Focus
- บันทึกประวัติศาสตร์จากปากคำของนายสงวน ตุลารักษ์ ขณะปฏิบัติงานเสรีไทย โดยบันทึกเรื่องราวการเดินทางการตามหานายจำกัด พลางกูร ที่ไม่ได้รับการติดต่อกลับมา ภายหลังนายปรีดี พนมยงค์ได้ส่งท่านไปทำงานใต้ดินในจีน
- ภาคผนวกเป็นคำรำลึกโดยท่านผู้หญิงพูนศุข พนมยงค์ บอกเล่าเรื่องของนายสงวนที่ใช้ชีวิตอย่างกล้าหาญ ตั้งการเข้าร่วมก่อการอภิวัฒน์ ร่วมขบวนการเสรีไทย จนถึงการลี้ภัยหลังการรัฐประหาร 8 พฤษจิกายน 2490

นายสงวน ตุลารักษ์ (18 มิถุนายน พ.ศ. 2445 — 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2538)

นายสงวน ตุลารักษ์ กับผู้ร่วมก่อการการอภิวัฒน์สยาม
ที่มา: อนุสรณ์งานพระราชทานเพลิงศพ นายสงวน ตุลารักษ์
ผมได้รับมอบหมายจากท่านปรีดี พนมยงค์ ให้เดินทางไปประเทศจีนเพื่อติดต่อกับฝ่ายสัมพันธมิตร เรื่องงานของกลุ่มเสรีไทย ซึ่งมีท่านปรีดี เป็นหัวหน้าอยู่
ท่านปรีดีได้ส่งคุณจํากัด พลางกูร ไปประเทศจีนก่อนหน้านี้ แต่หลังจากทราบว่าเดินทางไปถึงจุงกิงแล้ว ก็ไม่ได้รับข่าวอะไรอีก จึงส่งผมกับคณะไป

