้วยการไปชมการแสดงและดูภาพยนตร์ดูกระทั่งละครสัตว์ ลืมเล่าไปว่าการเดินทางจากกรุงเทพฯ ไปสิงคโปร์ เราโดยสารเรือของบริษัท B.I. ในวันเดินทางที่ท่าเรือ B.I. มีผู้คนไปส่งล้นหลาม จนเจ้าหน้าที่ต้องปิดประตู เอนจิเนียร์ของเรือสนใจพ่อและขึ้นมาคุยด้วย เมื่อเราไปถึงฝรั่งเศสสมาชิกสภาอังกฤษพรรค Independent Labour ชื่อ Mr.Maxton ได้เชิญให้พ่อไป House of Commons เพื่อฟังการประชุมสภา
เราพำนักอยู่ในปารีสจนถึงเดือนมิถุนายน ก็ได้ข่าวว่าทางกรุงเทพฯ มีการเปลี่ยนแปลง คือ เจ้าคุณพหลฯ ได้ยึดอำนาจการปกครองประเทศอีกครั้งหนึ่ง เพื่อประสงค์ให้เปิดสภาผู้แทนราษฎร เมื่อเจ้าคุณพหลฯ จัดตั้งรัฐบาลแล้ว ได้เรียกพ่อให้กลับเพื่อมาช่วยงานเราได้ออกเดินทางจากฝรั่งเศสมาถึงกรุงเทพฯ เมื่อปลายเดือนกันยายน
เมื่อมาถึงกรุงเทพฯ พ่อแม่ก็แยกกันอยู่คือ พ่อตรงไปวังปารุสกวันทันที ส่วนแม่กลับมาอยู่บ้านคุณตาคุณยาย ภายหลังที่เรากลับมาไม่นานนัก ก็เกิดขบถบวรเดช ซึ่งขณะนั้นแม่ไปพักผ่อนที่บ้านคุณป้าเล็ก (สารี) ที่จังหวัดสมุทรปราการ ทางบ้านในกรุงเทพฯ ได้ส่งคนมารับแม่กลับกรุงเทพฯ สมัยนั้นถนนยังไม่ถึงปากน้ำ เราเดินทางไปและกลับด้วยรถรางไฟฟ้า พวกขบถเริ่มก่อตัวจากจังหวัดนครราชสีมา และรุกเรื่อยมาจนถึงดอนเมือง หลักสี่ พอตกเย็นได้ยินเสียงปืนดังถึงบ้านเรา
ครอบครัวเราได้ย้ายไปอยู่บ้านซึ่งคุณตาให้ที่ดิน ๓๖๐ ตารางวา แต่เราปลูกบ้านเองจากเงินค่าขายหนังสือประชุมกฎหมายไทย ทุกวันเสาร์เย็นลูกๆ คุณตาที่ออกเรือนแล้วจะไปรับประทานข้าวร่วมกันที่บ้านป้อมเพชร์ บ้านที่เราย้ายไปให้ชื่อว่า “พูนศุข” เลขที่ ๑๓๖ ส่วนบ้าน ป้อมเพชร์เลขที่ ๑๔๘ ซึ่งอยู่ฝั่งคลองสีลมห่างกันไม่ไกลนัก
กลับถึงบ้านแล้วไม่กี่เดือนแม่ได้ให้กำเนิดลูกผู้หญิงเมื่อต้นเดือนมีนาคม ๒๔๗๖ (๒๔๗๗) [5] และต่อมาไม่กี่วันพ่อได้รับแต่งตั้งให้เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย พ่อได้ทำงานหลายอย่างที่กระทรวงนี้ ซึ่งไม่จำเป็นต้องกล่าว แต่ที่จะพูดถึงคือในปี พ.ศ. ๒๔๗๘ พ่อได้เดินทางไปยุโรป ที่อังกฤษพ่อได้เจรจาลดดอกเบี้ยเงินกู้ที่สมัยรัชกาลที่ ๖ กู้มาเพื่อบำรุงสาธารณูปโภคจาก ๖% ทำให้ประเทศได้ประหยัดเงินไม่ใช่น้อย ส่วนประเทศต่างๆ ในยุโรปได้เจรจาทาบทามบอกเลิกสนธิสัญญาที่ไม่เป็นธรรม และเดินทางกลับผ่านอเมริกาและญี่ปุ่น ในระหว่างที่พ่อไม่อยู่ แม่ได้ให้กำเนิดลูกคนที่ ๔ เป็นชาย และเมื่อพ่อถึงญี่ปุ่น แม่ได้เดินทางไปพบเพื่อกลับเมืองไทยพร้อมกัน