ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก
แนวคิด-ปรัชญา

“คำเตือนสติผู้รักชาติ”: บทเรียนจากสงครามเย็น สู่สันติภาพเชิงรุก

6
มิถุนายน
2568

บทนำ

ในช่วงปลายของสงครามเย็น เมื่อสงครามเวียดนามใกล้ถึงจุดสิ้นสุด ประเทศไทยตกอยู่ในสถานการณ์ทางการเมืองระหว่างประเทศที่ซับซ้อน หนึ่งในประเด็นสำคัญคือ “สถานะสงครามโดยไม่ประกาศสงคราม” (Undeclared State of War) ระหว่างไทยกับสาธารณรัฐประชาธิปไตยเวียดนาม (เวียดนามเหนือ) แม้รัฐบาลไทยไม่เคยประกาศสงครามอย่างเป็นทางการ แต่ในทางปฏิบัติกลับมีบทบาทลึกซึ้งต่อความขัดแย้ง โดยเฉพาะการอนุญาตให้สหรัฐอเมริกาใช้แผ่นดินไทยเป็นฐานทัพในการโจมตีทางอากาศ และการส่งทหารไทยเข้าร่วมรบในสมรภูมิอินโดจีน

การมีส่วนร่วมในลักษณะเช่นนี้ ก่อให้เกิดข้อถกเถียงด้านอธิปไตย เอกราช และกฎหมายระหว่างประเทศ ทั้งในแง่สิทธิในการป้องกันตนเอง และพันธกรณีตามกฎบัตรสหประชาชาติ ขณะเดียวกัน เหตุการณ์ในช่วงเวลาดังกล่าว ได้ก่อให้เกิดบทเรียนสำคัญเกี่ยวกับการใช้สันติวิธีในการคลี่คลายความขัดแย้ง ซึ่งสอดคล้องกับข้อเสนอของนายปรีดี พนมยงค์ ในข้อเขียนเรื่อง “คำเตือนสติผู้รักชาติ” (พ.ศ. 2516) ที่สะท้อนความพยายามในการรักษาเอกราชของชาติท่ามกลางแรงกดดันจากมหาอำนาจ

บทความนี้มุ่งอธิบายแนวคิด “สงครามโดยไม่ประกาศ” โดยอาศัยข้อเขียนของนายปรีดีเป็นแกนกลาง วิเคราะห์ผลกระทบต่ออธิปไตยของไทยในเชิงกฎหมายระหว่างประเทศ ตลอดจนทบทวนบทเรียนจากความพยายามเจรจาสันติวิธีในยุคนั้น และเชื่อมโยงกับสถานการณ์ร่วมสมัย อาทิ ข้อพิพาทชายแดนไทย–กัมพูชา พร้อมเสนอแนวทางสร้างสันติภาพเชิงรุก ตามแนวคิดของปรีดี พนมยงค์ ซึ่งยังคงร่วมสมัยและทรงคุณค่าต่อการกำหนดนโยบายระหว่างประเทศในปัจจุบัน

 

ไทยกับเวียดนามเหนือในสงครามเย็น: สถานะสงครามโดยไม่ประกาศ

 


นักศึกษาเวียดนามใต้ประท้วงขับไล่อเมริกัน

 

สงครามเวียดนามในทศวรรษ 1960–1970 เป็นส่วนหนึ่งของความขัดแย้งระดับโลกในยุคสงครามเย็น โดยมีมหาอำนาจอย่างสหรัฐอเมริกาและสหภาพโซเวียตเข้าไปมีบทบาทโดยตรง: สหรัฐฯ ให้การสนับสนุนเวียดนามใต้ในการต่อต้านเวียดนามเหนือและขบวนการคอมมิวนิสต์ ขณะที่ประเทศไทยในได้เข้าร่วมฝักฝ่ายกับสหรัฐฯ อย่างแนบแน่น จนตกอยู่ในภาวะ “สงครามโดยไม่ประกาศ” กับเวียดนามเหนือโดยปริยาย

ไทยอนุญาตให้กองทัพสหรัฐฯ ใช้สนามบินและฐานทัพในประเทศ เป็นจุดปฏิบัติการทางทหารในอินโดจีน โดยมีข้อมูลระบุว่า ระหว่างปี พ.ศ. 2508–2511 ราวสามในสี่ของระเบิดที่ทิ้งลงในเวียดนามเหนือและลาว ถูกปล่อยจากฐานทัพสหรัฐฯ ที่ตั้งอยู่บนแผ่นดินไทย

ในขณะเดียวกัน มีทหารไทยประมาณ 11,000 นาย ถูกส่งไปร่วมรบในเวียดนามใต้ และยังมีทหารอีกจำนวนมากถูกส่งไปปฏิบัติการในลาวในฐานะ “ทหารรับจ้าง” เพื่อสนับสนุนแนวรบฝ่ายสหรัฐฯ และประเทศพันธมิตร กองทัพสหรัฐฯ เองเคยมีทหารประจำการในไทยสูงสุดถึง 45,000 นายในปี พ.ศ. 2512 เพื่อภารกิจดังกล่าว

สถานการณ์เหล่านี้สะท้อนอย่างชัดเจนว่า แม้รัฐบาลไทยจะไม่ได้ประกาศสงครามอย่างเป็นทางการกับเวียดนามเหนือ แต่ก็มีการกระทำทางทหารในลักษณะของ “สถานะสงครามโดยปริยาย” ซึ่งเป็นที่รับรู้กันทั้งในระดับภายในและระหว่างประเทศ[1]

การตกอยู่ในสถานะเช่นนี้ทำให้ไทยกลายเป็นคู่ขัดแย้งโดยพฤตินัยกับเวียดนามเหนือ แม้จะไม่มีเอกสารประกาศสงครามรองรับ นักกฎหมายและนักการทูตระหว่างประเทศจำนวนมากเห็นตรงกันว่า การกระทำอันเป็นปฏิปักษ์ (hostilité) ระหว่างรัฐ ย่อมถือเป็นภาวะสงครามตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศ

ดังที่นายปรีดี พนมยงค์ระบุไว้ว่า

“ผู้ที่ใช้สามัญสำนึกจากรูปธรรมที่ประจักษ์ และผู้รู้กฎหมายระหว่างประเทศ… ย่อมรู้จากรูปธรรมที่ประจักษ์ว่า ได้มี ‘hostilité’ อันเป็นสถานะสงครามโดยไม่ประกาศสงครามกับสาธารณรัฐประชาธิปไตยเวียดนาม”

