ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก
เกร็ดประวัติศาสตร์

การรักษาความเป็นกลางของประเทศไทย

10
สิงหาคม
2565

วันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2484 นายดิเรก ชัยนาม รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศได้มอบสาสน์จากนายกรัฐมนตรีถึงรัฐบาลอังกฤษ มีใจความสำคัญดังต่อไปนี้

(1) ประเทศไทยจะคงรักษาความเป็นกลางไว้ และถือเอกราชของชาติเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ไทยมีนโยบายเป็นมิตรกับทั้งอังกฤษและญี่ปุ่น และถึงอย่างไรก็จะไม่เข้าข้างญี่ปุ่นเป็นอันขาด

(2) ประเทศไทยมิได้ทำความตกลงทางทหารพิเศษกับญี่ปุ่น เพราะการกระทำเช่นนั้นจะขัดต่อความเป็นกลางของไทย

(3) ในการธำรงไว้ซึ่งความเป็นกลางและเอกราช ประเทศไทยมีความจำเป็นต้องได้เงินและอาวุธยุทธภัณฑ์

(4) รัฐบาลอเมริกันเข้าใจความเป็นอยู่ของประเทศไทยผิด และญี่ปุ่นย่อมพึงพอใจในข้อนี้

(5) ประเทศไทยต้องการกู้เงินจากอังกฤษหรือสหรัฐฯ ต้องการซื้ออาวุธยุทธภัณฑ์จากอังกฤษหรือสหรัฐฯ (ไม่มากนัก) และต้องการน้ำมัน ถ้าความต้องการเหล่านี้เป็นอันสนองได้ อังกฤษและสหรัฐฯ จะกำจิตใจทหารไทยไว้ และเป็นเครื่องโต้ปรัชญานิยมญี่ปุ่นซึ่งแพร่กระจายอยู่ในกลุ่มทหารสืบเนื่องจากการที่ญี่ปุ่นจัดอาวุธให้แก่ประเทศไทย นายกรัฐมนตรีจะขอบคุณมากหากรัฐบาลอังกฤษสามารถทำให้รัฐบาลอเมริกันเข้าอกเข้าใจประเทศไทยดีขึ้น นายกรัฐมนตรีไม่ต้องการทาบทามรัฐบาลอเมริกันโดยตรง และจะไม่ทาบทามทูตอเมริกันที่กรุงเทพฯ

(6) นายกรัฐมนตรีถือว่า ฝ่ายอังกฤษดำเนินนโยบายคอยแต่รับต่อญี่ปุ่นมากเกินไป อยากทราบว่า เหตุใดอังกฤษจึงไม่คิดจะรุกบ้างด้วยการเพิ่มกำลังทัพเรือรักษาแนวชายฝั่งของกลันตัน นายกรัฐมนตรีแนะให้อังกฤษเพิ่มกำลังทหารบกและทหารอากาศในมลายูและพม่าบริเวณที่ติดต่อกับไทย แต่ก็ไม่ควรชิดดินแดนไทยนัก เพื่อป้องกันมิให้เกิดการกระทบกันและการเข้าใจผิดกับกำลังทหารของรัฐบาลไทย นายกรัฐมนตรีต้องการให้คงการแลกเปลี่ยนข่าวสารเกี่ยวกับกำลังทหารในบริเวณชายแดนระหว่างไทยกับอังกฤษต่อไป

(7) ประเทศไทยจะไม่ขัดขวางคนฝรั่งเศสเสรีจากอินโดจีนที่ประสงค์จะเดินทางไปสิงคโปร์

(8) ประชาชนชาวไทยเกิดความตื่นตัวในปัญหาดินแดนที่ต้องสูญเสียในอินโดจีน และต้องการจะเอาคืนให้ได้

(9) ประเทศไทยจะต่อต้านญี่ปุ่นด้วยกำลังหากมีการล่วงละเมิดความเป็นกลางของไทย

ต่อมาวันที่ 28 กุมภาพันธ์ เซอร์โจซาย ครอสบี้ ได้ไปพบและสนทนากับนายกรัฐมนตรีไทยตามคำสั่งของรัฐบาล และรายงานกระทรวงการต่างประเทศเพิ่มเติมว่า นายกรัฐมนตรียืนยันจะรักษาความเป็นกลางของประเทศไทยไว้ แต่ไม่อาจให้หลักประกันว่า ถ้าญี่ปุ่นเข้าโจมตีมลายูหรือพม่าโดยผ่านประเทศไทยแล้ว ไทยจะสามารถขัดขวางญี่ปุ่นด้วยกำลังทหารได้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสถานการณ์โดยทั่วไป ถ้าประเทศไทยไม่ได้รับความช่วยเหลือ การขัดขืนญี่ปุ่นจะเท่ากับทำลายตนเอง ท่าทีของสหรัฐฯ มีความสำคัญในการนี้ นายกรัฐมนตรีไม่เชื่อว่าสหรัฐฯ จะทำสงครามกับญี่ปุ่น แม้นายกรัฐมนตรีจะไม่กล่าวอย่างชัดแจ้ง เซอร์โจซาย ครอสบี้ เชื่อว่านายกรัฐมนตรีรวมถึงการที่ฝ่ายอังกฤษไม่ให้คำมั่นสัญญาจะช่วยประเทศไทยด้วย เมื่อทูตอังกฤษแสดงความหวังว่า ไทยคงจะไม่เข้าร่วมกับญี่ปุ่นเป็นปฏิปักษ์ต่ออังกฤษ นายกรัฐมนตรีตอบว่าประเทศไทยจะไม่สามารถกระทำเช่นนั้น แต่อาจจะต้องแสดงบทบาทอย่างเดนมาร์กในสงครามยุโรปได้

เซอร์โจซาย ถามว่า ในกรณีเช่นนั้น นายกรัฐมนตรีมีดำริจะจัดการอย่างใดกับอาวุธยุทธภัณฑ์ที่ไทยซื้อจากญี่ปุ่นและจะยินยอมให้ญี่ปุ่นใช้ฐานทัพในประเทศหรือไม่ นายกรัฐมนตรี ตอบว่า จะพยายามทุกวิถีทางที่จะทำลายอาวุธยุทธภัณฑ์เหล่านั้น ก่อนที่ญี่ปุ่นจะยึดเอา สำหรับฐานทัพ นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ประเทศไทยไม่มีสนามบินสักแห่งเดียวที่จะให้เครื่องบินทิ้งระเบิดขนาดหนักบินขึ้นลงได้ สนามบินไทยล้วนแต่เล็กๆ และมีทางวิ่งสั้นทั้งนั้น ญี่ปุ่นจะต้องเตรียมสร้างสนามบินของตนเองในประเทศไทยให้เพียงพอ ซึ่งต้องใช้เวลา แต่ประเทศญี่ปุ่นไม่มีเวลามาก