ครอบครัวตุลารักษ์ ณ นครจุงกิง
ที่มา: อนุสรณ์งานพระราชทานเพลิงศพ นายสงวน ตุลารักษ์
คณะเดินทางครั้งนี้ รวมทั้งหมดมี 7 คนคือ ผม และครอบครัว คือคุณบุญมา (ภรรยาผม) กับรําไพ และไกรศรี (ลูกสาวและลูกชาย) กับคุณกระจ่าง ตุลารักษ์ (น้องชายผม), คุณแดง คุณะดิลก และคุณวิบูลย์วงศ์ วิมลประภา
ได้ออกเดินทางเช้าวันที่ 14 กรกฎาคม 2486 โดยรถไฟไปพระตะบองเพื่อเดินทางต่อไปไซ่ง่อน และฮานอย (เราได้บอกทางญี่ปุ่นไว้ว่า จะเดินทางไปญี่ปุ่น เพื่อซื้อใบยาสูบ ขณะนั้นผมเป็นผู้อํานวยการโรงงานยาสูบอยู่ จึงเป็นเหตุผลที่ดี สําหรับลูก ๆ ก็อ้างว่าจะพาไปเรียนต่อ) แต่แล้วเมื่อถึงฮานอย เราก็ไม่ได้ลงเรือไปญี่ปุ่น กลับแอบขึ้นรถยนต์รางไปเมืองไฮฟอง เมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม แล้วลงเรือจากไฮฟองเมื่อวันที่ 26 ถึงเมืองมองกายเมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม (เป็นเมืองชายแดนระหว่างอินโดจีนกับจีน)
28 กรกฎาคม เป็นวันที่ตื่นเต้นและเสี่ยงชีวิตมาก เวลา 11 นาฬิกา 30 นาที พวกเราทั้ง 7 คนแต่งตัวปลอมเป็นชาวญวน ซึ่งเดินข้ามแดนไปค้าขายในเขตจีนได้ เราแยกย้ายกันเดิน ถือตะกร้ากระจาดเหมือนพ่อค้าแม่ค้าธรรมดาเดินข้ามสะพานเล็ก ๆ เข้าไปในเขตจีนที่เมืองตงเฮง ซึ่งเป็นสะพานข้ามแม่น้ําแคบ ๆ เมื่อเราพักอยู่ที่โรงเตี้ยมในตงเฮงยังมองเห็นทางฝั่งมองกาย ถ้าพวกญี่ปุ่นรู้เข้าพวกเราคงถูกตามล่าแน่
ในขณะที่รอการเดินทางต่อ ได้พบกับพวกชาวจีนโพ้นทะเลบ้างรีบติดต่อกับจอมพลเจียงไคเช็ค ที่จุงกิง (เมืองหลวงของจีนในขณะนั้น) โดยส่งโทรเลขไปและรอฟังข่าวจากจุงกิง
5 สิงหาคม จึงออกเดินทางจาก “ตงเฮง” ตอนเช้า โดยจ้างเกี่ยว (คานหาม) สําหรับพวกเราทั้ง 7 คน และนายทหารอีก 2 คน ซึ่งทางการจีนให้พาพวกเราไปส่ง นอกจากนั้นยังมีพลทหารอีก 4 คน และชาวจีนโพ้นทะเลอีก 2 คน ซึ่งต้องเดินเอง ถึงเมือง “กังเพ้ง” ต้องลงเรือใบไปเมือง “ซัวคา” แล้วจึงนั่ง เกี่ยวต่อถึงเมือง “เหลียงเท่าเล้ง” ตอนค่ํา แล้วก็ต้องลงเรือเล็ก ๆ ไปตลอดคืนจนถึงเมือง “ฟองเส่ง” เช้ามืดวันรุ่งขึ้น
ต่อจากนั้นเดินทางไปลงเรือถึงเมือง “ฮ่ำเจา” แล้วเดินทางโดยเกี้ยวตลอดถึงเมือง “เสียวตัง” “ไต้ถ่ง” “หมิ่นหยง” และ “น่ำเล้ง” เมื่อวันที่ 11 สิงหาคม (เป็นอันสิ้นสุดการเดินทางโดยเกี้ยว)
หลังจากนั้น จึงเดินทางต่อโดยรถยนต์โดยสารไปเมือง “เช็งกัง” และถึงเมือง “หลิวจิว” เมื่อวันที่ 14 สิงหาคม พบนายชิงชิมโจว (หรืออากง) ผู้แทนรัฐบาลจีน ซึ่งทางการให้มารับพวกเรา (นายซึ่งซึมโจว และภรรยาเคยไปอยู่ที่ เมืองไทย มาก่อน)
15 สิงหาคม ได้พบกับคุณหมอหวัง หยั่วหลวน (คุณหมอล้วน ว่องวานิช นายห้างขายยาอังกฤษตรางู) กับลูกชายชื่อนายบุญศรี ผมรู้สึกดีใจมากจริง ๆ เพราะคุณหมอล้วนเป็นเพื่อนเก่าที่สนิทสนมกันมาก และยิ่งยินดีมากขึ้นเมื่อทราบว่าคุณหมอล้วนจะร่วมเดินทางไปกับคณะผมจนถึงเมืองจุงกิง

