ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก
บทบาท-ผลงาน

ภารกิจของนายปรีดี พนมยงค์ หลังสงครามโลก ครั้งที่ 2 ในบทบาทรัฐบุรุษอาวุโส และนายกรัฐมนตรีสมัยแรก

8
ธันวาคม
2567

Focus

  • ดร.ไสว สุทธิพิทักษ์ บันทึกผลงานสำคัญของนายปรีดี พนมยงค์ หลังสงครามโลก ครั้งที่ 2 คือ พระราชพิธีพระราชทานรัฐธรรมนูญ โดย นายปรีดี พนมยงค์ นายกรัฐมนตรี นำรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2489 ขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล เพื่อทรงลงพระปรมาภิไธย​ พร้อมทั้งรายละเอียดสำคัญของรัฐธรรมนูญฉบับดังกล่าว โดยอำนาจนิติบัญญัติได้แบ่งออกเป็น 2 สภา ได้แก่ พฤฒสภา และ สภาผู้แทนราษฎร ซึ่งทั้งสองส่วนล้วนแต่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน

 


นายปรีดี พนมยงค์ รัฐบุรุษอาวุโส

บทบาทผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ นายกรัฐมนตรี และรัฐบุรุษอาวุโส

นับแต่วันประกาศสันติภาพ เมื่อ 16 สิงหาคม 2488 มาจนถึงวันที่ 19 มีนาคม 2489 นับระยะเวลาได้ 2 เดือนเท่านั้น ประเทศไทยได้มีรัฐบาลปกครองมาถึง 3 รัฐบาล คือ รัฐบาลทวี บุณยเกตุ รัฐบาล ม.ร.ว. เสนีย์ ปราโมช และ รัฐบาลควง อภัยวงศ์ ดูอย่างผิวเผินทําให้คิดว่าบ้านเมืองไทยไม่มีเสถียรภาพ และ สันติภาพจริงเลย ตามความจริงแล้ว บ้านเมืองเราเข้าสู่สันติภาพแล้ว แต่เป็นสันติภาพตอนเริ่มต้น เป็นสันติภาพที่หมายความว่า ภาวะสงคราม การใช้อาวุธประหัตประหารกัน การทิ้งระเบิดทําลาย ในเมืองไทยได้หยุดลงแล้ว แต่บ้านเมืองยังอยู่ในภาวะคับขัน เสถียรภาพทางการเมืองจะเกิดขึ้นได้อย่างไร และสันติภาพจะมีต่อไปได้อย่างไร ก็ขึ้นอยู่กับนโยบาย และการกระทําตามนโยบายของรัฐบาลที่เกิดขึ้น และล้มเลิกไปเพื่อรับกับสถานะการณ์ทางเมือง โดยเฉพาะภายนอกที่เปลี่ยนแปลงไป สันติภาพมาสู่ประเทศไทยแล้วก็จริง แต่ทหารญี่ปุ่นทั้งกองทัพ แม้ถูกปลดอาวุธแล้วก็ยังอยู่ในประเทศไทย ยิ่งกว่านั้น กองทัพของสัมพันธมิตรอันอยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของกองทัพ อังกฤษก็เข้ามาตั้งอยู่ในประเทศไทย เพื่อดูว่ารัฐบาลไทยจะทําอะไร ต่อไป สําหรับอังกฤษนั้น ถือว่าประเทศไทยเป็นศัตรูของตนย่อมจะขัดกัน

ดังจะเห็นได้ในคราวที่ไทยพิพาทกับอินโดจีนในครั้งนั้น ดร. ปรีดี พนมยงค์ได้คัดค้าน ในการที่จะส่งกําลังทหารเข้าไปในดินแดนนั้น และในฐานะผู้ประศาสน์การมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง ดร. ปรีดี พนมยงค์ได้ห้ามไม่ให้นักศึกษาเดินขบวน มิใช่ไม่สนับสนุนการที่ไทยเรียกร้องเอาดินแดนคืนมา คนไทยอื่น ๆ อยากได้ดินแดนที่ฝรั่งเศสเอาไปจากไทย อย่างไร ดร. ปรีดี พนมยงค์ ก็อยากได้เช่นนั้น แต่เวลานั้นนักศึกษา เวลานั้นนักศึกษาทั้งหลายอยู่ในฐานะเลือดเข้าตา มิเชื่อฟังว่าห้ามปราม และแล้วก็พากันเดินขบวนเรียกร้องดินแดนอื่น เพราะอิทธิพลของการโฆษณาการปลุกใจมากมายนัก แต่ในที่สุดนักศึกษาทั้งหลายก็ได้เข้าสู่ห้องประชุมฟังผู้ประศาสน์การของตนพูดถึงวิธีการที่ไทยจะได้รับความยุติที่ไทยจะได้ดินแดนคืนโดยสันติวิธี ข้าพเจ้ายังว่าวันนั้นได้ดี นักศึกษาทุกคนเงียบ ไม่มีเสียง แม้แต่เสียงหายใจจากเพื่อนที่อยู่ข้าง ๆ ข้าพเจ้า และวันนั้นเองที่ข้าพเจ้าได้พบกับความไม่พอใจอย่างยิ่งของผู้ประศาสน์การ เป็นศัตรูขนาดไหนนั้น ขอนําคําของเซอร์โจไซอาห์ ครอสบี้ อดีตอัครราชทูตอังกฤษประจําประเทศไทย ซึ่งได้กล่าวในปาฐกถา ณ กรุงลอนดอน ต่อที่ประชุมนักการทูต และนักการเมือง เมื่อมิถุนายน พ.ศ. 2487 ว่า