ถ้าญี่ปุ่นจะเอาชนะสงคราม ญี่ปุ่นจะต้องชนะอังกฤษโดยเร็ว ฐานทางเศรษฐกิจของญี่ปุ่นเสื่อมทรามอย่างเกือบสิ้นหวังอยู่แล้ว ยิ่งนานวันยิ่งเลวร้ายลงไปอีก ถ้าสหรัฐฯ ตัดการให้วัสดุที่สำคัญๆ แก่ญี่ปุ่น ในทำนองเดียวกัน ฐานทัพเรือที่สัตหีบก็ไม่สู้จะมีความหมายเท่าใดนัก เปิดรับได้แต่เรือขนาดเล็ก เมื่อทูตอังกฤษออกความเห็นว่า ถ้าญี่ปุ่นโจมตีอังกฤษโดยผ่านประเทศไทย อังกฤษอาจจำต้องต่อต้านญี่ปุ่นบนพื้นแผ่นดินไทย นายกรัฐมนตรีแสดงความเข้าใจ ในความจำเป็นดังกล่าว และจะไม่ตำหนิติเตียนอังกฤษในการนี้

ทูตอังกฤษ ถามต่อไปว่า เหตุใดไทยจึงสั่งซื้ออาวุธจากญี่ปุ่น ญี่ปุ่นคงไม่ยินยอมขายให้ ถ้าคิดว่าวันหนึ่งข้างหน้าอาวุธเหล่านั้นจะถูกนำมาใช้ต่อต้านญี่ปุ่น นายกรัฐมนตรีตอบว่า ญี่ปุ่นมิได้ขายวัสดุสงครามให้แก่ไทยมากมายอย่างที่อังกฤษคิด ไทยสั่งซื้อรถถังขนาด 7 ตันไว้ 50 คัน เพิ่งได้รับเพียง 9 คัน เครื่องบินหรือ ญี่ปุ่นก็ส่งให้ล่าช้าไม่ทันความต้องการ ญี่ปุ่นกลัวว่าไทยจะนำอาวุธที่ซื้อไปใช้แก่อินโดจีน ไทยต้องการอาวุธเพื่อปกป้องความเป็นกลางของประเทศ

สาเหตุที่มีการสั่งซื้ออาวุธมากขึ้นในขณะที่ชาติกำลังตื่นตัวอย่างมาก ก็เพราะทางกระทรวงการคลังอนุมัติเงินสะดวกขึ้น นายกรัฐมนตรียืนยันว่า ยังต้องการสั่งซื้ออาวุธจากอังกฤษและสหรัฐฯ อยู่ ทั้งนี้เพื่อแสดงว่าไทยไม่เลือกซื้อเฉพาะจากญี่ปุ่นเท่านั้น

นายกรัฐมนตรีแจ้งต่อทูตอังกฤษว่า ขณะนั้นมีความหวั่นเกรงของปวงชนคนไทยทางภาคใต้ที่ทราบว่าอังกฤษกำลังส่งทหารเข้ามาเพิ่มเติมในมลายู และหนังสือพิมพ์ญี่ปุ่นพยายามปลุกปั่นกระพือให้เป็นเรื่องใหญ่ นายกรัฐมนตรีเองไม่มีความวิตกกังวลแต่อย่างใด เพราะตระหนักในเหตุผลดี ไม่เคยคิดว่าอังกฤษประสงค์จะคุกคามไทย ในตอนท้ายนายกรัฐมนตรียืนยันหนักแน่นต่อทูตอังกฤษว่า ท่านมิได้นิยมญี่ปุ่นอย่างที่มีคนพยายามจะให้เข้าใจ ท่านไม่เห็นด้วยกับการที่ญี่ปุ่นจะเรียกร้องสิทธิเป็นผู้นำในเอเชีย ญี่ปุ่นเป็นชาติเจ้าเล่ห์พยายามเบ่งตน และไม่มีมิตรแท้สักประเทศหนึ่งในโลกนี้

ในโทรเลขอีกฉบับหนึ่งที่ส่งก่อนรายงานฉบับที่กล่าวมานี้หนึ่งสัปดาห์ เซอร์โจซาย ครอสบี้ ได้วาดภาพนายกรัฐมนตรีไทยว่าเป็นบุคคลที่เข้าใกล้ชิดมังกรญี่ปุ่นเต็มที่ จนรู้สึกลมปราณของมังกรบนใบหน้าแล้ว จึงเกิดความหวาดกลัว นอกจากอุปนิสัยที่เอาแน่ไม่ได้แล้ว ยังมีลักษณะประจำของรัฐบาลไทยอีกสองประการคือ ประการที่หนึ่ง ไม่อยากจะวินิจฉัยเรื่องใดให้เด็ดขาดลงไป และ ประการที่สอง ลังเลไม่ยอมตัดสินใจเข้าข้างใดจนกว่าตระหนักแน่ว่าฝ่ายใดจะชนะ

นายกรัฐมนตรียังเหยียบเรือสองแคมอยู่ระหว่างอังกฤษกับญี่ปุ่น เท้าข้างหนึ่งอยู่ในค่ายอังกฤษ อีกข้างหนึ่งในค่ายญี่ปุ่น ทูตอังกฤษยังไม่เชื่อว่า เท้าทั้งสองข้างนั้นจะเข้าไปรวมอยู่ในค่ายญี่ปุ่นแต่เพียงฝ่ายเดียว

ภายในกระทรวงการต่างประเทศอังกฤษเอง เจ้าหน้าที่เห็นด้วยกับ เซอร์โจซาย ครอสบี้ว่านายกรัฐมนตรีไทยจมอยู่ในห้วงความไม่แน่นอน กลัวอำนาจโจมตีของญี่ปุ่นก็กลัว แต่ก็ไม่เชื่อว่าญี่ปุ่นจะสามารถเอาชัยชนะอังกฤษและสหรัฐฯ ได้ในที่สุด ทำให้ต้องแกว่งไปแกว่งมาอยู่เนืองนิจ รอวันที่จะต้องตัดสินใจอยู่ เป็นที่ประจักษ์ชัดว่าญี่ปุ่นระแวงนายกรัฐมนตรีไม่น้อยกว่าอังกฤษระแวง

เท่าที่สดับฟังทั้งหมดแล้ว พอสรุปได้ว่า นายกรัฐมนตรีเชื่อว่าเอกราชของประเทศไทยจะเป็นอันรักษาไว้ได้ก็ต่อเมื่อมีการแสดงออกชัดแจ้งว่า สหรัฐฯ และอังกฤษจะดำเนินมาตรการจริงจังเพื่อคุ้มครองเอกราชของประเทศไทยด้วยการขัดขวางการก้าวหน้าของญี่ปุ่น ในความรู้สึกของฝ่ายอังกฤษยังไม่มีสัญญาณใดที่จะส่อให้เห็นว่าสหรัฐฯ จะดำเนินมาตรการนั้น เท่าที่อังกฤษจะกระทำได้ก็คือ รวบรวมข่าวสารต่างๆ พร้อมด้วยข้อคิดของอังกฤษเสนอให้สหรัฐฯ ทราบและขอร้องให้สหรัฐฯ ประกาศเปิดเผยว่า จะดำเนินการบีบบังคับญี่ปุ่นทางเศรษฐกิจ เป็นการโต้ตอบการละเมิดอธิปไตยของประเทศไทย และขอให้ร่วมมือโดยใกล้ชิดกับอังกฤษในการช่วยประเทศไทยด้านการเงินและการอาวุธยุทธภัณฑ์