คุณหมอล้วน ว่องวานิช
เท่าที่รอนแรมเป็นเวลาถึงหนึ่งเดือนเต็ม หลังจากออกจากประเทศไทยมา เป็นการเดินทางที่แสนที่จะทุรกันดาร นั่งเกี่ยวและลงเรือสลับกันไป มาเห็นหน้าคุณหมอล้วน ซึ่งเป็นคนใจดีมีอารมณ์ขันตลอดเวลา จึงเปรียบเสมือนพวกเรามาพบบ่อน้ํากลางทะเลทราย มีความรู้สึกชุ่มฉ่ําไม่แห้งแล้งต่อไป
หลังจากนั้นการเดินทางค่อยสะดวกขึ้น เพราะเป็นการเดินทางโดย รถยนต์บ้าง รถไฟบ้าง ออกเดินทางจาก “หลิวจิ๋ว” วันที่ 19 สิงหาคม โดย รถไฟถึงเมือง “ยิ้มเชียงกง” แต่ระหว่างสงครามการหาเช่ารถยนต์ก็ค่อนข้างลําบาก รถก็อยู่ในสภาพเก่าจึงเสียเวลาเพราะรถเสียบ้าง หารถเดินทางต่อไปไม่ได้บ้าง เดินทางผ่านเมือง “ตกซัน” “โกวเต็งก๊วน” และถึง “ไกวยาง” เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม ต้องพักอยู่ที่นี่หลายวัน
ในระหว่างการเดินทางช่วงหลัง โดยรถยนต์นี้มีอยู่วันหนึ่งที่รําไพ ลูกสาวของผมเกิดเป็นโรคท้องเสียอย่างแรงราวกับเป็นอหิวาตกโรค ก็นับว่าเคราะห์ดี อย่างยิ่ง ที่มีคุณหมอล้วน ซึ่งถือร่วมยาติดตัวมาด้วย ร่วมอยู่ในขบวนผู้เดิน ทางครั้งนี้ จึงได้ช่วยบําบัดอาการท้องร่วงอย่างน่ากลัวของรําไพได้ นอกจาก นั้นใครจะเจ็บไข้ได้ป่วย เป็นหวัด ปวดหัวหรือปวดท้องในขณะเดินทาง รอนแรมกันมานั้น ร่วมยาของคุณหมอล้วนก็ได้ใช้ให้เป็นประโยชน์อย่างมาก
29 สิงหาคม ออกเดินทางจาก “ไกวยาง” โดยรถยนต์ แวะที่โรงเรียน ตํารวจลับชื่อฟัง ได้พบนักเรียนที่เกิดเมืองไทย พูดภาษาไทยได้ดีหลายคน ซึ่ง ในจํานวนนี้มีนายบุญธรรม แสนอรุณ และนายประกอบ ชัยสาร (ซึ่งภายหลัง เมื่อเข้ามาอยู่เมืองไทยได้เปลี่ยนเป็นวัชรสินธุ์) ได้ร่วมเดินทางต่อไปกับพวกเราเดินทางแวะพักไปวันละเมือง ผ่านเมือง “หุ่น” “ซุงดํา” และ “ซีเกียง” เป็นแหล่งสุดท้าย
วันที่ 1 กันยายน ตอนบ่ายก็ถึงจุดหมายปลายทางคือ จุงกิง นครหลวง ของจีน ซึ่งต้องข้ามฟากแม่น้ําใหญ่ มีเจ้าหน้าที่ของคณะ “ก๊กมินตั๋ง” คอยต้อนรับ แล้วพาพวกเราไปพักที่ "SINO-AMERICAN INSTITUTE OF CULTURAL RELATIONS” มีห้องพักไม่กี่ห้อง พวกเราได้ห้องเพียง 2 ห้อง พักกัน 8 คนรวมทั้งคุณหมอล้วนด้วย
คุณหมอล้วนพักอยู่กับพวกเราพักหนึ่ง จนเห็นว่าเรามีการติดต่อที่พอ จะเข้ารูปเข้ารอย คุณหมอจึงอําลาเดินทางกลับไปอยู่กับลูกชายที่เมือง “หลิวจิ๋ว” ตามเดิม นับว่าคุณหมอล้วนได้ทําประโยชน์กับพวกเรามากทีเดียว ได้ทั้งช่วยเป็นล่ามประสานงานกับนายชิงชิมโจวซึ่งคุณหมอมีความคุ้นเคยเป็นอย่างดี และได้ช่วยเหลือด้านอื่น ๆ อีกมากมายหลายประการ นับว่าเป็นบุญคุณที่ผม และพวกจะลืมเสียมิได้เลย และต้องถือว่าคุณหมอล้วนได้เป็นผู้หนึ่งที่มีส่วน ช่วยเหลือในการปฏิบัติงานของเสรีไทย ซึ่งเป็นงานที่กู้ชาติบ้านเมืองได้สําเร็จในที่สุดด้วย

