ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก
บทบาท-ผลงาน

ปรีดี พนมยงค์ กับ เสรีไทยสายนิสิตจุฬาฯ ซึ่งเป็นที่มาของ “อนุสรณ์สถาน นร. สห. 2488” ณ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย*

25
พฤษภาคม
2568

“เรามิได้บังอาจเรียกตัวเราเองว่า  ได้ประกอบวีรกรรมอันสูงส่งมาในเวลาสงคราม... ทำนองเดียวกัน  เราไม่เคยโอหังจองหองพองขนว่า  เรามีบุญคุณต่อประเทศชาติ  โดยเฉพาะอย่างยิ่ง  เมื่อสงครามสงบ  บ้านเมืองมีสันติสุขแล้ว  พวกเราก็มิได้เป็นกองทัพหรือเครื่องมือของบุคคลใด  หรือคณะหนึ่งคณะใดดังที่ความผันผวนของกระแสการเมืองในขณะนั้นทำให้เกิดเข้าใจผิดขึ้น  ทั้งนี้จะเห็นได้จากเมื่อบ้านเมืองเรียบร้อยเป็นปกติแล้ว  พวกเราก็สลายตัวไปเอง”[1]

 

(๑) บทนำและความเป็นมา  

 

ข้อความที่คัดมาข้างต้นเป็นคำกล่าวของ นร. สห. 2488 ท่านหนึ่ง ในหนังสือ “ประมวลประวัติความเป็นมาและการสร้างอนุสรณ์สถาน นร. สห. 2488 (นิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย)” แสดงความคับข้องใจและตอบโต้ต่อข้อครหาต่างๆ เพราะเมื่อผู้เกี่ยวข้องกับการก่อตั้งขบวนการเสรีไทยคนสำคัญอย่างนายปรีดี พนมยงค์ ต้องลี้ภัยการเมืองหลังจากเกิดการรัฐประหารเมื่อ พ.ศ.2490 ขบวนการเสรีไทยก็เหมือนจะถูก “ด้อยค่า” จากฝ่ายการเมืองที่เป็นปฏิปักษ์ต่อปรีดีอยู่ช่วงหนึ่ง ในจำนวนนี้กลุ่มนิสิตชายจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยรุ่น 2488 ก็เหมือนจะ “โดนหางเลข” ไปด้วย

“นักเรียนสารวัตรทหารรุ่น 2488” หรือที่รู้จักกันในชื่อย่อ “นร. สห. 2488” จากรั้วจามจุรี มาเกี่ยวอะไรกับปรีดี พนมยงค์ และขบวนการเสรีไทย?

เมื่อพูดถึงปรีดี พนมยงค์ กับบทบาทต่อมหาวิทยาลัย คนมักจะนึกถึงคุณูปการที่มีต่อ ม.ธ.ก. (มหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง) ในฐานะผู้ประศาสน์การ แต่ในท่ามกลางยุคสมัยที่ไทยตกเป็นทางผ่านของกองทัพญี่ปุ่นในช่วงสงครามมหาเอเชียบูรพาอยู่นั้น ก็มีอันให้รัฐบุรุษอาวุโสไปมีบทบาทพัวพันกับจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

นี่เป็นประวัติศาสตร์ที่เรียกได้ว่าเกือบจะสูญหายไปของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ทั้งๆ ที่มีอนุสรณ์สถานเพื่อรำลึกถึงเป็นประจักษ์พยานอยู่ภายในรั้วจามจุรี ด้านหน้าลานทางเข้าสำนักวิทยบริการ (หอสมุดกลาง) อีกทั้งเรื่องของ นร. สห. 2488 ยังปรากฏตามเอกสารคำสั่งราชการ ตลอดจนหนังสือที่ระลึกหลังสิ้นสุดสงคราม ปัจจุบันมีงานวิทยานิพนธ์เกี่ยวกับขบวนการเสรีไทยในแง่มุมต่างๆ ออกมาหลายชิ้นก็จริง แต่เรื่องราวบทบาทของ นร. สห. 2488 ก็ดูเหมือนไม่ค่อยได้รับความสนใจศึกษาเท่าที่ควร  

อย่างไรก็ตาม เนื่องในโอกาสครบ 100 ปีของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (นับจากปีก่อตั้งเมื่อวันที่ 26 มีนาคม พ.ศ.2460) ก็ถือเป็นโอกาสอันดีที่จะได้ทบทวนประวัติศาสตร์ของสถาบันการศึกษาดังกล่าวในหลากหลายแง่มุม  เรื่องราวเมื่อแรกก่อตั้ง  พระมหากรุณาธิคุณในรัชกาลที่ 5 และรัชกาลที่ 6 คงมีผู้เขียนถึงไว้พอสมควรแล้ว  นอกเหนือจากนั้นความเป็นสถาบันที่ก่อตั้งมาคู่ขนานกับแนวคิดการสร้างรัฐชาติสมัยใหม่ในสังคมไทยสยาม  เป็นแรงผลักดันหนึ่งที่ทำให้ครั้งหนึ่งนิสิตชายจากรั้วจามจุรีจำนวนหนึ่ง  ได้เข้าร่วมขบวนการต่อสู้เพื่อเอกราชและอธิปไตยของไทย 

หากใครไปที่หอสมุดกลางของจุฬาฯ จะพบว่าบริเวณเยื้องด้านหน้าทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของตัวหอสมุด  เป็นที่ตั้งของสถาปัตยกรรมแปลกๆ ที่ไม่พบเห็นที่อื่นใด  ลักษณะเป็นลานยกพื้นสูงขึ้นเล็กน้อย  ศูนย์กลางเป็นซากหินประหลาดตั้งตระหง่านอยู่  รายล้อมด้วยแมกไม้สีเขียว  มีหอพักนิสิตเป็นฉากหลังอยู่ทางทิศเหนือ 

บริเวณดังกล่าวนี้นิสิตจุฬาฯ  นิยมเรียกกันว่า “ลานหิน”  มีนิสิตแวะเวียนมานั่งเล่น ทำกิจกรรม และเป็นที่นัดพบกันบ้างประปราย  สถานที่แห่งนี้ชื่ออย่างเป็นทางการคือ “อนุสรณ์สถาน นร. สห. 2488” (นร. สห. ย่อมาจาก “นักเรียนสารวัตรทหาร”) อนุสรณ์สถานแห่งนี้นับเป็นสถานที่สำคัญที่บอกเล่าประวัติศาสตร์หนึ่งของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย  ก่อตั้งขึ้นเพื่อเป็นที่ระลึกถึงนิสิตชายจำนวนหนึ่งที่ได้สมัครไปเป็นสารวัตรทหาร  ซึ่งเป็นหน่วยทหารลับของเสรีไทยในสมัยสงครามมหาเอเชียบูรพา สมัครไปเป็นทหารโดยที่รู้ว่าคือการเตรียมการเพื่อปลดอาวุธกองทัพญี่ปุ่น  

