Focus
- ความเปลี่ยนแปลงทางภูมิปัญญาของการอภิวัฒน์สยาม 2475 โดยเสนอข้อเขียนล่วงหน้าการอภิวัฒน์ของ “กุหลาบ สายประดิษฐ์”และทำให้ทราบว่าก่อนการอภิวัฒน์จะอุบัติขึ้นมีความคิดเช่นนี้รองรับ

ศรีบูรพาในวัยหนุ่ม
บทความเรื่อง “มนุษยภาพ” ข้างต้นนี้เขียนและตีพิมพ์ก่อนเกิดการเปลี่ยนแปลงการปกครองปีพุทธศักราช 2475 เพียง 1 ปี ปัญญาชนหนุ่มคนหนึ่งในวัยเพียง 26 ปี ได้เขียนบทความชิ้นนี้ซึ่งแสดงออกถึงภูมิปัญญาก้าวหน้าที่เติบโตอย่างน่าสนใจในสมัยนั้น นักคิดนักเขียนหนุ่มคนนั้นคือกุหลาบ สายประดิษฐ์หรือที่ต่อมารู้จักกันดีในนามปากกาว่า “ศรีบูรพา” บทความชิ้นดังกล่าวมีผลทำให้หนังสือพิมพ์ ไทยใหม่ ต้องปิดตัวเองชั่วคราว ด้วยแรงกดดันจากรัฐบาลสมบูรณาญาสิทธิราชย์ในสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ แม้จะเปิดออกมาใหม่ในเวลาไม่นานนัก แต่ผลของการแสวงหาสัจจะ ก็คือกุหลาบต้องย้ายเวทีไปเขียนต่อในหนังสือพิมพ์ศรีกรุง บทความชิ้นสำคัญนี้ลงพิมพ์สองตอนแรกใน “ไทยใหม่” วันที่ 8 และวันที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2474 อีกสามตอนต่อมาใน “ศรีกรุง” วันที่ 10 วันที่ 16 และ 21 มกราคม พ.ศ. 2474 (ตามปฏิทินเก่า)
ศรีบูรพาเกริ่นว่า “ข้าพเจ้าเขียนเรื่องนี้ด้วยความมุ่งหมายที่จะปรับฐานะของมนุษย์ให้ได้ระดับอันที่ทุกคนควรจะเปนได้… การเขียนเรื่องมนุษยภาพโดยตั้งใจให้ค่อนข้างละเอียดถี่ถ้วนในยามนี้ จะได้ชื่อว่าเปนกาลัญญหรือไม่ยังสงสัย แต่ก็ช่างเถอะ ข้าพเจ้าไม่ตั้งต้นเรื่องนี้ โดยพิจารณาถึงการสืบกําเนิดของมนุษย์ ซึ่งตามมติของดาวินว่ามาจากลิง และตามคัมภีร์ศาสนาคริสเตียน ว่ามนุษย์คือสิ่งที่พระเจ้าได้สร้างขึ้น แรกเริ่มทีเดียวมนุษย์จะมาจากอะไร หรือใครเปน ผู้สร้างย่อมไม่ใช่ประเด็นสําคัญ ความสําคัญอยู่ที่ถ้าเราเชื่อว่าลิงเปนบรรพบุรุษของมนุษย์ เราก็ต้องเชื่อต่อไปว่า มนุษย์ทุกคนย่อมมีลิงเป็นบรรพบุรุษ ไม่ใช่ว่าครอบครัวของนาย ก.มีลิงเป็นบรรพบุรุษ แต่ครอบครัวของนาย ข. มีกิ้งกือไส้เดือนเปนบรรพบุรุษหามิได้ หรือถ้าเราเชื่อว่าพระเจ้าเป็นผู้สร้างมนุษย์ พระเจ้าก็ต้องสร้างมนุษย์ทุกคน เปนอันยุตติกันได้ในชั้นนี้ว่ามนุษย์จะมีที่มาจากที่ใด ก็ตาม ได้มาจากทางเดียวกันหมด (ศรีกรุง 10 มกราคม 2474)”
