ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก
เกร็ดประวัติศาสตร์

ชีวิตที่เลือกเกิดไม่ได้

28
มกราคม
2568

Focus

  • ครูครอง จันดาวงศ์ เป็นตัวอย่างของผู้นำอีสานในยุคสงครามเย็นที่ทำให้เกิดความสามัคคีและทำเพื่อส่วนรวม เช่น การเป็นผู้นำในการพาชาวบ้านสร้างถนน เมื่อรัฐไม่ยอมให้งบประมาณ ไปจนถึงการร่วมขบวนการเสรีไทย และการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยและความเสมอภาค
  • บทความนี้เขียนขึ้นโดยแตงอ่อน จันดาวงศ์ ภรรยาของครูครอบ ได้เล่าถึงความยากลำบากของครอบครัวต่าง ๆ เช่น การขาดแคลนอาหาร ยารักษาโรค และเสื้อผ้า (ในช่วงสงครามโลก ครั้งที่ 2) การสูญเสียลูก สูญเสียสามี ประสบกับโรคภัยต่าง ๆ รวมถึงถูกทางการใส่ร้ายจับกุมคุมขังหลายต่อหลายครั้ง และการลี้ภัยไปยังประเทศจีน

 

 


คุณแม่แตงอ่อน จันดาวงศ์ ภรรยาคู่ชีวิต ครูครอง จันดาวงศ์
ที่มา : จากยอดโดมถึงภูพาน : บันทึกประวัติศาสตร์ฉบับสามัญชนบนเส้นทางประชาธิปไตย

 


ที่มา: อนุสรณ์งานฌาปนกิจศพ นางแตงอ่อน จันดาวงศ์

 

สมัยเสรีไทย

สภาพชีวิตครอบครัวมีความยากลำบากมากมายเมื่อหัวหน้าครอบครัวไม่อยู่ ไม่มีรายได้อย่างอื่นมาจุนเจือครอบครัว ลูกชายสองคนยังเล็ก แม่ที่กำลังป่วยอยู่เดินไม่ได้ก็ไม่มียามารักษา เลี้ยงหมูไว้ก็ไม่มีเงินซื้อรำให้หมูกิน หมูผอมขายไม่ได้ แม้แต่คนก็ยังอดอยาก

สมัยสงครามญี่ปุ่น ขาดแคลนเสื้อผ้า และยารักษาโรค ใครป่วยไข้ก็ต้องหารากไม้ หาพืชสมุนไพรมาต้มกิน หรือนํามาฝนกิน เสื้อผ้าก็หาฝ้ายมาปั่นเป็นเส้นด้าย ฉันทําไม่เป็นก็ต้องหัดทําพอให้เป็นผืนผ้า แต่ก็ไม่พอใช้ มีฝ้ายที่ปั่นเป็นเส้นด้ายขาย กิโลกรัมละ 25 บาท ทอเป็นผืนผ้าขนาดกว้าง 70 เซ็นติเมตร ขายในราคา เมตรละ 7 บาท

ระยะแรกของการเคลื่อนไหวเสรีไทยครูครองยังไม่บอกให้ฉันรู้ เมื่อมารู้ภายหลังก็พากันลําเลียงอาวุธปืนส่วนหนึ่งมาไว้ที่บ้านซึ่งเป็นบ้านหลังเดียวปลูกอยู่กลางป่า

เมื่อรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม ประกาศร่วมวงศ์ไพบูลย์กับญี่ปุ่นทางการได้ประกาศให้ราษฎรทําหลุมหรือหาที่หลบภัย ถ้าได้ยินเสียงกลองสัญญาณก็ให้เข้าที่หลบภัย จึงพากันไปตัดกิ่งไผ่ที่ริมห้วยหนองขอน ซึ่งหน้าแล้งน้ําจะแห้งมาก ทำเป็นทางลงไปหลบภัย วันหนึ่งขณะที่ถือจานใส่กล้วยต้มจะเอามาให้ลูกกินตอนกลางวัน เสียงกลองสัญญาณดังขึ้น มือหนึ่งถือจานใส่กล้วยต้ม มือหนึ่งอุ้มลูก เสงี่ยมหลานสาวอาทองคายวิ่งมาช่วยพาลงจากบ้าน พากันวิ่งลงไปที่ห้วยซึ่งห่างจากบ้านราว 2 เส้น เมื่อกลองดังขึ้นอีกครั้งจึงพากันกลับบ้าน ตอนกลางคืนเมื่อลูกหลับแล้วฉันก็ปั่นด้าย เสียงกลองดังขึ้นก็ไม่ได้ยิน จนกระทั่งอาหนูพรมาเคาะประตูบอกให้ดับไฟ มีญาติคนหนึ่งมีร้านค้าอยู่ที่ตลาดสว่างแดนดินกำลังปั่นด้ายอยู่ในเวลากลางวัน พอเสียงกลองดังขึ้นก็แบกเอาเครื่องปั่นด้ายวิ่งไปที่ลำห้วยหลังตลาด ปรากฏว่าทิ้งลูกคนที่สองซึ่งเล็กอยู่และกำลังนอนหลับอยู่ในเปล เมื่อเพื่อนถามถึงลูกจะวิ่งกลับไป ก็พอดีมีสัญญาณกลองพ้นภัย

เนื่องจากตรากตรำงานมาก ฉันแท้งลูกคนที่สามนอนสลบอยู่ ลุงเต็ม อินทรพานิช พ่อค้าที่ตลาดสว่างแดนดินซึ่งเป็นญาติกับครูครอง จันดาวงศ์ มาช่วยเหลือ โทรเลขไปบอก คุณเตียง ศิริขันธ์ ที่สํานักงาน คุณเตียงให้คนไปตามครูครองจากบ้านเต่างอยบนภูพาน ครูครองรีบกลับมาแล้วพาไปหาคุณหมอเหลือ นนตะ แพทย์ประจําอําเภอสว่างแดนดินซึ่งเป็นเพื่อนกัน เมื่อหายดีแล้วครูครองก็กลับไปทํางานเสรีไทยตามเดิม

ต่อมาเปิดร้านอาหาร โดยเช่าห้องแถวของลุงเติม อินทรพานิช ตรงข้ามกับที่ว่าการอําเภอสว่างแดนดิน พวกเคลื่อนไหวเสรีไทยก็แวะมากินอาหารที่นี่ด้วยขณะเดียวกัน คุณสวาสดิ์ ตราชู ก็เปิดโรงแรมตราชู ที่ห้าแยกจังหวัดอุดรธานี เพื่อให้พวกเสรีไทยได้เข้าพัก เคยไป ส่งอาจารย์ฉลบชลัย พลางกูร ภรรยาอาจารย์จํากัด พลางกูร ณ อยุธยา (ภายหลังทราบว่าอาจารย์จำกัดเสียชีวิตที่ประเทศจีน) ไม่นานฉันกับลูกก็กลับมาอยู่ที่บ้านหนองขอนตามเดิม

หลังจากฝ่ายสัมพันธมิตรทิ้งระเบิดปรมาณูที่ฮิโรชิมาและนางาซากิของญี่ปุ่น และญี่ปุ่นยอมแพ้สงครามแล้ว แต่สินค้าต่าง ๆ รวมทั้งยารักษาโรคยังขาดแคลนชาวบ้านได้เงิน 4,000 บาท แล้วมาเช่าห้องแถวที่ตลาดสว่างแดนดิน ไปรับยาไทยจากห้างพระธรรมขันธ์โอสถที่ขอนแก่น เจ้าของห้างเป็นญาติของคุณสวาสดิ์ ตราชู และยาไทยจากนายห้างกมล ที่กรุงเทพฯ นำมาขาย ครูครองกับพวกที่ร่วมงานเสรีไทย มีคุณสมคิด พงษ์สิทธิศักดิ์ (น้องชาย) คุณดุสิต เทศประสิทธิ์ คุณละมูนเอายาใส่รถม้าไปเร่ขายตามหมู่บ้านต่าง ๆ ซื้อจักรเย็บผ้าซิงเกอร์เก่าคันหนึ่ง ราคา 950 บาท ให้หลานสาวซึ่งเรียนจบโรงเรียนช่างเย็บที่สกลนครมารับจ้างเย็บผ้า ได้เรียนไปกับเขาด้วยค่าจ้างเย็บเสื้อ ตัวละ 3-4 บาท ต่อมามียาจากต่างประเทศนำเข้ามาจำหน่ายเป็นจำนวนมาก ทำให้ยาไทยขายไม่ได้จึงเลิกกิจการ ยกร้านให้คุณหมอชาตา ศานตินิรันดรกับคุณหมอนิตินารถ ลดาวัลย์ ดำเนินกิจการต่อกลับไปอยู่ที่หนองขอน หาไม้ปลูกกระท่อม ทำนา เลี้ยงไก่ เลี้ยงปลาเก็บผักไปขาย 2 กำ 1 สตางค์

 

กบฏแยกอีสาน

 


‘เตียง ศิริขันธ์’ ครูสามัญชน
ผู้ที่มีอุดมการณ์ประชาธิปไตย และเป็นอีกกำลังสำคัญของขบวนการเสรีไทย

 

เดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2490 จอมพลผินชุณหวัณ ร่วมกับหลวงกาจสงคราม (เจ้าของรัฐธรรมนูญฉบับใต้ตุ่ม) ทำรัฐประหารล้มรัฐบาลหลวงธำรงนาวาสวัสดิ์ทำให้คุณเตียง ศิริขันธ์ซึ่งเป็นรัฐมนตรีร่วมรัฐบาลต้องหลบภัยไปอยู่ที่ภูพานขณะนั้นอากาศหนาวจัดต้องก่อไฟผิงขาของคุณเตียงไม่ดี ขนาดถูกไฟไหม้ไม่รู้สึกตัว ผู้ใหญ่จัน สีแก้ว (จันคอลาย) ลงจากเขามาตามครูครองไปดูอาการครูครองรับหมอชาตาไปรักษา เมื่อครูครองกลับบ้านจึงถูกจับกุมพร้อมหมอชาตาและคนอื่น ๆ รวม 16 คน คุณเตียงและผู้ใหญ่จันยังจับไม่ได้ รัฐบาลขอให้คุณเตียงมอบตัว คุณเตียงเสนอเงื่อนไขให้ผู้ถูกจับในคดีนี้ทั้งหมดได้ประกันตัวรัฐบาลยอมรับเงื่อนไข ทำให้มีผู้ต้องหาทั้งหมด 18 คน