ความห่วงใยของอังกฤษอีกประการหนึ่งได้แสดงออกในโทรเลขที่กระทรวงการต่างประเทศมีถึง ลอร์ด แฮลีแฟ็กซ์ ซึ่งได้รับแต่งตั้งเป็นเอกอัครราชทูตประจำกรุงวอชิงตัน เมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2484 สรุปผลของอนุสัญญากรุงโตเกียวระหว่างไทยกับฝรั่งเศสว่า เป็นผลเสียแก่ฝ่ายฝรั่งเศสยิ่งกว่า ถ้าหากฝรั่งเศสจะยอมเจรจาโดยตรงกับประเทศไทยในระยะแรกของกรณีพิพาท และในเวลาเดียวกันเป็นผลดี ทำความพอใจให้แก่ฝ่ายไทย แม้จะยังไม่เป็นไปตามความปรารถนาอย่างเต็มที่ของไทย ญี่ปุ่นยังมิได้ตั้งข้อเรียกร้องสมนาคุณต่อประเทศไทยแต่อย่างใด

ถึงกระนั้นก็ตาม ถ้าไทยต้องตกอยู่ในอิทธิพลของญี่ปุ่นแล้ว ญี่ปุ่นอยู่ในฐานะที่จะเรียกร้องอย่างใดจากไทยก็ได้ในภายหลัง การที่ญี่ปุ่นทำหน้าที่ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทสำเร็จ และในฐานะเป็นผู้ประกันข้อตกลงนั้น ญี่ปุ่นอาจส่งกองกำลังทหารเรือไปประจำในน่านน้ำอินโดจีนและไทยได้ อาจมีกำลังทหารบกตั้งอยู่ในตอนใต้ของอินโดจีน เพื่อเป็นการตอบแทนการไกล่เกลี่ยของญี่ปุ่น ทั้งไทยและอินโดจีนรับที่จะไม่ทำความตกลงหรือความเข้าใจใดๆ ที่จะมีการร่วมมือทางการเมือง การเศรษฐกิจ และการทหาร เป็นปฏิปักษ์ต่อญี่ปุ่น ไม่ว่าจะโดยตรงหรือโดยอ้อม

แถลงการณ์ร่วมที่ได้ออกเมื่อทำอนุสัญญากรุงโตเกียว กล่าวถึงข้อตกลงที่จะกระทำกันภายหลังเพื่อธำรงไว้ซึ่งสันติภาพในมหาเอเชียบูรพา และเพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์อันใกล้ชิดเป็นพิเศษระหว่างญี่ปุ่นกับไทยและระหว่างญี่ปุ่นกับฝรั่งเศส ทั้งหลายเหล่านี้ย่อมเป็นสักขีพยานแห่งการขยายอิทธิพลของญี่ปุ่นและเปิดทางให้มีการค่อยๆ กลืนอินโดจีนและไทย เป็นที่แน่นอนว่าญี่ปุ่นจะค่อยๆ บีบคั้นให้ฝรั่งเศสยอมทำสัญญาซึ่งได้เริ่มเจรจากันมาหลายเดือนแล้ว ไปในทางที่จะให้ประโยชน์ทางเศรษฐกิจอย่างใหญ่หลวงแก่ประเทศญี่ปุ่นในอินโดจีน อันจะเป็นผลได้ทางอ้อมแก่ประเทศเยอรมันด้วย

สำหรับประเทศไทย ญี่ปุ่นคงจะคาดคั้นเอาดีบุกและยาง ซึ่งส่วนหนึ่งจะส่งไปให้เยอรมัน ยิ่งกว่านั้นญี่ปุ่นอาจจะยุยงให้ประเทศไทยเรียกร้องดินแดนจากอังกฤษต่อไป ฝรั่งเศสไม่พอใจอนุสัญญาที่กรุงโตเกียวอยู่แล้ว ความไม่สงบอาจจะเกิดขึ้นได้ เปิดทางให้ญี่ปุ่นสามารถทำการแทรกแซงในภายหลัง โดยเสนอให้ความช่วยเหลือแก่ประเทศไทย แลกเปลี่ยนกับความสะดวกทางทหารที่ต้องการจากประเทศไทย

ทางด้านอินโดจีนนั้น ไม่มีทางที่อังกฤษจะดำเนินมาตรการที่มีผลได้ เหลือแต่ด้านประเทศไทย ซึ่งมีปัญหาทางนโยบายที่จะต้องวินิจฉัย ประเทศไทยยังไม่ตระหนักถึงขอบเขตของภัยในอนาคตอย่างเต็มที่ และยังไม่เห็นว่าต้องตกอยู่ข้างญี่ปุ่นเต็มตัว จึงยังมีทางที่พอจะดำเนินการได้ และการดำเนินการนี้เกิดจากเหตุผลทั้งทางเศรษฐกิจและทางยุทธศาสตร์ ในทางเศรษฐกิจจะป้องกันมิให้สูญเสียบ่อเกิดยางและดีบุกให้แก่ฝ่ายอักษะ และในทางยุทธศาสตร์จะป้องกันการที่ญี่ปุ่นจะโอบล้อมมลายูไว้ ถ้าญี่ปุ่นมีกำลังอยู่ในอ่าวไทยโดยเฉพาะอย่างยิ่งในบริเวณคอคอดกระ การป้องกันสิงคโปร์ย่อมจะยากลำบากขึ้นเป็นอย่างมาก

ในวันเดียวกันนั้น รัฐบาลอังกฤษได้มีโทรเลขอีกฉบับหนึ่งสั่งให้ ลอร์ด แฮลิแฟ็กซ์ เสนอบันทึกช่วยจำต่อฝ่ายอเมริกันแสดงความคิดเห็นและความห่วงใยของอังกฤษในส่วนที่เกี่ยวกับประเทศไทยว่า วิธีป้องกันที่มีประสิทธิภาพที่สุดเพื่อมิให้ประเทศไทยต้องตกเข้าไปในค่ายญี่ปุ่น ก็คือ จะต้องแสดงแสนยานุภาพทางทหารให้ประเทศไทยมองเห็นประจักษ์ชัด แต่ถ้าไม่สามารถจะดำเนินการเช่นนั้นได้ วิธีเลือกอื่นอยู่ที่ (1) การใช้วิธีบีบบังคับประเทศไทยทางเศรษฐกิจและการเงินเท่าที่จะทำได้ และ (2) การเสนอให้ความช่วยเหลือทางเศรษฐกิจและการเงินให้แก่ประเทศไทยโดยมีเงื่อนไขที่เหมาะสมและรัดกุม