ความหมายนัยสําคัญที่อยู่ระหว่างบรรทัดก็คือ มนุษย์ทุกคนควรเสมอหน้าทัดเทียมกัน อย่างน้อยก็ในแง่ของความเป็นมนุษย์เหมือนกัน ซึ่งว่าไปแล้วเป็นความคิดที่ “ราดิคัล” ยิ่งนัก การที่กุหลาบให้น้ําหนักแก่ความเป็นมนุษย์ว่าโดยตัวมันเองแล้วถือว่าเป็นสิ่งสูงสุดได้นั้น ต้องนับว่าเป็นความคิดที่ก้าวหน้าอย่างยิ่ง ลองไปฟังคําอธิบายของเขาดู ที่สำคัญเพราะเขามองเห็นศักยภาพ และคุณสมบัติพื้นฐานร่วมกันของคนทุกคนที่มีอย่างเท่าเทียมกัน นั่นคือการมีเหตุผลและความคิดที่เป็นเหตุเป็นผล จากนั้นคนจึงเข้าใจโลกและตัวเองได้ พัฒนาการของคนโดยทั่วไปจึงสามารถยกระดับและเข้าถึงความดีงามอันเป็นสัจธรรมได้ เพียงแต่ให้โอกาสและเงื่อนไขทางสังคมแก่เขาก็แล้วกัน ข้อนี้ต้องนับว่ากุหลาบเป็นนักคิดสมัยใหม่ที่แท้จริง (เทียบเท่ากับนักคิด เช่น วอลแตร์ ฌ็อง-ฌัก รุโซ อิมมานูเอล คานท์ และเกออร์ค วิลเฮ็ล์ม ฟรีดริช เฮเกล เป็นต้น)

ฌ็อง-ฌัก รุโซ

เกออร์ค วิลเฮ็ล์ม ฟรีดริช เฮเกล
เพราะสามารถมองเห็นถึงลักษณะทั่วไปอันเป็นสากลของคนไทยได้โดยทะลวงผ่านโลกทรรศน์และคติไทยเดิมที่ได้รับอิทธิพลจากพุทธทรรศน์ทั้งหลายที่เป็นอุปสรรค และลดทอนการทำให้คนไทยสามัญชนมีฐานะเทียบเท่าเสมอกันในสังคมสยามและกับคนทั้งโลกได้
การปฏิวัติทางการเมือง : การเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 (กปค. 75)

ประกาศคณะราษฎร
“เมื่อกษัตริย์องค์นี้ได้ครองราชสมบัติสืบจากพระเชษฐานั้น ในชั้นต้นราษฎรบางคนได้หวังกันว่า กษัตริย์องค์ใหม่นี้คงจะปกครองราษฎรให้ร่มเย็น แต่การก็หาได้เป็นไปตามที่คิดหวังไม่ กษัตริย์คงทรงอำนาจเหนือกฎหมายอยู่ตามเดิม ทรงแต่งตั้งญาติวงศ์และคนสอพลอไร้คุณความรู้ให้ ดำรงตำแหน่งที่สำคัญๆ ไม่ทรงฟังเสียงราษฎร ปล่อยให้ข้าราชการใช้อำนาจหน้าที่ในทางทุจริต มีการรับสินบนในการก่อสร้าง ซื้อของใช้ในราชการหากำไรในการเปลี่ยนราคาเงิน ผลาญเงินของประเทศ ยกพวกเจ้าขึ้นให้สิทธิพิเศษมากกว่าราษฎร กดขี่ข่มเหงราษฎร ปกครองโดยขาดหลักวิชชา ปล่อยให้บ้านเมืองเป็นไป ตามยถากรรมดั่งที่จะเห็นได้จากความตกต่ำในทางเศรษฐกิจและความฝืดเคืองในการทำมาหากิน ซึ่งพวกราษฎร ได้รู้กันอยู่ทั่วไปแล้ว รัฐบาลของกษัตริย์เหนือกฎหมายมิสามารถแก้ไขให้ฟื้นขึ้นได้”
นั่นคือคำประกาศของคณะราษฎรในวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475[1] หลังจากที่คณะราษฎรได้ทำการยึดอำนาจไว้ได้แล้ว และมีการเจรจาต่อรองกับรัชกาลที่ 7 ในที่สุดวิกฤตการเมืองยุติลงด้วย การตกลงให้มีการสถาปนาระบอบการปกครองใหม่ที่เป็นระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข (constitutional monarchy) อันเป็นแนวความคิดที่คณะ ร.