หลังจากได้ประกันตัวแล้ว ทางรัฐบาลอ้างว่าจำเลยเป็นผู้มีอิทธิพล จึงโอนคดีมาฟ้องที่ศาลอาญากรุงเทพฯ ระหว่างที่ยังไม่ได้ประกันตัว แม่ของฉันซึ่งป่วยอยู่แล้วได้ถึงแก่กรรม จึงจัดการศพของแม่ที่ตลาดเก่า ลูกชายคนโตที่เกิดจากภรรยาคนแรกของครูครอง ชื่อจิรเดช จันดาวงศ์ ก็ป่วยหนักพอครูครองได้ประกันตัวลูกชายก็เสียชีวิต ต้องเสียเวลา กว่า 2 ปีขึ้น ๆ ล่อง ๆ มาสู้คดีที่กรุงเทพฯ จนไม่เป็นอันทำมาหากิน ต่อมาศาลยกฟ้อง เมื่อกลับมาอยู่บ้านก็เตรียมทำนา หาลูกจ้างไม่ได้ ควายก็ต้องเช่าเขามาตัวหนึ่ง กับที่มีอยู่ตัวหนึ่ง หัดไถนาช่วยเขา ไม่เป็นก็ล้มลุกคลุกคลาน  เมื่อครูครองเป็นสมาชิกสภาจังหวัดไปประชุม ลูกก็ไปโรงเรียน อยู่บ้านคนเดียวจึงจูงควายไปเลี้ยงตามคันนาน้ำกัดตามซอกนิ้วเท้าถูกหญ้าทิ่มจนเลือดออก จึงขี่หลังควายออกไปเลี้ยงเป็นครั้งแรกที่ขี่หลังควายพอควายกินอิ่มประมาณเที่ยงวันจะนำมาผูกที่คอก บังคับให้ควายเดินไปตามทางก็ไม่ไป กลับลงลุยน้ำที่บ่อปลาแล้วขึ้นตรงขอบบ่อที่ชัน จึงหงายหลังตกลงไปในน้ำ ไม่เจ็บมากแต่ก็ทำให้เอวมีปัญหามาจนถึงทุกวันนี้

 

กบฏสันติภาพ-กบฏ 10 พ.ย.

 


ครูครอง จันดาวงศ์ ผู้ต้องขังคดีกบฏสันติภาพ ถูกจับ พ.ศ. 2495 ถ่ายรูปร่วมกับเพื่อนนักโทษคดีการเมือง เช่น กุหลาบ สายประดิษฐ์ สมัคร บุราวาศ และ เปลื้อง วรรณศรี
ในวันพ้นคุก พ.ศ. 2500
ที่มา : จากยอดโดมถึงภูพาน : บันทึกประวัติศาสตร์ฉบับสามัญชนบนเส้นทางประชาธิปไตย

 

พอเริ่มเก็บเกี่ยวข้าวเบา ครูครองก็เริ่มเคลื่อนไหวสันติภาพ คัดค้านการทำสงครามรุกรานเกาหลี โดยมีนายแพทย์เจริญ สืบแสง อดีต ส.ส.ปัตตานี เป็นประธาน มีบุคคลหลายอาชีพเข้าร่วมประชุม ภายหลังการประชุมไม่นาน เมื่อกลับมาบ้านครูครองก็ถูกจับและถูกนำตัวไปขังที่กรุงเทพฯ นายธนู คงสุวรรณ นายอำเภอสว่างแดนดิน นำกำลังตำรวจไปตรวจค้นในบ้าน รื้อบ้าน ขุดรื้อเล้าไก่ เพื่อค้นหาอาวุธปืน แต่ไม่พบอะไรเลยแม้แต่กระสุนปืนเพียงนัดเดียวก็ไม่มี เวลาผ่านไปแรมเดือนจึงได้ปูพื้นบ้าน

ข้าวที่เกี่ยวไว้แล้วต้องหัดมัดเอง เพื่อนบ้านเห็นเข้าก็สงสารมาช่วยกันมัดให้ หาบข้าวเข้าลานนวดกับน้องสาวสองคน กำลังนวดข้าวอยู่นั้น หลานชายซึ่งเป็นลูกของพี่สาวคนโตและไม่มีพ่อแม่มาอาศัยอยู่กับเตี่ยก็ป่วยและเสียชีวิต ต่อมาเตี่ยซึ่งมีอายุ 75 ปีแล้วก็เสียชีวิตอีก จัดการศพแล้วจึงได้มานวดข้าว นำข้าวขึ้นยังแล้วก็ออกไปขายส้มตำที่ตลาดสว่างแดนดิน ขออาศัยหน้าร้านป้าทองศรีตอนบ่ายหลังจากขายของเสร็จแล้วก็ไปยกยอที่ห้วยสานจอด เอาปลามาทำอาหารเย็นให้ลูกกิน ตอนเช้าตีสามไปซื้อมะละกอจากตลาด บางวันไม่มีขายต้องนั่งรถไปซื้อที่บ้านต้าย

ปีต่อมาเอานาให้เขาเช่าทำไปทำซุบหน่อไม้ ผักดอง ข้าวต้มมัด ไปขายที่ตลาด น้องชายคนสุดท้องมารับจ้างขุดหาบดินของชลประทาน ได้เงินมาก็แบ่งช่วยค่าใช้จ่ายในบ้าน ต่อมาเขาสอบได้ เป็นเจ้าหน้าที่ป่าไม้ ไปทำงานที่อุตรดิตถ์ ถึงฤดูข้าวใหม่ออก ก็ตัดต้นแก่นคูนที่กินกับหมากนำไปแลกข้าวเปลือกตามหมู่บ้าน เช่น บ้านทุ่งบ่อ บ้านนาสีนวล บ้านเหล่า บ้านเหล่าใหญ่ บ้านดง บ้านโคกพุทรา บ้านเปือย นำข้าวไปขายเอาเงินเพื่อไปเยี่ยมครูครองมีบางคนฝากผ้าขาวม้าไปให้ เมื่อบอกว่าถ้าได้หลายผืนจะนำไปฝากผู้ที่ถูกจับคนอื่น ๆ ด้วยปรากฏว่าพวกพี่น้องเขาให้มา รวบรวมได้ 60 ผืน มีผู้ถูกขัง 54 คน ผ้าขะม้าทั้งหมดมอบให้คุณอุทธรณ์ พลกุล จัดการ แจกจ่าย

ต่อมาเสาบ้านไม้พลวงขาด ยามฝนตกหนักน้ำไหลมาท่วมบ้าน กระดานชานบ้านที่อยู่ข้างล่างลอยน้ำ คุณชุ่ม แก่นจำปา เพื่อนบ้าน กับลูกชาย จูงมือกันเดินทวนน้ำที่ไหลเชี่ยวสูงเลยเข่ามาดูบ้านใกล้พัง เพื่อนบ้านหมู่บ้านอื่น ๆ ทราบข่าวก็พากันมาเยี่ยม และช่วยกันตัดไม้เพื่อทำเสาบ้าน คนที่มีเกวียนชนเสามาให้ ผ่านที่ทำการป่าไม้อำเภอ เจ้าหน้าที่มาตรวจและขอดูใบอนุญาตชักลากเมื่อไม่มี เจ้าหน้าที่จะจับ  ลุงนีบอกว่าเป็นของน้าแตงอ่อน ป่าไม้จึงปล่อยไป ส่วนไม้ขื่อแป พ่อสิงห์บ้านคอนหนองขามให้ลูกชายชื่อคำภากับเชียงปุ่นมาช่วยเลื่อย เมื่อได้อุปกรณ์ครบแล้ว เพื่อนบ้าน จากบ้านหวาย บ้านง่อน บ้านก่อน บ้านดงขวาง ก็มาช่วยกันยกเสาบ้าน มุงหลังคาจนแล้วเสร็จ ไม้ตงข้างล่างวางไว้แล้วแต่ยังไม่ได้ปูพื้นบ้าน ยกสูงมีบันได 7 ขั้น วันไหนลูกชายสองคน อายุ 12-13 ปี หยุดเรียน แม่ลูกก็พากันปูพื้น ตาอินทร์กับอ้ายจันทีที่อยู่ใกล้กันได้ยินเสียงตอกตะปู ก็มาช่วยปูพื้น ตีฝาบ้านจนเสร็จ ช่างแดงมาช่วยตั้งประตู ต่อมาได้ต่อชายออกมาห้องหนึ่ง (บ้านมีสองห้อง) ไม่มีครัว อาศัยอยู่ด้วยกันกับลูกชายและทำซุบหน่อไม้ขาย

พ.ศ. 2500 กึ่งพุทธกาล จอมพล ป. สั่งปล่อยนักโทษการเมือง ครูครองได้กลับบ้าน จึงวานเพื่อนบ้านเลื่อยไม้ทำงานบ้านและรื้อเถียงนาเก่าสมัยคุณตายุทธ คามมาบุกเบิกนาหนองขอน เอามาทำครัว

 

สมัยเป็น ส.ส.

พ.ศ. 2501 ฝนแล้ง พี่น้องประชาชนทำนาได้ผลน้อย ข้าวไม่พอกิน มาขอให้ ส.ส.ช่วย ครูครองจึงพาไปขอความช่วยเหลือจากทางการ แต่นายสุวิญญ์ พรหมศิริ

นายอำเภอสว่างแดนดิน บอกว่าไม่มีงบประมาณช่วยเหลือเรื่องนี้ ครูครองขอให้นำงบประมาณก่อสร้างถนน สายสว่างแดนดิน-โคกสี มาช่วยเหลือประชาชน แต่ได้รับการปฏิเสธ ครูครองขอให้นำงบประมาณมาให้ ประชาชนทำงานสร้างทางสายนี้ รับรองจะทำถนนจากข้างที่ว่าการอำเภอสว่างแดนดินถึงบ้านสนามชัยให้ แล้วเสร็จภายใน 3 วัน นายอำเภอคิดว่าคงทำไม่ได้จึงอนุญาต พี่น้องประชาชนที่เตรียมพร้อมอยู่แล้วจึงพากันลงมือทำงานได้ทันที แล้วเสร็จตามกำหนด แต่ยังไม่ได้รับเงินค่าแรงงาน จำต้องไปเชื่อข้าวสารจากร้านค้ามาแจกจ่ายไปก่อน และนำเงินไปชำระเมื่อได้รับเงินค่าจ้าง นายอำเภอถือโอกาสนำชื่อพ่อของตนมาเป็นชื่อถนนว่า “ถนนไชยสงคราม” จนถึงปัจจุบันนี้

ครูครองได้ร่วมมือกับพี่น้องหลายหมู่บ้าน เช่น บ้านง่อน หนองพะเนาว์ บ้านถ่อน บ้านดงขวาง บ้านเปือย บ้านเหล่า บ้านดง บ้านทุ่งนาศรีนวล บ้านโคกพุทรา บ้านหวาย ช่วยกันสร้างกุฏิถวายวัดโพธิ์ศรีซึ่งมีพระครูบริภัณธุรการ (อาจารย์ เผย) เป็นเจ้าอาวาส พี่น้องประชาชนช่วยกันบริจาคไม้ ครูครองจ่ายค่าเขียนแบบ อุปกรณ์การก่อสร้างอื่น ๆ ทั้งหมด เมื่อสร้างเสร็จ ชาวบ้านเสนอให้ใช้ชื่อ จันดาวงศ์ แต่ครูครองเห็นว่าเป็นผลงานของประชาชนที่ร่วมใจกันทำ จึงใช้ชื่อว่า “ประชานิมิตร

