ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก
บทบาท-ผลงาน

ภาคผนวก: รวมเอกสารทางการทูต ตั้งแต่ปี 2486 (1943) ถึง 2488 (1945) ตอนที่ 1

7
มีนาคม
2568

Focus

  • รวมเอกสารทางการทูตในระหว่างสงครามโลก ครั้งที่ 2 ตั้งแต่ปี 2486 (1943) ถึง 2488 (1945) ชุดนี้สะท้อนถึงความสัมพันธ์ทางการทูตของขบวนการเสรีไทยกับสหรัฐอเมริกา และอังกฤษเพื่อต่อต้านกองทัพญี่ปุ่นและปกป้องเอกราชอธิปไตยของไทย อาทิ มีข้อเสนอให้จัดตั้งรัฐบาลไทยอิสระพลัดถิ่น (Government in Exile) หรือคณะกรรมการปลดปล่อยแห่งชาติไทย (Thai Committee of Liberation) เพื่อแสดงจุดยืนของไทยที่ไม่เห็นด้วยกับการร่วมมือกับญี่ปุ่น

 

วิเคราะห์และสรุปเอกสารทางการทูต (13 ธันวาคม พ.ศ. 2486 – 13 มกราคม พ.ศ. 2488)

ช่วงระหว่าง 13 ธันวาคม พ.ศ. 2486 (1943) ถึง 13 มกราคม พ.ศ. 2488 (1945) เป็นช่วงเวลาสำคัญในสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งประเทศไทยต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองและยุทธศาสตร์ระหว่างประเทศอย่างเข้มข้น เอกสารทางการทูตในช่วงเวลาดังกล่าวสะท้อนให้เห็นถึงจุดยืนของฝ่ายสัมพันธมิตร ขบวนการเสรีไทย และบทบาทของผู้นำไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่สงครามเริ่มพลิกผันและฝ่ายสัมพันธมิตรเข้าใกล้ชัยชนะมากขึ้น

บริบททางประวัติศาสตร์

ในช่วงเวลาดังกล่าว ประเทศไทยได้เข้าร่วมเป็นพันธมิตรกับญี่ปุ่นตั้งแต่ปลายปี 2484 อย่างไรก็ตาม มีการเคลื่อนไหวต่อต้านญี่ปุ่นภายในประเทศผ่านขบวนการเสรีไทย ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากสหรัฐฯ ขณะที่สหรัฐฯ มองว่าไทยเป็นประเทศที่ถูกญี่ปุ่นบังคับให้เข้าร่วมสงครามและควรได้รับโอกาสฟื้นฟูเอกราชหลังสงคราม อังกฤษกลับถือว่าไทยเป็นศัตรูและต้องถูกควบคุมหลังสงคราม ความแตกต่างนี้ส่งผลต่อแนวทางปฏิบัติและการกำหนดอนาคตของไทยในเวทีระหว่างประเทศ

สาระสำคัญของเอกสารทางการทูต

เอกสารสำคัญฉบับแรก ลงวันที่ 13 ธันวาคม 2486 ซึ่งเป็นบันทึกของ ฮอร์นเบ็ค แสดงให้เห็นถึงความกังวลของอังกฤษและสหรัฐฯ ต่อการติดต่อกับขบวนการเสรีไทยที่เกิดขึ้นผ่านหลายช่องทาง เช่น จีน อินเดีย และสหรัฐฯ อังกฤษเกรงว่าการขาดการประสานงานที่เป็นระบบ อาจนำไปสู่ภาระผูกพันทางการทูตโดยไม่ตั้งใจ ขณะที่สหรัฐฯ แม้จะให้การยอมรับขบวนการเสรีไทย แต่ก็ยังไม่ให้สถานะอย่างเป็นทางการในฐานะรัฐบาลพลัดถิ่น อีกทั้งยังตกลงกับอังกฤษว่าควรปรึกษาหารือกันอย่างใกล้ชิดเพื่อหลีกเลี่ยงความขัดแย้ง