“โดยที่เมืองไทยบังอาจประกาศสงครามกับอังกฤษ และประพฤติเอาเยี่ยงอย่างชาติฝ่ายอักษะ เมื่อเสร็จสงครามแล้ว ควรจัดการลงโทษเมืองไทยให้เป็นเมืองในอารักขา”

ข้อความนี้หนังสือพิมพ์ในอังกฤษ และอินเดีย ได้นําไปโฆษณาซ้ำ ๆ เป็นการแสดงเจตนาของอังกฤษต่อไทย ทางฝ่ายสหรัฐอเมริกานั้น ถือว่าไทยไม่ได้เป็นศัตรูของตน แต่ประเทศไทยต้องพิสูจน์ตนเองโดยการกระทํา เพื่อไปสู่ความเป็น เอกราชของตนเอง ส่วนฝรั่งเศส ก็เคยมีข้อพิพาทเรื่องดินแดนกับไทยมาตั้งแต่ ปี พ.ศ. 2483 จนเกิดเป็นสงครามอินโดจีน ระหว่างไทยกับฝรั่งเศสขึ้น ขณะที่ประเทศฝรั่งเศสเองถูกกองทัพนาซีเยอรมันยึดครองไว้ ทั้งหมด โดยการไกล่เกลี่ยแทรกแซงของญี่ปุ่น ทําให้ประเทศไทยได้ดินแดนไทยที่ฝรั่งเศสเชือดเฉือนไปกลับมาอีกครั้งหนึ่ง และตั้งการ ปกครองเป็นจังหวัด คือ จังหวัดนครจำปาศักดิ์ จังหวัดพระตะบอง จังหวัดลานช้าง และจังหวัดพิบูลสงครามฝรั่งเศสจึงถือว่า ไทยเป็นศัตรูตัวสําคัญ และบัดนี้ ฝรั่งเศสก็เป็น 1 ใน 5 ของมหาอํานาจภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ขึ้นมาแล้ว

เมื่อนายทวี บุณยเกตุ เข้ารับหน้าที่เป็นหัวหน้ารัฐบาล เมื่อวันที่ 31 สิงหาคม 2488 นั้น ก็มีภาระกิจอันเกี่ยวกับความเป็นความตายของชาติมากมาย ที่จะต้องรีบปฏิบัติโดยด่วน เพื่อให้ทันกับเหตุการณ์ และเหมาะสมสอดคล้องในอันที่จะเจรจากับกอง ทัพสัมพันธมิตรและสหประชาชาติต่อไป กล่าวโดยละเอียดก็คือ รัฐบาลจะต้องปฏิบัติการให้เป็นไปตามพระบรมราชโองการประกาศสันติภาพที่ประกาศไว้เมื่อ 16 สิงหาคม 2488 และจะต้องร่วมมือกับสหประชาชาติ ในอันที่จะสถาปนาเสถียรภาพของโลก ตามอุดมการณ์ของสหประชาชาติที่มีอยู่ นี่เป็นเรื่องสําคัญที่สุด ประเทศไทย รัฐบาลไทยต้องพิสูจน์โดยการกระทําให้โลกเห็นว่าไทยไม่ ใช่ผู้รุกราน แต่ไทยเป็นผู้รักสันติภาพ และผดุงสันติภาพของโลก เมื่อ ม.ร.ว. เสนีย์ ปราโมช เป็นหัวหน้ารัฐบาลต่อจาก นายทวี บุณยเกตุ ก็รับช่วงภารกิจต่อมา และก็มีภาระเพิ่มขึ้น มากมายหลายประการ ที่สําคัญที่สุดก็คือ จะบรรเทาข้อเรียกร้อง ตามสัญญาสันติภาพ คือ ที่เรียกว่า สัญญาสมบูรณ์แบบ (Formal Agreement) ที่ประเทศสัมพันธมิตรบีบบังคับไทยให้รับ จากหนักเป็นเบาได้อย่างไร สัญญานี้เกี่ยวกับความเป็นความตายของชาติไทยอยู่อย่างมาก