ครูครองได้ร่วมมือกับพี่น้องประชาชนตัดทางกฐินเลียบดงพันนา ไปทอดที่วัดทุ่งนาศรีนวล

ครูครองได้พาประชาชนหาที่ดินทำกิน โดยเข้าจับจองป่าเสื่อมสภาพ ไม่มีไม้ใหญ่ ซึ่งปัจจุบันคือบ้านเหล่าใหญ่ โดยที่ครูครองไม่ได้ถือครองกรรมสิทธิ์ที่ดินในบริเวณดังกล่าว

ต่อมา จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ ได้ทำรัฐประหาร เป็นครั้งที่ 2 เมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2504 ครูครองก็ถูกจับ พร้อมกับภักดี พงษ์สิทธิศักดิ์ (น้องชายดิฉัน) วิทิต จันดาวงศ์ (บุตรชาย) และเพื่อนบ้านอีกหลายคนจากหลายหมู่บ้าน โดยถูกนำตัวมาขังที่สถานีตำรวจภูธร อำเภอสว่างแดนดิน หลังจากถูกขังได้ 2 วัน เขาจะย้ายไปยังที่อื่นไม่รู้ว่าเขาจะเอาไปไว้ที่ไหน ขณะที่ตำรวจคุมตัวลงมาขึ้นรถยนต์ ลูกสาววิ่งไปจะขึ้นรถด้วยแต่ไม่ทัน ได้แต่เกาะท้ายรถยนต์และถูกลากไปตามทางไม่รู้ว่าลูกสาวล้มลงเมื่อไร วิ่งตามออกไปก็ถูกตำรวจคนหนึ่งขวางและจับแขนทั้งสองข้างไว้ เมื่อสะบัดไม่หลุดจึงถีบใส่หว่างขาตำรวจคนนั้นจนผงะ แล้ววิ่งตามรถยนต์ออกไปสู่ถนนสายอุดรธานี-สกลนคร ตำรวจจราจรยศสิบตำรวจเอกคนหนึ่งเดินมาบอกให้รีบขึ้นรถยนต์โดยสารตามไป พอดีมีรถยนต์โดยสารมาจอด ขึ้นไปบนรถยนต์โดยสารแล้วมองลงมาทางร้านค้า เห็นคนยืนดูอยู่เต็มไปหมด เมื่อไปถึงอำเภอหนองหาน จังหวัดอุดรธานี เด็กหญิงที่ขายไก่ย่าง บริเวณที่จอดรถยนต์โดยสารบอกว่า ทางตำรวจนำผู้ที่ถูกจับไปไว้ที่สถานีตำรวจภูธรอำเภอหนองหาร จึงลงจากรถยนต์โดยสาร เดินเข้าไปที่สถานีตำรวจ จนกระทั่งเวลาเย็นครูครองบอกให้กลับไปบ้าน

วันต่อมา เมื่อไปที่อำเภอหนองหาน เด็กที่ขายไก่ย่างบอกว่าตำรวจนำผู้ที่ถูกจับขึ้นรถยนต์ไปทางจังหวัดอุดรธานี เมื่อตามไปก็ไม่พบ คุณสวาสดิ์ ตราชู ก็ไม่รู้เรื่องสองแม่ลูกพากันกลับบ้านลูกสาวตัดสินใจไม่เรียนต่อน้องสะใภ้กับหลานเล็ก ๆ 2 คน และน้องสาวเขาอีกคนหนึ่งมาอยู่ด้วยกันที่บ้าน รวม 6 ชีวิต เป็นผู้หญิงทั้งหมด ธำรงค์ (ลูกชายคนที่สอง) อยู่บ้านไม่ได้ จึงลี้ภัยไปอยู่ในลาว และเดินทางต่อไปจีน

หลังจากครูครองถูกนำตัวไปขังที่กรุงเทพฯ มีนายตำรวจสันติบาลยศพันตำรวจตรี นำลังตำรวจจากสว่างแดนดินพร้อมอาวุธหลายนาย มีคนหนึ่งนำเลื่อยตัดไม้มาด้วย ส่วนตำรวจศักดิ์สิทธิ์แต่งตัว แบบชาวบ้านใส่กางเกงขาก๊วยสีดำขาสามส่วน พากันเดินผ่านหน้าบ้านเดินเลยข้ามลำห้วยหนองขอมไปที่สวนมะม่วงของทิดจันลีซึ่งอยู่ทางทิศตะวันออกของบ้านฉัน จึงพาลูกสาวตามไปดูเห็นรวจรัวปืนใส่ต้นมะม่วงเสร็จแล้วให้ตำรวจศักดิ์สิทธิ์เอามือชี้ที่เขารัวปืนใส่ ว่าที่นี่แหละครูครองพาลูกน้องมาซ้อมยิงปืน พร้อมกับถ่ายรูปขณะกำลังเอามือชี้ แล้วก็เอาเลื่อยตัดต้นมะม่วงบริเวณที่มีรอยกระสุนไป นายพันตำรวจตรีคนนั้นเอากระดาษมาให้ฉันลงลายมือชื่อ ฉันไม่ทำตามและเดินกลับไปบ้าน เวลานั้นก็ยังไม่รู้ว่าตำรวจทำเพื่ออะไรภายหลังจึงเข้าใจได้ว่าตำรวจพยายามสร้างหลักฐานเท็จเพื่อประหารสามี หลายวันต่อมา ตำรวจสว่างแดนดินนำเงินมาจ่ายค่าต้นมะม่วงของทิดจันลี 200 บาท ไม่เข้าใจเหมือนกันว่า ถ้าครูครองพาลูกน้องไปซ้อมยิงปืนจริงตำรวจสถานีตำรวจภูธรอำเภอสว่างแดนดินคงหูหนวกกันหมดที่ไม่ได้ยินเสียงปืน ทั้ง ๆ ที่ห่างจากที่ว่าการอำเภอสว่างแดนดินและสถานีตำรวจเพียง 1 กม.

ต่อมาไม่นานตำรวจก็พากันมาค้นบ้านกระจุยกระจาย แล้วยึดเอาหนังสือปกแข็ง หนังสือห้องสมุดโรงเรียนศิริขันธ์ที่ถูกยุบแล้วนำมาเก็บไว้ที่บ้าน เพราะครูครองเป็นผู้จัดการโรงเรียน หนังสือผู้ชนะสิบทิศปกแข็ง หนังสือของหลวงวิจิตรวาทการ หนังสือแปลเรื่องเขาถูกบังคับให้เป็นขุนโจร หนังสือเหล่านี้มีวางขายทั่วไปตามร้านขายหนังสือ แต่ตำรวจอ้างว่าเอาไปเป็นหลักฐาน

 


ครอง จันดาวงศ์ เดินเข้าสู่หลักประหาร เมื่อ พ.ศ. 2504 โดยคำสั่งตามมาตรา 17
สมัยรัฐบาลจอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์
ที่มา : หนังสือครูครอง จันดาวงศ์ ชะตากรรมที่เลือกไม่ได้

 

31 พฤษภาคม พ.ศ. 2504 ต้นปีฝนค่อนข้างแล้งเพิ่ม (หลานชาย) มาช่วยทำนา พากันวิดน้ําเตรียมหว่านกล้า ประมาณเที่ยงวันได้ยินเสียงปืนยิงรัวหลายนัด ฉันกำลังหว่านกล้า เก่ง (เมียพงษ์) ตะโกนเรียกแม่ บอกว่า เขาเอาพ่อไปฆ่าที่สนามบิน ฉันทิ้งตะกร้าใส่ข้าวลง อยากวิ่งไปแต่ก้าวขาไม่ออก ได้แต่เดินข้ามคันดิน ออกไปที่สนามบิน ไปถึงชายป่าพบยง (หลานชาย) มาจากพังโคน น้ำตาไหลไม่พูดอะไร แต่เอาเงินให้ 400 บาท เดินไปที่ศพนอนเคียงกันอยู่สองศพ มีผ้าห่มผืนละ 12 บาท ปิดหน้าลงมาแค่เข่า มีไม้กางเขนตัดครึ่งวางทับไว้ มีชาวบ้านยืนดูอยู่ห่าง ๆ ฉันไปเปิดดูศพเห็นริมฝีปากข้างล่าง ลงมาถึงคางเหวอะหวะ ที่ท้องก็มีแต่รอยลูกปืนเต็มไปหมด ฉันปิดผ้าไว้แล้วไปเปิดดูศพคุณทองพันธ์ แขนข้างหนึ่งยังสวมกุญแจมืออยู่ อีกข้างหนึ่งข้อมือหัก ที่ท้องมีรอยกระสุนปืน ฉันปิดผ้าแล้วก้มลงกราบศพสามีพร้อมกับสาปแช่ง “สาธุเด้อ ปืนกระบอกใดมันสังหารตัวผู้ข้าโดยไม่ได้ทำผิดคิดร้ายต่อใครก็ขอให้ปืนกระบอกนั้นคืนตอบสนองมันทุกตัวคน” นั่งอยู่ครู่หนึ่งก็มีเสียงบอก ให้หาโลงมาใส่ศพ จึงเอาเงิน 400 บาท ที่หลานชายให้ไว้ ให้เพื่อนบ้านช่วยหาซื้อโลง พวกเขาก็กลัว ไปซื้อโลงคนขายก็ไม่อยากขายให้ สุดท้ายได้มาสองโลง เพื่อนบ้านช่วยกันยกศพใส่โลงทั้งครูครองและคุณทองพันธ์ สุทธิมาศ บรรทุกเกวียนไปฝังไว้ที่ป่าช้าวัดป่าศรีสว่างฯ ฝังเสร็จแล้วก็พากันกลับ พวกนายรอด นายชู พ่อค้าไทยที่ตลาดสว่างแดนดินแบกจอบกลับมา ตํารวจก็เรียกไปสอบสวน ยง (หลานชาย) ก็โดนสอบสวน เดินกลับมาถึงตลาดสว่างแดนดินเพื่อไปซื้อยาหอม ยาหม่องที่ร้านสว่างเวช เห็นนายตำรวจสันติบาลและผู้กองสว่างฯ กำลังดื่มเหล้าสรวลเสเฮฮากันอยู่ นายตำรวจสันติบาลคนหนึ่งเห็นฉันเดินเข้าไปก็รีบเดินเข้าห้องน้ำ จำได้ว่านายตำรวจคนนี้ฉันเคยไปขอพบแกจนถูก พล.ต.ต. ประชา บูรณะธณิต สอบปากคำ

