Focus
- บทความนี้เสนอเน้นที่เรื่องสวัสดิการด้านสาธารณสุข และแรงงานในระยะเปลี่ยนผ่านรัฐบาลปี 2567 โดยผู้เขียนเสนอว่าเป็นความหวังใหม่ของประชาชนโดยเฉพาะส่วนที่เกี่ยวข้องกับนโยบายสาธารณสุข และเสนอว่าระบบการเปลี่ยนแปลงจึงต้องเริ่มจากการปรับเปลี่ยนกระบวนทัศน์ของผู้กำหนดนโยบาย ให้หันมาใส่ใจกับ “รากแก้ว” ของระบบสวัสดิการเป็นรากฐานสำคัญของการพัฒนาคุณภาพชีวิตประชาชนอย่างยั่งยืนคือ สวัสดิการด้านการศึกษาและปัจจัยพื้นฐานเช่นการขนส่ง
- ผู้เขียนเสนอเรื่องการศึกษาเปรียบเทียบในกรณีประเทศเดนมาร์ก คือการพัฒนาระบบสวัสดิการในการปฏิรูประบบภาษี และความมุ่งมั่นในการสร้างความเท่าเทียมในสังคมซึ่งใช้งบประมาณสูง แต่ผลตอบแทนทางสังคมที่ได้รับคุ้มค่ากับการลงทุน ทำให้เดนมาร์กกลายเป็นต้นแบบของการพัฒนาที่สมดุลระหว่างการเติบโตทางเศรษฐกิจและความเป็นธรรมทางสังคม
การเปลี่ยนผ่านทางการเมืองในปี 2567 นำมาซึ่งความหวังครั้งใหม่ของประชาชน เมื่อทายาทตระกูลชินวัตรก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรี หลายคนย้อนนึกถึงความสำเร็จของนโยบายประชานิยมเมื่อสองทศวรรษก่อน ที่สร้างการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ให้กับระบบสาธารณสุขไทยผ่านโครงการ 30 บาทรักษาทุกโรค แต่เมื่อเวลาผ่านไปหนึ่งปี สิ่งที่ประชาชนได้พบกลับเป็นความผิดหวังซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ระบบสาธารณสุขไทยกำลังเผชิญกับวิกฤตเชิงโครงสร้างที่รุนแรง โดยเฉพาะการ กระจายทรัพยากรที่ไม่สมดุล ข้อมูลจากกระทรวงสาธารณสุขปี 2566 สะท้อนความเหลื่อมล้ำอย่างชัดเจน สัดส่วนแพทย์ต่อประชากรในกรุงเทพฯ อยู่ที่ 1: 953 ขณะที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีสัดส่วนสูงถึง 1: 3,421 เมื่อนโยบาย “30 บาทรักษาทุกที่” ถูกประกาศใช้ โรงพยาบาลระดับตติยภูมิต้องรับมือกับผู้ป่วยที่เพิ่มขึ้นถึง 45% ในไตรมาสแรก ส่งผลให้ระยะเวลารอคอยการรักษายาวนานขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ป่วยมะเร็งที่ต้องการการรักษาเฉพาะทาง แม้จะมีความพยายามแก้ปัญหาผ่านนโยบายใหม่ ๆ อย่างการรับยาที่ร้านยา ซึ่งมีร้านยาเข้าร่วมโครงการกว่า 2,000 แห่ง แต่ความขัดแย้งระหว่างสภาวิชาชีพทำให้การดำเนินงานติดขัด สะท้อนให้เห็นถึงปัญหาการประสานงานระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
ในด้านค่าแรง การปรับค่าแรงขั้นต่ำในปี 2567 บางจังหวัด และบางอุตสาหกรรม ในภาพรวมมีอัตราการปรับขึ้นเฉลี่ยเพียง 2-3% ต่ำกว่าอัตราเงินเฟ้อที่อาจสูงอยู่ที่ 3.5% ส่งผลให้กำลังซื้อที่แท้จริงของแรงงานลดลง ข้อมูลจากสำนักงานสถิติแห่งชาติพบว่า 42% ของแรงงานไทยได้รับค่าจ้างต่ำกว่า 400 บาทต่อวัน โดยเฉพาะในภาคเกษตรและบริการ ขณะที่ค่าครองชีพในเมืองใหญ่สูงขึ้นต่อเนื่อง ค่าเช่าที่พักและค่าอาหารเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับปีก่อน