กล่าวอีกนัยหนึ่ง แม้ไทยจะมิได้ออกประกาศสงครามอย่างเป็นทางการ แต่การที่รัฐไทยยินยอมให้ใช้แผ่นดินเป็นฐานทัพโจมตีเวียดนามเหนือ รวมถึงการมีทหารไทยเข้าร่วมในปฏิบัติการรบในภูมิภาค ก็เท่ากับเป็นการเข้าสู่สถานะสงครามแล้วตามข้อเท็จจริงและหลักกฎหมายสากล

 

“คำเตือนสติผู้รักชาติ” ของปรีดี: หยุดสงครามที่ไม่ประกาศ เพื่อเอกราชของไทย

“ข้าพเจ้าเตือนเพื่อนไทยหลายคนว่า เราควรนึกถึงอกเขาอกเรา—เราคนไทยยังจดจำความเจ็บปวดจากการเสียกรุงศรีอยุธยา แม้จะผ่านมาแล้วกว่า 100 ปี แล้วราษฎรชาติอื่นที่บ้านเมืองถูกทำลายโดยเครื่องบินที่บินออกจากฐานทัพในประเทศไทย จะไม่มีความรู้สึกใดเลยหรือ?”

— ปรีดี พนมยงค์, คำเตือนสติผู้รักชาติ, 2516.

 

ท่ามกลางบรรยากาศของสงครามเย็น และการที่ประเทศไทยเข้าไปพัวพันกับความขัดแย้งในอินโดจีน นายปรีดี พนมยงค์ ซึ่งลี้ภัยการเมืองอยู่ต่างประเทศ ได้เขียนบทความเรื่อง “คำเตือนสติผู้รักชาติ” เมื่อปี พ.ศ. 2516 เพื่อส่งสัญญาณเตือนรัฐบาลและประชาชนไทยให้ตระหนักถึงอันตรายของสถานะสงครามที่กำลังดำเนินอยู่โดยปราศจากการประกาศอย่างเป็นทางการ

นายปรีดีชี้ให้เห็นว่า การดำรงอยู่ในภาวะ “สงครามโดยไม่ประกาศ” กับเวียดนามเหนือ มิได้เพียงละเมิดหลักการของเอกราช หากแต่ยังบั่นทอนจิตใจของประชาชนทั้งสองชาติ และอาจทิ้งรอยแผลที่ยากจะเยียวยา หากปล่อยให้ยืดเยื้อต่อไป ท่านย้ำว่า ไทยควรรีบยุติสถานะสงครามดังกล่าวโดยเร็วที่สุด เพื่อประโยชน์ของชาติและประชาชน พร้อมเรียกร้องให้ผู้มีหน้าที่รับผิดชอบชะตากรรมของประเทศ ใช้โอกาสนี้ดำเนินการอย่างถูกต้องและชัดเจน เพื่อนำพาไทยออกจากสภาวะที่สุ่มเสี่ยงต่อการเป็นคู่สงครามโดยปริยาย

ในบทความนี้ นายปรีดีแสดงความห่วงใยว่าหากปล่อยให้ผลประโยชน์เฉพาะกลุ่ม เช่น ธุรกิจอาวุธ หรือผู้ที่พึ่งพาการสนับสนุนจากสหรัฐฯ กลายเป็นแรงขับเคลื่อนนโยบายของชาติ ย่อมเป็นภัยต่อผลประโยชน์ส่วนรวมอย่างยิ่ง เขาเตือนว่า “ทุกคนต้องยกประโยชน์สำคัญของชาติเหนือการค้าหากำไร” พร้อมเรียกร้องให้สังคมไทยตระหนักว่า การคงสถานะสงครามโดยไม่ประกาศจะยิ่งเพิ่มความเสี่ยง หากความขัดแย้งขยายตัวจนลุกลามถึงแผ่นดินไทย

ขณะเดียวกัน ปรีดียังตั้งคำถามสำคัญว่า ประเทศไทยสามารถฝากความหวังไว้กับมหาอำนาจ เช่น สหรัฐอเมริกา ได้มากเพียงใด เมื่อปรากฏอย่างชัดเจนว่าสหรัฐฯ ถอนตัวจากเวียดนามใต้อย่างกะทันหันเมื่อสถานการณ์ไม่เป็นใจ ท่านจึงเตือนว่า อย่าหวังพึ่งต่างชาติจนเกินไป เพราะมหาอำนาจย่อมมุ่งรักษาผลประโยชน์ของตนเป็นหลัก เมื่อผลประโยชน์นั้นเปลี่ยนไป ไทยก็อาจถูกทอดทิ้ง เช่นเดียวกับที่เวียดนามใต้เคยประสบมาแล้ว

นอกจากมิติด้านภูมิรัฐศาสตร์ นายปรีดียังเสนอแง่มุมด้านมนุษยธรรมและความทรงจำทางประวัติศาสตร์ โดยยกตัวอย่างว่า คนไทยยังจดจำความเจ็บปวดจากการเสียกรุงศรีอยุธยา (พ.ศ. 2310) ซึ่งถูกบ่มเพาะความรู้สึกเจ็บแค้นต่อพม่ามาอย่างยาวนาน กระทั่งเริ่มคลี่คลายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 ที่ผู้คนเริ่มเข้าใจว่า ความขัดแย้งในอดีตเป็นเรื่องของชนชั้นปกครอง หาใช่ความผิดของประชาชนพม่าทั้งมวลไม่

จากบทเรียนในประวัติศาสตร์ไทย ปรีดีจึงชี้ให้เห็นว่า ประชาชนเวียดนามและลาวซึ่งเคยถูกทิ้งระเบิดจากเครื่องบินที่บินขึ้นจากฐานทัพในไทย ก็ย่อมมีบาดแผลในใจไม่ต่างกัน ความสูญเสียเหล่านั้น ไม่ว่าจะเกิดจากกองทัพสหรัฐฯ หรือการสนับสนุนจากรัฐบาลไทย ย่อมกลายเป็นความทรงจำทางประวัติศาสตร์ที่ยากลบเลือน และอาจส่งผลต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในระยะยาว

ปรีดีเปรียบเปรยอย่างรุนแรงว่าการกระทำของรัฐบาลไทยในขณะนั้นไม่ต่างจาก “นักเลงชั้นเลวที่ตีหัวคนอื่นแล้ววิ่งเข้าบ้าน” โดยแสร้งทำเป็นว่าไม่มีความผิดเพราะไม่มีการประกาศสงคราม ทั้งที่ในความเป็นจริง ได้มีส่วนร่วมในการใช้กำลังอย่างชัดเจน ความคิดเช่นนี้ เขาชี้ว่าเป็นความหลอกตัวเอง เพราะฝ่ายที่ได้รับความเสียหายย่อมไม่ยอมให้เรื่องจบลงอย่างเงียบเชียบ และประเทศไทยอาจต้องเผชิญผลกระทบทางการเมืองและกฎหมายในภายหลัง ดังเช่นที่เคยเกิดขึ้นหลังสงครามโลกครั้งที่ 2

 

“เมื่อมีสถานะสงครามแล้ว ก็ไม่อาจคิดว่าเรื่องจะหายไปเองดั่งกลีบเมฆ เพราะผู้ที่ถูกตี—ไม่ว่าหัวหรือแผ่นดิน—ย่อมไม่ยอมความโดยง่าย อาจฟ้องร้องเรียกค่าเสียหาย หรือโต้ตอบด้วยกำลัง ดังนั้น ผู้มีหน้าที่รับผิดชอบต่อบ้านเมืองของชาติไทย ต้องใคร่ครวญอย่างจริงจังว่า การยุติสถานะสงครามกับสาธารณรัฐประชาธิปไตยเวียดนามจะต้องทำอย่างไร”

— ปรีดี พนมยงค์, คำเตือนสติผู้รักชาติ, 2516.

 

มุมมองกฎหมายระหว่างประเทศ: บทเรียนจากสงครามโลกครั้งที่ 2

นายปรีดี พนมยงค์ ได้หยิบยกกรณีประเทศไทยในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 มาเป็นบทเรียนสำคัญ เพื่อชี้ให้เห็นผลลัพธ์ทางกฎหมายระหว่างประเทศจากการ “ประกาศ” หรือ “ไม่ประกาศ” สงครามอย่างชัดเจน

ในช่วงสงคราม รัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม ได้ประกาศสงครามกับสหรัฐอเมริกาและอังกฤษ แต่ไม่ได้ประกาศสงครามกับจีนและฝรั่งเศส ซึ่งแม้จะอยู่ฝ่ายสัมพันธมิตรเช่นกัน ผลที่ตามมาคือ หลังสงครามยุติ ประเทศไทยกลับต้องเผชิญภาวะที่รัฐเหล่านั้น ได้แก่ จีน ฝรั่งเศส และสหภาพโซเวียต ยังไม่ยอม “เลิกสถานะสงคราม” กับไทยโดยง่าย การฟื้นฟูความสัมพันธ์จึงไม่อาจเกิดขึ้นได้ทันที

การยุติสถานะสงครามกับชาติเหล่านั้นจำเป็นต้องอาศัยความพยายามทางการทูตอย่างยาวนาน ทั้งจากขบวนการเสรีไทยและรัฐบาลไทยชุดหลังสงคราม เพื่อให้ประเทศเหล่านั้นยอมรับรองสถานะทางการเมืองของไทย และประกาศยุติสถานะสงครามอย่างเป็นทางการเสียก่อน ความสำเร็จในกระบวนการนี้มีบทบาทสำคัญที่ทำให้ไทยสามารถกลับเข้าสู่ประชาคมโลก และได้รับการรับรองเข้าเป็นสมาชิกสหประชาชาติในเวลาต่อมา

กรณีดังกล่าวแสดงให้เห็นว่า แม้การประกาศสงครามอาจถูกยกเลิกในภายหลัง (เช่น กรณีไทยประกาศโมฆะการประกาศสงครามกับสหรัฐฯ และอังกฤษ) แต่ “สถานะสงคราม” ที่ได้เกิดขึ้นแล้วกับประเทศอื่นๆ แม้ไม่มีประกาศอย่างเป็นทางการ ก็ไม่สิ้นสุดโดยง่าย ไทยยังคงต้องดำเนินการทางการทูตให้ประเทศเหล่านั้นยอมรับและประกาศยุติสถานะดังกล่าวโดยชัดแจ้ง มิเช่นนั้น ประเทศไทยจะตกอยู่ในสภาวะ “กึ่งสงคราม” ซึ่งส่งผลกระทบต่อสถานะทางการเมืองและการยอมรับในเวทีระหว่างประเทศ

บทเรียนจากสงครามโลกครั้งที่ 2 นี้ สอดคล้องกับสถานการณ์ในช่วงสงครามเย็นที่ประเทศไทยกำลังเผชิญอยู่ นายปรีดีเสนอว่า รัฐบาลไทยควรฉวยโอกาสที่เวียดนามเหนือเริ่มแสดงท่าทีประนีประนอม โดยแยกแยะระหว่าง “ประชาชนไทยส่วนใหญ่” กับ “คนส่วนน้อยที่ร่วมมือกับจักรวรรดินิยมผู้รุกราน” และรีบดำเนินการเพื่อยุติสถานะสงครามกับเวียดนามเหนือโดยเร็วที่สุด

การดำเนินการดังกล่าวจะเป็นผลดีต่อประเทศในระยะยาว เพราะหากปล่อยให้ความขัดแย้งยืดเยื้อหรือขยายวง ประเทศไทยอาจต้องเผชิญความยุ่งยากในการฟื้นฟูความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้านหลังสงคราม ดังเช่นที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วในอดีต[2]

 

ความพยายามทางการทูตและสันติวิธีในยุคสงครามเย็น

 

ราวปี พ.ศ. 2513 (1970) นายซวน ถวี (Xuan Thuy) อดีตรัฐมนตรีต่างประเทศและหัวหน้าคณะเจรจาสันติภาพเวียดนามเหนือ เข้าเยี่ยม นายปรีดี พนมยงค์ ณ บ้านอองโตนี ชานกรุงปารีส พร้อมคณะผู้แทนเวียดนาม เพื่อแสดงมุทิตาจิตและกระชับสัมพันธ์ระหว่างผู้นำผู้ยืนหยัดในอุดมการณ์เอกราชและสันติภาพ