เอกสารฉบับถัดมา ลงวันที่ 31 ธันวาคม 2486 ซึ่งเป็นบันทึกของ บัลแลนไทน์ กล่าวถึงข้อเสนอของ สงวน ตุลารักษ์ ซึ่งต้องการให้ขบวนการกู้ชาติไทยได้รับการรับรองจากสัมพันธมิตร รวมถึงขอให้จัดตั้งรัฐบาลไทยอิสระและยกเลิกการอายัดทรัพย์สินของรัฐบาลไทย อย่างไรก็ตาม เสนีย์ ปราโมช ปฏิเสธแนวทางนี้ และยืนยันว่าควรใช้แนวทางการทูตผ่านช่องทางที่มีอยู่แทน สหรัฐฯ จึงพิจารณาทางเลือกสามทาง ได้แก่ ปล่อยให้ขบวนการเสรีไทยดำเนินต่อไปโดยไม่เปลี่ยนสถานะ จัดตั้งรัฐบาลพลัดถิ่น หรือสร้าง "สภาที่ปรึกษาขบวนการกู้ชาติไทย" ที่ไม่มีสถานะทางการเมือง สหรัฐฯ ตัดสินใจไม่ให้การรับรองรัฐบาลพลัดถิ่นไทยเพื่อหลีกเลี่ยงการเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการเมืองภายในของไทย

ต่อมาในวันที่ 12 ธันวาคม 2487 เอกสารของ แลนดอน ระบุว่า เสนีย์ ปราโมช ได้รับแจ้งว่าผู้สำเร็จราชการฯ ปรีดี พนมยงค์ ต้องการให้เขาจัดตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นในสหรัฐฯ อย่างไรก็ตาม เสนีย์ปฏิเสธข้อเสนอนี้ เพราะขัดต่อหลักการที่เขายึดถือ และสหรัฐฯ วิเคราะห์ว่า ปรีดีอาจกำลังวางแผนหลบหนีออกจากประเทศไทย และต้องการมีบทบาทสำคัญในขบวนการปลดแอกไทย

อย่างไรก็ตาม เมื่อแนวทางรัฐบาลพลัดถิ่นไม่ได้รับการสนับสนุน ปรีดีจึงปรับกลยุทธ์โดยใช้แนวทางยกเลิกประกาศสงครามกับสัมพันธมิตร ซึ่งมีประสิทธิภาพมากกว่า นโยบายนี้แสดงให้เห็นถึงการปรับตัวตามสถานการณ์ของผู้นำเสรีไทย  และใช้แนวทางทางการเมืองและการทูตที่เหมาะสมที่สุดเพื่อรักษาเอกราชและอธิปไตยของไทย

จุดเปลี่ยนในช่วงต้นปี 2488

ต้นปี 2488 ถือเป็นช่วงเปลี่ยนผ่านสำคัญของสงครามโลกครั้งที่ 2 และของประเทศไทยเอง ฝ่ายสัมพันธมิตร โดยเฉพาะสหรัฐฯ เริ่มเห็นถึงความสำคัญของขบวนการเสรีไทย และแสดงท่าทีสนับสนุนไทยมากขึ้น โดยมองว่าไทยเป็นประเทศที่ถูกญี่ปุ่นยึดครองและควรได้รับการช่วยเหลือเพื่อกลับคืนสู่เอกราช ในขณะที่ อังกฤษยังคงถือว่าไทยเป็นฝ่ายศัตรู และต้องมีการ “จัดการพิเศษ” หลังสงคราม โดยกำหนดเงื่อนไขต่าง ๆ เช่น ต้องการตั้งคณะกรรมการควบคุมฝ่ายสัมพันธมิตร ซึ่งเป็นสิ่งที่กระทบต่ออธิปไตยของไทย

ขณะที่สหรัฐฯ และอังกฤษยังมีจุดยืนที่ต่างกัน ฝ่ายจีน ภายใต้จอมพลเจียงไคเช็ค สนับสนุนให้ไทยมีเอกราช และสนับสนุนการจัดตั้ง “รัฐบาลไทยอิสระชั่วคราว” ในต่างแดน สิ่งนี้สร้างแรงกดดันต่ออังกฤษ ซึ่งไม่ต้องการให้จีนหรือสหรัฐฯ มีอิทธิพลเหนือไทย

ปรีดี พนมยงค์ ในฐานะผู้สำเร็จราชการฯ ได้ดำเนินยุทธศาสตร์ทางการทูต โดยเสนอให้ยกเลิกประกาศสงครามกับสัมพันธมิตร และคืนดินแดนที่ไทยได้รับจากญี่ปุ่นแก่พม่าและมลายู เพื่อแสดงความจริงใจ เขายังเสนอให้ไทยมีส่วนร่วมในสงครามต่อต้านญี่ปุ่นโดยการจัดตั้งรัฐบาลชั่วคราว หรือคณะกรรมการปลดแอกไทยในต่างแดน เพื่อรับรองบทบาทของขบวนการเสรีไทย และเตรียมการสำหรับรัฐบาลใหม่หลังส่งคราม