แม่ได้เห็นหิมะครั้งแรกที่ญี่ปุ่น ขณะนั้นค่าครองชีพถูกมาก แม่จึงซื้อเปียโนเล็กมาเป็นของฝากลูกทุกคน ซึ่งแป๋วก็ได้เริ่มหัดจากเปียโนอันนี้ การไปญี่ปุ่น แม่เดินทางโดยเรือสินค้าชวนศิษย์พ่อคนหนึ่งไปด้วย พร้อมทั้งคนรับใช้ ๑ คน ค่าโดยสารถูกมาก เสียคนละ ๙๐ บาทเท่านั้น การเดินทางโดนคลื่นลมอย่างแรง แม่ไม่เมาคลื่นแต่กินอาหารญี่ปุ่นไม่ได้เลย กว่าจะถึงโกเบ น้ำหนักลดไปหลายกิโล จากโกเบนั่งรถไฟไปโตเกียว ซึ่งพ่อถึงก่อนและรอรับอยู่ ได้ท่องเที่ยวเมืองใหญ่ๆ หลายเมืองเป็นเวลา ๑๒ วัน จึงเดินทางกลับ พ่อได้เข้าเฝ้าพระจักรพรรดิญี่ปุ่น และได้รับตรา Rising Sun ชั้นที่ ๑ (สายสะพาย)
ต่อมาพ่อได้ย้ายไปเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศและเริ่มเจรจาทำสนธิสัญญาใหม่ซึ่งรัฐบาลได้รับเอกราชอธิปไตยสมบูรณ์ในด้านการเมือง การศาล และเศรษฐกิจ ระยะเจรจานี้ เราไปงานเลี้ยงรับรอง และเราก็เลี้ยงพวกทูตานุทูตบ่อยครั้งเหมือนกัน
ในปี พ.ศ. ๒๔๘๐ ที่ประเทศฝรั่งเศสมีงาน Exposition Internationale เพื่อให้ผู้คนไปชมงานนี้ ทางการได้ลดราคาค่าโดยสารเรือเดินสมุทร ลดค่ารถไฟและโรงแรม แม่เห็นเป็นโอกาสที่จะไปทัศนาจรด้วยราคาเยา จึงไปพร้อมทั้งแป๋ว ซึ่งมีอายุเพียง ๓ ขวบครึ่ง และมีน้านิด[6] ร่วมเดินทางไปเรียนต่อ ระหว่างพักที่ปารีสแม่ได้มีโอกาสเฝ้าในหลวงรัชกาลที่ ๘ และองค์ปัจจุบัน พร้อมทั้งสมเด็จพระพี่นางและพระราชชนนี ซึ่งเสด็จจากสวิสมาปารีส และในวันเฉลิมพระชนมพรรษาในหลวงรัชกาลที่ ๗ แม่ก็ได้ไปเฝ้าถวายพระพรด้วย แม่พักอยู่ปารีสเป็นเวลา ๓ เดือน ได้ส่งแป๋วเข้า ร.ร. อนุบาล ส่วนตัวแม่ก็ไปเรียนภาษาอีก การเดินทางกลับเรากลับเพียง ๒ คนแม่ลูก โดยขึ้นรถไฟจากปารีสไปเยนัว และลงเรืออิตาเลียนซึ่งใช้เวลาเร็วกว่าเรือบริษัทอื่น คือสองสัปดาห์ก็ถึงสิงคโปร์ ที่สิงคโปร์ลุงเอียด[7] คอยมารับและขึ้นรถไฟไปปีนังพัก ๑ คืน เดินทางจากสถานีไปถึงกรุงเทพฯ
ในขณะที่พ่ออยู่กระทรวงต่างประเทศ เวลามีเลี้ยงใหญ่ได้จัดให้นักเรียนเตรียม ม.ธ.ก. รุ่น ๑ แต่งชุดสมุทรเสนามาช่วยบริการแขก น่าเอ็นดูมาก นอกจากนี้พ่อยังไปตรวจชายแดนทั้งภาคอีสานและภาคใต้ ซึ่งแม่ไม่ได้ไปด้วยเลย ในต้นปี ๒๔๘๒ แม่ได้ให้กำเนิดลูกหญิงคือ ดุษฎี ที่ให้ชื่อดุษฎีเพราะพ่อได้รับ เหรียญดุษฎีมาลา เข็มศิลปวิทยา เป็นความชอบที่แก้ไขสนธิสัญญากับนานาประเทศให้เสมอภาค