 

ข้อเขียนของปรีดี พนมยงค์ สะท้อนให้เห็นว่า ไทยยังมีทางเลือกในการหลีกเลี่ยงภัยสงคราม หากหันมาใช้ความพยายามทางการทูตและแนวทางสันติวิธีอย่างจริงจัง

ในช่วงต้นทศวรรษ 1970 สถานการณ์เริ่มเอื้ออำนวยต่อการเจรจามากขึ้น เมื่อสหรัฐอเมริกาเริ่มถอนตัวจากอินโดจีนภายหลังการลงนามในข้อตกลงสันติภาพปารีส ปี 1973 ขณะเดียวกัน ภายในประเทศไทยก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองครั้งสำคัญจากเหตุการณ์ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2516 นำไปสู่การจัดตั้งรัฐบาลพลเรือนที่มีแนวคิดเสรีมากขึ้น

รัฐบาลชุดใหม่ในปี 2516 พยายามปรับนโยบายต่างประเทศให้มีความเป็นกลางมากขึ้น โดยเสนอแนวทางถอนทหารสหรัฐฯ ออกจากไทยและยุติบทบาทของไทยในสงครามอินโดจีน ส่งผลให้เกิด “โอกาสแห่งการปรองดอง” กับเวียดนามเหนือในช่วงเวลาสั้น ๆ เวียดนามเหนือเองแสดงท่าทีตอบรับ โดยส่งผู้แทนมาเจรจาที่กรุงเทพฯ แม้การเจรจาครั้งนั้นจะไม่บรรลุผลเป็นรูปธรรม เนื่องจากปัจจัยภายในทางการเมืองของไทยยังไม่ลงตัว แต่เหตุการณ์นี้สะท้อนว่า ความขัดแย้งสามารถคลี่คลายได้ หากทั้งสองฝ่ายมีความจริงใจต่อสันติภาพ

 

“เวียดนามได้แสดงจุดยืนหยัดของฝ่ายเขาว่า ตั้งอยู่บนรากฐาน ‘มิตรภาพอันเป็นประเพณีระหว่างราษฎรเวียดนามกับราษฎรไทย’ และหลักห้าประการแห่งการคงอยู่อย่างสันติ (ระหว่างประเทศที่มีระบบสังคมต่างกัน) น่าเสียดายที่รัฐบาลไทยและผู้เกี่ยวข้องไม่สนใจในท่วงท่าอันดี ซึ่งเกี่ยวแก่ประโยชน์สูงสุดของประเทศชาติ”

— ปรีดี พนมยงค์, คำเตือนสติผู้รักชาติ (2516)

 

อย่างไรก็ตาม นายปรีดียังได้สะท้อนถึงอุปสรรคที่มักถูกมองข้ามในทางการทูต เช่น การใช้ภาษาที่ไม่ให้เกียรติคู่เจรจา โดยเฉพาะการใช้คำอย่าง “ญวน” หรือ “ฮานอย” แทน “สาธารณรัฐประชาธิปไตยเวียดนาม” ซึ่งเป็นชื่อทางการที่ประเทศนั้นใช้เองในการเจรจา ท่านวิจารณ์ว่า ข้อผิดพลาดทางวัจนกรรมเช่นนี้ แม้ดูเหมือนเล็กน้อยในสายตาฝ่ายไทย แต่อาจถูกมองว่าเป็นการลดทอนความชอบธรรมของรัฐนั้นในสายตาคู่เจรจา ส่งผลให้การเจรจาไม่คืบหน้า และสูญเสียโอกาสสำคัญในการฟื้นฟูความสัมพันธ์อย่างจริงใจ

ในบันทึกความทรงจำของนายปรีดี (Ma vie mouvementée…) ได้กล่าวถึงเหตุการณ์ช่วงกลางปี 2516 ว่า มีคณะผู้แทนไทย ซึ่งได้รับความเห็นชอบจากรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีมหาดไทยในรัฐบาลก่อน 14 ตุลาคม เดินทางไปพบปรีดีถึงต่างประเทศ เพื่อขอให้ท่านช่วยเป็นคนกลางเจรจากับเอกอัครราชทูตเวียดนามเหนือประจำจีน เรื่องการส่งผู้อพยพชาวเวียดนามกลับภูมิลำเนาเดิม[3]

นายปรีดีจึงใช้โอกาสนี้เสนอแนวคิดต่อรัฐบาลไทยว่า ประเทศกำลังตกอยู่ในสถานะ “สงครามโดยไม่ประกาศ” และควรเร่งหาทางยุติสถานะดังกล่าวโดยเร็วเพื่อประโยชน์ของชาติ การติดต่ออย่างไม่เป็นทางการครั้งนี้สะท้อนว่า ผู้นำไทยบางส่วนเริ่มตระหนักถึงปัญหา และมองหาช่องทางคลี่คลายความขัดแย้งผ่านสันติวิธี

หลังสงครามเวียดนามยุติลงในปี 2518 และเวียดนามรวมประเทศเป็นหนึ่งเดียว ความสัมพันธ์ไทย–เวียดนามยังคงตึงเครียดจากความแตกต่างทางอุดมการณ์ อย่างไรก็ตาม ก็มีความพยายามฟื้นฟูความสัมพันธ์ขึ้นใหม่ เช่น การเจรจาในเดือนสิงหาคม 2519 ที่ทั้งสองฝ่ายตกลงในหลักการที่จะแลกเปลี่ยนเอกอัครราชทูตและเปิดการค้าระหว่างกัน แต่ความพยายามนี้สะดุดลงเมื่อเกิด “รัฐประหาร 6 ตุลาคม 2519” ซึ่งนำไปสู่รัฐบาลที่มีจุดยืนต่อต้านคอมมิวนิสต์อย่างแข็งกร้าว ความสัมพันธ์ที่เริ่มฟื้นจึงชะงักลงทันที