สืบเนื่องจากในเช้ามืดของวันที่ 8 ธันวาคม พ.ศ.2484  กองทัพญี่ปุ่นได้ยกพลขึ้นบกที่ประเทศไทยหลายแห่ง  และขอเดินทัพผ่านไปโจมตีอังกฤษที่พม่า อินเดีย และมาเลเซียทางใต้  ประเทศไทยขณะนั้นมีกำลังทหารน้อยและเหตุปัจจัยอื่นๆ  รัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม จึงตัดสินใจตอบรับตกลงยินยอมให้ญี่ปุ่นเดินทัพผ่านและประกาศเข้าร่วมกับฝ่ายอักษะ

แต่มีคนไทยจำนวนมากมิได้เห็นพ้องกับการตัดสินใจของรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม  เพราะเห็นว่าการยินยอมให้ญี่ปุ่นเดินทัพผ่านประเทศตนไปโจมตีประเทศอื่นนั้น  เท่ากับไทยได้เสียเอกราชและอธิปไตยให้แก่ญี่ปุ่นไปโดยปริยาย  จึงได้มีการก่อตั้งขบวนการต่อสู้ที่เรียกว่า “เสรีไทย” ขึ้นมา  นำโดยนายปรีดี พนมยงค์  ผู้สำเร็จราชการแผ่นดินและรัฐบุรุษอาวุโส  เป็นหัวหน้าเสรีไทยในประเทศไทย  หม่อมราชวงศ์เสนีย์ ปราโมช เป็นผู้นำเสรีไทยในสหรัฐอเมริกา  และหม่อมเจ้าศุภสวัสดิ์วงศ์สนิท สวัสดิวัฒน์ เป็นหัวหน้าเสรีไทยในอังกฤษ   

 

(๒) ลับ ลวง พราง : เมื่อปรีดี พนมยงค์ ชักชวนนิสิตจุฬาฯ ไปเป็น “ทหารลับ” ของเสรีไทย 

ในส่วนการดำเนินงานของเสรีไทยในประเทศไทย  นายปรีดี พนมยงค์ ได้ตั้งให้พลเรือตรี สังวร สุวรรณชีพ ซึ่งเข้าร่วมเสรีไทย  ไปเป็นนายทหารสารวัตรใหญ่  เพราะสารวัตรทหารมีอำนาจหน้าที่สามารถเดินทางไปได้ทั่วประเทศ  โดยไม่เป็นที่สงสัย  อีกทั้งพลเรือตรี สังวร สุวรรณชีพ ยังเคยไปเยือนราชนาวีญี่ปุ่น  และเป็นผู้ควบคุมการต่อเรือหลวงศรีอยุธยาในญี่ปุ่นจนรู้ภาษาญี่ปุ่น  จึงทำให้ญี่ปุ่นมีความเชื่อถือและไว้วางใจว่านายทหารไทยฝ่ายนิยมญี่ปุ่นมาแต่เดิม  โดยไม่ระแวงสงสัยว่าท่านผู้นี้จะเป็นสมาชิกคนสำคัญของขบวนการเสรีไทย[2] 

ราวกลางเดือนมกราคม พ.ศ. 2488  ขณะที่สงครามยังครุกรุ่นอยู่นั้น  โดยที่หลายฝ่ายในช่วงนั้นยังมิได้มองว่าสงครามจะยุติลงในปีดังกล่าว  พลเรือตรี สังวร สุวรรณชีพ ได้เข้าพบและปรึกษาหารือกับนายปรีดี พนมยงค์  ว่าในการดำเนินงานผลักดันฐานทัพญี่ปุ่นออกไปจากประเทศไทยนั้น  จำต้องเปิดสงครามสู้รบขั้นแตกหัก  โดยขบวนการเสรีไทยจะต้องมีหน่วยทหารลับพร้อมรบแบบสงครามกองโจร (Gurrilla War-fare)  ทั้งการรบในป่า การรบในเมือง การใช้อาวุธทันสมัย การทำลายด้วยดินระเบิด มีระเบียบวินัยแบบทหารและสามารถใช้อาวุธที่ฝ่ายพันธมิตรส่งมาให้ทางอากาศ  ไม่ใช่เพียงประชาชนทั่วไปใครก็ได้ที่ไม่ได้ผ่านการฝึกวิชาทหาร[3] 

การณ์นี้พลเรือตรี สังวร สุวรรณชีพ ได้เสนอว่านิสิตชายจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยซึ่งขณะนั้นได้ปิดการเรียนการสอนเพราะภัยสงคราม  เป็นกลุ่มที่มีความพร้อมและเหมาะสมที่จะเข้ารับการฝึก  เนื่องจากเป็นยุวชนทหาร  ผ่านการฝึกวิชาทหารมาบ้างแล้วตั้งแต่ชั้นมัธยมศึกษา  นายปรีดี พนมยงค์ เห็นพ้องด้วยและอนุมัติให้ดำเนินการได้ทันที  พลเรือตรี สังวร สุวรรณชีพ จึงได้ขอเข้าพบหม่อมเจ้ารัชฎาภิเศก โสณกุล อธิการบดีจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยสมัยนั้น   

หม่อมเจ้ารัชฎาภิเศก โสณกุล ก็อนุญาตให้นิสิตชายไปช่วยราชการคับขันได้  แต่มีข้อแม้ว่าจะต้องให้เป็นโดยความสมัครใจของนิสิตชายแต่ละคน  ไม่ถือเป็นการบังคับกะเกณฑ์  อธิการบดีได้ทำหนังสือเวียนไปยังคณบดีคณะต่างๆ ให้เรียกนิสิตชายทุกคนมาเข้าร่วมประชุมเป็นการด่วนในวันที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2488 เวลา 10.00 น. ณ หอประชุมจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย[4]  เมื่อถึงวันประชุมตามนัดหมาย  จากบันทึกของผู้อยู่ในเหตุการณ์วันนั้นท่านหนึ่งกล่าวว่า:  