ต่อมาพ่อย้ายมาอยู่กระทรวงการคลัง พ่อได้สร้างเสถียรภาพทางการเงินและการคลังให้กับชาติไทยหลายด้านที่สำคัญ อาทิ เช่น ยกเลิกเงินภาษีรัชชูปการ ยกเลิกอากรค่านา ปรับปรุงภาษีอากรให้เป็นธรรมสถาปนา “ประมวลรัษฎากร” เป็นแบบฉบับครั้งแรกในประเทศไทย และการโอนวิสาหกิจยาสูบของบริษัทอังกฤษ อเมริกัน เป็นของรัฐบาลสำเร็จ ก่อนที่ญี่ปุ่นจะยึดไประหว่างสงครามโลกครั้งที่ ๒ นอกจากนี้จัดเรื่องเงินทุนสำรอง และเสนอจัดตั้งธนาคารชาติไทย ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการจัดตั้งธนาคารแห่งประเทศไทย
ในระหว่างนั้นสถานการณ์ในยุโรปมีแนวโน้มที่จะเกิดสงคราม พ่อได้สร้างภาพยนตร์เรื่อง “พระเจ้าช้างเผือก” เป็นภาพยนตร์เสียงในฟิล์มพูดภาษาอังกฤษ เพื่อโน้มน้าวให้เกิดสันติภาพ โดยชักชวนเพื่อนฝูงที่มีความรู้ด้านเทคนิคมาช่วย ส่วนผู้แสดงนั้นได้เลือกผู้ที่มีเลือดผสมไทยกับชาวตะวันตกเป็นตัวแสดงสำคัญ ส่วนตัวแสดงรองๆ ก็เชิญผู้สูงอายุหลายท่านมาร่วม เช่นคุณทวดและคุณปู่ของเทียน (ชัยวัฒน์ บุนนาค) สำหรับทหารทั้งสองฝ่ายก็ใช้นักเรียนเตรียมธรรมศาสตร์และครูพละศึกษา การถ่ายทำฉากภายในได้เช่าบริษัทไทยฟิล์มซึ่งตั้งอยู่ที่ทุ่งมหาเมฆ (ปัจจุบันกองดุริยางค์ทหารอากาศ) ฉากรบก็ใช้ทุ่งนาใกล้โรงถ่าย (ปัจจุบันสมาคมธรรมศาสตร์และที่ทำการทหารเรือ)
การถ่ายทำนั้นเฉพาะวันหยุดราชการและบางครั้งก็ถ่ายทำในเวลากลางคืน ตัวแสดงที่รำละครก็ขอจากกรมศิลปากร ต่างคนต่างช่วยกันทำงาน แม่มีหน้าที่เลี้ยงผู้แสดง และบางทีก็ช่วยแต่งหน้าผู้แสดงหญิงบ้าง นอกจากนี้ยังได้ยกกองถ่ายไปจังหวัดแพร่ ในฉากคล้องช้าง ซึ่งมี ส.ส. จังหวัดแพร่ (เจ้าวงศ์ แสนสิริพันธ์) ช่วยหาช้างมาถ่ายทำหลายสิบเชือก และยังจัดหาเครื่องแต่งกายของนักแสดง ด้วยเหตุสถานการณ์สงครามในภูมิภาคตึงเครียด จึงทำให้เรื่องที่ตั้งใจจะฉายเผยแพร่ก็เลยเป็นอันไม่สำเร็จ
ต่อมาแม่ได้ให้กำเนิดลูกคนเล็กเป็นหญิง ก่อนหน้านี้เกิดมีกรณีพิพาทอินโดจีน ตามบ้านต้องพรางไฟ ป้องกันการทิ้งระเบิด เมื่อลูกอายุได้ ๕ เดือน เกิดสงครามเอเชียบูรพา คือในวันที่ ๘ ธันวาคม ๒๔๘๘ ญี่ปุ่นได้ยกพลขึ้นบกหลายจุดในประเทศไทย พ่อถูกเรียกไปประชุมรัฐมนตรีในตอนดึกของวันที่ ๗ ในคืนวันที่ ๖ พ่อแม่ไปงานเลี้ยงนักฟุตบอลที่ธรรมศาสตร์ เสร็จการเลี้ยงแล้วแวะเยี่ยมเจ้าคุณพลางกูรฯ ที่ ร.พ. จุฬาฯ เนื่องจากท่านไปหมดสติที่สนามฟุตบอล ทราบจากแพทย์ว่าเส้นโลหิตในสมองแตก พอกลับถึงบ้านคนที่บ้าน (พูน พุกกะรัตน์) รายงานว่าพันเอกโมรียาโทรศัพท์มาว่าจะขอพบแม่ พอทราบดังนั้นพ่อจึงให้โทรเชิญตัวมาพบในคืนนั้นเอง พันเอกโมรียาเคยเป็นทูตทหารประจำเมืองไทยและคุ้นเคยกับครอบครัวเรา เพราะเขาพูดภาษาฝรั่งเศส