แม้ต่อมาในปี 2520 จะมีการพบปะเจรจาระหว่างตัวแทนจากไทย เวียดนาม และลาว เพื่อรื้อฟื้นความร่วมมือในโครงการพัฒนาลุ่มแม่น้ำโขง แต่สถานการณ์ระดับภูมิภาคกลับเปลี่ยนไปอีกครั้ง เมื่อเวียดนามบุกกัมพูชาในช่วงปลายปี 2521 เพื่อโค่นอำนาจเขมรแดง ไทยตอบสนองต่อสถานการณ์นี้ด้วยการจับมือกับจีน สนับสนุนกองกำลังเขมรแดงที่ถอยร่นเข้ามาในเขตชายแดนไทย และกลายเป็นพันธมิตรสำคัญของจีนในการต่อต้านเวียดนาม โดยให้ที่พักพิงแก่กลุ่มต่อต้านเวียดนามในกัมพูชา สถานการณ์นำไปสู่การเผชิญหน้าระหว่างกองทัพไทยและเวียดนามตามแนวชายแดนไทย–กัมพูชา ซึ่งรวมถึงการยิงปืนใหญ่ข้ามแดนบ่อยครั้งในช่วงทศวรรษ 1980

กล่าวได้ว่า ในช่วงสงครามเย็น ปัจจัยที่เป็นอุปสรรคสำคัญต่อการสร้างสันติภาพระหว่างไทยกับเพื่อนบ้านคือ ความขัดแย้งตัวแทนของมหาอำนาจ (proxy war) ที่ยืดเยื้อจากกรณีหนึ่งไปสู่อีกกรณีหนึ่ง

แม้ไทยจะไม่ได้ประกาศสงครามอย่างเป็นทางการกับเวียดนาม แต่ความขัดแย้งเหล่านี้คือ “สงครามตัวแทน” โดยแท้ ซึ่งสะท้อนบทเรียนสำคัญที่นายปรีดีเคยเตือนไว้ว่า ประเทศไทยไม่ควรตกเป็นเครื่องมือของความขัดแย้งระหว่างมหาอำนาจ หากแต่ควรรักษาดุลยภาพและผลประโยชน์ของตนเป็นที่ตั้ง

ท้ายที่สุด ความขัดแย้งไทย–เวียดนาม–กัมพูชาในทศวรรษ 1980 ก็สิ้นสุดลงด้วยกระบวนการสันติภาพในช่วงปลายสงครามเย็น เมื่อมหาอำนาจยุติการแข่งขันและภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้หันมาให้ความสำคัญกับความร่วมมือ กรณีความขัดแย้งในกัมพูชาจบลงด้วยการเจรจาจัดตั้งรัฐบาลเฉพาะกาล และการเลือกตั้งภายใต้การสนับสนุนของสหประชาชาติในความตกลงสันติภาพปารีส ปี 1991 ซึ่งไทยมีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนกระบวนการดังกล่าว

กรณีนี้ชี้ให้เห็นว่า แม้ความขัดแย้งจะยืดเยื้อเพียงใด ประเทศไทยและประเทศเพื่อนบ้านก็สามารถหวนคืนสู่ความสัมพันธ์ฉันมิตรได้ ด้วยแนวทางสันติวิธี ดังจะเห็นได้จากความร่วมมือรอบด้านระหว่างไทยกับเวียดนามในปัจจุบัน ซึ่งเกือบลืมเลือนความบาดหมางในอดีตไปอย่างสิ้นเชิง

 

สร้างสันติภาพเชิงรุกตามแนวคิดปรีดี พนมยงค์

ประสบการณ์จากยุคสงครามเย็น ตลอดจนสถานการณ์ชายแดนไทย–กัมพูชาในปัจจุบัน ได้มอบบทเรียนสำคัญแก่ประเทศไทยในการกำหนดนโยบายต่างประเทศและความมั่นคงแห่งชาติในระยะยาว แนวคิดของนายปรีดี พนมยงค์ ว่าด้วยการสร้างสันติภาพเชิงรุก จึงยังคงทันสมัยและเป็นเข็มทิศที่ไทยควรยึดถืออย่างต่อเนื่อง โดยมีหลักการสำคัญดังต่อไปนี้:

1. ไม่ตกเป็นเครื่องมือของมหาอำนาจ

ปรีดีเน้นย้ำว่า ไทยต้องธำรงเอกราชทางการเมือง และไม่ยินยอมให้มหาอำนาจใดใช้ไทยเป็นเครื่องมือในความขัดแย้งระหว่างกัน ดังที่ท่านเคยกล่าวไว้ว่า “เราต้องนึกถึงอกเขาอกเรา”

ในบริบทนี้หมายถึงไทยควรมองสถานการณ์จากมุมของเพื่อนบ้านด้วย และควรคำนึงถึงผลกระทบที่เขาจะได้รับ หากไทยยอมให้ดินแดนตนเองกลายเป็นฐานปฏิบัติการโจมตีซึ่งสร้างความเสียหายและความแค้นเคืองต่อกันในระยะยาว

ในยุคปัจจุบัน ไทยควรธำรงนโยบายต่างประเทศแบบเป็นกลาง และรักษาดุลยภาพระหว่างมหาอำนาจ เช่น จีนและสหรัฐฯ โดยแสดงจุดยืนอย่างชัดเจนว่าจะไม่เลือกข้างในการเผชิญหน้าระหว่างมหาอำนาจ หากมีความขัดแย้งเกิดขึ้นในภูมิภาค ไทยควรเสนอใช้สันติวิธี เช่น เป็นคนกลางเจรจา สนับสนุนกลไกอาเซียนและองค์การสหประชาชาติ เพื่อปกป้องผลประโยชน์ระยะยาวของชาติ และไม่ตกอยู่ในวังวนของสงครามที่ไม่ใช่ของตนเอง

2. ยึดหลักวุฒิภาวะทางการเมืองและการทูต

วุฒิภาวะทางการเมือง หมายถึง ความสามารถของผู้นำในการควบคุมอารมณ์และตัดสินใจโดยยึดประโยชน์ระยะยาว มากกว่าการตอบสนองต่ออารมณ์ชั่ววูบ ในการสร้างสันติภาพเชิงรุก ไทยควรลงทุนในการพัฒนาผู้นำที่มีวิสัยทัศน์ และสร้างระบบการทูตเชิงป้องกัน (preventive diplomacy) เช่น การสร้างกลไกติดต่อสื่อสารฉุกเฉินระหว่างผู้นำ กองทัพ หน่วยงานชายแดน และรัฐบาลของประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อป้องกันความเข้าใจผิดและลดโอกาสการปะทะที่ไม่จำเป็น