การฝึกวิชาทหารที่ทริงโกมาลี ปี พ.ศ. 2488
จากซ้าย อานนท์ ศรีวรรธนะ, สงวน ตุลารักษ์, บุญมาก เทศะบุตร, วิมล วิริยะวิทย์
ที่มา: อนุสรณ์งานพระราชทานเพลิงศพ นายสงวน ตุลารักษ์

ที่มา: อนุสรณ์งานพระราชทานเพลิงศพ นายสงวน ตุลารักษ์
ภาคผนวก: คำระลึกถึงคุณสงวน ตุลารักษ์จากท่านผู้หญิงพูนศุข พนมยงค์

ระลึกถึงคุณสงวน ตุลารักษ์
คุณสงวน ตุลารักษ์ เป็นผู้หนึ่งที่ร่วมก่อการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นระบอบประชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2475 ภายหลังการเปลี่ยนแปลงได้ช่วยเหลือการงานในหน้าที่พลเรือนของคณะราษฎรจนได้รับพระราชทานรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว จึงได้รับแต่งตั้งให้เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรผู้หนึ่งในสมัยแรก
ในปีพุทธศักราช 2484 กองทัพญี่ปุ่นรุกรานประเทศไทย คุณสงวนเป็นผู้หนึ่งที่ร่วมขบวนการเสรีไทยที่ต่อสู้ผู้รุกราน และได้รับมอบหมายจากหัวหน้าขบวนการฯ ให้เดินทางไปติดต่อกับสัมพันธมิตรที่ประเทศจีน การเดินทางในระหว่างสงครามมีความยากลําบากและเสี่ยงอันตรายเป็นอย่างยิ่ง คุณสงวนได้พาครอบครัวซึ่งมีภริยาและบุตรสองคนไปด้วยพร้อมกับคนไทยอีกสามคน
เมื่อสงครามสิ้นสุดลง คุณสงวนได้รับแต่งตั้งให้เป็นเอกอัครราชทูตไทยคนแรกประจําประเทศจีน ต่อมาไม่นานได้เกิดรัฐประหาร 8 พฤศจิกายน 2490 คุณสงวนเป็นผู้มีหลักการไม่เห็นด้วยกับการรัฐประหารที่ล้มล้างระบอบประชาธิปไตย จึงได้ลาออกจากตําแหน่งเอกอัครราชทูต และพํานักอยู่ในประเทศจีน เมื่อสถานะทางการเมืองคลี่คลายจึงได้กลับมาประเทศไทย แม้กระนั้นก็ไม่วายถูกจับและคุมขังอยู่ระยะหนึ่ง
คุณสงวนเป็นผู้ที่มีจิตใจเด็ดเดี่ยวและกล้าหาญพร้อมที่จะผจญภัยอัตรายทั้งปวงเป็นผู้มีร่างกายแข็งแรงอยู่จนมีอายุ 93 ปี จึงถึงแก่กรรมด้วยโรคชรา
ขอผลานิสงส์ที่คุณสงวนได้บําเพ็ญมาเพื่อชาติและราษฎร จงเป็นผลส่งให้คุณสงวนไปสู่สัมปรายภพด้วยความสงบและสันติทุกประการ
พูนศุข พนมยงค์ (ลายเซ็น)
(ท่านผู้หญิงพูนศุข พนมยงค์)
บ้านซอยสวยพลู
หมายเหตุ:
- บทความชิ้นนี้กองบรรณาธิการ สถาบันปรีดี พนมยงค์คงใช้ชื่อเดิมจากบันทึกส่วนหนึ่งของ นายสงวน ตุลารักษ์ ในการปฏิบัติงานของ “เสรีไทย” โดยตีพิมพ์เมื่อ พ.ศ. 2538
อ้างอิง:
- อนุสรณ์งานพระราชทานเพลิงศพ นายสงวน ตุลารักษ์ ณ เมรุวัดธาตุทอง วันเสาร์ที่ 9 กันยายน 2538, (ม.ป.ท. : ม.ป.พ., 2538), หน้า 167-170.