กลับมาถึงบ้านมีเพื่อนบ้านและพี่น้องบ้านเปือยมาอยู่เป็นเพื่อน นิมนต์พระอาจารย์เผย เจ้าอาวาสวัดโพธิ์ศรีมาสวดมนต์เย็น คืนนั้น วันที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2504 มีฝนตกลงมา พวกชาวบ้านบอกว่าฝนห่าแก้วตกลงมาชะเลือดครูครอง ครบ 3 วัน ก็ทำบุญเลี้ยงพระอีกครั้ง

หลังจากนั้นก็เลิกขายของ เก็บพริกที่ลูกชายคนที่สองปลูกเอาไว้ ให้หลานสาวไปขายที่ตลาด ปีนั้นพริกทั้งดกทั้งสวย ปลาในบ่อก็มีมาก ปลิงก็ชุม ตอนเย็นฉันเอาอวนไปจึงดักปลาในบ่อ ตอนเช้าไปกู้อวน ฉันใส่เสื้อดำแขนยาวกับผ้าถุงดำ พอขึ้นจากน้ำมีแต่รอยเมือกปลิง บางตัวยังเกาะที่น่อง ฉันเอามือดึงออก หลานสาวถามว่าป้าไม่กลัวหรือ ฉันว่าไม่กลัว เดี๋ยวนี้ป้ามันด้านแล้ว อะไรก็ไม่กลัวทั้งนั้น ปลดปลาออกแล้วเอาออกมาร้อยเป็นพวงให้หลานสาวเอาไปขายที่ตลาดพวงละ 1 บาท พอมีเงิน ซื้อข้าวสาร ซื้อเกลือ ไก่ที่เหลือตาย 10 ตัว หมู 1 ตัวก็ถูกอันธพาลลูกน้องตำรวจสถานีตำรวจภูธร อำเภอสว่างแดนดินขโมยไปหมด สิบตำรวจโทไส ทำงานแผนกเกี่ยวกับชาวญวนอพยพสถานีตำรวจภูธร อำเภอสว่างแดนดินเอาแหไปเหวี่ยงปลาที่บ่อ ฉันเดินลงไปดูก็ยังเหวี่ยงแหหน้าตาเฉย ฉันก็ไม่พูดอะไร ต่อมาสิบโทคนนั้นก็ถูกไฟฟ้าดูดตาย

ขณะที่ฉันกับหลานสาวกำลังถอนกล้าไว้ดำนาตำรวจจากสถานีตำรวจภูธรอำเภอสว่างแดนดิน ก็เดินมาเรียกให้ฉันไปพบนายตำรวจสันติบาลที่มาจากกรุงเทพฯ ฉันอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วเดินไปที่หอประชุมอําเภอสว่างแดนดิน วันนั้นเป็นวันประชุมครูประชาบาล ครูประชุมอยู่ข้างล่าง ฉันถูกสอบอยู่ที่พื้นที่เขายกสูงแค่อกค่าแรกที่ถูกถามคือวันที่กราบศพได้กล่าวสาปแช่งใครฉันตอบว่า ฉันขอถามดูว่า ขณะนั้นถ้าคุณเอาใจฉันไปใส่ใจคุณ คุณจะคิดอย่างไร เขาถามอีกว่าครูครองไปทำอะไรมาบ้าง ฉันปฏิเสธว่าไม่รู้ เขาพูดว่าฉันกับครูครองรักกันมากครูครองไปทําอะไรมาจะไม่บอกให้ฉันรู้บ้างเลยหรือ ฉันจึงถามกลับไปว่าเวลาคุณมีมุ้งเล็ก มีนางบำเรออยู่นอกบ้านคุณเคยบอกให้มุ้งใหญ่ ให้ภรรยาคุณรู้บ้างไหม เขาไม่พูดได้แต่ถามวกไปวนมาตั้งแต่ 4 โมงเช้าถึง 4 โมงเย็นจนพวกครูเลิกประชุม เขาจึงปล่อยฉันออกมา ฉันมานั่งพักอยู่หน้าร้านขายของที่ตลาดสว่างแดนดิน พวกครูเดินผ่านไปมาได้แต่ชำเลืองมอง มีครูบ้านก่อนซึ่งเป็นแฟนของเพื่อน เห็นฉันนั่งอยู่จะแวะเข้ามาหา ฉันโบกมือต่ำ ๆ ไม่ให้แกมาหา แกเข้าใจจึงเดินผละไป

ประมาณ 4 โมงเย็นทุกวัน ตำรวจศักดิ์สิทธิ์จะมาซ้อมยิงปืนใส่ต้นตะบกที่นาตาไทย ห่างจากบ้านฉันไม่ไกล ครอบครัวถูกคุกคามมาก ลูกสาวอยู่ไม่ได้ จึงหนีไปหาพี่ชายที่ไปลี้ภัยอยู่ต่างประเทศ

หลังจากขายของที่ตลาดแล้ว ฉันกับหลานสาวก็รีบกินข้าวเพื่อไปยกยอกับเพื่อนบ้าน ห่อข้าวไปกินกลางวันด้วย น้ำลึกถึงไหล่จึงจะได้ปลามาก ได้ปลาขนาดเล็ก กุ้ง เอามาทำปลาจ่อมไปขายที่ตลาด ส่วนน้องสะใภ้กับเด็กที่มาอยู่ด้วยก็เตรียมของไว้ขายตอนเช้า

ปีพ.ศ. 2505 ฉันไปช่วยงานบุญ 100 วัน ที่บ้านดงสวรรค์ ตอนเช้ามืดตำรวจไปจับฉันที่บ้าน แต่ไม่พบตำรวจคุมตัวกลับมาที่บ้านแล้วซื้อของกระจุยกระจายแต่ไม่ได้อะไร ฉันจะเก็บเสื้อผ้าใส่กระเป๋าก็ไม่ได้ จึงมีแค่เสื้อผ้าที่ใส่ติดตัว ไม่มีเงินติดตัวแม้แต่สตางค์แดงเดียว ตำรวจนำตัวไปอุดรธานี แล้วนำไปขังรวมกับผู้ที่ถูกจับมาก่อนแล้ว 106 คน มีพ่วยคาน ช่วยธรรม ด้วง ฯลฯ อยู่กันแออัดมาก ที่นอน หมอน มุ่งไม่มี ต้องผลัดกันนอนบางคนเอาผ้าขาวม้ามาผูกเปล ที่มุมห้องขัง เขาเอาฉันขังไว้ในห้องเล็ก ๆ ตอนเย็นจึงเอาฉันไปขังไว้ที่ห้องขังสถานีตำรวจภูธรจังหวัดอุดรธานี เลือดก็ชุม ยุงก็ชุม มีผู้หญิงลาวคนหนึ่งถูกจับฐานลักลอบเข้าเมือง พร้อมกับลูกสาวอายุประมาณหนึ่งขวบ ส่วนสามีหนีไปได้ ผู้หญิงลาวคนนั้นให้เขาซื้ออาหารแบ่งให้ฉันกินด้วยเวลานอนก็ให้นอนมุ้งเดียวกัน ฉันนอนไม่หลับ มองเห็นเด็กถูกเลือดกัดมันก็ดิ้นมองดูตามข้างมั่งเห็นตัวเลือดไต่ยั้วเยี้ยเต็มไปหมด จนขณะนี้ฉันยังคิดถึงความมีน้ำใจของหญิงสาวคนนั้นทั้ง ๆ ที่แกก็อยู่ในภาวะลำบากขนาดนั้น จนถึงวันนี้ฉันยังไม่เคยลืม

เช้าวันรุ่งขึ้นตำรวจนำฉันออกจากห้องขังไปขึ้นรถยนต์ ฉันถามก็ไม่ยอมบอกว่าจะพาไปไหน เมื่อเข้าเขตอำเภอหนองบัวลำภู มองไปเห็นทิวเขา ฉันคิดว่าเขาคงเอาฉันมาฆ่าทิ้งแถวนี้ ก็คิดเอาว่าไม่เป็นไร เกิดหนเดียวตายหนเดียว ที่หนองบัวลำภู ร.ต.ต.ประสาท อยู่ที่โนนสังข์จะเดินทางไปอุดรธานีจอดรถลงมา เพื่อดูหน้าเมียครูครองฉันถูกนำตัวไปขังที่อำเภอโนนสังข์ ญาติมิตรไม่ทราบข่าวของฉันเลย ฉันถูกขังเดี่ยวอยู่ 4-5 วัน มีญวนอพยพคนหนึ่งไปขายไอศกรีมมองเห็นฉันนั่งอยู่ จึงแวะขึ้นไปขายบนสถานีตำรวจ เรียกให้พวกตำรวจซื้อ พอแกกลับไปจึงนำข่าวไปบอกทางบ้านว่าฉันถูกขังอยู่ที่ อ.โนนสังข์ ต๊อกหลานสาว กับอาหวินจึงไปเยี่ยม เอาผ้าห่ม เสื้อผ้าและเงินไปให้ หลานสาวเล่าว่า เขากับถ้ำ ลูกสาวอ้ายจันที่พากันมาตามหาฉันที่อุดรฯ แต่ไม่พบ ฉันบอกให้หลานกลับบ้านไปทำมาหากินไม่ต้องเป็นห่วงฉัน ระหว่างถูกคุมขังถูกก่อกวนทางประสาทตลอดเวลา มีวิทยุตำรวจบอกว่าจับลูกน้องนายครองได้อีกแล้ว จับโบกเบี้ยเหล้าเถื่อนคนละอำเภอ คนละจังหวัดก็ว่าเป็นคอมมิวนิสต์ เป็นลูกน้องนายครอง

ตำรวจโนนสังข์บางคนก็ดี เวลามาอยู่เวรกลางวัน ให้ภรรยาเขาเอาอาหารมาเผื่อฉันด้วย แกบอกว่าที่ได้เลื่อนยศเป็นสิบตำรวจตรีก็เพราะคดีของครูครอง ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้ทำอะไร นอกจากที่นายสั่งเท่านั้น บางคนก็เลวมาก เช่น ส.ต.ต.บุดดี ที่ได้ยศตอนใกล้เกษียณ ฉันจ้างเด็กตักน้ำใส่โอ่งไว้หน้าโรงพัก แกเป็นเวรเลี้ยงม้า ก็พาม้ามากินน้ำจนหมด ยาแก้ปวดกระป๋อง 500 เม็ดก็เอา ไป อีกคนหนึ่งคือตำรวจเพิ่ม ฉันฝากเขาซื้อกล้วยมาแขวนไว้ ก็เอาไปกินจนหมดหวีอย่างน่าตาเฉย

