-๑-
ภายหลังที่รัฐบาลไทยได้ประกาศสงครามกับบริเตนใหญ่และสหรัฐอเมริกาดั่งกล่าวแล้ว รัฐบาลก็ดำเนินต่อไปอีกในการผูกมัดประเทศไทยเข้ากับญี่ปุ่นและอักษะมากขึ้น
ปรากฏตามหนังสือนายดิเรก ชัยนาม เล่มที่อ้างข้างต้นว่า ประมาณต้นเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๘๕ (ค.ศ. ๑๙๔๒) หลวงวิจิตรวาทการ (ซึ่งได้เลื่อนตำแหน่งจากรัฐมนตรีช่วยว่าการขึ้นเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศภายหลังประกาศสงครามดังกล่าวแล้วไม่กี่วัน) ได้มีจดหมายทางราชการถึงนายดิเรกฯ (ขณะนั้นเป็นเอกอัครราชทูตประจำกรุงโตเกียว) ให้เจรจากับรัฐบาลญี่ปุ่นเพื่อให้ไทยเข้าเป็นภาคีอักษะให้ได้ ฝ่ายญี่ปุ่นเห็นว่าไทยเป็นสัมพันธมิตรญี่ปุ่นอยู่แล้ว จึงไม่จำเป็นเข้าเป็นภาคีอักษะ นายดิเรกฯ ตอบไปยังรัฐบาลถึงความเห็นของตน ขอให้รัฐบาลระงับความคิดนี้เสีย นายดิเรกฯ กล่าวไว้ในหนังสือเล่มนั้นว่า
“จอมพล ป. พิบูลสงคราม ได้สั่งให้หลวงวิจิตรวาทการ ตอบรับขอบใจและเห็นด้วยกับข้าพเจ้าทุกประการในการที่ได้ปฏิบัติไป มีผู้ที่ได้อ่านรายงานนี้ที่กรุงเทพฯ ได้เขียนบอกไปยังข้าพเจ้าเป็นส่วนตัวว่า นายกรัฐมนตรีถึงกับเขียนคำสั่งในรายงานของข้าพเจ้าฉบับนี้ว่า ขอให้ทุกคนรักษาเป็นลับที่สุด ถ้าปรากฏว่ารั่วไหลจากผู้ใดจะถูกประหารชีวิต เมื่อข้าพเจ้ากลับเข้ามารับราชการในตอนหลังก็ได้เรียกเรื่องนี้มาดู ก็ได้เห็นคำสั่งนี้”
-๒-
จอมพล ป. นายกรัฐมนตรีกับหลวงวิจิตรฯ รัฐมนตรีว่าการต่างประเทศ มิได้ละความพยายามรุดหน้าต่อไปตามคติร่วมของท่านทั้งสองดังจะเห็นได้ต่อไปว่า
ก. รับรองรัฐบาลมานจูกัวซึ่งญี่ปุ่นได้แยกเอาดินแดนภาคอีสานของจีนตั้งเป็นรัฐหุ่นขึ้น ทั้งนี้เป็นการยั่วรัฐบาลจีนที่เจียงไคเช็คเป็นประมุข เพราะคนจีนที่รักชาติถือว่าดินแดนส่วนนั้นเป็นของจีนโดยแท้ ชนชาติมานจูมีอยู่ไม่ถึงร้อยละ ๕ ของพลเมืองทั้งหมด เนื่องจากภายหลังที่กษัตริย์มานจูได้ครองอำนาจเหนือประเทศจีนแล้ว ก็ได้เอาคนมานจูเข้ามาปกครองจีนและตั้งหลักแหล่งอยู่ในจีน ส่วนชนชาติฮั่นที่เป็นส่วนข้างมากของจีน (ที่เราเรียกกันว่าจีน) นั้นก็อพยพไปตั้งหลักแหล่งในดินแดนที่เดิมเป็นของมานจู
คณะทูตมานจูกัวประจำไทยนั้น เอกอัครราชทูตเป็นชนชาติจีน ส่วนที่ปรึกษาและเลขานุการเอกเป็นคนญี่ปุ่น
ข. เมื่อวันที่ ๗ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๘๕ (ค.ศ. ๑๙๔๒) ได้ประกาศรับรองรัฐบาลจีนของวังจิงไวซึ่งเป็นตัวหุ่นของญี่ปุ่น ทำให้รัฐบาลจีนที่เจียงไคเช็คเป็นประมุขซึ่งขณะนั้นเป็นรัฐบาลที่มีพรรครักชาติต่างๆ ของจีนร่วมอยู่ด้วยถือว่าเป็นการท้าทายคนจีนทั้งชาติ รัฐบาลจีนนี้ได้แถลงถือว่ารัฐบาลไทยเป็นศัตรูและเมื่อสัมพันธมิตรได้ชัยชนะขั้นสุดท้ายแล้ว รัฐบาลไทยต้องทำพิธียอมแพ้อย่างไม่มีเงื่อนไข และจับจอมพล ป. กับผู้ร่วมมือไปขึ้นศาลอาชญากรสงครามของสัมพันธมิตร
ค. เมื่อวันที่ ๓๐ เมษายน พ.ศ. ๒๔๘๖ (ค.ศ. ๑๙๔๓) ได้รับรองรัฐโครเอเซียซึ่งมุสโสลินีได้แยกเอาดินแดนส่วนหนึ่งของยูโกสลาเวียตั้งเป็นรัฐหุ่นและอัญเชิญ “ดยุคแห่งสโปเลโต” เจ้าอิตาเลียนแห่งราชวงศ์ซาวัวสายพระอนุชาขึ้นครองราชย์เป็นราชาธิบดี ใช้พระปรมาภิไธยว่า “โตมิสสลาฟ ที่ ๒” แต่เจ้าองค์นี้มีพระสติแก้ตัวได้ทันท่วงที มิได้เสด็จไปครองราชบัลลังก์ตามที่มุสโสลินีจะเอาตัวเป็นหุ่น พระองค์จึงปลอดภัยในการเป็นอาชญากรสงคราม
ง. เมื่อวันที่ ๘ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๘๖ (ค.ศ. ๑๙๔๓) ได้รับรองรัฐสโลวาเกีย ซึ่งฮิตเลอร์ได้แยกเอาดินแดนส่วนหนึ่งของเชโกสโลวาเกียตั้งเป็นรัฐหุ่นและมอบให้นักบวชชื่อ “โจเซฟ ติโส” เป็นประมุขรัฐ โดยมีกโลบายให้เป็นศาสนูปถัมภกไปในตัว ในที่สุดเมื่อสัมพันธมิตรชนะสงครามแล้ว นักบวชคนนี้ถูกจับตัวขึ้นศาลอาชญากรสงครามและถูกตัดสินประหารชีวิตโดยวิธีแขวนคอ
ต้นฉบับบทความ แก้ไขโดยลายมือของปรีดี พนมยงค์
ภาพกองทัพพายัพที่เมืองเชียงตุง
ที่มา : ปรีดี พนมยงค์. “ประเทศไทยถูกผูกมัดเข้ากับญี่ปุ่นและอักษะมากขึ้น” ใน, โมฆสงคราม บันทึกสัจจะประวัติศาสตร์ที่ยังไม่เคยเปิดเผยของรัฐบุรุษอาวุโสปรีดี พนมยงค์, (กรุงเทพฯ: มูลนิธิปรีดี พนมยงค์, 2558), น. 225-231