รัฐบาลอังกฤษได้ศึกษาถึงวิธีเลือกที่ 1 แล้ว การค้าของประเทศไทยต้องอาศัยตลาดในดินแดนของอังกฤษที่ใกล้เคียงประเทศไทยเป็นสำคัญ ถ้าอังกฤษควบคุมการส่งกระสอบ การค้าข้าว ยางและดีบุกของไทยย่อมจะต้องกระทบกระเทือน แค่การบีบบังคับทางเศรษฐกิจเป็นดาบสองคมอาจจะเป็นผลร้ายต่อทางมลายูด้วย ทั้งยังจะช่วยผลักดันให้ประเทศไทยต้องหันเข้าพึ่งญี่ปุ่นมากยิ่งขึ้น ญี่ปุ่นอาจจะซื้อยางและดีบุกไทยส่งไปให้เยอรมันก็ได้ ด้วยเหตุนี้ รัฐบาลอังกฤษจึงเชื่อว่า น่าจะเลือกใช้วิธีที่ 2 ก่อน

ตามปกติ ไทยมักจะมองไปทางกรุงลอนดอนในปัญหาทางเศรษฐกิจและการเงิน นายกรัฐมนตรีไทยกำลังต้องการกู้เงินและความช่วยเหลือในด้านน้ำมันและอาวุธยุทธภัณฑ์ สำหรับอาวุธยุทธภัณฑ์นั้น รัฐบาลอังกฤษไม่อยู่ในฐานะที่จะให้แก่ไทยได้ และเชื่อว่ารัฐบาลอเมริกันเองก็คงจะไม่สามารถเจียดให้ได้เท่าใดนัก รัฐบาลไทยกำลังต้องการเงินกู้จำนวน 3 ล้านปอนด์จากต่างประเทศ เพื่อใช้หนุนหลังการออกบัตรเพื่อโครงการสร้างรถไฟเป็นเงิน 4.5 ล้านบาท การชลประทาน 3.2 ล้านบาท อุตสาหกรรมฝ้ายและไหม 3.4 ล้านบาท โรงงานฆ่าสัตว์ 1.4 ล้านบาท ในการดำเนินตามโครงการพัฒนาเหล่านี้ หรือในการซื้อน้ำมันจากต่างประเทศ รัฐบาลไทยอาจจะหาเงินได้เองประมาณ 1.25 ล้านปอนด์ ด้วยการลดอัตราหนุนหลังธนบัตรจาก 111% เหลือ 105%

รัฐบาลอังกฤษรับจะสรรหาเงินสเตอร์ลิงให้แก่รัฐบาลไทย สำหรับคำใช้จ่ายในเขตสเตอร์ลิงและใคร่จะขอให้สหรัฐฯ รับสรรหาเงินดอลล่าร์ให้แก่ประเทศไทย สำหรับค่าใช้การที่ไทยจะซื้อสินค้าจากสหรัฐฯ

ในด้านน้ำมัน ตามทางปฏิบัติเท่าที่เป็นมา อังกฤษยินยอมให้ไทยแลกเงินปอนด์สเตอร์ลิงของไทยเพื่อซื้อน้ำมันที่ต้องใช้เงินเหรียญอเมริกันได้ปีละ 5 ล้านเหรียญ แต่ต่อมารัฐบาลไทยมีข้อพิพาทกับบริษัทน้ำมันอังกฤษและอเมริกันในประเทศไทย มีผลให้บริษัททั้งสองถอนตัวจากประเทศไทยไปแล้ว อังกฤษพร้อมที่จะขอให้บริษัทเชลล์ส่งน้ำมันให้แก่ไทยตามความต้องการ แต่ก็เกรงว่าบริษัทเชลล์จะไม่ยอมกลับไปค้าในประเทศไทย

นอกจากจะตกลงกันได้กับบริษัทแสตนดาร์ดเวควั่ม ซึ่งต้องคำนึงถึงท่าทีของรัฐบาลอเมริกัน อย่างไรก็ตาม จำนวนน้ำมันที่จะต้องส่งให้แก่ไทย ควรจำกัดเฉพาะที่จำเป็นจริงๆ สำหรับความต้องการภายในประเทศ ไม่ควรให้มีเหลือเพื่อกลับส่งออกไปยังประเทศอื่น อันอาจจะก่อให้เกิดอันตรายในภายหลัง หรือจะเก็บสำรองไว้เพื่อใช้ในการปฏิบัติการทางทหารในดินแดนไทยหรือบริเวณใกล้เคียง

ในการที่จะเสนอให้ความช่วยเหลือทางการเงินและทางน้ำมันแก่ประเทศไทย ฝ่ายอังกฤษเห็นว่าควรจะวางเงื่อนไขให้ไทยยอมรับว่า จะไม่มีการเปลี่ยนการขายยาง ดีบุก และข้าว จากตลาดลูกค้าเดิม เพื่อเป็นประโยชน์ต่อฝ่ายญี่ปุ่น และขอทราบความผูกพันที่ทำไว้กับญี่ปุ่นในเรื่องสินค้าทั้งสามประเภทนี้ อนึ่ง ในการกู้เงินเพื่อโครงการพัฒนา จะต้องเป็นไปในลักษณะที่จะไม่เพิ่มผลประโยชน์ของญี่ปุ่นในประเทศไทย

ลอร์ด แฮลิแฟ็กซ์ ได้รวบรวมข้อคำนึงเหล่านี้เสนอกระทรวงการต่างประเทศอเมริกันในบันทึกช่วยจำลงวันที่ 8 เมษายน 2484

เมื่อฝ่ายสหรัฐฯ มิได้แสดงปฏิกิริยาเกี่ยวกับข้อเสนอของรัฐบาลอังกฤษแน่นอนประการใด ในชั้นแรกฝ่ายอังกฤษจึงคิดไปว่า สหรัฐฯ คงจะไม่เห็นทางที่จะหยุดยั้งการก้าวหน้าของญี่ปุ่นเข้าไปในประเทศไทยมากกว่าที่ญี่ปุ่นได้ล่วงล้ำเข้าไปในอินโดจีน และถือว่าทั้งสองประเทศเป็นอันเสียให้แก่ญี่ปุ่นแล้ว เนื่องจากประเทศไทยมีอาณาเขตติดต่ออยู่กับประเทศพม่าและมลายู อังกฤษจึงยอมตามทัศนคติของสหรัฐ ไม่ได้ และได้สั่งการเมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม 2484 ให้เซอร์โจซาย ครอสบี้ แจ้งต่อนายกรัฐมนตรีไทยว่า รัฐบาลอังกฤษพร้อมที่จะให้ความช่วยเหลือในรูปแบบการให้กู้ยืมเงินและการจัดหาผลิตภัณฑ์น้ำมันให้แก่ประเทศไทย ถ้าฝ่ายไทยยอมให้คำมั่นสัญญาว่า

(1) รัฐบาลไทยจะไม่ทำความตกลงใด อันเป็นปฏิปักษ์ต่ออังกฤษโดยตรงหรือโดยอ้อม

(2) รัฐบาลไทยแจ้งให้อังกฤษทราบถึงความผูกพันที่มีกับญี่ปุ่นในเรื่องการส่งยาง ดีบุกและข้าว และ 

(3) ประเทศไทยจะไม่เปลี่ยนแปลงการส่งสินค้าทั้งสามนี้ไปจากตลาดปกติเพื่อประโยชน์ของญี่ปุ่นและเยอรมัน

อังกฤษทราบมาว่า ญี่ปุ่นต้องการจะให้ไทยส่งยางถึง 80% ของการผลิตสินค้าทั้งหมด และดีบุก 40% ไปให้ญี่ปุ่น แลกกับน้ำมัน เครื่องจักรสำหรับโรงงานและอาวุธยุทธภัณฑ์ที่ญี่ปุ่นจะจัดหาให้ประเทศไทย และประเทศไทยกำลังอยู่ในห้วงแห่งความกลัวที่จะถูกญี่ปุ่นบังคับเอาให้ได้

นายกรัฐมนตรีไทยยืนยันต่อ เซอร์โจซาย ครอสบี้ ว่าประเทศต้องการวางตนเป็นกลางและจะไม่เข้าข้างญี่ปุ่นเป็นอันขาด เพื่อรักษาความเป็นกลางและเอกราชของประเทศ  รัฐบาลไทยจำเป็นต้องได้รับความช่วยเหลือในทางการเงิน อาวุธยุทธภัณฑ์ และน้ำมัน การที่รัฐบาลต้องส่งกำลังทหารไปประจำทางปักษ์ใต้ มิใช่จะมุ่งร้ายต่ออังกฤษ หากเป็นเพราะกลัวว่าญี่ปุ่นจะล่วงละเมิดดินแดนไทยเพื่อเข้าโจมตีมลายู ส่วนการที่ไทยมีดำริจะส่งนายทหารไปศึกษาต่อในประเทศญี่ปุ่นและเยอรมันนั้น ก็สืบเนื่องจากความไม่สามารถส่งไปประเทศฝรั่งเศสและเบลเยียมอย่างที่เคยเพราะเหตุสงครามในยุโรป

ในรายงานการเจรจากับนายกรัฐมนตรีไทยที่เสนอต่อรัฐบาลอังกฤษเมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม 2484 เซอร์โจซาย ครอสบี้ ได้ไขความคิดเห็นส่วนตัวไปว่า ที่ไทยต้องส่งทหารไปเพิ่มเติมในปักษ์ใต้ตอนนั้น อาจเป็นเพื่อยังความอุ่นใจให้เกิดแก่ประชาชนในปักษ์ได้ต่อการเตรียมการป้องกันมลายูของกำลังทหารอังกฤษ และอาจเป็นเพราะเกรงว่ากำลังทหารอังกฤษอาจจะเข้ายึดดินแดนไทยก่อนหน้าที่ญี่ปุ่นจะเข้าโจมตีก็ได้ เซอร์โจซาย ครอสบี้ ไม่เชื่อว่าไทยจะคิดเข้ารุกรานมลายู

ระหว่างการสนทนากับ เซอร์โจซาย ครอสบี้ เมื่อวันที่ 25 มิถุนายน 2484 นายกรัฐมนตรีไทยแสดงความห่วงใยว่า ญี่ปุ่นคงจะพยายามบีบคั้นให้ไทยต้องยินยอมผ่อนผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจให้แก่ญี่ปุ่น อย่างเดียวกันกับที่ได้ทำสำเร็จมาแล้วในอินโดจีน ญี่ปุ่นจะไม่ยุติการเรียกร้องตราบใดที่อังกฤษและสหรัฐฯ ยังไม่ยอมเปิดเผยขีดเส้นห้ามญี่ปุ่น มิให้ล่วงล้ำโดยไม่เกิดสงครามกับอังกฤษและสหรัฐฯ

ในระหว่างที่ไทยและฝรั่งเศสกำลังร่วมมือกันทำการปักปันเขตแดนกันใหม่ และทำการรับและส่งมอบดินแดนแก่กันตามบทบัญญัติของอนุสัญญาสันติภาพกรุงโตเกียว ฝ่ายญี่ปุ่นได้ส่งกำลังทหารเข้าไปเพิ่มในเขตแดนอินโดจีน เมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม 2484 นายแกร็นท์รายงานไปยังกระทรวงการต่างประเทศอเมริกันว่า นายแกร็นท์เชื่อว่ามีความเข้าใจระหว่างญี่ปุ่นกับ จอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรีว่า ญี่ปุ่นสัญญาว่าจะไม่เข้าไปแทรกแซงในดินแดนเหล่านั้น

นายแกร็นท์คาดว่า เมื่อญี่ปุ่นขยายตัวทางการทหารและการเมืองไปในอินโดจีน ไทยจะได้รับโอกาสให้ขยายเข้าไปในราชอาณาจักรลาวและกัมพูชา จอมพล ป. พิบูลสงคราม จะยอมรับข้อเสนอของฝ่ายญี่ปุ่น ทำนองเดียวกันกับที่ได้ยอมรับข้อเสนอไกล่เกลี่ยของญี่ปุ่นเมื่อทำศึกอินโดจีนกับฝรั่งเศส เพราะต้องการจะวางตัวเป็นผู้ให้กำเนิดประเทศไทยใหม่ที่ใหญ่ยิ่งขึ้น ฉะนั้นนายแกร็นท์จึงแสดงความเห็นว่า ถ้ารัฐบาลอเมริกันตกลงให้ไทยกู้เงินตามที่ขอร้องไว้ ก็เท่ากับเป็นการช่วยผู้รุกรานอันขัดต่อนโยบายแน่ชัดของสหรัฐฯ

ในขณะเดียวกัน ฝ่ายอังกฤษได้รับข่าวว่า ญี่ปุ่นกำลังบีบบังคับรัฐบาลฝรั่งเศสที่วิชี ให้โอนฐานทัพในอินโดจีนให้แก่ญี่ปุ่น และถ้าไม่ได้รับตอบอนุมัติจากรัฐบาลฝรั่งเศสภายในวันที่ 24 กรกฎาคม 2484 ญี่ปุ่นจะใช้กำลังทหารเข้ายึดฐานทัพเอาเองโดยที่มีข่าวลือว่า ญี่ปุ่นพยายามจะบีบให้รัฐบาลไทยยอมรับให้ญี่ปุ่นใช้ฐานทัพเรือและอากาศในประเทศไทย