3. เคารพอธิปไตยและเสถียรภาพของเพื่อนบ้าน

ปรีดีให้ความสำคัญกับหลักการอยู่ร่วมกันอย่างสันติและเคารพซึ่งกันและกัน ระหว่างประเทศเพื่อนบ้าน โดยยกย่องท่าทีของเวียดนามเหนือที่แยกแยะระหว่างประชาชนไทยผู้บริสุทธิ์ กับชนชั้นปกครองที่ร่วมมือกับจักรวรรดินิยม และยืนหยัดบนมิตรภาพดั้งเดิมระหว่างประชาชนไทย–เวียดนาม

ในปัจจุบัน ไทยควรยึดหลักการเดียวกันในการปฏิบัติต่อประเทศเพื่อนบ้าน เช่น กัมพูชา ลาว เมียนมา และมาเลเซีย ไม่ว่าภายในประเทศเหล่านั้นจะมีความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองหรือความขัดแย้งภายในอย่างไร ไทยไม่ควรเข้าไปแทรกแซงกิจการภายในของเขา และต้องเคารพอธิปไตยเหนือดินแดนของทุกประเทศโดยเคร่งครัด

ข้อพิพาทเรื่องพรมแดนควรได้รับการแก้ไขด้วยสันติวิธีและหลักฐานทางประวัติศาสตร์ ไม่ใช่ด้วยกำลัง การแสดงออกถึงความเคารพกันเช่นนี้จะสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจและลดความหวาดระแวงระหว่างกันในระยะยาว ซึ่งเป็นรากฐานของสันติภาพที่ยั่งยืน

4. ใช้พลัง “วัฒนธรรมและประชาชน” ในการลดความตึงเครียด

ปรีดี พนมยงค์ เชื่อมั่นในพลังของวัฒนธรรมและประชาชนในการเชื่อมโยงความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ จะเห็นได้จากสายสัมพันธ์ส่วนบุคคลระหว่างปรีดีกับโฮจิมินห์ ซึ่งถือกำเนิดจากอุดมการณ์ร่วมในการต่อสู้เพื่อเอกราชในอดีต มิตรภาพระหว่างสองผู้นำนี้ได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของสายสัมพันธ์ไทย–เวียดนามที่ลึกซึ้งและฝังรากอยู่เหนือขอบเขตของระบบการเมืองใดๆ

[ อ่าน “เมื่อปรีดีพบโฮจิมินห์: สายสัมพันธ์และมิตรภาพไทย–เวียดนาม” ได้ที่นี่ https://pridi.or.th/th/content/2025/05/2477 ]

บทเรียนจากความสัมพันธ์ดังกล่าวชี้ให้เห็นว่า แม้รัฐบาลของแต่ละประเทศอาจมีความขัดแย้งกัน แต่ความสัมพันธ์ในระดับประชาชนยังสามารถเติบโตได้ ผ่านการส่งเสริมกิจกรรมสร้างสรรค์ที่เน้นการพบปะ เรียนรู้ และเข้าใจกัน อาทิ การท่องเที่ยวข้ามพรมแดน การจัดเทศกาลร่วมกัน เมืองคู่แฝด (sister cities) การแลกเปลี่ยนนักเรียน เยาวชน และบุคลากรทางวัฒนธรรม ตลอดจนการแข่งขันกีฬาระหว่างจังหวัดชายแดน

กิจกรรมเหล่านี้สามารถลดทอนภาพลักษณ์ของ “ศัตรู” ซึ่งมักถูกสร้างขึ้นในห้วงแห่งความขัดแย้ง และช่วยวางรากฐานให้ผู้นำทางการเมืองมีพื้นที่ในการประนีประนอม เพราะได้รับแรงสนับสนุนจากประชาชนที่เห็นคุณค่าของสันติภาพ ความสัมพันธ์ระดับประชาชนจึงมิใช่เพียงกลไกรองของการทูต หากแต่เป็นรากฐานของสันติวิธีที่แท้จริงและยั่งยืน

5. ยึดมั่นในกรอบของอาเซียนและกฎหมายระหว่างประเทศ

การสร้างสันติภาพเชิงรุก มิใช่เพียงการรับมือกับวิกฤตเฉพาะหน้า แต่หมายถึงการออกแบบโครงสร้างและกติกาที่จะป้องกันไม่ให้ความขัดแย้งลุกลามในระยะยาว ประเทศไทยควรสนับสนุนกลไกความร่วมมือระดับภูมิภาค โดยเฉพาะในกรอบของอาเซียน ซึ่งมี สนธิสัญญาไมตรีและความร่วมมือในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (TAC) เป็นหลักประกันสำคัญในการไม่ใช้กำลังระหว่างกัน และเน้นการแก้ไขปัญหาด้วยสันติวิธี

ในระดับสากล ไทยควรแสดงบทบาทเชิงรุกในเวทีระหว่างประเทศอย่างมีศักดิ์ศรี ทั้งในด้านการส่งเสริมความยุติธรรมผ่านกระบวนการทางกฎหมาย เช่น ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) หรืออนุญาโตตุลาการ รวมถึงการเข้าร่วมความตกลงระหว่างประเทศด้านการลดอาวุธและมาตรการสร้างความไว้วางใจ (Confidence-Building Measures: CBMs) เพื่อป้องกันการแข่งขันทางทหารที่อาจนำไปสู่ความขัดแย้งโดยไม่จำเป็น

ในกรณีข้อพิพาทล่าสุดกับกัมพูชา ไทยกำลังยืนอยู่บนทางแพร่งระหว่างการยืนยันกรอบทวิภาคีผ่าน JBC กับแรงกดดันจากความพยายามของกัมพูชาที่จะยกระดับข้อพิพาทสู่ศาลโลก ทางออกที่สอดคล้องกับ “สันติภาพเชิงรุก” ไม่ใช่การปฏิเสธเวทีสากลโดยสิ้นเชิง แต่ควรเปิดพื้นที่ต่อกลไกไกล่เกลี่ยที่เป็นกลาง เช่น อนุญาโตตุลาการ ที่ปรึกษาอิสระในกรอบอาเซียน หรือการเจรจาแบบ Track II ระหว่างนักวิชาการ ภาคประชาสังคม และผู้นำท้องถิ่น เพื่อเสริมความเข้าใจระหว่างประชาชนของทั้งสองประเทศ

ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ไทยไม่ควรหันหลังให้กับเวทีสากลหรือใช้กำลังทหารเป็นเครื่องมือ แต่ควรแสดงวุฒิภาวะทางการทูต และใช้สันติวิธีเป็นหลักในการดำเนินนโยบายต่างประเทศ เพราะโลกปัจจุบันไม่เปิดพื้นที่ให้ประเทศขนาดกลางอย่างไทยใช้อำนาจนอกกติกาได้โดยไร้ผลสะท้อนกลับ ดังประสบการณ์ในอดีตเมื่อรัฐบาลไทยปฏิเสธบทบาทของอาเซียนและ UNSC ในช่วงปี 2553–2554 ซึ่งทำให้ไทยกลายเป็น “เด็กเจ้าปัญหา” ในสายตานานาชาติ และเสียหายทางยุทธศาสตร์อย่างประเมินค่าไม่ได้

กล่าวโดยสรุป แนวคิดของปรีดี พนมยงค์เรื่อง “สันติภาพเชิงรุก” มิใช่เพียงอุดมคติ แต่คือแนวทางปฏิบัติที่ทันสมัยและมีพลังสำหรับประเทศไทยในศตวรรษที่ 21 ไทยควรเลือกเป็นผู้ส่งเสริมสันติภาพ ไม่ใช่ผู้ถูกชักนำเข้าสู่ความขัดแย้ง และยืนหยัดบนหลักของเอกราช ความเสมอภาค และมิตรภาพกับเพื่อนบ้านอย่างมั่นคง

 

วาทกรรมชาตินิยมสุดโต่ง: ความเสี่ยงเชิงโครงสร้างต่อสันติภาพในภูมิภาค

ในช่วงหลัง ความตึงเครียดระหว่างไทย–กัมพูชาไม่ได้จำกัดอยู่เพียงข้อพิพาทชายแดนหรือระดับรัฐ หากแต่กำลังขยายตัวลงสู่ระดับวัฒนธรรมและจิตวิทยาสังคม โดยเฉพาะในโลกออนไลน์ ที่วาทกรรมชาตินิยมแบบ “คลั่งชาติ” ถูกผลิตซ้ำและเผยแพร่จากทั้งสองฝ่ายอย่างแพร่หลาย

ชนชั้นนำของแต่ละประเทศก็ใช้วาทกรรมเหล่านี้เป็นเครื่องมือทางการเมืองอย่างเป็นระบบ เพื่อสร้างความชอบธรรมภายใน หันเหความสนใจจากปัญหาภายในประเทศ หรือเสริมฐานอำนาจของตนเอง ผลลัพธ์คือวงจรแห่งความหวาดระแวงและความเป็นศัตรู ที่แทรกซึมจากระดับรัฐลงสู่ระดับประชาชน

ในบริบทนี้ แนวคิดของปรีดี พนมยงค์ จึงยิ่งมีความหมาย ดังที่ท่านเคยกล่าวว่า ความขัดแย้งระหว่างประเทศมิใช่เรื่องของประชาชนต่อประชาชน หากเป็นเรื่องของชนชั้นปกครอง ที่แสวงหาอำนาจผ่านการปลุกเร้าอารมณ์ของผู้คน

ดังนั้น การสร้างสันติภาพเชิงรุกในวันนี้ จำเป็นต้องรื้อสร้าง “วัฒนธรรมการอยู่ร่วม” ใหม่ ที่ตั้งอยู่บนความเข้าใจอคติอย่างลึกซึ้ง กล้าทบทวนวาทกรรมที่เคยชิน และเปิดพื้นที่ให้ประชาชนทั้งสองฝั่งกลับมามองเห็นกันในฐานะเพื่อนบ้าน ไม่ใช่เป้าหมายของการดูหมิ่นหรือการสร้างความเหนือกว่า

 

นัยสำคัญของข้อเขียน

“คำเตือนสติผู้รักชาติ” มิใช่เพียงข้อเสนอเชิงการเมืองในสถานการณ์เฉพาะหน้า หากคือหลักคิดว่าด้วย เอกราช วุฒิภาวะทางการทูต และความรับผิดชอบต่อชาติในระยะยาว

ปรีดีเสนอให้ประเทศไทย

  • ดำเนินนโยบายต่างประเทศอย่างเป็นอิสระ ไม่ตกเป็นเครื่องมือของมหาอำนาจ
  • เจรจาอย่างมีหลักการ และให้เกียรติคู่เจรจาในทุกมิติ
  • มุ่งประโยชน์ของชาติเป็นหลัก มากกว่าการประนีประนอมเพียงเพื่อผลลัพธ์เฉพาะหน้า

ข้อเขียนชิ้นนี้จึงไม่เพียงเป็นบันทึกจากผู้นำในห้วงเวลาวิกฤต หากแต่เป็นบทเรียนทางยุทธศาสตร์ที่ล้ำค่า ซึ่งยังคงใช้ได้กับประเทศไทยในทุกยุคสมัย โดยเฉพาะในโลกที่เปราะบางจากการแข่งขันของมหาอำนาจและความท้าทายข้ามพรมแดน

 

“เราต้องระลึกถึงสุภาษิตไทยที่สอนให้ ‘นึกถึงอกเขาอกเรา’ เพราะเมื่อคนไทยยังจำความรู้สึกกรุงศรีอยุธยาแตกได้ฉันใด ชาวเวียดนามที่บ้านเมืองถูกทำลายด้วยเครื่องบินที่บินจากแผ่นดินไทย ก็ย่อมรู้สึกฉันนั้น”

— ปรีดี พนมยงค์

 

บทสรุป

กรณี “สงครามโดยไม่ประกาศ” ระหว่างไทยกับเวียดนามเหนือในยุคสงครามเย็น ตลอดจนข้อพิพาทชายแดนไทย–กัมพูชาในปัจจุบัน ล้วนสะท้อนถึงความสำคัญอย่างยิ่งของการดำเนินนโยบายต่างประเทศด้วยความรอบคอบ อดกลั้น และยึดมั่นในหลักสันติวิธี สงคราม—ไม่ว่าถูกประกาศหรือไม่—ต่างทิ้งร่องรอยความสูญเสียและบาดแผลในใจของประชาชนที่ยากจะลบเลือน ในทางตรงกันข้าม สันติภาพที่ถือกำเนิดจากความเข้าใจและความเคารพซึ่งกันและกัน ย่อมนำมาซึ่งผลประโยชน์ที่แท้จริงและยั่งยืนแก่ประชาชนทั้งสองฝ่าย