“หลวงสังวรฯ ได้พูดกับพวกเราอย่างชายชาติทหาร  ขอให้พวกเราไปช่วยราชการของชาติในระหว่างที่มหาวิทยาลัยต้องปิดการศึกษาลงเพราะความจำเป็น  ท่านพูดกับเราน้อยคำมาก  แต่ได้ความชัดเจน  ไม่มีการโฆษณาชวนเชื่อ  ไม่มีคำพูดหว่านล้อมเอาสิ่งใดมาเป็นเครื่องล่อ  แต่พูดอย่างลูกผู้ชายกับลูกผู้ชาย  พูดอย่างทหารกับทหาร  พวกเราจึงตัดสินร่วมกับท่านโดยทันที  หลังจากใช้เวลาเพียงเล็กน้อยพบกันเป็นครั้งแรกเท่านั้น  เรื่องนี้เป็นข้อเท็จจริงที่กระผมขอยืนยันแทนพวกเราทุกคนได้ว่า  ในขณะที่ตัดสินใจสมัครเข้าโรงเรียนนายทหารสารวัตรในขณะนั้น  พวกเรามิได้คิดหวังที่จะได้ผลตอบแทนจากทางราชการแต่ประการใดเลย  เราสมัครไปรับใช้ชาติในยามที่ชาติต้องการจริงๆ พวกเรา 200 กว่าคนตัดสินใจด้วยตัวเองมิได้มีการชักชวนหรือใช้อิทธิพลใดๆ มาบีบบังคับแม้แต่น้อย  อันเป็นสิ่งที่พวกเรายังภาคภูมิใจอยู่จนทุกวันนี้ว่า  เป็นการตัดสินใจของคนหนุ่มที่มีจิตใจเสียสละเพื่อประเทศชาติด้วยความบริสุทธิ์ใจจริงๆ อันจะหาได้ยากจากประวัติศาสตร์”[5]   

เนื่องจากการรับสมัครนิสิตจุฬา  เพื่อไปเป็นทหารลับของเสรีไทย  ต้องกระทำอย่าง “ปิดลับ”  พลเรือตรี สังวร สุวรรณชีพ แม้จะขอกล่าวเชิญชวนในที่ประชุม  ก็คงไม่สามารถพูดถึงวัตถุประสงค์ที่แท้จริงของการรับสมัครได้เต็มที่  จึงได้ใช้วิธีให้คนไปกระซิบบอกต่อๆ กันในที่ประชุมนั้น  ดังปรากฏในบันทึกของผู้ร่วมในเหตุการณ์อีกท่านหนึ่งดังนี้:

“พล ร.ต. สังวรฯ ได้ลุกขึ้นกล่าวอารัมภบทและชี้แจงวัตถุประสงค์ในการเปิดรับสมัครนักเรียนนายทหารสารวัตรครั้งนี้  ท้ายสุดได้ขอร้องให้บรรดานิสิตทั้งหมดเสียสละเพื่อประเทศชาติ  โดยสมัครเข้าเป็นนักเรียนนายทหารสารวัตร  ในตอนแรกบรรดานิสิตทั้งมวลต่างงวยงง  และไม่สู้เข้าใจในคำพูดของท่านสารวัตรใหญ่เท่าใดนัก  ทว่าต่อมามีการกระซิบบอกกันเป็นทางลับๆ ว่า  การเป็นนักเรียนนายทหารคราวนี้  มีวัตถุประสงค์เพื่อไปสู้รบต่อต้านญี่ปุ่นนั่นแหล่ะ  บรรดานิสิตทั้งหมดจึงเข้าใจ  ต่างได้สมัครเข้าเรียนในโรงเรียนทหารสารวัตร”[6]

วันที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2488  มีนิสิตชายเข้าร่วมประชุมราว 300 กว่าคน  หลังพลเรือตรี สังวร สุวรรณชีพ กล่าวจบและนิสิตทุกคนทราบถึงวัตถุประสงค์ที่แท้จริงของการรับสมัครเข้าเป็นนักเรียนทหารสารวัตรเป็นที่เรียบร้อยแล้ว  มีนิสิตตัดสินสมัครเข้าร่วมจำนวนมากถึง 300 คนเศษ  ทั้งหมดเป็นคนหนุ่มอายุราว 18-23 ปี  หลังจากทำการตรวจโรคและความพร้อมของร่างกายเสร็จแล้ว  มีผู้ผ่านการคัดเลือกจำนวน 298 คน[7]  แบ่งเป็น 2 หน่วย คือ หน่วยรบ 273 คน  และหน่วยสื่อสาร 25 คน  หม่อมเจ้ารัชฎาภิเศก โสณกุล อธิการบดีจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยในขณะนั้น  ยังได้ให้การสนับสนุนแก่นิสิต  โดยอนุมัติเงินรายได้ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สมทบจ่ายเป็นเบี้ยเลี้ยงแก่นิสิตในระหว่างไปปฏิบัติราชการลับครั้งนี้ด้วย[8] 

โรงเรียนนายทหารสารวัตรได้เปิดเรียนเมื่อวันที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2488  ในชั้นแรกโรงเรียนนายทหารสารวัตรก็ร่ำเรียนเหมือนอย่างโรงเรียนนายร้อย  แต่มีหลักสูตรรวบรัดเพียง 1 ปี  มีการสอนการบรรยายในห้องเรียน  การฝึกเช้าเย็น  เมื่อเรียนผ่านไปได้ระยะหนึ่ง  ก็จัดให้ไปเป็นผู้ฝึกสอนแก่เสรีไทยกลุ่มอื่นๆ อาทิกลุ่มนายสิบ สห. ที่มาจากนักเรียนโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา และนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง (ม.ธ.ก.) จำนวนกว่า 397 คน ภายหลังทั้งสามกลุ่มได้รวมตัวกันเป็น “สมาคมเตรียม ธรรมศาสตร์ จุฬา อาสาศึก” เพราะมีความสนิทสนมกันมาแต่สมัยสงคราม ฝึกทหารมาด้วยกัน[9] 

การเปิดโรงเรียนนายทหารสารวัตรในครั้งนั้น  ใช่ว่าจะรอดพ้นสายตาความสังเกตของฝ่ายญี่ปุ่น  นายพลนากามูระ (พลโท นากามูระ อาเกโตะ) แม่ทัพญี่ปุ่นประจำประเทศไทย  ได้จับตาดูโรงเรียนแห่งนี้อย่างใกล้ชิด  แต่นายปรีดี พนมยงค์ นายทวี บุญยเกตุ และพลเรือตรี สังวร สุวรรณชีพ ก็ได้อาศัยสายสัมพันธ์ที่แนบแน่นกับญี่ปุ่น  จัดทำแผน “ลับ ลวง พราง” ตบตาญี่ปุ่นหลายรูปแบบ 