ในขณะเดียวกัน ขบวนการเสรีไทยในประเทศเริ่มมีบทบาทสำคัญมากขึ้น โดยให้ความร่วมมือกับกองบัญชาการสัมพันธมิตรด้านข่าวกรองและการจารกรรม ซึ่งช่วยให้ไทยได้รับความไว้วางใจมากขึ้น อย่างไรก็ตาม มีข้อถกเถียงเกี่ยวกับแนวทางการจัดตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นไทย โดยปรีดีสนับสนุนให้มีรัฐบาลชั่วคราวในต่างแดน ขณะที่ ม.ร.ว. เสนีย์ ปราโมช ไม่เห็นด้วย เพราะกังวลว่าจะก่อให้เกิดความสับสนทางกฎหมาย สหรัฐฯ จึงสนับสนุนให้มี "คณะกรรมการเสรีไทย" (Free Thai Liberation Committee) ในต่างแดนแทน

แนวคิด “การจัดตั้งรัฐบาลพลัดถิ่น” ของปรีดี ไม่ใช่ข้อผิดพลาด แต่เป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์เพื่อรักษาสถานะของไทยในเวทีระหว่างประเทศ หากรัฐบาลพลัดถิ่นได้รับการจัดตั้ง ไทยจะสามารถอ้างสิทธิ์เป็นประเทศที่ถูกญี่ปุ่นยึดครอง คล้ายกับกรณีของฝรั่งเศสเสรี (Free France) ที่ได้รับการยอมรับจากสัมพันธมิตร อย่างไรก็ตาม แนวทางนี้ถูกปฏิเสธเพราะขัดกับจุดยืนของสหรัฐฯ และ เสนีย์ ปราโมช ซึ่งไม่ต้องการให้ไทยมีรัฐบาลสองชุด และมองว่าการใช้ช่องทางการทูตผ่านขบวนการเสรีไทยจะให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่า

ฝ่ายสัมพันธมิตรยังคงลังเลที่จะให้การรับรองรัฐบาลพลัดถิ่นของไทย แต่เริ่มยอมรับขบวนการเสรีไทยมากขึ้น โดยมีข้อตกลงระหว่างอังกฤษ-สหรัฐฯ-จีน ว่าควรให้ขบวนการเสรีไทยมีบทบาทสำคัญหลังสงคราม อย่างไรก็ตาม อังกฤษยังยืนกรานว่าควรมีคณะกรรมการควบคุมสัมพันธมิตรในไทย ซึ่งสะท้อนแนวคิดอาณานิคมที่ยังคงมีอิทธิพลอยู่

สรุปสถานการณ์ในช่วงนี้

ไทยอยู่ในสถานะที่ต้องดิ้นรน เพื่อให้ได้รับการยอมรับจากสัมพันธมิตร สหรัฐฯ สนับสนุนขบวนการเสรีไทยแต่ไม่ต้องการให้มีรัฐบาลพลัดถิ่น ขณะที่อังกฤษต้องการควบคุมไทยหลังสงคราม ขบวนการเสรีไทยเองก็มีความขัดแย้งภายในระหว่างแนวทางของปรีดีและเสนีย์ ในท้ายที่สุด ข้อเสนอจัดตั้งคณะกรรมการเสรีไทยในต่างแดนเป็นทางออกที่ดีที่สุด เพราะเป็นจุดสมดุลระหว่างแนวทางของปรีดีและสัมพันธมิตร

ปรีดี พนมยงค์ สามารถใช้ยุทธศาสตร์ทางการเมืองเพื่อรักษาสถานะของไทย โดยเสนอให้ยกเลิกประกาศสงคราม และการแสดงความจริงใจผ่านข้อเสนอคืนดินแดน  แนวทางของปรีดี พนมยงค์ ได้รับการสนับสนุนจากสหรัฐฯ และจีน ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้ไทย รอดพ้นจากสถานะผู้แพ้สงคราม อย่างไรก็ตาม ความขัดแย้งกับอังกฤษยังคงมีอยู่ และยังต้องติดตามต่อไปว่าการเจรจาหลังสงครามจะส่งผลกระทบต่ออนาคตของประเทศไทยอย่างไร

 

เอกสารทางการทูต ตั้งแต่ปี 2486 (1943) ถึง 2488 (1945)

 


บันทึกของ Chief of the Division of Far Eastern Affairs

 