แนวคิดของนายปรีดี พนมยงค์ ที่เตือนให้คนไทย “นึกถึงอกเขาอกเรา” ไม่ตกเป็นเครื่องมือของมหาอำนาจ และยึดแนวทางการทูตวัฒนธรรมในการแก้ไขปัญหา ยังคงเป็นเครื่องเตือนใจที่ทรงพลังสำหรับผู้รักชาติในทุกยุคสมัย

ประเทศไทยจำเป็นต้องเรียนรู้จากอดีต เสริมสร้างความเข้มแข็งทางการทูตและความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้าน ปลูกฝังค่านิยมแห่งสันติภาพให้กับคนรุ่นใหม่ และเตรียมพร้อมรับมือกับความท้าทายบนเวทีโลกด้วยสติปัญญาและวุฒิภาวะ ดังปณิธานของปรีดี ที่ต้องการเห็น “มวลราษฎรไทยประสบสันติสุข” บนรากฐานของเอกราชและอธิปไตยที่มั่นคง

สันติภาพที่ยั่งยืนระหว่างไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน จะไม่เพียงเป็นเกราะป้องกันความขัดแย้ง แต่ยังเป็นรากฐานของความมั่นคงและความรุ่งเรืองของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพื่อความผาสุกของประชาชนทุกชาติในระยะยาว.

 

อ่านข้อเขียน “คำเตือนสติผู้รักชาติ ให้สำนึกถึงการมีสถานะสงครามโดยไม่ประกาศสงคราม ระหว่างประเทศไทยกับสาธารณรัฐประชาธิปไตยเวียดนาม“ ของปรีดี พนมยงค์ (2516) ฉบับเต็ม ได้ที่นี่: https://pridi.or.th/sites/default/files/pdf/pridibook022.pdf

บทความที่เกี่ยวข้อง:

 


 


[1] แม้รัฐบาลไทยจะกล่าวหาเวียดนามเหนือว่าแทรกซึมและหนุนหลัง “ผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์” (ผ.ก.ค.) แต่ปรีดีชี้ว่า ข้อกล่าวหาเหล่านั้นเกิดขึ้นภายหลังจากที่ไทยได้เข้าไปเกี่ยวพันกับสงครามแล้ว ไม่อาจใช้เพื่อปฏิเสธข้อเท็จจริงของสถานะสงครามได้

ปรีดีย้ำว่า สถานะสงครามไม่ใช่เรื่องที่จะปล่อยผ่าน หากไทยทำตัวเสมือน “ตีหัวคนอื่นแล้ววิ่งเข้าบ้าน” ก็อย่าคาดหวังว่าฝ่ายถูกกระทำจะยอมความ

การที่ไทยปล่อยให้สหรัฐฯ ใช้แผ่นดินเป็นฐานทำสงครามกับเวียดนามเหนือ โดยไม่มีการประกาศหรือรับผิดชอบใด ๆ เป็นการกระทำที่อาจย้อนกลับมาทำลายผลประโยชน์ของไทยเอง ทั้งในเชิงจริยธรรมระหว่างประเทศ และผลกระทบด้านความมั่นคง

[2] บทเรียนคือ: การเข้าสู่ภาวะสงคราม ไม่ว่าจะโดยประกาศหรือไม่ก็ตาม ย่อมตามมาด้วยภาระทางการเมือง การทูต และกฎหมายที่ยากต่อการคลี่คลาย

[3] ดูรายละเอียดใน บันทึกความทรงจำของนายปรีดี พนมยงค์ ที่เรียบเรียงเป็นภาษาฝรั่งเศสในภายหลังว่า ในปี พ.ศ. 2516 ศาสตราจารย์วิจิตร ลุลิตานนท์ ได้รับมอบหมายให้เป็นผู้ประสานงานทาบทามนายปรีดี พนมยงค์ เพื่อขอความร่วมมือในการเปิดช่องทางเจรจากับรัฐบาลเวียดนามเหนือ โดยผ่านเอกอัครราชทูตเวียดนามประจำกรุงปารีส ซึ่งต่อมาได้ตอบรับด้วยท่าทีที่เปิดกว้างและตั้งอยู่บนพื้นฐาน “มิตรภาพอันเป็นประเพณี” ระหว่างประชาชนเวียดนามกับประชาชนไทย พร้อมเสนอเงื่อนไขเบื้องต้น 2 ประการ ได้แก่ (1) ขอให้ไทยยุติความร่วมมือกับสหรัฐฯ ในการกระทำที่เป็นปฏิปักษ์ต่อประชาชนในอินโดจีน และ (2) ให้ไทยปฏิบัติตามหลักมนุษยธรรมตามข้อตกลงของสภากาชาดสากล เช่น การคุ้มครองชาวเวียดนามในไทยและการปล่อยตัวผู้ถูกควบคุมตัวโดยมิชอบ นายปรีดีเห็นว่าเงื่อนไขเหล่านี้ “เบามาก” เมื่อเทียบกับข้อเรียกร้องของจีน ฝรั่งเศส หรือสหภาพโซเวียตในอดีต แต่จอมพลประภาส จารุเสถียร ซึ่งขณะนั้นเป็นผู้นำฝ่ายความมั่นคง กลับตอบว่า “เป็นเรื่องปฏิบัติได้ยาก” และมอบหมายให้ปลัดกระทรวงมหาดไทย “หาช่องทาง” แทน ซึ่งปรีดีได้ตั้งข้อสังเกตว่า หากผู้นำสูงสุดยังไม่พร้อมดำเนินการ การให้ปลัดกระทรวงคนเดียวเป็นผู้เจรจา ย่อมเป็นไปไม่ได้ในเชิงปฏิบัติ

แหล่งอ้างอิง: ปรีดี พนมยงค์, Ma vie mouvementée, ภาคบันทึกความทรงจำช่วงพำนักในสาธารณรัฐประชาชนจีน, ฉบับต้นฉบับภาษาฝรั่งเศส (ไม่ตีพิมพ์ในไทย); เทียบคำบรรยายโดย สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ ในบทวิเคราะห์ประกอบใน รวมบทความ 100 ปี ปรีดี พนมยงค์, สำนักพิมพ์ฟ้าเดียวกัน, 2543, หน้า 212–214.