เป็นต้นว่าได้มีการเข้าพบและพูดคุยอธิบายเหตุผลความจำเป็นที่ต้องมีหน่วยทหารสารวัตร  เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยของบ้านเมืองในระหว่างสงคราม  และเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจต่อแม่ทัพญี่ปุ่น  ได้มีการเชิญ “หน่วยงิ” ของญี่ปุ่น[10]  ให้มาถ่ายทำสารคดีไปเผยแพร่ว่า  ไทยกับญี่ปุ่นร่วมวงศ์ไพบูลย์เดียวกันอย่างเหนียวแน่นอีกด้วย[11]  ดังนั้นถึงแม้ว่านายพลนากามูระจะสงสัยระแคะระคายเกี่ยวกับโรงเรียนนี้อยู่  แต่ก็ไม่อาจสั่งปิดโรงเรียนนี้ได้ 

ในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2488  พลเรือตรี สังวร สุวรรณชีพ ได้ทยอยส่งนักเรียนนายทหารสารวัตรทั้ง 298 นาย  ไปยังค่ายสวนลดาพันธุ์  ตั้งอยู่ที่วัดเขาบางทราย อำเภอเมือง จังหวัดชลบุรี  โดยอ้างว่าเพื่อไปฝึกภาคสนามสร้างความชำนาญ  แต่ที่จริงค่ายสวนลดาพันธุ์หรือค่ายวัดเขาบางทราย  ได้เตรียมทุกอย่างไว้พร้อมแล้ว  โดยมีอาวุธยุทโธปกรณ์ของกองทัพสหรัฐอเมริกา  ทิ้งร่มลงมาไว้ให้ที่บ้านมาบตาพุด จังหวัดระยอง (สมัยนั้นยังไม่มีโรงงานอุตสาหกรรม  ยังคงเป็นป่าหนาทึบอยู่)  ถูกลำเลียงมาเก็บไว้ที่ค่ายวัดบางทราย  เพื่อรอนักเรียนนายทหารสารวัตรอยู่ก่อนแล้ว[12] 

นอกจากนี้ยังมีนายทหารอเมริกันหลายนายโดดร่มลงมาอยู่ที่ค่ายนี้  โดยมี “พันตรีฟรานซิส” เป็นหัวหน้า  เมื่อนักเรียนนายทหารสารวัตร 298 นายมาถึงค่ายแล้ว  การฝึกรบต่อต้านญี่ปุ่นจึงเริ่มต้นขึ้นอย่างจริงจัง  มีการแยกกำลังออกเป็นหน่วยย่อยๆ  มีครูฝึกทหารอเมริกันรับผิดชอบควบคุมทุกๆ หน่วย  มีการสอนใช้อาวุธทันสมัย  ตลอดจนยุทธวิธีการรบโดยพันตรีฟรานซิสอำนวยการสอนด้วยตัวเอง 

จนถึงกลางเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2488 ญี่ปุ่นได้ประกาศยอมแพ้สงคราม  แต่การฝึกของนักเรียนนายทหารสารวัตรยังคงดำเนินต่อมาจนจบหลักสูตรในเดือนกันยายน พ.ศ. 2488  และได้เข้าร่วมพิธีการสวนสนามของพลพรรคเสรีไทยที่ถนนราชดำเนิน กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2488[13]       

สงครามยุติแล้วก็จริง  แต่สงครามก็ได้ทิ้งความวุ่นวายเหลวแหลกเอาไว้ให้  กล่าวกันว่าทหารญี่ปุ่นบางหน่วยดื้อแพ่งไม่ยอมแพ้ตามพระราชโองการของพระจักรพรรดิ  โจรผู้ร้ายชุกชุมทั่วประเทศ  ชาวจีนส่วนหนึ่งในกรุงเทพฯ ได้ก่อเหตุจลาจลยิงกันกลางเมืองหลวง  นักเรียนนายทหารสารวัตรที่เตรียมไว้รบกับญี่ปุ่น  ก็เลยถูกส่งมารบปราบปรามคนจีนที่ก่อความวุ่นวายนี้แทน  โดยร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ตำรวจและทหาร  ใช้ชื่อว่า “สารวัตรทหารตำรวจผสม” (สห.-ตร.-ผสม)[14]  

บางส่วนก็ทำหน้าที่ประสานงานกับทหารสหประชาชาติที่เข้ามาปลดอาวุธทหารญี่ปุ่นในประเทศไทย  การปราบปรามดำเนินไปจนถึงเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2488  เหตุการณ์จึงสงบ  นักเรียนนายทหารสารวัตรทั้งหมดจึงได้กลับเข้ากรมกอง  และในวันที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2488 นักเรียนนายทหารสารวัตรก็ได้รับพระราชทานยศเป็นว่าที่ร้อยตรี  ทำพิธีประดับยศ ณ กรมสารวัตรทหารเมื่อวันที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2488[15]

หลังจากนั้นนักเรียนทหารสารวัตรกลุ่มนี้ก็ได้สลายตัว  บางส่วนกลับเข้าศึกษาต่อที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย  บางส่วนสมัครเข้ารับราชการเป็นตำรวจ  อีกส่วนเข้ารับราชการกรมศุลกากร  และบางคนก็หันไปประกอบอาชีพส่วนตัว[16] นานทีปีหนจะมีการนัดพบปะสังสรรค์รื้อฟื้นความหลังกัน   

           

(๓) อนุสรณ์สถาน นร. สห. 2488: การเมืองของความทรงจำและกุญแจไขประวัติศาสตร์

หลังสงครามยุติและเหตุการณ์บ้านเมืองสงบ  อดีตนร.สห.2488 ได้รวมตัวกันในนาม “ชมรมนักเรียนสารวัตรทหาร 2488”  เป็นกลุ่มนัดพบปะสังสรรค์  ติดต่อกันมาเป็นเวลาหลายปี  ต่างกรรมต่างวาระ  การประชุมครั้งสำคัญคือการประชุมเรื่องการสร้างอนุสรณ์สถาน นร. สห. 2488  เมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ.2534 เวลา 16.00 น.  ที่ห้องอาหารบ้านครัว ศาลาแดง  พล.อ.ต.กำธน สินธวานนท์ ประธานชมรมฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า  ทางจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้มีหนังสือที่ ทม.0301/1670 ลงวันที่ 30 เมษายน พ.ศ.2534 อนุมัติให้ใช้สถานที่บริเวณจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยจัดสร้างอนุสรณ์สถาน นร. สห. 2488[17] 