ศ. 103 ได้เคยเสนอแก่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ มาก่อนแล้ว ในการเสนอความเห็นเรื่องการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการปกครองอาณาจักรโดยกล่าวว่าให้ “จัดการบ้านเมืองเปลี่ยนแปลงพระราชประเพณีเก่าให้เป็นประเพณีฤาคอนสติติวชันใหม่ตามทางชาวยุโรป” จากแบบเก่าที่พระมหากษัตริย์ต้องทรงว่าการในทุกเรื่องไป อันเป็นแบบที่อังกฤษเรียกว่า “แอบโสลุดโมนากี” ให้เป็นประเพณีซึ่งเรียกว่า “คอนสติตูชาแนลโมนากี” ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเป็น “มหาประธานของบ้านเมือง” ในการพระราชวินิจฉัยแลมีสิทธิ์ขาดแก่ข้าราชการผู้ใหญ่ แต่ไม่ต้องทรงราชการด้วยพระองค์เองทั่วไปทุกอย่าง (ธเนศ, 2549, 173) กล่าวได้ว่าจุดหมายขั้นแรกในการเปลี่ยนแปลงอำนาจการปกครองสยามโดยคณะราษฎรนั้นจึงเป็นการดำเนินไปครรลองเดียวกับที่คณะ ร.ศ. 103 ได้เคยเสนอแนะมาก่อนแล้ว เพียงแต่ครั้งนี้คณะราษฎรมีจุดหมายระยะยาวที่จะทำให้การเปลี่ยนแปลง นั้นดำเนินไปสู่การมีระบบประชาธิปไตยอันสมบูรณ์ขึ้นด้วยในเวลาต่อไป จุดหมายประการแรกจึงได้แก่การ “เปลี่ยนการปกครองจากระบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นระบบราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญประชาธิปไตย” และประการที่ 2 พัฒนาชาติไทยตามหลัก 6 ประการ (ปรีดี, 2526, 347 เน้นโดยผู้เขียนบทความนี้)

หมุดคณะราษฎรเมื่อครั้งทำพิธีฝังราก
ภาพจากบทความ พิธีฝังหมุดคณะราษฎร กับ กุหลาบ สายประดิษฐ์ และ ข้างหลังภาพ
ในหลายปีที่ผ่านมาโดยเฉพาะนับแต่หลังการปฏิวัติ 14 ตุลาคม 2516 เป็นต้นมา ที่การหวนกลับไปมองและศึกษาเรื่องประวัติศาสตร์ของ กปค. 75 เริ่มมีสีสรรค์และการตีความที่ “ก้าวหน้า” มากกว่าแต่ก่อนที่เป็นแบบจารีตนิยมและปฏิกิริยาต่อการ เปลี่ยนแปลงระบบการปกครองเดิมที่เป็นสมบูรณาญาสิทธิราชย์ กล่าวได้ว่าใครที่เกิดหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 สงบลง หรือภายหลังรัฐประหาร 8 พฤศจิกายน 2490 มีแนวโน้มที่จะได้รับการถ่ายทอดและซึมซับความรับรู้ชุดหนึ่งอันว่าด้วย ก.ค. 75 ว่าเป็นการแย่งชิงอำนาจปกครองจากพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ งานเขียนเล่มสำคัญที่เป็นผู้บุกเบิกวาทกรรมแบบจารีตนิยมกษัตริย์นิยมได้แก่หนังสือเรื่อง “พระปกเกล้าฯกับชาติไทย (พระนคร, 2489) โดยเปรมจิตร วัชรางกูร ซึ่งผู้เขียนประกาศในหนังสือว่า “ความดีของหนังสือเล่มนี้ ถ้าหากมี ข้าพเจ้าขออุทิศถวายแด่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวพระมหากษัตริย์ผู้อาภัพของชาติไทย....” (อ้างในนครินทร์, 2540, 56) เล่มต่อมาซึ่งมีอิทธิพลและแพร่หลายอย่างมากได้แก่ งานเขียนเชิงสารคดีบทความการเมืองของ ม.ร.ว. เสนีย์ ปราโมช ภายใต้นามปากกาว่า “แมลงหวี่” รวมเล่มชื่อ “เบื้องหลังประวัติศาสตร์” พิมพ์เผยแพร่ครั้งแรกในปี พ.ศ. 2490 ประเด็นสําคัญในการโจมตี ก.