ต่อมาตำรวจโนนสังข์ได้เลื่อนยศในการปราบปรามคอมมิวนิสต์ได้ผลที่เป็น ร.ต.อ.ก็ได้เป็น พ.ต.ต. ที่เป็น ร.ต.ท. ก็ได้เป็น ร.ต.อ. ที่เป็น ร.ต.ต. ก็ได้เป็น ร.ต.ท. จึงจัดงานฉลองยศเป็นการใหญ่ หลังจากนั้น ก็พากันไปอยู่ตัวจังหวัดหมด แล้วให้หมวดเจริญจาก อ.บ้านผือมาแทน แกเห็นฉันไม่ได้อาบน้ำจึงพาไปอาบที่สระน้ำของอำเภอ แต่น้ำไม่สะอาด จึงพาไปอาบที่บ้านหมู่พิมพ์ ตอนกลางวันก็ปล่อยให้ฉันออกมานั่งนอกห้องขัง ซื้อหมากพลูมาให้ ฉันเห็นว่าแกเป็นตำรวจที่ดี หลังจากฉันได้รับการปล่อยตัวก็ยังถามถึงและฝากความดีใจมาด้วย

อีกไม่กี่วันต่อมา ชาวบ้านรอบ ๆ โนนสังข์ถูกจับมาที่โรงพัก เล่นโบกเบี้ยกันตั้งแต่เดือนเมษายน ปี 2504 มาจับเอาปี 2505 พวกเขาว่าจับโบกแห้ง ในจำนวนนี้มี หญิงแม่ลูกอ่อนคนหนึ่งถูกจับใน ข้อหาต้มเหล้าเถื่อนฉันออกมานอนนอกห้องขังอีก

เช้าวันหนึ่ง มีรถยนต์ตำรวจมาจอดที่บันไดโรงพัก แล้วบอกให้ฉันเก็บของไปขึ้นรถ ฉันเก็บของแล้วบอกลาผู้ต้องหาคนอื่น แล้วเดินมาขึ้นรถ ผู้ต้องหาชายคนหนึ่งตะโกนเรียกพร้อมกับนำผ้าห่มที่ฉันลืมมาส่งให้ ฉันถามตำรวจว่าจะพาตัวไปไหน เขาก็ไม่บอก ข้าวเช้าก็ยังไม่ได้กิน เมื่อมาถึงสถานีรถไฟอุดรธานี ตำรวจนำฉันไปนั่งที่น้องเล็ก ๆ ของสถานี มีนายตำรวจยศพันตำรวจโทอยู่ในห้องนั้น เมื่อใกล้เวลารถไฟออก มีนายตํารวจไม่แต่งเครื่อง แบบและตํารวจยศ ส.ต.ท. คนหนึ่ง คุมไปนั่งรถไฟที่นั่งธรรมดา พอรถไฟออกก็บอกให้ลูกน้องไปทำอะไรก็ได้ จะคุมเอง พอรถไฟไปถึงสถานีย่อย ก็ซื้อข้าวเหนียว ไก่ย่าง ให้กิน แล้วบอกให้ฉันเอาผ้าปิดหน้า แกบอกว่าไม่ต้องการให้นักข่าวเห็น และสั่งไม่ให้ฉันพูดอะไรกับนักข่าว เพราะจะไม่เป็นผลดีต่อฉัน มาถึงโคราชก็ซื้อไก่ย่างให้หนึ่งตัว พร้อมข้าวเหนียวอีกหลายห่อ พอมาถึงอยุธยา มีนักข่าวหลายคนรออยู่ พากันขึ้นมาบนรถไฟเดินไปตู้นั้นตู้นี้ เมื่อมาถึงตู้ที่ฉันนอนอยู่ นักข่าวถามตํารวจว่าใครนอนอยู่

เมื่อฉันลุกขึ้นนั่ง นักข่าวถามอะไรฉันก็บอกไม่รู้ พวกนักข่าวบ่นกันใหญ่ ว่าจะส่งพวกคอมมิวนิสต์ 106 คนมาจากที่คุมขังอุดรธานี ทำไมจึงมีแต่ผู้หญิงมาคนเดียวฉันมารู้ภายหลังว่าเป็นเพราะข่าวรั่ว ตำรวจจึงแอบส่งฉันมา ตำรวจคนนี้คือ พ.ต.อ.ประสาท แต่คนละคนกับประสาทที่โนนสังข์ เขานำตัวฉันไปมอบให้ผู้กำกับการสันติบาล กอง 2 ตั้งแต่ 3 โมงเช้า ก็ไม่เห็นสอบปากคำอะไร นั่งสูบบุหรี่มวนแล้วมวนเล่า จน 3 โมงเย็น จึงให้ตำรวจส่งขึ้นไปชั้นสอง ขังไว้ห้องเดียวกับ ครูนฤมล แซ่เตีย ครูโรงเรียนราษฎร์ (คุณหมู่เซียะ สามีก็ถูกจับด้วย ขังอยู่กับลุงนวน คนญวน อำเภอกระนวน จังหวัดขอนแก่น) ครูนฤมลให้ความรู้แก่ฉันหลายอย่าง ทั้งแนะนำสภาพผู้ต้องหาในห้องขังด้วย ว่าคนไหนเป็นอย่างไรซึ่งเป็นคำแนะนำที่ดีแก่ฉันในเวลาต่อมา ผู้ต้องหาในนั้นมีคนสุพรรณบุรีหลายคน ซึ่งถูกจับในคดี ครูรวม วงษ์พันธ์ (ถูกยิงเป้าวันที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2505) ได้แก่คุณจำเริญ สุชาญวนิชกุล เจ้าของโรงสีไฟอู่ทอง คุณแสง รุ่งนิรันดรกุล (ภายหลังได้รับการปล่อยตัว แต่มาถูกยิงตายที่ สถานีรถยนต์โดยสาร ฉันได้ทราบข่าวจากหนังสือพิมพ์ ขณะอยู่ต่างประเทศ) คุณวิเชียร ร.ต.อ.จําลอง (เป็นผู้กอง นครพนม นักปราบคอมมิวนิสต์ตัวยง ถูกผู้กำกับนครพนม สงัด โรจนภิรมย์ จับกุมข้อหาเป็นคอมมิวนิสต์) ตอนบ่าย เขาปล่อยแกออกมาวิ่งที่ห้องซอย แกพยายามมาพูดคุยกับฉัน ฉันก็ระวังคำพูด

2-3 วันต่อมา ครูนฤมล และสามี ได้ประกันตัวเสื้อผ้า กระดาษหนังสือพิมพ์ทีเหลือจากที่เคยแบ่งให้ฉันปูนอน เพราะห้องขังเป็นพื้นซีเมนต์ ก็ทิ้งไว้ให้ สภาพอาหารการกินในห้องขังเขาให้กินเช้า-เย็น กินไม่ได้ก็ต้องอดทนกิน ตอนกลางวันดื่มน้ำรองท้องอยู่หลายวัน คุณจำเริญ สังเกตเห็น จึงสั่งก๋วยเตี๋ยวมาให้ฉันกินตอน กลางวัน วันแรกฉันไม่กล้ากิน เพราะไม่มีเงินให้เขา คนส่งของบอกว่าคุณจ่าเริญ เขาสั่งให้เอามาให้ คุณแสงรับเงินบำเหน็จ ก็เอาเงินให้ฉัน 100 บาท

23 เมษายน 2506 ครบรอบ 1 ปี การเสียชีวิตของคุณรวม วงษ์พันธ์ คุณประดิษฐ์ ภรรยาของคุณรวมทําบุญให้คุณรวม แล้วนำอาหารมาให้คุณจำเริญ คุณจำเริญก็แบ่งอาหารให้ฉันด้วย ต่อมามีข่าวว่าจะส่งคอมมิวนิสต์หญิง 3 คน จากนครพนม 2 คน คือ ป้าวันที โต และกาเล แสงเดชา (ลุงแนม พ่อของกาเล ถูกขังอยู่ที่อุดรฯ) ทองเลี่ยม กลางสาธร ส่งมาจากขอนแก่น (สามีของป้าวันที และสามีครูทองเลี่ยม ถูกขังอยู่ที่อุดรฯ) ถูกส่งมายังอยู่ที่กอง 4 ชั้นล่าง ซึ่งมีเจ้าคุณพระพิมลธรรม วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ราชวรมหาวิหาร ท่าพระจันทร์ และคุณชนินทร์ เรืองสันติ ถูกคุมขังอยู่

หลังจาก 3 คน มาถูกยังไม่นาน มีคุณจ่าสันติบาลมีอายุสักหน่อยเป็นหัวหน้าเวร มาอยู่เวรวันอาทิตย์ พาฉันไปนมัสการหลวงพ่อ และมีโอกาสพูดคุยกับคุณชนินทร์ ทําให้ทราบว่า ป้าวันทีสองตายาย ถูกผู้ใหญ่บ้านกลั่นแกล้ง จับยัดข้อหาเป็นคอมมิวนิสต์ โดนขังลืม 2-3 ปี อีก 2-3 เดือนต่อมา ฉันขอย้ายมาอยู่ห้องข้างล่าง อยู่ห้องละ 2 คน กลางวันได้อาศัยข้าวที่โยมอุปัฏฐากหลวง พ่อส่งปิ่นโต ท่านฉันเหลือก็ยกมาให้พวกเรากิน ห้องชั้นล่างส้วมเต็ม น้ำเหม็นออกมา จะท่วมเตียงซึ่งสูงแค่คืบกว่า ๆ คุณจำเริญ ซึ่งย้ายไปอยู่ อาคาร 8 ศูนย์ฝึกนครบาล บางเขน มาโรงพยาบาลแกแวะเข้าไปเยี่ยม เมื่อเห็นสภาพของเรา จึงบอกให้พวกเราขอย้ายไปบางเขน ห้องขังเป็นตึก 5 ชั้น ชั้น 5 เป็นดาดฟ้า ผู้ต้องขังการเมืองไม่แออัด อากาศก็ดีด้วย พวกเรา 4 คนปรึกษากัน แล้วให้ครูทองเลี่ยมเขียนคำร้องโดยไม่บอกหลวงพ่อ เมื่อทราบเรื่อง หลวงพ่อก็เตือนว่า อยู่ที่ไหนก็ห้องขังเหมือนกัน พวกเราไม่กล้าพูด แต่ฉันมีเหตุผลที่ขอย้าย ก็เพื่อจะได้ติดต่อกับลูกชาย (วิทิต จันดาวงศ์) และน้องชาย (ภักดี พงษ์สิทธิศักดิ์) ซึ่งถูกขังอยู่ที่ลาดยาว โดยอาศัย พ่วย คาน น้าชาย และคนอื่น ๆ ที่ถูกจับในคดีเดียวกัน เวลาไปศาลจะได้ทราบข่าวพวกเขาบ้าง