หลังจากนั้นก็ได้มีการประชุมหารือกันอีกหลายครั้ง  เพื่อพิจารณารูปแบบของอนุสรณ์สถาน การจัดหาทุน  และทำหนังสือที่ระลึก  บางคนติงทำนองว่าการสร้างอนุสรณ์สถานก็คือการสร้างอนุสาวรีย์ที่เขาสร้างให้คนที่ตายไปแล้ว  บางคนก็ค้านว่าไม่จริงเสมอไป  โดยยกตัวอย่างอนุสาวรีย์ทหารอาสาสงครามโลกครั้งที่ 1[18]  ขณะที่บางท่านเสนอแนวคิดอื่นๆ เพื่อพิจารณาเพิ่มเติม เช่น 1. เสนอให้เรียกว่า “อนุสรณ์สถาน”  2. เสนอให้สร้างห้องสมุดหรือถาวรวัตถุ  3. จัดตั้งกองทุนเก็บดอกผลให้นิสิต  4. ทำที่ระลึกขนาดเล็ก เช่น สวนหย่อม มีก้อนหินสลักประวัติ อนุญาตให้นิสิตนักศึกษา อาจารย์ และคนทั่วไป ได้มาใช้ทำกิจกรรม  พร้อมการจัดตั้งกองทุน  ต่างฝ่ายต่างมีเหตุผลสนับสนุนข้อเสนอของตัวเอง  ล้วนแต่น่ารับฟัง  จึงได้หาข้อยุติโดยวิธีลงคะแนนเสียงเป็นรายบุคคล  ผลของการลงมติตกลงให้ดำเนินการตามแบบที่ 1 3 และ 4[19]  

วัตถุประสงค์สำคัญของการสร้างอนุสรณ์สถาน นร. สห. 2488  จากเอกสารระบุไว้ว่าเพื่อ “เป็นกุญแจไขประวัติศาสตร์ให้คนทั่วไปทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับงานเสรีไทย”[20]   ส่วนหนึ่งเป็นเพราะว่าปัญหาความรับรู้ที่มีต่อขบวนการเสรีไทยในการเมืองไทยหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ถึงทศวรรษ 2500 ถูกมองสัมพันธ์กับการเคลื่อนไหวทางการเมืองของคณะราษฎรสายพลเรือนอันมีนายปรีดี พนมยงค์ เป็นผู้นำ  ในการต่อต้านลัทธิเผด็จการทหารนิยมของฝ่ายจอมพล ป. พิบูลสงคราม[21] 

เมื่อเกิดรัฐประหาร 2490 โดยกลุ่มที่เป็นปรปักษ์กับคณะราษฎรและเสรีไทย  ได้รื้อฟื้นกรณีสวรรคตมาโจมตีฝ่ายปรีดี  ปรีดีกับพวกได้พยายามตอบโต้และแย่งชิงอำนาจคืนมาในเหตุการณ์กบฏวังหลวง เมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2492[22] โดยมีกำลังฝ่ายเสรีไทยและกองพันนาวิกโยธินทหารเรือของ พล ร.ต. ทหาร ขำหิรัญ เป็นผู้สนับสนุน  แต่เพราะขาดการประสานงานที่ดี  อีกทั้ง พล. ร. ท.สินธ์ กมลนาวิน ผู้บัญชาการทหารเรือไม่ได้ให้การสนับสนุน  การก่อรัฐประหารครั้งนี้จึงล้มเหลว  ส่งผลทำให้ขบวนการเสรีไทยถูกกวาดล้างอย่างหนักจากฝั่งรัฐบาล[23]  

จาก “วีรบุรุษสงคราม” ก็มาถูกทำให้กลายเป็น “ผู้ร้าย” ในการเมืองไทยไป  หลายคนจึงปกปิดตัวตนและความเกี่ยวข้องกับขบวนการเสรีไทย  จนเมื่อเวลาล่วงเลยมา  สถานการณ์การเมืองหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 คลี่คลายและผ่านพ้นไปแล้ว  จึงได้มีความพยายามที่จะรื้อฟื้นเรื่องราวของเสรีไทยขึ้นมาใหม่  แรกเริ่มเดิมทีแนวคิดที่จะสร้างอนุสรณ์สถาน นร. สห. 2488 ขึ้นในบริเวณจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยนั้น 

เป็นที่ยอมรับกันในหมู่นร.สห.2488 ว่าพล.ต.ต.หม่อมราชวงศ์ยงสุข กมลาสน์ ประธานชมรมนร.สห.2488 ได้เสนอไว้ตั้งแต่เมื่อ พ.ศ. 2508[24]  แต่มาบรรลุผลใน พ.ศ.2534 ช่วงที่ ศ. นายแพทย์ จรัส สุวรรณมาลา เป็นอธิการบดีจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย  ในการจัดทำหนังสือที่ระลึกควบคู่กับการสร้างอนุสรณ์สถาน นร. สห. 2488  จึงปรากฏความพยายามที่จะตอบโต้และลบล้างข้อหาบิดเบือนต่างๆ  ต่อ นร. สห. และขบวนการเสรีไทย  อันมีสาเหตุมาจากความขัดแย้งระหว่างฝ่ายการเมือง  ดังปรากฏตัวอย่างเช่นในหนังสือ “ประมวลประวัติความเป็นมาและการสร้างอนุสรณ์สถาน นร. สห. 2488” กล่าวถึงเรื่องนี้ไว้ว่า:

“อย่างไรก็ดีในสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งเป็นการกู้ชาติกลับไม่มีอนุสาวรีย์ใดๆ เป็นที่ระลึกเพราะการเมืองในระบอบประชาธิปไตยภายในประเทศ  ทำให้ไม่มีรัฐบาลใดระลึกถึงพฤติกรรมอันนี้  เพราะต่างฝ่ายต่างก็คิดจะยึดอำนาจการปกครองกันก็เลยแลเห็นว่าเรื่องเสรีไทยเป็นเรื่องการเมืองมีกลุ่มการเมืองกลุ่มหนึ่งเป็นผู้ดำเนินการ  ที่น่าเสียใจก็คือแม้แต่วิทยานิพนธ์เพื่อรับปริญญาโทฉบับหนึ่ง  ซึ่งผ่านการพิจารณาของคณะกรรมการและจัดพิมพ์เป็นรูปเล่มไปแล้ว  ก็ยังวิเคราะห์ว่า  เสรีไทยเป็นเรื่องของการเมืองภายในประเทศเท่านั้น

การที่ นร. สห. 2488 ได้คิดจัดสร้างอนุสรณ์สถานขึ้นนี้  ในดวงจิตของ นร. สห. ซึ่งเป็นนิสิตจุฬาฯ ทุกคน  ไม่ได้คิดว่าสร้างขึ้นเพื่อกลุ่ม นร. สห. โดยเฉพาะ  หรือเพื่อยกย่องผู้ใดผู้หนึ่งจะเห็นได้ว่าในบทความนี้ได้พยายามหลีกเลี่ยงชื่อของบุคคลให้มากที่สุด  เว้นแต่ว่าถ้าไม่กล่าวถึงเรื่องก็จะไม่ติดต่อกัน  คงมีชาวจุฬาฯ อีกหลายคนคงไม่ทราบว่าท่านอาจารย์จุฬาฯ ชั้นผู้ใหญ่หลายท่าน  รวมทั้งอธิการบดีในช่วงหลังท่านหนึ่งก็เป็นเสรีไทยด้วย