สําหรับ ดร. ปรีดี พนมยงค์ นั้น ได้ปฏิบัติภารกิจให้แก่ชาติบ้านเมืองตลอดมหาสงครามมาอย่างหนัก เป็นการปฏิบัติภารกิจของชาติ เพื่อให้ชาติอยู่รอดโดยเอาชีวิตของตนเป็นเดิมพัน เมื่อชาติบ้านเมืองรอดปลอดภัยมาได้เช่นนี้ ประกอบกับการตรากตรําที่ได้รับมา ก็มีความปรารถนาที่จะได้พ้นจากการดํารงตําแหน่งผู้สําเร็จราชการแทนพระองค์โดยเร็วที่สุด เพราะไม่มีความมักใหญ่ใฝ่สูงในหน้าที่ใด ๆ แต่อย่างใดเลย หากจะช้าไปก็ไม่ควรเกินวันที่ 6 กันยายน 2488 ซึ่งเป็นวันที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล ทรงบรรลุนิติภาวะ แต่พระองค์เสด็จประทับอยู่ ณ นครโลซานน์ สวิสเซอร์แลนด์ ไม่สามารถเสด็จพระราชดําเนินกลับพระนคร และไม่ทรงสามารถตั้งผู้สําเร็จราชการแทนพระองค์ ได้

ดังนั้น ในวันที่ 6 กันยายน 2488 สภาผู้แทนราษฎรได้มีมติตั้งให้ ดร. ปรีดี พนมยงค์ เป็นผู้สําเร็จราชการแทนพระองค์ต่อไป จนกว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล จะได้เสด็จพระราชดําเนินกลับสู่ประเทศไทย และ ในวันที่ 6 กันยายน 2488 นั้นเอง ดร.ปรีดี พนมยงค์ ก็ได้มีโทรเลขกราบบังคมทูลพระกรุณา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล ณ กรุงโลซานน์ สวิสเซอร์แลนด์ ว่า

“ขอเดชะใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทปกเกล้าปกกระหม่อม ตามที่สภาผู้แทนราษฎรได้ลงมติแต่งตั้งข้าพระพุทธเจ้าเป็นผู้สําเร็จราชการแทนพระองค์

ตามประกาศของประธานสภา ลงวันที่ 1 สิงหาคม 2487 นั้น

บัดนี้ ถึงวาระอันสมควรที่ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท จะทรงปฏิบัติพระราชภาระกิจ ในฐานะทรงเป็นประมุขของชาติ เพราะใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท จะทรงบรรลุนิติภาวะในวันที่ 20 กันยายน ศกนี้แล้ว ฉะนั้นข้าพระพุทธเจ้า จึงขอพระราชทานพระบรมราชานุญาต อัญเชิญเสด็จใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทเสด็จนิวัติสู่กรุงเทพมหานคร เพื่อจะได้ทรงปกครองแผ่นดินตามวิถีทางแห่งรัฐธรรมนูญ และโดยที่ตําแหน่งผู้สําเร็จราชการแทนพระองค์ของข้าพระพุทธเจ้า จะสิ้นสุดลงในวันที่ 20 กันยายน ศกนี้ ข้าพระพุทธเจ้า จึงขอน้อมเกล้าน้อมกระหม่อม กราบบังคมทูลทรงทราบ ณ โอกาสนี้”

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้มีพระราชโทรเลขตอบรับทราบ และแจ้งมาว่ากำลังทรงศึกษาอยู่ในชั้นปริญญาเอก หากจะได้เสด็จประทับอยู่ต่อไป เพื่อทรงวิทยานิพนธ์ตามหลักสูตรการศึกษาของพระองค์ท่าน อันเป็นการศึกษาขั้นสุดท้ายแล้ว ก็จะเป็นการตัดพระภาระด้านนี้ไปได้ เมื่อศึกษาสําเร็จแล้ว ก็จะนิวัติสู่ประเทศไทยเพื่อปฏิบัติพระราชภาระ ในฐานะประมุขของชาติต่อไป