เซอร์โจซาย ครอสบี้ ได้รับคำสั่งจากรัฐบาลอังกฤษให้แจ้งต่อรัฐบาลไทยเมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม 2484 ว่า การให้ประเทศที่สามใช้ฐานทัพของไทย เท่ากับการละเมิดสนธิสัญญาไม่รุกรานระหว่างไทยกับอังกฤษ และรัฐบาลอังกฤษขอเตือนว่า จะดำเนินการทุกวิถีทางที่จะคุ้มครองผลประโยชน์ของอังกฤษตามความเหมาะสม

ในปลายเดือนกรกฎาคม เซอร์โจซาย ครอสบี้ ทราบข่าวว่า ญี่ปุ่นได้ยื่นคำร้องเรียนต่อรัฐบาลไทยบางอย่าง จึงได้เข้าพบกับปลัดกระทรวงการต่างประเทศไทยซึ่งปฏิเสธว่า ไม่มีข้อเรียกร้องใดๆ จากฝ่ายญี่ปุ่น ปลัดกระทรวงแจ้งต่อทูตอังกฤษว่า รัฐบาลฝรั่งเศสที่วิชีอาจจะถูกบังคับให้มอบอธิปไตยเหนืออินโดจีนให้แก่ญี่ปุ่น และในกรณีนั้น เชื่อว่าญี่ปุ่นอาจจะเสนอยกดินแดนลาวและนครวัดให้แก่ไทย เป็นการแลกเปลี่ยนกับการยินยอมบางอย่างจากประเทศไทย ซึ่งนายกรัฐมนตรีและพวกอยากได้ดินแดนคืน อาจจะยอมรับโดยไม่คำนึงถึงข้อผูกมัดที่อาจจะสืบเนื่องต่อไปในภายหน้า

วันที่ 28 กรกฎาคม ทูตอังกฤษได้นัดพบรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศอีก แสดงความเห็นว่า ญี่ปุ่นอาจจะพยายามให้สินบนแก่ประเทศไทยด้วยการเสนอคืนดินแดนอินโดจีนให้เพิ่มเติม นายดิเรก ชัยนาม ปฏิเสธว่าไม่เคยได้ยินข้อเสนอของญี่ปุ่นดังกล่าว ทั้งนี้ ทำให้ทูตอังกฤษเชื่อในวิธีการทำงาน นายกรัฐมนตรีที่จะปรึกษาหารือคำเรียกร้องของญี่ปุ่นกับรัฐมนตรีบางคนในคณะรัฐบาลเท่านั้น

เซอร์โจซายขอให้นายดิเรก ชัยนาม เรียนให้นายกรัฐมนตรีทราบว่าทูตขอวิงวอนมิให้ไทยยอมรับดินแดนที่ฝ่ายญี่ปุ่นอาจจะเสนอให้อีก เพราะไทยจะต้องตอบแทนญี่ปุ่นด้วยการมอบเอกราชของไทยให้แก่ญี่ปุ่น ไทยมีภาระมากเต็มมืออยู่แล้วในดินแดนที่เพิ่งได้รับคืนจากฝรั่งเศส

รุ่งขึ้นวันที่ 29 กรมโฆษณาการไทยออกคำแถลงการณ์มีใจความว่า ตามสถานการณ์ที่เป็นอยู่ในขณะนี้ รัฐบาลไทยขอแถลงย้ำนโยบายต่างประเทศ ดังต่อไปนี้

  1. รัฐบาลจะคงยึดถือนโยบายผูกมิตรเท่าเทียมกันกับทุกประเทศเพื่อสันติภาพของมนุษยชาติ
  2.  ไม่มีต่างประเทศใดเลยที่บีบคั้นประเทศไทยทางเศรษฐกิจหรือทางทหาร
  3. ประเทศไทยไม่มีความห่วงใยว่าจะต้องเผชิญกับการรุกรานจากต่างประเทศ
  4. ประเทศไทยจะปฏิบัติการทุกอย่างที่จะรักษาสันติภาพในดินแดนของไทยและจะไม่เข้าแทรกแซงในการขัดกันใดๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นนอกอาณาเขตไทย
  5. ในที่สุด ประเทศไทยพร้อมอยู่เสมอที่จะทำการค้ากับชาติอื่นด้วยความเห็นอกเห็นใจต่อกันและโดยสันถวไมตรี เพื่อที่ความสัมพันธ์ฐานมิตรกับประเทศอื่นจะไม่ต้องกระทบกระเทือน

วันที่ 30 เดือนเดียวกัน เซอร์โจซาย ครอสบี้ ได้ปรึกษาหารือกับ นายคีลเลอรีย์ ผู้แทนของกระทรวงการสงครามเศรษฐกิจประจำสิงคโปร์ นายคีลเลอรีย์ตั้งปัญหาขึ้นว่า สมควรที่ฝ่ายอังกฤษจะช่วยให้มีการเปลี่ยนรัฐบาลใหม่ในประเทศไทย เพื่อให้ได้รัฐบาลที่พร้อมจะขัดขืนการบีบบังคับของญี่ปุ่นเพียงใดหรือไม่

ในขั้นแรก เซอร์โจซายแสดงความเห็นว่า อังกฤษจะกระทำการเช่นนั้นไม่ได้และไม่ควรจะกระทำ แต่ภายหลังได้ผ่อนลงไปว่า อาจจะลองพยายามกระทำดูก็ได้ แต่รัฐบาลอังกฤษจะต้องพร้อมจะให้ความสนับสนุนทางทหารแก่รัฐบาลใหม่เมื่อมีความจำเป็นต้องต่อต้านญี่ปุ่น ซึ่งในข้อนี้ผู้บัญชาการทหารอังกฤษภาคตะวันออกไกลยืนยันว่า ฝ่ายทหารยังให้คำมั่นดังกล่าวไม่ได้ แต่สถานการณ์จะเปลี่ยนแปลงไปในสองสามเดือนข้างหน้า นายคีลเลอรีย์จึงเสนอขอให้กระทรวงการสงครามเศรษฐกิจปรึกษาหารือกับกระทรวงการต่างประเทศดูว่า จะพึงปฏิบัติการอย่างใด โดยเฉพาะอังกฤษและสหรัฐฯ จะมีทางให้ความช่วยเหลือแก่ประเทศไทยอย่างใดบ้างเพื่อป้องกันมิให้ไทยต้องตกอยู่ในอำนาจของญี่ปุ่น

นายเอช.เอ็ม.แกล็ดวิน แจ๊บบ์ ปลัดกระทรวงการสงครามเศรษฐกิจ มีหนังสือทาบทามถามความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศเมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2484 เจ้าหน้าที่กระทรวงการต่างประเทศพิจารณาแล้วมีความเห็นว่า แม้องค์ประกอบของรัฐบาลไทยอาจจะผสมให้ดีขึ้นได้ด้วยการเปลี่ยนตัวนายกรัฐมนตรี ให้ หลวงประดิษฐ์มนูธรรม รัฐมนตรีว่าการการคลัง หรือ หลวงธำรงนาวาสวัสดิ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมเข้าดำรงตำแหน่งแทน