นร. สห. 2488 ทุกคนมีความเห็นพ้องต้องกันว่า  เมื่อไม่มีองค์กรใดของรัฐคิดจัดสร้างอนุสรณ์เพื่อระลึกถึงผลงานของเสรีไทย  เราจึงพร้อมใจเสียสละทุนทรัพย์ตามแต่กำลังของแต่ละคนจัดสร้างขึ้นเพื่อเป็นกุญแจไขประวัติศาสตร์ที่ถูกต้อง  และขออุทิศอนุสรณ์สถานนี้ให้เป็นที่ระลึกของ “เสรีไทย” ทั้งมวลที่เสียสละเสี่ยงชีวิตเพื่อชาติ  ทั้งผู้ที่มีชีวิตอยู่หรือเสียชีวิตไปแล้ว  และสร้างไว้ในจุฬาฯ  ก็เพื่อให้เป็นเกียรติแก่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยและเป็นเครื่องน้อมระลึกถึงล้นเกล้ารัชกาลที่ 5 และรัชกาลที่ 6 ซึ่งเป็นพระบิดาผู้ก่อกำเนิดจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย  เป็นเครื่องสักการะล้นเกล้าทั้ง 2 พระองค์  ให้พระองค์ท่านได้ทรงทราบด้วยทิพยญาณว่า  นิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย  ซึ่งเปรียบเสมือนลูกของพระองค์ท่านจำนวนหนึ่ง 298 นายได้ยึดถือพระบรมราโชบายจะทำทุกอย่างเพื่อประโยชน์ของชาติไทยแต่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น”[25]

 

(๔) อนุสรณ์สถาน นร. สห. 2488 กับแนวคิดศิลปกรรมตามหลักปรัชญาเซ็น 

อนุสรณ์สถาน นร. สห. 2488 สร้างแล้วเสร็จในพ.ศ.2538  ร.ต.อภัย ผะเดิมชิต สถาปนิกผู้ออกแบบได้อธิบายต่อที่ประชุมคณะกรรมการก่อสร้างอนุสรณ์สถานฯ ว่าได้ออกแบบโดยคำนึงถึงหลักปรัชญาเซ็น  ที่มีสารัตถะว่า  มนุษย์เกิดจากธรรมชาติและจะก้าวหน้าไปอย่างมีประสิทธิผลที่สุดด้วยความร่วมมือกับธรรมชาติ  การผสมกลมกลืนกับธรรมชาติแวดล้อมจึงเป็นเรื่องสำคัญ  แทนที่จะมุ่งเอาชนะกัน  คำสอนเซ็นให้เคารพต่อสรรพสิ่งในธรรมชาติ  ไม่ว่าต้นไม้ ก้อนหิน ลำธาร สระน้ำ ล้วนมีคุณค่าเทียบเท่ามนุษยชาติ  ตลอดจนในงานนิรมิตกรรม อาทิ จิตรกรรม ประติมากรรม สถาปัตยกรรม ภูมิสถาปัตยกรรม มัณฑนศิลป์ นาฏศิลป์ เป็นต้น[26]   

สาระประการสำคัญดังกล่าว หมายถึง การประสานสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับสรรพสิ่งในธรรมชาติ  ให้เป็นเอกภาพ  หรือมนุษย์กับสิ่งแวดล้อม  อนุสรณ์สถาน นร. สห. 2488 เป็นเนรมิตกรรมที่สร้างขึ้นด้วยจุดมุ่งหมายให้เป็นอนุสรณ์  ในวีรกรรมที่ผ่านมาในอดีต  ด้วยความเสียสละ  เพื่อความดำรงอยู่ของเอกราช  ความสงบสุข  และสันติภาพ  อันเป็นความเรียกร้องต้องการของมนุษยชาติ  มิใช่แต่เฉพาะคนไทยเท่านั้น  ความเรียบง่ายของอนุสรณ์สถานฯ มีคุณค่าทั้งในด้านสุนทรียภาพและความเป็นเอกภาพระหว่างอนุสรณ์สถานกับสิ่งแวดล้อม[27] 

อนุสรณ์สถานจึงออกมาในรูปของสัญลักษณ์เรียบง่าย  เป็นก้อนหินตั้งกลางลาน  รายล้อมด้วยแมกไม้  แลดูสงบและร่มรื่น  ไม่มีลักษณะเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์สูงส่ง  ตามแบบสถานที่เพื่อเชื่อมโยงกับโลกศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่เหนือขอบเขตผัสสะของมนุษย์ปุถุชน  การออกแบบอนุสรณ์สถานแห่งนี้โดยคำนึงถึงหลักปรัชญาเซ็น  ซึ่งมีอิทธิพลต่อวิธีคิดและขนบธรรมเนียมของชาวญี่ปุ่น  ยังสะท้อนว่าท้ายสุดแล้วกลุ่มคนที่ให้กำเนิดอนุสรณ์สถานนี้ 

ถึงแม้จะเป็นอดีตทหารต่อต้านญี่ปุ่น  แต่เมื่อสงครามยุติไปแล้วและทุกอย่างคลี่คลายผ่านไปจนกลายเป็นอดีต  พวกเขาก็มีมุมมองแง่บวกต่อวัฒนธรรมของชาวญี่ปุ่น  และคิดคำนึงถึงความเป็นมนุษยชาติ  ข้ามพ้นอคติความขัดแย้งในอดีต  มาสู่การเรียนรู้และสร้างความทรงจำเพื่อการอยู่ร่วมกันในที่สุด  จึงไม่ใช่เพียงอนุสรณ์สถานเพื่อการรำลึกหรือจดจำอดีตที่ผ่านพ้นไปแล้วเท่านั้น  หากยังเป็นอนุสรณ์เพื่อการสร้างสรรค์ต่ออนาคตอีกด้วย

ชาตรี ประกิตนนทการ นักประวัติศาสตร์สถาปัตยกรรมไทย  เสนอว่ามีความเปลี่ยนแปลงในงานสถาปัตยกรรมของไทยที่สืบเนื่องมาจากการเมืองและสังคมภายใน  โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเปลี่ยนแปลงแบบแผนการสร้างสรรค์จากยุคจารีต (สยามเก่า) มาสู่สมัยใหม่ (สยามใหม่-ไทยประยุกต์)[28]  ความเปลี่ยนแปลงข้างต้นส่งผลทำให้ศิลปินผู้สร้าง ผู้ออกแบบ ตลอดจนกลุ่มบุคคลที่เกี่ยวข้อง  มีการคำนึงถึงประเด็นสำคัญ อาทิ บทบาทของสามัญชนในประวัติศาสตร์ 