ผู้สําเร็จราชการแทนพระองค์ ดร. ปรีดี พนมยงค์ ผู้มีความจงรักภักดีอย่างท่วมท้นต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเช่นเกี่ยวกับคนไทยทุกคน มีความปรารถนาจะเห็นพระองค์ทรงศึกษาสําเร็จแล้วเสด็จนิวัติสู่พระนคร เพื่อทรงปฏิบัติพระราชภารกิจ แต่เนื่องจากมหาสงครามได้สิ้นสุดลงไม่กี่วัน ภาวะการณ์ต่าง ๆ ใน ประเทศยังไม่สงบเรียบร้อย ความสมัครสมานสามัคคีของคนในชาติ เป็นสิ่งจําเป็นที่สุด

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ผู้เป็นธวัชชัยของชาติ มิได้เสด็จประทับอยู่ในประเทศเป็นเวลานานปี หากได้นิวัติพระนครแม้เป็นการชั่วคราวแล้ว ก็จะเป็นพระมหากรุณาธิคุณอย่างใหญ่หลวง เพื่อบรรดาพสกนิกรผู้จงรักภักดีทั้งหลายจะได้อบอุ่น จะได้เฝ้าแหนชมบุญญาบารมีปกเกล้าปกกระหม่อมทั่วหน้ากัน และทุกคนจะได้ยึดพระองค์เป็นที่พึ่ง มีจิตใจมั่นคงเข้มแข็ง เพื่อชาติไทยของเราจักได้ฟันฝ่าอุปสรรคอันใหญ่หลวงที่กําลังเผชิญ หน้าอยู่ต่อไปได้สําเร็จ นอกจากนั้นก็จะได้ทรงพระราชทานรัฐธรรมนูญฉบับใหม่แก่พสกนิกรของพระองค์ด้วย และอีกประการหนึ่งที่สําคัญ

สําหรับ ดร.ปรีดี พนมยงค์ ก็คือจะได้พ้นจากตําแหน่งผู้สําเร็จราชการแทนพระองค์ ซึ่งตนปฏิบัติอยู่แต่ผู้เดียวเสียที เมื่อเสด็จนิวัติพระนครแล้ว และเสด็จกลับไปศึกษาต่อ จะทรงแต่งตั้งผู้ใดเป็นผู้สําเร็จราชการแทนพระองค์ ก็แล้วแต่พระราชอัธยาศัย ดังนั้น ผู้สําเร็จราชการแทนพระองค์ ดร. ปรีดี พนมยงค์ จึงมีโทรเลขกราบบังคมทูลอัญเชิญ เสด็จนิวัติสู่ประเทศไทยอีกครั้งหนึ่ง ในขณะนั้น การคมนาคมยังขัดข้องอยู่มาก เพื่อให้การนิวัติสู่พระนครจะเป็นไปโดยสะดวก ดร. ปรีดี พนมยงค์ ได้ตกลงกับฝ่ายสัมพันธมิตรจัดเครื่องบินพระที่นั่ง อัญเชิญเสด็จกลับสู่พระนคร เพื่อทรงปฏิบัติพระราชภาระกิจของพระองค์เอง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล เสด็จนิวัติสู่พระนคร เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม 2488 หลังจากทรงบรรลุนิติภาวะแล้ว 75 วัน และหน้าที่ผู้สําเร็จราชการแทนพระองค์ก็สิ้นสุดลง

ขณะที่ภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลง สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ประกาศยกย่องนายปรีดี พนมยงค์ ไว้ในฐานะ “รัฐบุรุษอาวุโส” และให้มีหน้าที่รับปรึกษากิจราชการแผ่นดิน เพื่อความวัฒนาถาวรของชาติสืบต่อไป

 

 

ประกาศนั้นมีใจความว่า

 

ประกาศ
อานันทมหิดล

สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศว่า

โดยที่ทรงพระราชดำริเห็นว่า นายปรีดี พนมยงค์ ได้เคยรับหน้าที่บริหารราชการแผ่นดินในตำแหน่งสำคัญๆ มาแล้วหลายตำแหน่ง จนในที่สุดได้รับความเห็นชอบจากสภาผู้แทนราษฎรให้ดำรงตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ และปรากฏว่า ตลอดเวลาที่ นายปรีดี พนมยงค์ ดำรงตำแหน่งเหล่านี้ได้ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริตและด้วยความจงรักภักดีต่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และรัฐธรรมนูญ ทั้งได้แสดงให้เห็นเป็นที่ประจักษ์ในความปรีชาสามารถ บำเพ็ญคุณประโยชน์ให้แก่ประเทศชาติเป็นเอนกประการ

จึงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ยกย่อง นายปรีดี พนมยงค์ ไว้ในฐานะรัฐบุรุษอาวุโส และให้มีหน้าที่รับปรึกษากิจราชการแผ่นดิน เพื่อความวัฒนาถาวรของชาติสืบไป

ทั้งนี้ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป

ประกาศ ณ วันที่ 8 ธันวาคม พุทธศักราช 2488 เป็นปีที่ 12 ในรัชชกาลปัจจุบัน

ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ
ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช
นายกรัฐมนตรี

 

พร้อมกันนี้ได้พระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ปฐมจุลจอมเกล้าและเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นโบราณมงคลนพรัตน์ราชวราภรณ์ ซึ่งถือเป็นราชอิสริยาภรณ์ชั้นสูงสุดที่สามัญชนพึงได้รับพระราชทาน แก่นายปรีดี พนมยงค์ รัฐบุรุษอาวุโส

 


เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นโบราณมงคลนพรัตน์ราชวราภรณ์

 


เครื่องราชอิสสริยาภรณ์ปฐมจุลจอมเกล้า

 

 

ประกาศนั้นมีใจความว่า

 

แจ้งความสำนักนายกรักฐมนตรี
เรื่องพระราชทานเครื่องราชอิสสริยาภรณ์

ด้วยทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานเครื่องราชอิสสริยาภรณ์ปฐมจุลจอมเกล้า แก่นายปรีดี พนมยงค์

แจ้งความ ณ วันที่ 9 ธันวาคม 2488
ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช
นายกรัฐมนตรี

 

เรื่องพระราชทานเครื่องราชอิสสริยาภรณ์

ด้วยทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานเครื่องราชอิสสริยาภรณ์ คือ

เครื่องขัตติยราชอิสสริยาภรณ์อันมีเกียรติคุณรุ่งเรืองยิ่งมหาจักรีบรมราชวงศ์แก่

พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจุมภฏพงษ์บริพัตร

พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าภาณุพันธุ์ยุคล

เครื่องราชอิสสริยาภรณ์อันเป็นโบราณมงคลนพรัตน์ราชวราภรณ์แก่ นายปรีดี พนมยงค์

แจ้งความ ณ วันที่ 11 ธันวาคม 2488
ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช
นายกรัฐมนตรี

 

 

บทบาทของนายปรีดี พนมยงค์ กับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2489

 


ปรีดี พนมยงค์ นายกรัฐมนตรี ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย  พุทธศักราช 2489

วันที่ 9 พฤษภาคม ได้มีรัฐพิธีลงพระปรมาภิไธยในรัฐธรรมนูญ 2489 ณ พระที่นั่งอนันตสมาคม โดยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล ได้เสด็จพระราชดำเนินไปทรงกระทำพิธี เวลา 10.00 น.

เมื่อได้เวลาฤกษ์ อาลักษณ์ได้อ่านพระราชปรารภในรัฐธรรมนูญฉบับนี้ว่า

 

“สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล เสด็จออก ณ พระที่นั่งอนันตสมาคม ท่ามกลางอุดมสันนิบาตพระบรมวงศานุวงศ์และทูตานุทูตผู้แทนนานาประเทศ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเสนามาตย์ ราชบริพาร เฝ้าเบื้องบาทบงกช พรั่งพร้อมกันโดยอนุกรม

ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ประกาศว่า พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาประชาธิปกมหันตเดชนดิลกรามาธิบดีฯ พระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้ ข้าราชการและประชาชนของพระองค์ได้มีส่วนมีเสียงตามความเห็นดีเห็นชอบ ในการจรรโลงประเทศให้วัฒนาถาวรสืบไปในภายภาคหน้า จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมพระราชทานรัฐธรรมนูญการปกครองแผ่นดิน เมื่อวันที่ 27 มิถุนายน พุทธศักราช 2475 เป็นการชั่วคราว พอให้สภาผู้แทนราษฎรและคณะกรรมการราษฎรได้จัดรูปงานดำเนินประสานนโยบายให้เหมาะสมแก่ที่ได้มีการเปลี่ยนแปลง ครั้นแล้วโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้สภาผู้แทนราษฎรปรึกษากันร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยเพื่อถือเป็นหลักถาวรแห่งรัฐประศาสนวิธีต่อไป สภาผู้แทนราษฎร จึ่งตั้งอนุกรรมการคณะหนึ่งประกอบร่างรัฐธรรมนูญขึ้น