วันที่มีข่าวย้าย หนังสือพิมพ์พาดหัวข่าวว่า ย้ายนางแดง ไปฝากขังที่บางเขน อยู่มาไม่นาน พวกแม่ลูกอ่อน 3 คน ถูกจับที่อำเภอท่ายาง จังหวัดเพชรบุรี ข้อหาเป็น คอมมิวนิสต์ อีกคนมาคลอดที่ห้องขัง คุณไสว มาลัยเวช ก็ถูกส่งมายังที่นี่ ปลัดคำนึง พรหมสาขา ณ สกลนคร คุณไพศาล วงศ์วันทะนีย์ คุณอารีย์ ภิรมย์ อยู่ชั้น 3 ที่ ชั้น 4 อีกหนึ่งเป็นผู้ต้องหาการเมือง อีกซีกหนึ่ง เป็นผู้ต้องขังข้อหายาเสพติด พวกเรา 4 คน ถูกขังอยู่ห้องกลางมี 2 เตียง เป็นเตียง 2 ชั้น เห็นสภาพผู้ต้องขังแล้ว ทำให้นึกถึงคำอีสาน “ตีนช้างเหยียบปากนก” พูดอะไรไม่ได้ ไม่มีหลักฐานก็ยัดข้อหาอันธพาล ขังลืมไปเลยพวกเรา 4 คน โดยเฉพาะฉัน ไม่มีญาติพี่น้องที่จะคอยส่งเสียเงินทองให้ สมบัติอื่น ๆ ก็ไม่มี จึงปรึกษากัน ให้ฉันขายส้มค่าที่ห้องโถง ครูทองเลี่ยม กาเล รับจ้างซักรีดเสื้อผ้าของผู้ต้องขังบางท่าน ตำรวจบางท่าน ที่มวนบุหรี่ขาย กล่องมวนบุหรี่ ลูกชายฝากมาให้จากลาดยาว

ฉันหัดทำดอกบัวกับครูทองเลี่ยม มีคนซื้อก็ขาย รายได้ทั้งหมดเอามารวมกัน เงินที่เหลือจากรายจ่ายก็เอามาแบ่งกันใช้ ฉันยังใช้เวลาถักยอปลาชิวสี่เหลี่ยมขนาด 1.70 เมตร อีกผืนหนึ่งเป็นยอปลาเข็มขนาด 1.10 เมตร ใช้เวลาถักอยู่หลายเดือน ครูทองเลี่ยมเห็นแล้วสงสาร จึงขอซื้อไปให้พี่สาว แกให้ 100 บาท ส่วนฝันเล็กฉันเก็บไว้เอง

การใส่ร้ายป้ายสีมีอยู่ไม่ขาดสาย คุณจ่าเริญ เอาหนังสือพิมพ์มาให้อ่าน มีข่าวนางแตงอ่อน เมียนายครองไปปลุกระดมสตรีในเขตสกลนคร ฉันถูกขังอยู่ในห้องขังจะหายตัวไปปลุกระดมได้อย่างไร นายตำรวจสันติบาลระดับผู้บังคับการให้ข่าวหนังสือพิมพ์ฝรั่งฉบับหนึ่งว่า นายวิทิต จันดาวงศ์ ลูกชายนายครองเป็นหัวหน้าโจรปล้นรถยนต์โดยสารสายอุดรธานี-สกลนคร ทั้ง ๆ ที่เขายังถูกขังอยู่ที่ลาดยาว เพื่อสืบหาต้นตอคนให้ข่าว จึงยื่นฟ้อง หนังสือพิมพ์ฝรั่งฉบับนั้น แต่หนังสือพิมพ์ไม่กล้าบอก ยอมชดใช้ค่าเสียหาย ลูกหลานที่รับราชการใช้นามสกุลจันดาวงศ์ ก็ถูกกีดกันในการทำงาน

วิทยุออกข่าว จอมพลผ้าขาวม้าแดงม้ามแตกตาย พวกที่ถูกขังที่บางเขนทั้งตึกพากันไชโยโห่ร้อง ตำรวจที่คุม อยู่ก็ไม่พูดอะไร มีข่าวว่าทางลาดยาวเขียนข้อความติดหน้า ห้องขังว่า “ชื่อเหมือนปลา หน้าเหมือนเหี้ยมีเมียเป็นร้อย” ฉันถูกขังลืมอยู่ 1 ปี 7 เดือน ลูกชายที่ถูกขังที่ลาดยาวเขียน คำร้องมาให้ฉันลงชื่อ แล้วยื่นคำร้องต่อ พล.ต.อ. ประเสริฐ รุจิรวงศ์ อธิบดีกรมตำรวจให้ส่งฉันฟ้องต่อศาล ถ้าหากมีหลักฐาน ถ้าไม่มีหลักฐานก็ขอให้ปล่อยตัว เมื่อคำสั่งปล่อยตัวออกมา ก็ตั้งข้อแม้ว่าต้องไปอบรม ที่ลาดบัวขาว อำเภอสีคิ้ว นครราชสีมา คุณทองปาน วงศ์สง่า กับเพื่อน ๆ พากันไป แต่ฉันไม่ไปจะปล่อยก็ให้ปล่อยที่กรุงเทพฯ เมื่อ จอมพล ถนอม กิตติขจร เป็นนายกอีกครั้ง จึงสั่งปล่อยพร้อมคนอื่น ๆ ฉันถูกนำตัวมาไว้ที่ สโมสรตำรวจ จนกระทั่งคุณทองปาน มาจากลาดบัวขาว ได้พบคุณอุทรณ์ พลกุล จึงมีโอกาสพาฉันไปเยี่ยมลูกชาย และน้องชายที่ลาดยาว

เมื่อคุณทองปาน กับผู้ร่วมชะตากรรม มาจากลาดบัวขาว เช้าวันรุ่งขึ้น ตำรวจก็พาไปรับฟังคำสั่งปล่อยตัวจาก พล.ต.ท. เกษียณ ศรุตานนท์ รองอธิบดีกรมตำรวจ พร้อมกับให้เงินค่ารถกลับบ้านคนละ 300 บาท พอทราบข่าวการปล่อยตัว คุณพรชัย แสงชัชท์ อดีต ส.ส.จังหวัดศรีสะเกษ ให้คุณทองชมภู (ภรรยา) ไปรับมาพักที่บ้านฝั่งธนบุรี

ออกมา 4-5 วัน ยังไม่ได้กลับบ้าน เพื่อนบ้านทางสว่างแดนดิน เกิดความสงสัยและเป็นห่วง พ่อเสี่ยวจารย์ อยู่บ้านใต้อ่างเก็บน้ำชลประทาน เขียนจดหมายไปหาประสงค์ (ลูกชาย ที่บวชเป็นพระอยู่ที่วัดมหรรณพ) ว่ามีข่าวปล่อยตัวแม่แตงอ่อนหลายวันแล้ว แต่ไม่เห็นกลับบ้าน ให้ช่วยตามหาด้วย ประสงค์ตามหาฉันจนพบ จึงรับไปอยู่ที่วัดมหรรณพ 2-3 วัน ฉันกลับถึงสว่างแดนดิน ประมาณเที่ยง จึงไปดูหลุมศพครูครองที่วัดป่ากลับ เข้าไปชักบังสุกุลให้ป้าบัวก่องที่วัดโพธิ์ศรี จนถึง 5 โมงเย็น จึงกลับถึงบ้านหนองขอน เพื่อนบ้านหญิงชายมารอกันเต็มบ้าน เพื่อผูกแขนให้

ฉันกลับมาบ้านแล้วก็ช่วยน้องสะใภ้และหลานสาวทำชุบหน่อไม้ หาบไปขายที่ตลาดเช้าตามเดิม ตอนเย็นทำแกง หาบไปขายตามห้องแถวตลาดสว่างแดนดิน

เดือนกันยายน ฝนตกหนักชลประทานจึงเปิดอ่างเก็บน้ำระบายน้ำออก ฉันเอายอที่ถักไว้ในห้องขัง ไปยกยอปลาเข็มบริเวณใต้อ่างเก็บน้ํา นั่งตากฝนจนถึงกลางคืน ทางชลประทานจึงหยุดระบายน้ำ ได้ปลาเข็ม ปลาซิว เอามาท่าปลาจ่อมขาย พอน้ำตามลำห้วยลดลง ฉันกับต๊อก (หลานสาว) รับกลับจากตลาด กินข้าวแล้วรีบไปยกยอ กับเพื่อนบ้าน น้ำตื้นได้ปลาไม่มาก ฉันว่ายน้ำไม่เป็น แต่ต้องลงน้ำลึกถึงรักแร้ จึงจะได้ปลามากหน่อย

เดือนพฤศจิกายนของทุกปี ชาวจีนที่ตลาดสว่างแดนดิน จะจัดงานมีงิ้วแสดง 7 คืน ฉันกับหลานไปซื้อไม้ไผ่บ้านอ่อน ที่บ้านหวาย เอามาทำข้าวหลามไปขายในงานงิ้วตอนกลางคืน การซื้อไม้ไผ่ต้องปืนตอขึ้นไปตัดเอง กว่าจะดึงลงมาได้ก็เล่นเอาเหงื่อออก มีไผ่ลําหนึ่งตัดแล้วหล่นลงมาตั้งอยู่กลางกอ ตั้งอยู่ไม่ล้ม ไม้ไม่ล้มแต่คนล้ม ฉันตกจากที่ยืนอยู่ ชายผ้าถุงเกี่ยวกิ่งไผ่ห้อยต่องแต่งถูกหนามไผ่เกี่ยวหลายแผล พอดี แปน เดบิตา คนบ้านโคก บ้านหวาย ผ่านมาเห็นเข้า ทั้งสองจึงช่วยกันดึงไม้ ไผ่ให้ ฉันกับหลานแบกกลับบ้านคนละล่ำ ฉันทำมาหากินสุจริตยังถูกตำรวจคอยรบกวน บางคนมาซ้อมยิงปืนข้าง ๆ บ้าน ฉันทำข้าวหลามขายจนงานงิ้ววันสุดท้าย ขายข้าวหลามหมดกลับบ้าน 5 ทุ่ม เก็บข้าวของ ประมาณ ตี 1 หลานชายก็มารับเดินทางตอนกลางคืน มีเงินไปไม่กี่บาท พอดีงิ้วเลิก พวกที่มาดูงิ้วพากันกลับบ้าน เงินที่ขายของได้เหลือ 200 บาท ก็เอาให้น้องสะใภ้ไว้เลี้ยงหลานหลังจากฉันไปไม่นาน น้องสะใภ้ที่อยู่กับน้องสาวและลูกเล็ก ๆ ก็ถูกอันธพาลในคราบ อ.ส. บุกขึ้นบ้านจะไปข่มขืนน้องสะใภ้จึงหอบลูกไปอาศัยอยู่บ้านตาอินทร์ แล้วจึงไปอยู่กรุงเทพฯ บ้านไม่มีคนอยู่ดูแล สิ่งของเสื้อผ้า ผ้าไหมหลายผืน โต๊ะ เก้าอี้ หายหมด

 