อนุสรณ์สถานที่สร้างและนำเสนอในช่วงหลังมานี้  จึงมีลักษณะของการนำเสนอหลักปรัชญาที่เป็นนามธรรม  มิได้มุ่งสร้างความศักดิ์สิทธิ์สูงส่งแก่บุคคลผู้ล่วงลับหรือที่ยังอยู่  แต่นั่นมิได้หมายความว่ากลุ่มบุคคลผู้เป็นที่มาของการสร้างอนุสรณ์สถานจะไม่ใช่บุคคลสำคัญในประวัติศาสตร์  เพราะประวัติศาสตร์เองก็มีการเปลี่ยนแปลงความหมาย  จากประวัติศาสตร์ของชนชั้นนำมาสู่เรื่องของประชาชนและสังคมมากขึ้น 

 

(๕) บทสรุปและส่งท้าย

จะเห็นได้ว่า ถึงแม้ว่าการเข้าเป็น “ทหารลับ” ของเสรีไทยโดยกลุ่มนิสิตจุฬาฯ เมื่อพ.ศ.2488 นั้นจะมีที่มาจากความคิดริเริ่มและดำเนินการโดยปรีดี พนมยงค์ และพลเรือตรี สังวร สุวรรณชีพ แต่ก็เป็นไปโดยความสมัครใจของนิสิตจุฬาฯ เหล่านั้นเอง เนื่องจากต่างเล็งเห็นภัยคุกคามของประเทศในช่วงสงคราม และอยากเป็นส่วนหนึ่งของการยุติภัยคุกคามที่ว่านี้นำสันติภาพกลับคืนมา

อีกทั้งยังเป็นการไปเป็นทหารลับที่ได้รับการสนับสนุนช่วยเหลือจากอธิการบดีจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยในสมัยนั้น คือหม่อมเจ้ารัชฎาภิเศก โสณกุล อีกด้วย  ไม่ว่าจะยอมรับหรือไม่ เรื่องของ “นร. สห. 2488” ก็เป็นส่วนหนึ่งในหน้าประวัติศาสตร์ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยไปแล้ว เป็นอีกเรื่องที่สร้างความน่าภาคภูมิใจให้แก่ชาวจามจุรีได้ และเป็นคำตอบที่หลายคนสงสัยใคร่รู้ในประเด็นที่ว่า จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยสมัยเมื่อประเทศเผชิญภัยสงครามมหาเอเชียบูรพานั้นมีบทบาทอย่างไร    

ในส่วนของอนุสรณ์สถาน นร. สห. 2488 ก็นับเป็นสถาปัตยกรรมสำคัญที่สื่อถึงยุคหลัง 2475 อีกที่หนึ่ง การเปลี่ยนผ่านของยุคสมัยมีผลต่อรูปแบบศิลปกรรมของอนุสรณ์สถาน  ลักษณะการนำเสนอ  ตลอดแนวความคิดที่พยายามสื่ออกมา  ทำให้อนุสรณ์สถานมีสภาพเป็น “ภาษา” ที่สื่อความหมายและต้องอาศัยการตีความจึงจะเข้าใจ  จากหลักปรัชญาเซ็นที่ยึดถือความเรียบง่ายและความผสมกลมกลืนกับธรรมชาติ  อนุสรณ์สถาน นร. สห. 2488  จึงไม่มีลักษณะเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ 

อีกทั้งอนุสรณ์สถานยังตั้งใจสร้างเพื่อให้เป็นพื้นที่สำหรับกิจกรรมของคนอื่นๆ  ทั้งนี้อาจเพราะจุฬาฯ มีสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ประจำมหาวิทยาลัยอยู่ก่อนหน้าแล้ว อย่างเช่นลานพระรูปรัชกาลที่ 5 และรัชกาลที่ 6  โดยสาระสำคัญและความมุ่งหมายของอนุสรณ์สถาน นร. สห. 2488 ก็ไม่มีเจตนาที่จะสร้างความเท่าเทียมกับสถานที่ที่มีอยู่เดิม อย่างไรก็ตาม การมีอยู่ของอนุสรณ์สถานแห่งนี้ (แม้จะไม่เป็นที่รู้จักก็ตาม) ก็เป็นสิ่งที่ทำให้จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเป็นมหาวิทยาลัยอันทรงเกียรติที่มีมิติอื่นนอกเหนือไปกว่าความเป็น “มหาวิทยาลัยเจ้า”     

จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยถือกำเนิดขึ้นจากแนวคิดการสร้างรัฐชาติสมัยใหม่ในยุครัชกาลที่ 5  ตลอด 100 ปีที่ผ่านมา  มีความเปลี่ยนแปลงมากมายเกิดขึ้น  โดยสัมพันธ์กับความเปลี่ยนแปลงทางสังคมการเมืองตลอด 100 ปีผ่าน  มีผู้คนมากมายเกี่ยวข้องทั้งโดยตรงและโดยอ้อมกับสถาบันการศึกษาแห่งนี้  อนุสรณ์สถาน นร. สห. 2488 ที่เป็นศิลปกรรมเพื่อรำลึกถึงนิสิตชายจำนวนหนึ่งที่อาสาไปรบ  นับเป็นเรื่องราวอันมีสีสันของประชาคมในสถาบันแห่งหนึ่ง  ที่ไม่ค่อยพูดถึงกันเท่าไรนัก 

หากสังเกตให้ดีจะพบว่าจำนวนนิสิตชายจุฬาในครั้งนั้นที่มีทั้งหมดราว 300-400 คนนั้น  การเข้าร่วมเสรีไทยของนิสิต  ถึงแม้จะขึ้นกับความยินยอมและเป็นการตัดสินใจของนิสิตแต่ละคน  แต่จำนวนกว่า 298 คนนั้นถือเป็นจำนวนกว่า 3 ใน 4 ของนิสิตจุฬาขณะนั้น  อีกทั้งการที่อธิการบดียังได้อนุมัติเงินรายได้จำนวนหนึ่งเพื่อเบิกจ่ายเป็นเบี้ยเลี้ยงแก่นิสิตที่เข้าร่วมเสรีไทย  ก็กล่าวได้ว่าจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยขณะนั้นได้มีส่วนร่วมกับขบวนการเสรีไทยอย่างเต็มที่ 

แต่เพราะการเมืองที่มุ่งโจมตีตัวบุคคลและกลุ่มขบวนการ  ทำให้เรื่องราวถูกบิดเบือนไป  จากวีรบุรุษสงคราม  ซึ่งต่างก็อ่อนน้อมถ่อมตน  กลับถูกทำให้กลายเป็นผู้ร้ายของการเมืองไทย  การสร้างอนุสรณ์สถานจึงเป็นเหมือนการสร้างหมุดหมายใหม่ให้แก่ขบวนการเสรีไทยในพื้นที่ประวัติศาสตร์  ถือเป็นเกียรติแก่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยที่ครั้งหนึ่งได้มีส่วนต่อการสร้างสรรค์เอกราช อธิปไตย และสันติภาพตามหลักสากลในสังคมไทย       

 

เชิงอรรถ


* หมายเหตุ : บทความนี้ ปรับปรุงจาก กำพล จำปาพันธ์. “อนุสรณ์สถานกับความทรงจำ: นร.สห. 2488 เสรีไทยสายนิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย” ศิลปวัฒนธรรม. ปีที่ 38 ฉบับที่ 5 (มีนาคม 2560).