เมื่ออนุกรรมการได้เรียบเรียงรัฐธรรมนูญฉบับถาวรสนองพระเดชพระคุณสำเร็จลงด้วยดีนำเสนอสภาผู้แทนราษฎรได้พิจารณาปรึกษาลงมติแล้ว จึงทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายคำปรึกษา เพื่อทรงพระราชวิจารณ์ถี่ถ้วนกระบวนความแล้ว จึงมีพระบรมราชโองการดำรัสเหนือเกล้าเหนือกระหม่อมสั่งให้ตรารัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ประกาศใช้แต่วันที่ 10 ธันวาคม พุทธศักราช 2475 เป็นต้นมา

ต่อมานายปรีดี พนมยงค์ ซึ่งดำรงตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ในขณะนั้นได้ปรารภกับนายควง อภัยวงศ์ นายกรัฐมนตรีว่า รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยนี้ พระมหากษัตริย์ได้พระราชทานแก่ชนชาวไทยมาแล้วเป็นปีที่ 14 ถึงแม้ว่าการปกครองระบอบประชาธิปไตย อันมีรัฐธรรมนูญเป็นหลักนี้ จะได้ยังความเจริญให้เกิดแก่ประเทศชาตินับเป็นอเนกประการ ทั้งประชาชน จะได้ทราบซึ้งถึงคุณประโยชน์ของการปกครองระบอบนี้เป็นอย่างดีแล้วก็จริง แต่เหตุการณ์บ้านเมืองก็ได้เปลี่ยนแปลงไปเป็นอันมาก ถึงเวลาแล้วที่ควรจะได้เลิกบทเฉพาะกาลอันมีอยู่ในรัฐธรรมนูญนั้น และปรับปรุงแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย นายกรัฐมนตรีจึงนำความนั้นปรึกษาหารือกับสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรประเภทที่ 2 พร้อมกับคณะผู้ก่อการขอพระราชทานรัฐธรรมนูญ เมื่อได้ปรึกษาตกลงกันแล้ว รัฐบาลคณะนายควง อภัยวงศ์ จึงเสนอญัตติต่อสภาผู้แทนราษฎร เมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม พุทธศักราช 2488 ขอให้ตั้งกรรมาธิการวิสามัญคณะหนึ่ง เพื่อพิจารณาค้นคว้าตรวจสอบว่า รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยนี้สมควรได้รับการปรับปรุงแก้ไขเพิ่มเติมอย่างไร เพื่อให้เหมาะสมกับสถานการณ์ของบ้านเมืองและเพื่อให้การปกครองระบอบประชาธิปไตยเป็นผลสมบูรณ์ยิ่งขึ้น

สภาผู้แทนราษฎรจึงตั้งกรรมาธิการวิสามัญขึ้นคณะหนึ่ง เพื่อพิจารณาค้นคว้าตรวจสอบรัฐธรรมนูญตามคำเสนอข้างต้นนี้ กรรมาธิการคณะนี้ได้ทำการตลอดสมัยของรัฐบาลคณะนายควง อภัยวงศ์ คณะนายทวี บุณยเกตุ และคณะหม่อมราชวงศ์เสนีย์ ปราโมช

ต่อมารัฐบาลคณะหม่อมราชวงศ์เสนีย์ ปราโมช ได้ตั้งคณะกรรมการขึ้นคณะหนึ่ง เพื่อรวบรวมความเห็นและเรียบเรียงบทบัญญัติขึ้นเป็นร่างรัฐธรรมนูญ เมื่อกรรมการคณะนี้ทำสำเร็จเรียบร้อยแล้วคณะรัฐมนตรีได้พิจารณาแก้ไขอีกขั้นหนึ่ง แล้วนำเสนอผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ได้ประชุมปรึกษาหารือสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรประเภทที่ 2 และคณะผู้ก่อการขอพระราชทานรัฐธรรมนูญ ที่ประชุมได้ตั้งกรรมการขึ้นพิจารณา เมื่อกรรมการได้ตรวจแก้ไขแล้ว สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรประเภทที่ 2 จึงได้เสนอญัตติขอแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยต่อสภาผู้แทนราษฎร เมื่อสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาลงมติรับหลักการแล้ว จึงตั้งกรรมาธิการวิสามัญขึ้นคณะหนึ่ง

บัดนี้คณะกรรมาธิการวิสามัญของสภาผู้แทนราษฎรได้พิจารณา และแก้ไขเพิ่มเติมบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญสำเร็จเรียบร้อยแล้ว เสนอต่อสภาผู้แทนราษฎร สภาผู้แทนราษฎรได้พิจารณาเป็นการสำเร็จบริบูรณ์จึงทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวาย เมื่อทรงพระราชวิจารณ์ถี่ถ้วนทั่วกระบวนความแล้ว ทรงพระราชดำริเห็นว่าประชากรของพระองค์ประกอบด้วยวุฒิปรีชาในรัฏฐาภิปาลโนบาย สามารถจรรโลงประเทศชาติของตน ในอันที่จะก้าวหน้าไปสู่สากลอารยธรรมแห่งโลกได้โดยสวัสดี