จิตร ภูมิศักดิ์

 

เดินทางไปพักกลางดง 2-3 วัน จึงขึ้นภูพานไปถึงสันผาลม พากันนั่งพักเหนื่อย มองลงไปข้างล่างเห็นแสงไฟฟ้าวับ ๆ แวม ๆ จากอำเภอวาริชภูมิ เนื้อเพลงของคุณจิตร ภูมิศักดิ์ “...พายุโหมหวิวหวู...” ก็แต่งที่ผาลมนี่เอง เมื่อไปถึงที่พัก ได้พบกับพี่น้องจากหมู่บ้านในเขตอำเภอสว่างแดนดิน และจากที่อื่น ๆ ซึ่งอยู่บ้านไม่ได้อีกหลายคน ที่มาจากกรุงเทพฯ ก็มี เช่น คุณสนอง มงคล บรรณาธิการหนังสือพิมพ์เสียงอ่างทอง พร้อมภรรยา อาหารการกินลำบากหน่อย บรรดาผู้เฒ่าเกรงว่าร่างกายของฉันจะสู้ไม่ไหว พ่อสมนึก ออกไปข้างนอกเห็น ผักป่าที่กินได้อยู่บนต้นไม้สูง ก็ปีนขึ้นไปเก็บเอามาฝากโดยที่เจ้าตัวไม่ยอมกิน ตู้จารย์แสงไปเห็นรังผึ้งที่มันทำรังขวาง ตะวัน ชาวบ้านไม่กล้าปีนขึ้นไปเอา แต่แกปีนขึ้นไปเอาตัวผึ้งจับตามตัวแต่ไม่ค่อยสักตัว ได้น้ำผึ้งก็เอาไปให้ผู้รับผิดชอบ ส่วนแบ่งของแกเอามาให้ฉันกินโดยเจ้าตัวไม่กิน เลยได้พบ คุณจิตร ภูมิศักดิ์ อยู่ที่นั่นด้วย คุณจิตร ได้ยินเยาวชนชายร้องเพลง “กลิ่นโคลนสาบควาย” จึงแต่งเป็นเพลงเนื้อหาใหม่ ทำนองเดิม ชื่อเพลง “ทุ่งรวงทอง” นอกจากนั้นก็มีเพลง “เลือดต้องล้างด้วยเลือด” แต่งขึ้นเป็นเพลงร้องรำประกอบอาวุธสำหรับเยาวชนชายหญิงส่วนฉันช่วยทำอาหาร ฉันมีเข็ม ด้าย ขี้ผึ้ง ใส่ไว้ในถุง เล็ก ๆ ช่วยปะเสื้อผ้ากางเกงของคุณจิตร ขาดฉันก็ปะให้

พักอยู่ถึงเดือนมีนาคม จึงเดินทางต่อไปพักอยู่ริมแม่น้ําโขง คืนหนึ่งมีเรือมารับ พอลงเรือมองดูน้ำกับกาบเรือห่างกันเพียงคืบกว่า ๆ หันไปมองทางฝั่งไทยแล้วใจหาย นึกถึงคำกลอนบทหนึ่งของ ท่านสุนทรภู่  “อนิจจาตัวเราก็เท่านี้ ไม่มีที่พสุธาจะอาศัย” ฉันอธิษฐานในใจกราบลาพระแม่ธรณีขอให้ช่วยปกป้องคุ้มครองผู้ข้าให้เดินทางโดยปลอดภัย ถ้าบุญหลายสายยาวก็ขอให้ได้กลับสู่แผ่นดินไทย อันเป็นบ้านเกิดเมืองนอนอีก พายเรือไปถึงกลางลำน้ำโขง จึงติดเครื่องยนต์ มุ่งหน้าไปทางนครพนม มีเสียงเรือ น.ป.ข. ดังมาจากทางหนองคาย และนครพนม แต่ยังมาไม่ถึงเรือของเรา จึงน่าเรือขึ้นไปทางฝั่งลาว พักพอหายเหนื่อยก็เดินทางต่อไปขึ้นพักนอนที่นั่นจนรุ่งเช้า หลังจากกินข้าวเช้าเสร็จแล้ว ก็ไปคุยกับแม่แก้ว จึงได้รู้ว่าเป็นคนบ้านโคกก่อง หนองฮู อยู่ริมหนองหาร สกลนคร แกชี้ให้ดูว่าพวกเรา จะขึ้นภูลูกนี้แหละ พวกเราพากันแหงนดู เห็นยอดภูสูงมาก คิดอยู่ว่าจะผ่านภูลูกนี้ไปได้หรือเปล่า

เช้าวันใหม่ หลังจากกินข้าวเสร็จก็ออกเดินทางผ่านป่าทึบและสูงหลายลูก พักนอนกันกลางป่า ภูบางลูกตอนขาลงทำเป็นบันไดไม้กลม ๆ มัดเชือก 9 ขั้นก็มี 11 ขั้น ก็มี พวกเราไปด้วยกัน 4 คน มีชาย 1 หญิง 3 คนนำทางพูดให้กำลังใจพวกเราว่า “ถึงภูจะสูงสักเท่าใดมันก็อยู่ใต้หัวเข่าของเรานี่แหละ” ตามทางเดินบางแห่งเป็นดงทาก (ปลิงเข็มบก) พอได้ยินเสียงคนเดินมาก็ชูหัวกันสลอน ขนาดเอาม้าลำเลียงผ่านทาง ทากกินเลือดม้าตายไปบ้างก็มี กางเกงขายาวเอาเชือกมัดไว้สองแห่งก็ยังถูกมันเกาะ มีพวกเราสองคนพากันวิ่ง คนนำทางบอกว่า ถ้าวิ่งจะเกิดเสียงดังมากขึ้น ทากจะยิ่งมากันมาก ส่วนทากเขียวอยู่บนต้นไม้จะต่อตัวกันลงมาเหมือนเถาวัลย์ห้อยลงมาจากต้นไม้ พอคนเดินผ่านก็จะปล่อยตัวลงมาติดอยู่ที่บ่าบ้าง ที่หมวกบ้าง พอลงจากภู ผ่านทุ่งนาเวลากลางวันก็แบกกิ่งไม้คนละกิ่ง เพื่ออำพรางเครื่องบิน เดินทางได้ครึ่งเดือนกว่า ก็มาถึงชายแดนลาว-เวียดนาม พักอยู่ที่นั่นหนึ่งวัน เวลากลางคืนเขาเอารถจี๊ปมารับเดินทางเข้าเวียดนาม พักอยู่ 2-3 วัน พากันวิ่งลงหลุมหลบภัย 2-3 ครั้ง

หลังจากนั้นเขาก็เอารถจี๊ปมารับเพื่อเดินทางต่อไปยังฮานอย คนขับรถชำนาญทางมาก สองข้างทางเต็มไปด้วยหลุม ระเบิดที่เครื่องบินของอเมริกานำมาทิ้ง ระเบิดบางลูกก็ยังไม่แตก รถก็ใช้ไฟต่ำสีเหลืองตลอดทางไปถึงอ่าวไฮฟอง ประมาณ 3-4 ทุ่ม มีเรือมาจอดอยู่ริมฝั่ง พวกเราลงจากรถวิ่งไปขึ้นเรือ คนก็รีบเดินไปเกาะที่ข้างรถทั้งสองข้าง พอไปถึงกลางอ่าว มีเสียงกลองเตือนภัย มีเครื่องบินอเมริกามาทิ้งพลุไฟ 3 ดวง สว่างไปทั่วทั้งอ่าว เสียงปืนต่อสู้อากาศยานบนภูก็ดังขึ้น เรือลำนั้นใช้ความเร็วเต็มที่ เครื่องบินก็หนีไปโดยไม่ได้ทิ้งระเบิด พอเรือจอดพวกเราก็รีบขึ้นฝั่งพร้อมกับรถพวกเรารีบขึ้นรถรีบออกไปจากที่นั่นโดยเร็วไปจนถึงคงมะพร้าวซึ่งเขาเห็นว่าปลอดภัย จึงหยุดพักกินน้ำมะพร้าวอ่อนเขาเล่าให้ฟังว่า เคยมีทหาร 8 คน เดินทางมาพักหุงข้าวกินตอนกลางวัน มีควันไฟลอยขึ้นไปเหนือยอดมะพร้าว เครื่องบินอเมริกาเห็นเข้าจึงมาทิ้งระเบิดใส่เสียชีวิตทั้งหมด พักอยู่ไม่นานก็เดินทางต่อไปถึงกลางทางที่จะเข้าฮานอย มีรถยนต์เก๋งสีดําจอดอยู่ มารับพวกเราไปจนถึงฮานอยประมาณ 6 ทุ่ม ผู้รับผิดชอบบอกว่า ถ้าได้ยินเสียงกลองให้พวกเรารีบลงหลุมหลบภัยพวกเราพักอยู่ที่นั่น วิ่งลงหลุมหลบภัย 2-3 ครั้ง แต่ไม่ได้ยินเสียงลูกระเบิด มีแต่เสียงปืนต่อสู้อากาศยาน ทั้ง ๆ ที่อยู่ในสภาวะยากลำบาก พวกเรายังได้รับการต้อนรับอย่างดี แม่ครัวเป็นคนที่เคยไปอยู่อีสาน ทำกับข้าวแบบอีสานให้พวกเรากิน เวลานั้นฉันกินอาหารไม่ได้ แพ้อากาศ ท้องอืด นอนไม่หลับ อากาศที่ฮานอยทั้งร้อนและชื้น เขาก็พาหมอมารักษา และพาไปตรวจรักษาที่โรงพยาบาลเวียตโซ ซึ่งได้รับความช่วยเหลือจากโซเวียต ในภาวะสงครามจึงขาดแคลนทั้งหมอและยา

วันต่อมาเขาพาไปชมโรงงานทอผ้า 8 มีนาคม (เป็นโรงงานที่ได้รับความช่วยเหลือจากจีน) กรรมกรหญิงที่นี่มีปืนสะพายอยู่ข้างหลังทุกคน ทำงานไปต้องคอยฟังเสียงเครื่องบินไปด้วย แสดงให้เห็นถึงจิตใจกล้าต่อสู้เพื่อปกป้องชาติอันสูงส่งของสตรีเวียดนาม