[1] ประมวลประวัติความเป็นมาและการสร้างอนุสรณ์สถาน นร. สห. 2488 (นิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย). (กรุงเทพฯ: ไม่ระบุโรงพิมพ์, 2538), หน้า 15.

[2] เรื่องเดียวกัน, หน้า 5.

[3] เรื่องเดียวกัน, หน้า 4-5.

[4] หนังสือเวียนที่ 29/2488 คณะพาณิชยศาสตร์และบัญชีเรื่องต้องการพบด่วน (ลงวันที่ 5 มีนาคม พ.ศ.2488).

[5] ประมวลประวัติความเป็นมาและการสร้างอนุสรณ์สถาน นร. สห. 2488, หน้า 6.

[6] อนุสรณ์ นร. สห. 2488. (กรุงเทพฯ: อัมรินทร์, 2537), หน้า 28.  

[7] ดูรายชื่อทั้ง 298 คนได้จาก กระทรวงกลาโหม คำสั่งทหารที่ 300/14693 เรื่องให้นักเรียนนายทหารสารวัตรเป็นนายทหาร (ลงวันที่ 15 ธันวาคม พ.ศ.2488); ประมวลประวัติความเป็นมาและการสร้างอนุสรณ์สถาน นร. สห. 2488, หน้า 36-55.

[8] เรื่องเดียวกัน, หน้า 6.

[9] อนุสรณ์ นร. สห. 2488, หน้า 23.

[10] ภายหลังจากที่ญี่ปุ่นขึ้นบกที่ประเทศไทยเมื่อวันที่ 8 ธันวาคม พ.ศ.2484 และรัฐบาลไทยได้ทำความตกลงยินยอมให้ญี่ปุ่นเดินทัพผ่านประเทศไทย  โดยทำ “สนธิสัญญาพันธมิตรระหว่างไทยกับญี่ปุ่น” แล้ว เมื่อวันที่ 21 ธันวาคม พ.ศ.2484  ได้มีการจัดตั้งคณะกรรมการผสมขึ้นมาชุดหนึ่ง  ทำหน้าที่ติดต่อประสานความร่วมมือระหว่างไทยกับญี่ปุ่น  ต่อมาวันที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2486 นายพลนากามูระได้ย้ายเข้ามาดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการทหารสูงสุดในไทย  ก็ได้เปลี่ยนชื่อเรียกกองทหารญี่ปุ่นประจำประเทศไทยว่า “กองทัพงิ” หรือ “หน่วยงิ” ( “งิ” แปลว่า “ความชอบธรรม”) โดยมีกองบัญชาการตั้งอยู่ที่สมาคมพ่อค้าชาวจีนแห่งประเทศไทยที่ถนนสาธรใต้  ฝ่ายไทยก็ได้เปลี่ยน “กองอำนวยการคณะกรรมการผสม” มาเป็น “กรมประสานงานพันธมิตร” เมื่อวันที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2486 ดูรายละเอียดใน โยชิกาว่า โทชิฮารุ. “หน่วยงิ (กองทัพญี่ปุ่นประจำประเทศไทย) กับการจัดซื้อข้าวในประเทศไทย” แปลโดย อาทร ฟุ้งธรรมสาร, วารสารญี่ปุ่นศึกษา. ปีที่ 17 ฉบับที่ 1 (2001), หน้า 47-62.

[11] อนุสรณ์ นร. สห. 2488, หน้า 28.

[12] เรื่องเดียวกัน.

[13] ประมวลประวัติความเป็นมาและการสร้างอนุสรณ์สถาน นร. สห. 2488, หน้า 15.

[14] เรื่องเดียวกัน.

[15] กระทรวงกลาโหม คำสั่งทหารที่ 300/14693 เรื่องให้นักเรียนนายทหารสารวัตรเป็นนายทหาร (ลงวันที่ 15 ธันวาคม พ.ศ.2488).

[16]ประมวลประวัติความเป็นมาและการสร้างอนุสรณ์สถาน นร. สห. 2488, หน้า 15.

[17] เรื่องเดียวกัน, หน้า 175.

[18] อนุสาวรีย์ทหารอาสาสงครามโลกครั้งที่ 1 สร้างสมัยรัชกาลที่ 6  ตั้งอยู่ที่สนามหลวงฝั่งตรงข้ามพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระนคร  ออกแบบโดยสมเด็จฯ กรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์  เป็นรูปแบบผสมเจดีย์สุโขทัยและอยุธยา 

[19] อนุสรณ์ นร. สห. 2488, หน้า 176.

[20] ประมวลประวัติความเป็นมาและการสร้างอนุสรณ์สถาน นร. สห. 2488, หน้า 17.

[21] สรศักดิ์ งามขจรกุลกิจ. ขบวนการเสรีไทยกับความขัดแย้งทางการเมืองภายในประเทศระหว่าง พ.ศ.2481-2492. กรุงเทพฯ: สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2535. 

[22] ประทีป สายเสน. กบฏวังหลวงกับสถานะของปรีดี พนมยงค์. กรุงเทพฯ: อักษรสาส์น, 2532.

[23] สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ. สายธารประวัติศาสตร์ประชาธิปไตยไทย. (กรุงเทพฯ: พีเพรส, 2551), หน้า 70.

[24] อนุสรณ์ นร. สห. 2488, หน้า 31. 

[25] ประมวลประวัติความเป็นมาและการสร้างอนุสรณ์สถาน นร. สห. 2488, หน้า 18-19.

[26] อนุสรณ์ นร. สห. 2488, หน้า 32. 

[27] เรื่องเดียวกัน.

[28] ชาตรี ประกิตนนทการ. การเมืองและสังคมในศิลปะสถาปัตยกรรม สยามสมัย ไทยประยุกต์ ชาตินิยม. กรุงเทพฯ: มติชน, 2550.