จึงมีพระบรมราชโองการดำรัสเหนือเกล้าเหนือกระหม่อม โดยคำแนะนำและยินยอมของสภาผู้แทนราษฎร ให้ตรารัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยฉบับนี้ขึ้นไว้ ประสิทธิประสาทประกาศให้ใช้ตั้งแต่วันที่ 10 พฤษภาคม พุทธศักราช 2489 เป็นต้นไป และให้ใช้รัฐธรรมนูญฉบับที่ได้แก้ไขเพิ่มเติมนี้แทนรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2485 รัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมว่าด้วยนามประเทศ พุทธศักราช 2482 รัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมว่าด้วยบทเฉพาะกาล พุทธศักราช 2483 และรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พุทธศักราช 2485

ขอให้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย จงเป็นหลักที่สถาพรสถิตประดิษฐานสมรรถภาพอันประเสริฐ เป็นบ่อเกิดความผาสุกสันติคุณวิบุลราศรีแก่อาณาประชาชนตลอดจำเนียรกาลประวัตินำประเทศไทยให้บรรลุสรรพพิพัฒนชัยมงคล อเนกศุภผลสกลเกียรติมโหฬาร ขอให้อาณาประชาราษฎร จงมีความสมัครสมานสโมสรในสามัคคีธรรมเป็นเอกฉันท์ในอันที่จะปฏิบัติตามและรักษาไว้ซึ่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยนี้ ให้ยืนยงคงอยู่คู่กับไทยรัฐราชสีมาตราบเท่ากัลปาวสาน สมดั่งพระบรมราชปณิธานทุกประการเทอญ”

 

ต่อจากนั้น ดร.ปรีดี พนมยงค์ นายกรัฐมนตรีได้นำฉบับรัฐธรรมนูญซึ่งได้จารึกในสมุดไทยขึ้นทูลเกล้าฯ ถวาย เพื่อทรงลงพระปรมาภิไธย แล้วพระราชทานให้นายกรัฐมนตรีลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ เมื่อนายกรัฐมนตรีได้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการแล้ว ก็ได้นำขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายอีกครั้ง แล้วจึงได้พระราชทานรัฐธรรมนูญนั้นให้แก่ประธานสภาผู้แทนราษฎรต่อไป

ครั้นแล้ว พระยามานวราชเสวี ประธานสภาผู้แทนราษฎรได้กราบบังคมทูลพระกรุณาว่า

 

“ขอเดชะฝ่าละอองธุลีพระบาทปกเกล้าปกกระหม่อม

ในนามของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ข้าพระพุทธเจ้าขอพระราชทานพระบรมราชวโรกาส กราบบังคมทูลพระกรุณาว่า ที่ได้ทรงพระอุตสาหะเสด็จมาพระราชทานรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยในครั้งนี้ ด้วยมีพระราชประสงค์จะใช้รัฐธรรมนูญเป็นหลัก เป็นบ่อเกิดแห่งความผาสุกของอาณาประชาชนทั้งหลาย เพื่อจะได้มีความสมัครสโมสรเป็นเอกฉันท์ ในอันที่จะรักษาและปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญนั้น เป็นพระมหากรุณาธิคุณอันล้นเกล้าฯ ข้าพระพุทธเจ้าขอน้อมรับเกล้าฯ รับพระราชทานพรนี้ และขอให้ทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน.

ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม
ขอเดชะ”

 

โดยบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้ อำนาจนิติบัญญัติ มีสภาสองสภา คือ พฤฒสภาสภาหนึ่ง สภาผู้แทนสภาหนึ่ง ประกอบเป็นรัฐสภา ส่วนสมาชิกประเภทที่ 2 เป็นอันเลิกไป

พฤฒสภานั้น ประกอบด้วยสมาชิกมีจำนวน 80 คน ราษฎรเป็นผู้เลือกตั้ง มีอายุคราวละ 6 ปี ในวาระเริ่มแรกให้มี “องค์การเลือกตั้ง” ขึ้น สมาชิกองค์การเลือกตั้งนี้ ได้แก่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่อยู่ในตำแหน่งในวันสุดท้ายก่อนใช้รัฐธรรมนูญ 2489 องค์การเลือกตั้งนี้มีหน้าที่เลือกผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิก พฤฒสภาในวาระเริ่มแรกเป็นจำนวน 80 คน ภายในกำหนด 15 วันนับแต่วันใช้รัฐธรรมนูญ