ค.75 ได้อาศัยความรู้ประวัติศาสตร์อังกฤษของผู้เขียนมาวิพากษ์การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในสยาม เช่น การหักล้างคําอ้างเรื่องการเรียกร้องระบบประชาธิปไตยคณะราษฎรนั้น “แมลงหวี่” ตอบโต้ด้วยการประกาศว่า แท้จริงแล้วระบอบระชาธิปไตยของไทยเริ่มมีมาแต่สมัยสุโขทัย มิใช่เพิ่งเกิดขึ้นในสมัยของการ ก.ค.75 ระบอบกษัตริย์ของไทยจึงวิวัฒน์มาคู่กันกับการปกครองแบบประชาธิปไตย อ้างไปถึงว่าหลักศิลาจารึกของพ่อขุนรามคำแหงนั้นเทียบเท่ากับโดยหลักแมกนาคาตาของอังกฤษ คือการประกาศให้เสรีภาพแก่ราษฎรหากนับวันกันแล้วศิลาจารึกพ่อขุนรามฯก็เก่ากว่า แมกนาคาตาของอังกฤษ แสดงว่าอาณาจักรไทยนั้นมีประชาธิปไตยเก่ากว่าของอังกฤษเสียอีก
แต่ทำไมถึงต้องมีการเปลี่ยนแปลงระบบการปกครอง “แมลงหวี่” ไม่ได้ตอบคำถามนี้ แต่ได้อรรถาธิบายถึงการเปลี่ยนแปลงการปกครองฯ ว่าเป็นจุดเริ่มต้นของความวุ่นวายทางการเมือง สังเกตให้ดีวาทกรรมของฝ่ายที่คัดค้านวิจารณ์คณะราษฎรนั้นมักอ้างเรื่อง “ความวุ่นวายทางการเมือง” อยู่เป็นประจำรวมไปถึงคณะรัฐประหารแทบทุกชุดต่อมาก็จะอ้างเรื่องความวุ่นวายทางการเมืองทุกครั้งที่ทำการยึดอำนาจ
ม.ร.ว.เสนีย์ฯ แสดงฝีปากในการทำให้คณะราษฎรเสียหน้าด้วยการกล่าวว่าพวกคณะราษฎรนั้นหลงเข้าใจผิดว่าไปค้นพบ “ต้นกัลปพฤกษ์” (โดยนำมาจากต่างประเทศ) แล้วนำมาปลูกใน "เมืองไทยในทางตรงกันข้าม สิ่งที่พวกคณะราษฎรพบและนำมาปลูกนั้นคือ “ต้นตำแย” ซึ่งส่งผลร้ายให้การเมืองไทยมีการ คันคะเยอกันไปทั่วทุกคน (นครินทร์, 2550, 57)

ประชาชนหน้าพระที่นั่งอนันตสมาคมในพระราชพิธีทูลเกล้าถวายรัฐธรรมนูญของรัฐบาลคณะราษฎร
10 ธันวาคม พ.ศ. 2475
ที่มา : พิพิธภัณฑ์รัฐสภา
หมายเหตุ
อ้างอิง:
- ธเนศ อาภรณ์สุวรรณ, “แปดทศวรรษสยามปฏิวัติ : ความคิดว่าด้วยระบบประชาธิปไตยในระยะเปลี่ยนผ่าน (The thought of transitional democrtay in Siam), (กรุงเทพฯ : สถาบันปรีดี พนมยงค์, 2555) หน้า 6-13.
[1] การเล่าถึงการประกาศของคณะราษฎรฉบับแรกนี้ก็มี “ตํานาน” อยู่ไม่น้อย เนื่องจากไม่สามารถหาฉบับที่ยืนยันและมีหลักฐานชั้นต้นได้ว่าเป็นฉบับแรกจริงๆที่ผู้นําคณะราษฎรได้ใช้ในวันที่ ๒๔ มิ.ย. จึงอาศัย ฉบับที่สําเนาหรือพิมพ์มาจากฉบับแรกอีกที โดยทั่วไปผู้อ่านคิดว่ามีการอ่านคําแถลงการณ์ตามคําประกาศฉบับนี้ในเช้าวันที่มีการยึดอํานาจซึ่งเริ่มตั้งแต่ย่ํารุ่งเป็นต้นไป “ที่หน้าพระลานพันเอกพระยาพหลฯเรียกนายทหารมาประชุมแล้วอ่านแถลงการณ์” (หลวงศุภชลาศัย, ๒๕๔๔, ๔๕) ในเวลาเช้าวันนั้นแต่ไม่ทราบว่ากี่โมงแน่ๆ คณะราษฎรได้อัญเชิญ สมเด็จเจ้าฟ้าบริพัตร กรมพระนครสวรรค์ฯไปประทับ ณ พระที่นั่งอนันตสมาคม (ปรีดี ๒๕๒๖, ๓๓๗) จึงอนุโลมได้ว่าจากนั้นไปการยึดอํานาจจากฝ่ายรัฐบาลเก่าได้สําเร็จและการแจกจ่ายใบปลิวคําประกาศต่างๆน่าจะทําได้ง่ายและสะดวกกว้างขวางกว่าก่อนหน้านั้น ดังตํานานเล่าว่าคําประกาศฯฉบับแรกจริงๆนั้นมีการพิมพ์ไว้บนหัวกระดาษว่าเป็นคําประกาศสําเร็จก่อนหน้าแล้ว หากคณะราษฎรทําสําเร็จก็จะตัดหัวกระดาษนั้นการยึดอํานาจของคณะทหารภายใต้เคมาลปาชาในตุรกีซึ่งได้ทํารัฐประหารทิ้งออกไป แต่นักประวัติศาสตร์ไทยยังไม่เคยพบฉบับที่มีหัวกระดาษเดิม นั้นเลยจึงยังเชื่อไม่ได้เต็มที่ และเล่าว่าพิมพ์ที่โรงพิมพ์นิติสาส์น ซึ่งอาจารย์ปรีดี พนมยงค์เกี่ยวข้องอยู่ด้วย ประเด็นต่อมาที่สําคัญคือ ในคําประกาศฯฉบับที่แพร่หลายมาถึงปัจจุบันนี้นั้น กล่าวตอนหนึ่งว่า “คณะราษฎรไม่ประสงค์ทําการแย่งชิงราชสมบัติ ฉะนั้นจึงได้ขอเชิญให้ กษัตริย์องค์นี้ดํารงค์ตําแหน่งกษัตริย์ต่อไป แต่จะต้องอยู่ใต้กฎหมายธรรมนูญการปกครองแผ่นดิน....คณะราษฎรได้แจ้งความประสงค์นี้ให้กษัตริย์ทราบแล้ว เวลานี้ยังอยู่ในความรับตอบ ถ้ากษัตริย์ตอบปฏิเสธ หรือไม่ตอบภายในกําหนด...” แสดงว่า คําประกาศฯ ฉบับนี้ต้องพิมพ์ขึ้น หลังจากที่คณะราษฎรได้สามารถติดต่อเจรจากับฝ่ายกษัตริย์แล้ว นั่น คือต้องหลังจากที่กรมพระนครสวรรค์ฯมาอยู่ที่พระที่นั่งอนันต์ฯและในเวลา ๑๖.๐๐ น. พระยาพหลฯผู้รักษาพระนครได้เชิญคณะเสนาบดีและปลัด ทูลฉลองกระทรวงต่างๆ ไปประชุมร่วมกับคณะราษฎร ณ พระที่นั่งอนันต สมาคม เพื่อพิจารณาทําข้อตกลง จากนั้นเวลาประมาณ ๑๗.๐๐ น ได้มีคําสั่งให้หลวงศุภชลาศัยเป็นผู้บังคับการเรือ ร.ล. สุโขทัยชั่วคราว ไป เฝ้าสมเด็จพระปกเกล้าฯ ที่พระราชวังไกลกังวล หัวหิน พร้อมด้วยหนังสือ ถวายบังคมทูล ๑ ซอง ดังนั้นข้อความข้างต้นนั้นน่าจะถูกเขียนขึ้นหลังจาก ที่คณะราษฎรตัดสินใจทําข้อเสนอและส่งให้รัชกาลที่ 9 ทรงพิจารณานั่นคือ ระหว่างเวลาเช้าหลังจากที่กรมพระนครสวรรค์ฯได้ถูกอัญเชิญให้มา อยู่ที่พระที่นั่งอนันต์ฯกับเวลาที่คณะราษฎรมีการประชุมบรรดาเสนาบดี ทั้งหลายในเวลาบ่าย 4 โมงเย็น หมายความว่าประกาศคณะราษฎร ฉบับนี้ที่มีเนื้อหาดังกล่าวข้างต้นไม่ใช่ฉบับที่พระยาพหลฯ
ได้อ่านในเวลาย่ํารุ่ง เพราะตอนนั้นยังไม่ได้มีแผนการณ์ว่าจะยื่นข้อเสนออะไรให้แก่ รัชกาลที่ ๗ คําถามคือแล้วคําประกาศที่พระยาพหลฯอ่านในย่ํารุ่งวันที่ ๒๔ มิย.นั้นมีเนื้อหาว่าอย่างไร ทราบจากบันทึกหลวงศุภชลาศัยว่า “ข้าฯได้ยินบ้างไม่ได้ยินบ้าง จะว่าใคร ด่าใครข้าฯไม่ได้ตั้งใจฟัง เพราะอ่อนใจเต็มที่ แล้วก็พากันเข้าในพระที่นั่งเหมือนกันหรือแตกต่างกันมากน้อยตรงไหนอนันต์” (หลวงศุภชลาศัย, เพิ่งอ้าง)