เมื่อมาพบพ่อเรา บอกว่าเขามีเรื่องด่วน แต่ก็ไม่บอกว่าเรื่องอะไร ในคืนวันที่พ่อถูกเชิญไปประชุม เมื่อถึงที่ประชุมคณะรัฐมนตรีซึ่งอยู่ใกล้กับวังสวนกุหลาบและทราบว่าอะไรเป็นอะไร ได้ให้รถกลับมาบ้านและสั่งคนมาบอกแม่ว่าให้พาลูกๆ ลงมาอยู่ชั้นล่าง แม่พอเดาเหตุการณ์ได้จึงเปิดวิทยุรับฟังข่าวจากต่างประเทศ จึงทราบว่าญี่ปุ่นได้เปิดฉากสงครามแล้วโดยบุกขึ้นหลายจุดในภาคใต้ของประเทศไทย และที่ใกล้กรุงเทพฯ คือบางปู
พ่อกลับจากการประชุมรุ่งขึ้นตอนบ่าย หน้าตาทรุดโทรมมากได้เชิญผู้ที่ใกล้ชิดมาปรึกษาเนื่องจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ต่อมาในวันที่การทิ้งระเบิดบ่อยครั้ง ๑๖ ธันวาคม สภาผู้แทนราษฎรได้ลงมติแต่งตั้งพ่อให้เป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ฯ ทราบมาว่าญี่ปุ่นไม่พอใจพ่อ แต่ก็ไม่กล้าทำอะไรที่รุนแรง เครื่องบินสัมพันธมิตรได้มาทิ้งระเบิดครั้งแรกใกล้บ้านเราคือที่สุขศาลาบางรัก (ปัจจุบันคือ ร.พ. เลิดสิน) ได้รับการเสียหายและมีผู้เสียชีวิตด้วย ต่อมามีการทิ้งระเบิดบ่อยครั้งขึ้น แม่จึงอพยพไปพักที่คุ้มขุนแผน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา และพาลูกๆ ไปหมด คือ ลูกชาย ๒ คน จาก ร.ร. วชิราวุธ ลูกผู้หญิงจากเซนต์โยเซฟฯ และลูกๆ ที่ยังไม่เข้าเรียน ส่วนพ่อนั้นยังอยู่ในกรุงเทพฯ
ที่อยุธยาแม่ได้จัดหาครูมาสอนหนังสือลูกๆ ต่อมาทางการได้จัดบ้านที่สมเกียรติ คือ ทำเนียบท่าช้างให้อยู่ เมื่อแม่กลับจากอพยพก็เข้าอยู่ในบ้านแห่งนี้และได้จัดครูมาสอนลูกอีก มีลูกๆ เจ้าคุณพหลฯ และลูกนายควงมาร่วมเรียนด้วย ในระหว่างสงคราม ประชาชนทั่วไปได้รับความเดือดร้อนมาก เนื่องจากขาดแคลนเครื่องอุปโภคบริโภค ไหนเครื่องบินมาทิ้งระเบิด ไหนจะเกิดน้ำท่วมใหญ่ ทำให้แม่ในฐานะแม่บ้านซึ่งรับผิดชอบดูแลคนในบ้านและความกังวลใจเรื่องที่พ่อทำงานใต้ดินต่อสู้เพื่อเอกราชและอธิปไตย เครื่องบินสัมพันธมิตรได้มาทิ้งระเบิดถี่ขึ้น จากมาในเวลาเดือนหงาย ต่อมาในเวลากลางวัน พ่อในฐานะผู้สำเร็จราชการฯ ได้ทูลเชิญเสด็จสมเด็จพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้าไปประทับแรมที่อยุธยา ครอบครัวเราก็อพยพไปอยุธยาเป็นครั้งที่สอง ต่อมาเมื่อสงครามเข้มข้นขึ้น จึงได้เชิญเสด็จไปประทับที่พระราชวังบางปะอิน ครอบครัวเราก็ตามเสด็จไปพักในบริเวณพระราชวัง แม่ได้ตั้งโรงเรียนสำหรับลูกและผู้ที่อพยพในบริเวณใกล้เคียงคือโรงหลังคาจาก ๒ หลัง ซึ่งเดิม ร.ร. วชิราวุธ เคยอพยพไป และขออนุญาตเป็นสาขาของ ร.ร. อยุธยานุสรณ์ โดยให้ผู้ที่อพยพไปด้วยเป็นครู เช่น น้านิด[8] คุณฉลบ[9] สมวงศ์[10] ต่อมามีนักเรียนเพิ่มขึ้น จึงยืมครูจาก ต.ม.ธ.ก.[11] มาช่วยอีก ๒ คน