สภาผู้แทนประกอบด้วยผู้ที่ราษฎรเลือกตั้งขึ้นในวาระเริ่มแรก ให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่อยู่ในตำแหน่งในขณะนั้น 96 คน เป็นผู้แทนต่อไป และถ้าจังหวัดใดมีจำนวนราษฎรเกินกว่าหนึ่งแสนคน ก็ให้เลือกสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเพิ่มขึ้นอีกคนหนึ่งต่อจำนวนราษฎรทุกแสนคน เศษของหนึ่งแสนถึงกึ่งหนึ่งหรือกว่านั้นให้นับเป็นหนึ่งแสน

ครั้นถึงวันที่ 21 พฤษภาคม 2489 ก็ได้มีการเลือกตั้งสมาชิกพฤฒสภาจำนวน 80 นาย ในจำนวนนี้ ดร.ปรีดี พนมยงค์ ได้รับเลือกด้วย พอถึงวันแรกของเดือนต่อมา สภาทั้งสอง คือ พฤฒสภาและสภาผู้แทนก็ได้มีการประชุมร่วมกันเป็นปฐมฤกษ์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล ได้เสด็จพระราชดำเนินทรงกระทำพิธีเปิดประชุม ณ พระที่นั่งอนันตสมาคม ได้ทรงมีพระดำรัสเปิดประชุมว่า

 

“ท่านสมาชิกพฤฒสภาและสมาชิกสภาผู้แทน

ข้าพเจ้ามีความยินดีเป็นอันมากที่ได้มากระทำพิธีเปิดประชุมพฤฒสภาและสภาผู้แทนในวันนี้ ซึ่งนับว่าเป็นวันสำคัญวันหนึ่งในประวัติศาสตร์ของชาติเรา เพราะเป็นการประชุมครั้งแรกตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ซึ่งได้ประทานให้ใช้ เมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม 2489

แม้ว่าบัดนี้ประเทศชาติของเราจะผ่านพ้นสถานะสงครามไปแล้วก็ตาม แต่เราก็ยังจะต้องทำการต่อสู้เพื่อปรับปรุงการเศรษฐกิจและบูรณะประเทศอีกมากหลาย ส่วนที่เกี่ยวกับการเมืองภายนอกเราจำเป็นต้องปฏิบัติตัวของเราเองให้เขาเห็นว่า เราพร้อมที่จะร่วมมือและส่งเสริมสัมพันธไมตรีกับนานาชาติ และเพื่อธำรงสันติภาพอันสถาพรของโลกสืบไปด้วย

ฉะนั้นข้าพเจ้าจึงขอให้ท่านทั้งหลายจงมีความสมัครสมานสโมสรในสามัคคีธรรมเป็นเอกฉันท์ ในอันที่จะปฏิบัติหน้าที่ของท่าน เพื่อช่วยกันนำความวัฒนาถาวรมาสู่ประเทศชาติ และประคับประคองให้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยนี้ เป็นหลักในการปกครองของเราตลอดไปด้วย

บัดนี้ ถึงเวลาอันสมควรแล้ว ข้าพเจ้าขอเปิด การประชุมตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป

ขอคุณพระศรีรัตนตรัยและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายจงดลบรรดาลให้กิจการของพฤฒสภาและสภาผู้แทนนี้สัมฤทธิ์ผลเป็นความสุขความเจริญแก่ประชาชนและของชาติสืบไปเทอญ”

 

และในวันนั้น ดร.ปรีดี พนมยงค์ นายกรัฐมนตรีก็ได้ลาออกจากตำแหน่ง เพื่อให้เป็นไปตามวิถีทางแห่งรัฐธรรมนูญ รัฐบาลที่ 15 อันมี ดร.ปรีดี พนมยงค์ เป็นนายกฯ มีอายุ 69 วันเท่านั้น แต่ผลงานนั้นยิ่งใหญ่ไพศาลและเกี่ยวกับการดำรงอยู่ของชาติไทยอย่างสำคัญ

 

หมายเหตุ :

  • คงอักขรวิธีสะกดตามเอกสารชั้นต้น
  • ตั้งชื่อบทความใหม่โดยกองบรรณาธิการ

บรรณานุกรม :

  • ไสว สุทธิพิทักษ์, ดร.ปรีดี พนมยงค์, พิมพ์ครั้งที่ 2 (กรุงเทพฯ: เคล็ดไทย, 2526), หน้า 607-654.