สำหรับสวัสดิการครอบครัว แม้จะมีมติคณะรัฐมนตรีเห็นชอบการปรับเงินอุดหนุนเด็กจาก 600 บาท สู่ระบบถ้วนหน้า แต่การขาดกรอบเวลาที่ชัดเจนส่งผลกระทบต่อ 1.5 ล้านครอบครัวที่มีรายได้ต่ำกว่า 100,000 บาทต่อปี ข้อมูลจากสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ระบุว่า อัตราความยากจนในครัวเรือนที่มีเด็กสูงกว่าครัวเรือนทั่วไป และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยเฉพาะในกลุ่มครอบครัวเลี้ยงเดี่ยวที่มีสัดส่วนเพิ่มขึ้น ความล่าช้าตรงนี้ยังจะส่งผลถึงปัญหาระยะยาวต่อไป ผลกระทบจากความล่าช้าในการพัฒนาสวัสดิการปรากฏชัดเจนในหลายมิติ การเข้าไม่ถึงบริการสุขภาพที่จำเป็นนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนและค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้น แรงงานที่มีรายได้ไม่พอต่อการดำรงชีพต้องก่อหนี้เพิ่ม ส่งผลให้หนี้ครัวเรือนพุ่งสูง ขณะที่เด็กในครอบครัวยากจนเสี่ยงต่อภาวะทุพโภชนาการและพัฒนาการล่าช้า กระทบต่อโอกาสในการยกระดับคุณภาพชีวิตในระยะยาว
ความย้อนแย้งที่น่าสนใจในนโยบายสวัสดิการของรัฐบาลปัจจุบัน คือในขณะที่มีการประกาศโครงการขนาดใหญ่หลายโครงการ เช่น ดิจิทัลวอลเล็ต การพัฒนาระบบรถไฟความเร็วสูง หรือการสร้างศูนย์การแพทย์ครบวงจร แต่สวัสดิการพื้นฐานที่สามารถดำเนินการได้ทันทีกลับถูกละเลย ตัวอย่างเช่น การปรับปรุงคุณภาพอาหารในโรงเรียน การเพิ่มเบี้ยคนพิการ การขยายบริการรถโดยสารสาธารณะในชนบท หรือการปรับปรุงสภาพแวดล้อมในชุมชนให้เอื้อต่อผู้สูงอายุ สิ่งเหล่านี้แม้จะใช้งบประมาณไม่มากเมื่อเทียบกับโครงการขนาดใหญ่ แต่สามารถสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อคุณภาพชีวิตของประชาชนได้อย่างทันที
ที่น่าสังเกตคือ โครงการขนาดใหญ่มักมาพร้อมกับการจัดซื้อจัดจ้างมูลค่าสูง การเปิดโอกาสให้กลุ่มทุนเข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนา และผลตอบแทนทางการเมืองที่ชัดเจน ในขณะที่การพัฒนาสวัสดิการพื้นฐานมักถูกมองว่าเป็นงานประจำที่ไม่สร้างผลงานเชิงประจักษ์ทางการเมือง ปรากฏการณ์นี้สะท้อนให้เห็นว่า การพัฒนาสวัสดิการในประเทศไทยยังคงถูกขับเคลื่อนด้วยผลประโยชน์ทางธุรกิจและการเมือง มากกว่าการตอบสนองความต้องการพื้นฐานของประชาชนอย่างแท้จริง การเปลี่ยนแปลงจึงต้องเริ่มจากการปรับเปลี่ยนกระบวนทัศน์ของผู้กำหนดนโยบาย ให้หันมาใส่ใจกับ “รากแก้ว” ของระบบสวัสดิการ ที่แม้จะไม่สร้างผลตอบแทนทางการเมืองในทันที แต่เป็นรากฐานสำคัญของการพัฒนาคุณภาพชีวิตประชาชนอย่างยั่งยืน