ขณะที่พักอยู่นั้น เขาเตรียมเสื้อผ้าให้สำหรับเดินทางต่อไปจีน เขาตัดสูตรผ้าไหมสีขาวให้ฉัน 1 ชุด ฉันขอแสดงความคาระวะอย่างสูงต่อทางการเวียดนาม และพี่น้องประชาชนชาวเวียดนาม ที่ให้การต้อนรับอย่างดี เวลาเช้ามืดวันที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2509 มีรถมารับไปสนามบินซึ่งอยู่คนละฝั่งแม่น้ำแดงของฮานอย แม่น้ำแดงกว้างใหญ่มาก เมื่อรถยนต์ผ่านไปมองเห็นทหารรักษาการณ์เป็นจุด ๆ หลายแห่ง (ฉันไปอยู่จีนไม่นานก็มีข่าวว่า เครื่องบินอเมริกาทิ้งระเบิดที่สะพานข้ามแม่น้ำแดงนี้เสียหายบางส่วน) ไปถึงสนามบินยังไม่สว่าง ขึ้นเครื่องบิน 4 เครื่องยนต์ ของสายการบินปักกิ่ง-ฮานอย บินข้ามเขตเวียดนาม-จีน พักกินข้าวกลางวันที่สนามบินอู่ฮั่น มีคนของทางการจีนให้การต้อนรับเลี้ยงอาหารกลางวัน ขณะขึ้นเครื่องบินจะไปปักกิ่ง ทางปักกิ่งแจ้งมาว่าสภาพอากาศไม่ดี เครื่องบินไปไม่ได้ จึงเปลี่ยนเส้นทางไปคุณหมิงสภาพอากาศไม่ดี เครื่องบินตกหลุมอากาศ พี่น้องชาวลาว 3 คน ที่จะไปร่วมงานวันกรรมกรสากลที่ปักกิ่ง ต้องให้อ๊อกซิเจน พวกเรา 4 คน เวียนหัวนิดหน่อย เครื่องบินไปลงพักที่เมืองกุ้ยหยาง เมืองเอกของมณฑลกุยจิ๋ว บ้านพักอยู่ริมลำธาร อากาศดีมาก รุ่งเช้าจึงบินไปปักกิ่งมีล่ามไปรับที่สนามบิน ขณะนั่งรถ มองเห็นสองข้างทางมีป้ายบอกเกี่ยวกับการประชุมเอเชีย-อาฟริกา ที่ประชุม เสร็จผ่านไปไม่กี่วัน ล่ามพาไปพักที่โรงแรมปักกิ่งชั้น 3 ชาว ต่างประเทศที่ไปประชุมบางคนยังไม่กลับ พักอยู่ที่นั่น

เช้าวันที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2509 เริ่มงานฉลองใหญ่ ประกอบการปฏิวัติใหญ่ทางวัฒนธรรมกําลังเริ่มต้น มีผู้คนไปชุมนุมกันที่จัตุรัสเทียนอันเหมินมากมาย มีเสียงฆ้อง เสียงกลอง ดังสนั่น ฯพณฯ โจว เอิน ไหล ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ประธาน เหมา เจ๋อ ตง ดำรงตำแหน่งประธานพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศจีน

หลังจากฉลองวันกรรมกรสากล เขาก็พาฉันไปเที่ยวชมสถานที่สำคัญ ๆ ตามมณฑลต่าง ๆ หลายแห่ง อีก 3-4 วันต่อมาก็กลับปักกิ่ง พักอยู่ไม่กี่วัน ล่ามหญิงก็พาฉันไปตรวจร่างกายที่โรงพยาบาลปักกิ่ง หมอตรวจพบมะเร็งในปากมดลูก เมื่อกลับมาถึงที่พักมีอาการไข้ ล่ามจึงพาไปรักษาที่โรงพยาบาล หมอไม่ทราบว่ามีสาเหตุจากอะไร เนื่องจากอาการไข้แบบนี้ไม่มีในเขตแดนชั้นใน ภายหลังการปลดปล่อย จึงเชิญหมอจากชายแดนมาตรวจรักษาจึงได้รู้ว่าเป็นไข้มาลาเรีย นอกจากนั้นยังเอาน้ำดีมาตรวจพบพยาธิที่ตับ เมื่อรักษาจนอาการดีขึ้น เขาจึงส่งฉันไปโรงพยาบาลยื้อถัง เพื่อรักษามะเร็ง อยู่ 7 วัน ฉายแสง 2 ครั้ง กินข้าวไม่ได้ หมอจึงฉีดกลูโคสให้ หลังจากนั้นให้ ฉันไปตรวจมะเร็งเดือนละ 1 ครั้ง เป็นเวลา 6 เดือน แล้วให้ตรวจอีก ปีละ 1 ครั้ง เป็นเวลา 5 ปี ตรวจที่โรงพยาบาลไหนก็ได้ ฉันย้ายกลับมาอยู่ที่โรงพยาบาลปักกิ่งไม่กี่วันก็ออกจากโรงพยาบาล

ต่อมาย้ายไปอยู่ที่คุนหมิง เมืองเอกของมณฑลยูนาน เป็นบ้านพักริมทะเลสาป ข้างหลังบ้านเป็นภูเขา อากาศดีมาก ฝั่งตรงข้ามถนนเป็นโรงพยาบาล ฉันเข้าออกโรงพยาบาลบ่อยครั้ง ส่วนใหญ่จะกินยาจีน (ยาต้ม) สุขภาพฉันดีขึ้น อาหารการกินอุดมสมบูรณ์ กะปิ ปลาร้า ก็ทำกินเอง พืชผักหลายอย่างก็ปลูกเอง ฉันเห็นเขาตัดต้นไผ่ จีนต้นใหญ่ออกเพื่อสร้างที่พัก ฉันจึงเอามาทำไม้คาน ไว้หาบปุ๋ย ได้สิบกว่าอัน สานกระด้ง สุ่มขังไก่ ไว้ใช้

 


ที่มา:อนุสรณ์งานฌาปนกิจศพ นางแตงอ่อน จันดาวงศ์

 

อากาศที่คุนหมิงดี มีสองฤดู คือ ฝนและหนาว แต่พอถึงเดือนเมษายน เขาก็พาไปชมสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ตามมณฑลต่าง ๆ บางแห่งฉันไป 2 ครั้งเช่นที่เยนอาน ไปอีกครั้งก็ไปผ่าตัดไส้ติ่งที่นั่น หมอเห็นเราเป็นแขกต่างประเทศไม่กล้าผ่า แต่ท่านนายกฯ โจว เกรงคนไข้จะกระทบกระเทือน จึงให้ผ่าที่นั่น เมื่อหมอลงมือผ่าตัดแล้วจึงรู้ว่าถ้าช้ากว่านั้นไส้ติ่งจะแตกเป็นอันตราย ขณะพักฟื้นมีพยาบาลดูแลจนกระทั่งตัดไหมและหายดี จึงขึ้นเครื่องบินกลับ ฝีมือการผ่าตัดของหมอเยี่ยมมาก จนปัจจุบันนี้เอามือคลำดูไม่เหมือนเคยผ่าตัด ฉันเป็นคนไข้คนแรกของหมอ คนต่อมาเป็นชาวอาฟริกาก็ไปผ่าตัดไส้ติ่งที่นั่น

เดือนเมษายน ปีต่อมา เขาพาฉันไปเที่ยวบุญปีใหม่ของสิบสองปันนา พิธีปีใหม่ของชนชาติไต มีเซิ้งแห่บั้งไฟไปจุดที่หาดริมแม่น้ําลานช้าง ถ้าบั้งไฟของหมู่บ้านไหน จุดไม่ขึ้น เขาก็จะจับเจ้าของบั้งไฟลงโคลน เหมือนบุญบั้งไฟทางอีสานของไทย แล้วก็เล่นสงกรานต์ สาดน้ำกัน มีฟ้อนกลองยาวแห่เอาน้ำโปรดผู้หลักผู้ใหญ่ที่เคารพนับถือ เขาพาขบวนฟ้อนกลองยาว โดยมีรองหัวหน้าเขตนำขบวนฟ้อน พวกเราก็ร่วมขบวนฟ้อนไปด้วย ทำให้คิดถึงบ้านเกิด เมืองนอนของตนเอง คนไตที่นั่นรูปร่างดี ไม่ว่าแก่หรือสาว ไม่เห็นมีคนไหนอ้วน สาว ๆ มีผิวขาวเนียนเหมือนคนเชียงใหม่ เกล้าผมมวย ภาษาพูดหลายคำฟังเข้าใจ คนแก่ คนเฒ่ายังรักษาขนบประเพณีและภาษาเดิมไว้ ส่วนหนุ่มสาวพูดคำไตปูนจีนกลาง เขาเล่าให้ฟังว่า ที่เรียกสิบสองปันนา เพราะมีเจ้าผู้ครองแคว้น 12 คน จึงแบ่งที่ดินออก เป็น 12 ส่วน ให้แต่ละคนปกครอง

ไปดูสุริยคราสที่เขตเต๋อหง ชายแดนพม่า มีผู้เชี่ยวชาญจีน ชาวต่างประเทศ และนักท่องเที่ยวต่างประเทศไปดูกันเยอะ ที่นั่นมีชนชาติไตเป็นส่วนใหญ่ มีตลาดนัดทุกอาทิตย์ มีของขายเยอะ สินค้าไทยที่คนพม่าเอาไปขายก็มี ที่นั่นเขาใช้เงินหยวนของจีน

ฉันขอคารวะอย่างสูงต่อทางการจีน และพี่น้องประชาชนชาวจีน ที่ให้การเอาใจใส่เป็นอย่างดีต่อพวกเราสามแม่ลูก ที่ลี้ภัยหนีร้อนมาพึ่งเย็น บนแผ่นดินเกิดของเตี่ย

 


ที่มา:อนุสรณ์งานฌาปนกิจศพ นางแตงอ่อน จันดาวงศ์

 

หลังจากได้กลับมาสู่แผ่นดินไทยอันเป็นบ้านเกิดเมืองนอนอีกครั้งตามคำอธิษฐานต่อแม่ธรณี ลูกชายคนโต (วิทิต จันดาวงศ์) จึงพาฉัน และ ธํารงศ์ จันดาวงศ์ พร้อมภรรยา ไปรายงานตัวต่อ กอ.รมน. จังหวัดสกลนคร ฉันช่วยลูกทำมาหากินโดยค้าขายเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่กรุงเทพฯ พอเลี้ยงชีพไปวัน ๆ ไม่นานลูกชายคนโตก็ถูกจับเมื่อ ร.ส.ช. เข้ายึดอำนาจการปกครอง ยังต่อสู้คดีกันอยู่ในศาลจนบัดนี้ ทั้ง ๆ มีการประกาศใช้กฎหมายนิรโทษกรรม อายุฉันมากขึ้น โรคภัยไข้เจ็บก็มีไม่น้อย ไปหาหมอบ่อย ๆ มีหลายท่านให้การอุปการะ ฉันขอขอบพระคุณมา ณ โอกาสนี้

 

เอกสารอ้างอิง :

  • แตงอ่อน จันดาวงศ์, “ชีวิตที่เลือกเกิดไม่ได้”, จากยอดโดมถึงภูพาน : บันทึกประวัติศาสตร์สามัญชนบนเส้นทางประชาธิปไตย (กรุงเทพฯ:สถาบันพัฒนาการเมือง, 2544),  น. 110-123.