แต่อันที่จริงแล้วรัฐบาลของหลวงพิบูลสงครามก็มิใช่จะเลวนัก ญี่ปุ่นเองก็ไม่สู้จะชอบ และถึงอย่างไรภายในรัฐบาลมีผู้ที่สนับสนุนอังกฤษอยู่ การจะจัดให้มีการเปลี่ยนแปลงตามที่เสนอคงไม่คุ้มค่า กระทรวงการต่างประเทศเห็นด้วยกับเซอร์โจซายว่า การจะให้รัฐบาลไทยบำเพ็ญตนจนเป็นที่พอใจของอังกฤษ จะต้องอาศัยการให้คำมั่นสัญญาว่า อังกฤษจะให้ความสนับสนุนทางทหารอย่างแน่นอน ซึ่งอังกฤษยังไม่อยู่ในฐานะจะกระทำเช่นนั้นได้ เท่าที่อังกฤษจะกระทำได้ก็คือหาทางสนับสนุนไทยทางเศรษฐกิจพร้อมด้วยการร่วมมือของสหรัฐฯ ซึ่งก็เป็นเรื่องที่ยากลำบากพอสมควรอยู่แล้ว

วันที่ 12 สิงหาคม 2484 นายแกร็นท์ อัครทูตอเมริกันรายงานรัฐบาลอเมริกันว่าหลวงพิบูลสงครามจะอาศัยญี่ปุ่นเพื่อให้สามารถคงเป็นนายกรัฐมนตรีไทยอยู่ต่อไป และจะยอมรับปฏิบัติตามการบงการของญี่ปุ่นหลังฉาก ในขณะเดียวกันอังกฤษแจ้งให้สหรัฐฯ ทราบว่า ทูตญี่ปุ่นในประเทศไทยยื่นคำขอต่อรัฐบาลไทยรวม 5 ข้อ คือ

(1) ขอให้ไทยงดเว้นไม่ทำสัญญากับประเทศที่สามใดๆ อันจะเป็นภัยต่อวงไพบูลย์ร่วมกันที่ญี่ปุ่นคิดจัดตั้งขึ้น 

(2) ขอให้รัฐบาลไทยรับรองรัฐบาลมานจูกัว 

(3) ขอให้ไทยระงับความดำริที่จะเปิดความสัมพันธ์กับสหภาพโซเวียต 

(4) ขอให้ไทยพิจารณาให้ความร่วมมือทางทหารกับญี่ปุ่นรวมทั้งการแลกเปลี่ยนผู้เชี่ยวชาญทางทหาร และการจัดตั้งองค์การที่ปรึกษาร่วมทางการทหารระหว่างสองประเทศ และ 

(5) ขอให้ไทยรับรองอินโดจีนฝรั่งเศสเป็นส่วนหนึ่งของความปลอดภัยในวงไพบูลย์ร่วมกันภายใต้การคุ้มครองของกำลังทหารไทยและทหารญี่ปุ่น โดยแบ่งให้ญวนและเขมรอยู่ในเขตการป้องกันของญี่ปุ่นและลาวอยู่ในเขตการป้องกันของไทย

วันที่ 22 สิงหาคม 2484 จอมพล ป. พิบูลสงคราม ลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และมีพระบรมราชโองการแต่งตั้ง นายดิเรก ชัยนาม เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศแทน ฝ่ายสหรัฐฯ ได้ส่ง นายวิลลิส อาร์ เพ็ค ข้าราชการในกรมกิจการตะวันออกกระทรวงการต่างประเทศมาเป็นทูตอเมริกันแทนนายแกร็นท์ ซึ่งเป็นนักการเมืองพรรคเดโมแกร็ตที่มีความคิดเห็นแหวกแนวออกไปเสมอ ไม่สู้จะให้ความร่วมมือกับ เซอร์โจซาย ครอสบี้ เท่าใดนัก

นายแกร็นท์เป็นผู้มีส่วนโดยตรงที่ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ กับไทยเสื่อมทรามลง โดยได้เสนอให้รัฐบาลอเมริกันวางท่าทีอันแข็งกร้าวต่อรัฐบาลไทยเรื่อยมา ส่วนญี่ปุ่นนั้นได้เสนอขอยกสถานะของอัครราชทูตญี่ปุ่นขึ้นเป็นเอกอัครราชทูตตั้งแต่เดือนกรกฎาคม ฝ่ายไทยอยากจะให้อังกฤษและอเมริกันเลื่อนฐานะทูตขึ้นด้วยพร้อมกัน เพื่อมิให้ญี่ปุ่นล้ำหน้าอังกฤษและอเมริกันไป แต่ทั้งสองประเทศอ้างว่า ยังไม่พร้อมที่จะดำเนินการ

เป็นอันว่า ประเทศไทยและญี่ปุ่นเท่านั้นที่ได้ตกลงยกสถานะผู้แทนทางการทูตขึ้นเป็นเอกอัครราชทูตเมื่อวันที่ 24 สิงหาคม 2484 โดยฝ่ายญี่ปุ่นได้ส่งนายทสุโบกะมิ มาดำรงตำแหน่งเป็นเอกอัครราชทูตญี่ปุ่นคนแรกประจำประเทศไทย ส่วนฝ่ายไทยได้เลื่อนพระยาศรีเสนาขึ้นเป็นเอกอัครราชทูต โดยอาวุโสทางการทูต นายทสุโบกะมิ เข้ารับหน้าที่เป็นคณบดีคณะทูตต่างประเทศที่กรุงเทพฯ สืบแทนเซอร์โจซาย ครอสบี้

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศอเมริกันชี้แจงต่อ ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช ในเรื่องนี้ว่า ในส่วนตัวแล้วเห็นว่าไม่ควรแบ่งชั้นระหว่างทูต และในทางปฏิบัติ ฝ่ายอเมริกันให้ผลปฏิบัติต่อทูตต่างประเทศเท่าเทียมกัน มิได้มีการแยกเอกอัครราชทูตหรืออัครราชทูต เรื่องอยู่ในระหว่างการพิจารณาทางรัฐบาล แต่ภายหลังต่อมา นายแฮมิลตัน อธิบดีกรมการตะวันออกไกลแจ้งต่อ ม.ร.ว.เสนีย์ว่า รัฐบาลอเมริกันเห็นว่ายังไม่ถึงเวลาที่จะสนองความประสงค์ของฝ่ายไทยได้ ส่วนอังกฤษนั้น กระทรวงการต่างประเทศชี้แจงต่อ พระมนูญเวทย์วิมลนาท ว่า เสียใจที่ยังไม่สามารถรับข้อเสนอของไทย เพราะถือหลักจะไม่เปลี่ยนสถานะของสถานทูตอังกฤษในต่างประเทศตลอดเวลาสงคราม