เดนมาร์กถือเป็นต้นแบบของรัฐสวัสดิการที่ยั่งยืนที่น่าสนใจ โดยเฉพาะการสร้างสมดุลระหว่างการจัดเก็บภาษีและการจัดสรรสวัสดิการที่มีคุณภาพ แม้จะมีการจัดเก็บภาษีในอัตราก้าวหน้าที่สูง แต่ประชาชนส่วนใหญ่ยอมรับและเต็มใจจ่าย เพราะเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนในการยกระดับคุณภาพชีวิต ระบบการศึกษาของเดนมาร์กสะท้อนให้เห็นถึงการลงทุนในทรัพยากรมนุษย์อย่างจริงจัง โดยรัฐจัดการศึกษาฟรีตั้งแต่ระดับอนุบาลไปจนถึงมหาวิทยาลัย พร้อมทั้งมีเงินสนับสนุนรายเดือนสำหรับนักศึกษา ทำให้เยาวชนทุกคนมีโอกาสในการพัฒนาตนเองโดยไม่ถูกจำกัดด้วยฐานะทางการเงิน
จุดเด่นอีกประการหนึ่งคือระบบการดูแลเด็กที่มีคุณภาพสูงในราคาที่เข้าถึงได้ ซึ่งไม่เพียงช่วยพัฒนาเด็กในช่วงปฐมวัย แต่ยังเอื้อให้ผู้หญิงสามารถกลับเข้าสู่ตลาดแรงงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้เดนมาร์กมีอัตราการมีส่วนร่วมของผู้หญิงในตลาดแรงงานสูงที่สุดแห่งหนึ่งในโลก
ผลลัพธ์ของการพัฒนาระบบสวัสดิการอย่างรอบด้านและต่อเนื่องทำให้เดนมาร์กมีอัตราความเหลื่อมล้ำต่ำที่สุดประเทศหนึ่งในโลก และประชาชนมีความสุขติดอันดับต้น ๆ ของโลกมาโดยตลอด สะท้อนให้เห็นว่าการลงทุนในสวัสดิการสังคมไม่ใช่ภาระ แต่เป็นการลงทุนในการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน
ที่สำคัญคือการมีส่วนร่วมของประชาชนในการกำหนดนโยบายและตรวจสอบการใช้งบประมาณ ทำให้ระบบสวัสดิการของเดนมาร์กมีความโปร่งใสและได้รับความไว้วางใจจากประชาชน
บทเรียนสำคัญจากเดนมาร์กคือ การพัฒนาระบบสวัสดิการต้องอาศัยวิสัยทัศน์ระยะยาว ความกล้าในการปฏิรูประบบภาษี และความมุ่งมั่นในการสร้างความเท่าเทียมในสังคม โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง แม้จะต้องใช้งบประมาณสูง แต่ผลตอบแทนทางสังคมที่ได้รับคุ้มค่ากับการลงทุน ทำให้เดนมาร์กกลายเป็นต้นแบบของการพัฒนาที่สมดุลระหว่างการเติบโตทางเศรษฐกิจและความเป็นธรรมทางสังคม
ที่น่าเป็นห่วงเมื่อเทียบกับกรณีไทยคือ การขาดความเข้าใจอย่างลึกซึ้งต่อผลกระทบของความเหลื่อมล้ำของผู้กำหนดนโยบาย ในขณะที่ข้อมูลทางวิชาการชี้ชัดว่าต้นทุนของการไม่ลงทุนในสวัสดิการสังคม ทั้งในแง่การสูญเสียทรัพยากรมนุษย์ การเพิ่มขึ้นของปัญหาสังคม และผลกระทบต่อการพัฒนาเศรษฐกิจในระยะยาว มีมูลค่ามหาศาล แต่รัฐบาลกลับเลือกที่จะมองข้ามและผลักภาระให้กับคนรุ่นต่อไป ท้ายที่สุด สิ่งที่จะทำให้การปฏิรูประบบสวัสดิการประสบความสำเร็จคือความมุ่งมั่นทางการเมือง เช่นเดียวกับที่เคยเกิดขึ้นเมื่อ 20 ปีก่อน
การพัฒนาคุณภาพชีวิตประชาชนไม่ใช่เพียงคำสัญญาหรือการสร้างภาพทางการเมือง แต่เป็นสิทธิขั้นพื้นฐานที่รัฐพึงจัดให้แก่ประชาชนทุกคนอย่างเท่าเทียมและทั่วถึง