ตอนหลังๆ การสู้รบเข้มข้น จนถึงเดือนสิงหาคมสหรัฐอเมริกาได้ทิ้งระเบิดปรมาณูที่เมืองฮิโรชิมา ญี่ปุ่นจึงยอมแพ้โดยปราศจากเงื่อนไขทางประเทศไทยก็ได้มีพระบรมราชโองการประกาศสันติภาพ
หมายเหตุ: บทความนี้ ท่านผู้หญิงพูนศุขบันทึกด้วยลายมือ เล่าโดยย่อ ชีวิต ๘๔ ปีของท่านให้ลูกหลานฟัง แบ่งเป็น ๒ หัวข้อคือ “วัยเยาว์” กับ “ชีวิตครอบครัว” ท่านบันทึกไว้จนถึงการสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ ๒ และการประกาศสันติภาพ เมื่อวันที่ ๑๖ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๔๘๘
ที่มา : ลลิตา สุดา ศุขปรีดา วาณี. ชีวิต ๘๔ ปี เท่าที่จำได้, ใน, ไม่ขอรับเกียรติยศใดๆ ทั้งสิ้น ๗๕ ปี ๔ เดือน ๙ วัน พูนศุข พนมยงค์, (กรุงเทพฯ: ตถาตา พับลิเคชั่น), หน้า ๒๖-๔๗
หนังสือชุด "ชีวประวัติท่านผู้หญิงพูนศุข พนมยงค์"
ประกอบไปด้วย
1. หนังสือ "หวนอาลัยพูนศุข พนมยงค์" ราคา 500 บาท
2. "ไม่ขอรับเกียรติยศใดๆ ทั้งสิ้น ๙๕ ปี ๔ เดือน ๙ วัน พูนศุข พนมยงค์" ราคา 300 บาท
.
ราคาเต็ม 800 บาท พิเศษเหลือเพียง 560 บาท
ฟรี!!! หนังสือ “ใจคนึง ตำนาน 100 ปี ชีวิตท่านผู้หญิงพูนศุข พนมยงค์”
ฟรี!!! ที่คั่นหนังสือลาย “หลัก 6 ประการของคณะราษฎร” และลาย “ผลของการก่อสร้างไว้ดีแล้ว ย่อมไม่สูญหาย”
ฟรี!!! ค่าจัดส่ง
.
สั่งซื้อได้ที่ https://m.me/pridibanomyonginstitute
ระยะเวลาโปรโมชั่น: วันนี้ - 31 มกราคม 2565
[1] เสื้อ Cloak เป็นเสื้อคลุมชนิดหนึ่ง
[2]Gospel : เป็นหนึ่งใน ๔ บท คัมภีร์คริสต์ศาสนาที่เรียบเรียงใหม่
[3] เชียด หรือ เทียด เป็นพ่อหรือแม่ของทวด
[4] พุนศุขได้ใช้สรรพนาม “แม่” แทน “ข้าพเจ้า” ที่ได้ใช้ในตอนต้นของบทความนี้, “พ่อ” แทน “ปรีดี” ส่วน “คุณยาย” นั้น หมายถึง “คุณหญิงเพ็งชัยวิชิตฯ” และ “คุณตา” หมายถึง “พระยาชัยวิชิตฯ” “คุณปู่” หมายถึง “นายเสียง พนมยงค์”
[5] สมัยนั้น วันที่ ๑ เมษายนขึ้นจุลศักราชใหม่
[6] นวลจันทร์ ณ ป้อมเพชร์
[7] เข็ม ณ ป้อมเพชร์
[8] อาจารย์นวลจันทร์ ณ ป้อมเพชร์
[9] ครูฉลบชลัยย์ พลางกูร
[10]ครูสมวงศ์ ปทุมรส
[11] โรงเรียนเตรียมปริญญามหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง (ต.ม.ธ.ก.)