พึงสังเกตว่า ในระหว่างนั้น ฝ่ายญี่ปุ่นได้สะสมกำลังทหารเพิ่มขึ้นในอินโดจีน เฉพาะอย่างยิ่งได้ตระเตรียมและขยายฐานทัพในดินแดนอินโดจีน เพิ่มความห่วงใยให้แก่ฝ่ายไทยเป็นอย่างมาก จอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรีขอให้ เซอร์โจซาย ครอสบี้ แสวงหาคำตอบจากฝ่ายทหารอังกฤษว่า ถ้าญี่ปุ่นรุกรานบุกเข้ามาในประเทศไทย ฝ่ายอังกฤษจะดำเนินการเพื่อคุ้มครองผลประโยชน์ของอังกฤษในประเทศไทยเพียงใด และอังกฤษจะแนะนำไทยอย่างใดในการป้องกันประเทศไทย

เซอร์โจซายส่งโทรเลขสอบถามไปยังกรุงลอนดอนเมื่อวันที่ 15 ตุลาคม 2484 และขอร้องให้ได้รับคำตอบภายในหนึ่งสัปดาห์ เซอร์โจซายเสนอเป็นความเห็นส่วนตัวว่า อย่างน้อยอังกฤษควรจะให้คำมั่นว่าจะเข้ามาช่วยประเทศไทยในการป้องกันภาคใต้ของประเทศไทย

ความจริงฝ่ายทหารอังกฤษทางสิงคโปร์มีแผนการที่จะต่อต้านญี่ปุ่นในด้านนี้อยู่แล้ว ที่เรียกว่า “แผนการมากาดอร์” ถือเป็นแผนลับสุดยอด แม้แต่ทูตอังกฤษในประเทศไทยก็มิได้แจ้งให้ทราบ มีหลักการสำคัญว่าถ้ามีสัญญาณแสดงให้เห็นว่าญี่ปุ่นจะบุกกล้ำกรายเข้าประเทศไทย อังกฤษจะส่งกำลังทหารเข้ายึดดินแดนไทยในบริเวณจังหวัดสงขลา เตรียมสกัดกั้นไม่ให้ญี่ปุ่นคืบหน้าลงไปทางใต้ของประเทศไทย

เซอร์โรเบิร์ต บรุ๊กพอนแฮม ผู้บัญชาการทหารอังกฤษที่สิงคโปร์ มีโทรเลขลงวันที่ 28 สิงหาคม 2484 ถึงกระทรวงสงครามที่กรุงลอนดอนมีใจความตอนหนึ่งว่า ฝ่ายทหารมีความเห็นว่า เซอร์โจซายไม่ควรจะล่วงรู้ถึงแผนการนี้จนวาระสุดท้าย เพราะจะยังความสะดวกให้แก่ทูตในการติดต่อกับรัฐบาลไทย

รัฐบาลไทยรอคำตอบจากฝ่ายอังกฤษ ซึ่งไม่มาถึงสักที ทั้งที่เนื่องจากมีความเห็นขัดแย้งระหว่างกระทรวงการต่างประเทศอังกฤษและฝ่ายทหาร ทางกระทรวงการต่างประเทศนั้นอยากให้ยืนยันว่า อังกฤษพร้อมจะร่วมมือกับไทยในกรณีที่ญี่ปุ่นรุกเข้ามา แต่ฝ่ายทหารไม่อยากจะให้ผูกมัดถึงเพียงนั้นเพราะไม่มีกำลังเพียงพอ และถึงอย่างไรก็ต้องอาศัยฝ่ายอเมริกันร่วมด้วย ไทยอยากจะได้เครื่องบินรบมาเพื่อป้องกันตัว อังกฤษไม่พร้อมที่จะให้เพราะถือว่าถ้าจะให้ก็ต้องถอนเอาไปจากกำลังป้องกันทางสิงคโปร์ ซึ่งก็มีน้อยอยู่แล้ว

การถอนเครื่องบินจากสมรภูมิแห่งหนึ่งเพื่อไปเพิ่มอีกแห่งหนึ่ง จะไม่ทำให้การป้องกันเข้มแข็งขึ้นอย่างใดเลย และเครื่องบินรบเหล่านี้ในการครอบครองของทหารอังกฤษจะใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งกว่าโยกย้ายโอนมาให้แก่ทหารไทย ทั้งนี้ทำให้เซอร์โจซายเสียกำลังใจไม่น้อย เพราะท่านไม่เข้าใจว่า ถ้าอังกฤษต้องเสริมให้ไทยสู้ญี่ปุ่น เหตุใดอังกฤษจึงไม่ยอมให้เครื่องบินรบและอาวุธยุทธภัณฑ์ที่ไทยขอ

จอมพล ป. พิบูลสงคราม เห็นว่า ถ้าฝ่ายสัมพันธมิตรไม่อยู่ในฐานะที่จะให้ความช่วยเหลือแก่ไทยตามความต้องการ อย่างน้อยก็ควรจะประกาศเปิดเผยเตือนญี่ปุ่นมิให้รุกรานเข้ามาในประเทศไทยอย่างเด็ดขาด

ขนานกันไปกับด้านการเจรจากับอังกฤษ จอมพล ป. พิบูลสงคราม ยังคงรักษาการติดต่อกับฝ่ายญี่ปุ่นด้วย โดยได้พบพูดจากับพันโททามูระ ผู้ช่วยทูตฝ่ายทหารบกของญี่ปุ่นประจำประเทศไทยอย่างใกล้ชิดเกือบทุกวัน ตามรายงานของพันโททามูระที่ส่งถึงกองบัญชาการทหารญี่ปุ่นทางใต้ ณ เมืองไซ่ง่อนต้นเดือนธันวาคม

ท่านจอมพลแสดงความห่วงใยอย่างมาก ไม่อยากให้กำลังทหารญี่ปุ่นส่งเข้ามาทางภาคกลางของประเทศไทย ถ้าญี่ปุ่นต้องการจะลงใต้เพื่อเข้ายึดดินแดนมลายูและสิงคโปร์ ก็ขอให้ส่งทหารผ่านประเทศไทยใต้จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ลงไป ไทยจะไม่ขัดขืน ญี่ปุ่นต้องหลีกเลี่ยงไม่ส่งกำลังทหารผ่านภาคกลางของประเทศไทยเป็นอันขาด เพราะจะถือเป็นการกระทบกระเทือนต่อเกียรติภูมิของประเทศไทยและของตัวจอมพลเองโดยเฉพาะ

 

ที่มา : ศาสตราจารย์กนต์ธีร์ ศุภมงคล. “การรักษาความเป็นกลางของประเทศไทย.” ใน “อนุสรณ์งานพระราชทานเพลิงศพ ศาสตราจารย์กนต์ธีร์ ศุภมงคล”. (กรุงเทพฯ: อรุณการพิมพ์. 2556). หน้า 38-47.