บันทึกของ Chief of the Division of Far Eastern Affairs

(มร.บัลแลนไทน์)[1]

(วอชิงตัน) ๑๑ ธันวาคม ๑๙๔๓

รายงานการสนทนา[2] ระหว่างข้าราชการของกระทรวงกับอัครราชทูตไทยและผู้ช่วยของเขาสองคน[3] ผู้ซึ่งเพิ่งเดินทางมาถึงจากตะวันออกไกลแสดงว่า ไม่ช้าก็เร็วอาจจะมีการทาบทามรัฐบาลนี้ในเรื่องการจัดตั้งรัฐบาลไทยอิสระพลัดถิ่น หรือคณะกรรมการปลดแอกแห่งชาติไทย (Thai Committee of Liberation) ณ ดินแดนแห่งหนึ่งแห่งใดที่อยู่ภายใต้การควบคุมของสหประชาชาติ ในการสนทนากับข้าราชการของ FE[4] เลขานุการของสถานทูตไทยได้กล่าวว่า (สงวน) ตุลารักษ์เมื่อตอนที่อยู่ในจุงกิ่งได้ส่งเอกสารฉบับหนึ่ง[5] ให้เอกอัครราชทูตอเมริกันซึ่งเลขานุการสถานทูตเข้าใจว่าเป็นคำขอร้องให้ยอมรับและให้การร่วมมือในการจัดตั้งรัฐบาลไทยอิสระชั่วคราวขึ้นในต่างประเทศ แต่จนบัดนี้กระทรวงยังไม่ได้รับเอกสารดังกล่าวเลย เมื่อได้พิจารณาความเห็นของอัครราชทูตไทย (ม.ร.ว. เสนีย์ ปราโมช) เท่าที่แล้วมาว่า เขาไม่เห็นด้วยกับโครงการดังกล่าวนี้ จึงไม่อาจบอกได้ว่า ความคิดเห็นของผู้ช่วยสองคนของเขาจะมีอิทธิพลต่อเขา (อัครราชทูตไทย) เพียงใด อย่างไรก็ตาม สิ่งนี้เป็นเรื่องที่ FE เสนอว่า จะศึกษาให้รู้เรื่องเพื่อจะได้พิจารณาว่ากระทรวงควรจะมีท่าทีอย่างไร หากและเมื่อได้รับการทาบทามเรื่องนี้

โจเซฟ ดับเบิลยู บัลแลนไทน์

 


บันทึกของที่ปรึกษาด้านสัมพันธ์ทางการเมือง Adviser on Political Relations

 

๘๙๒.๐๑/๑๒-๑๓๔๓

บันทึกของที่ปรึกษาด้านสัมพันธ์ทางการเมือง Adviser on Political Relations

(มร. ฮอร์นเบ็ค)

(วอชิงตัน) ๑๓ ธันวาคม ๑๙๔๓

อ้างถึงบันทึกของหน่วย FE ลงวันที่ ๙ ธันวาคม[6] บันทึกการสนทนาระหว่างอัครราชทูตไทย และผู้แทนคนอื่น ๆ ของขบวนการเสรีไทย

ในวันที่ ๑๐ ธันวาคม เซอร์ยอร์ช แซนซอม[7] ได้มาหาข้าพเจ้าตามคำขอร้องของเขาเอง และได้แจ้งให้ข้าพเจ้าทราบว่า กระทรวงการต่างประเทศอังกฤษได้ขอให้เขา (แซมซอม) มาหารือกับเราในปัญหาเกี่ยวกับท่าทีอันควรปฏิบัติต่อประเทศไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งปัญหาของขบวนการเสรีไทยและการที่จะติดต่อกับผู้แทนของขบวนการนี้ เซอร์ยอร์ชกล่าวว่า รายงานที่กระทรวงต่างประเทศได้รับ แสดงว่าคนไทยหลายคนกำลังติดต่อกับเจ้าหน้าที่จีน ณ นครจุงกิง และกับเจ้าหน้าที่อเมริกันในประเทศจีน และเจ้าหน้าที่อังกฤษในกรุงเดลฮี เซอร์ยอร์ชกล่าวว่ากระทรวงการต่างประเทศ (อังกฤษ) หวั่นใจว่าอาจจะเกิดการก้าวก่ายกัน อันเป็นผลเนื่องมาจากการขาดการวางแผนและการประสานความคิดเห็นระหว่างเจ้าหน้าที่อังกฤษและอเมริกัน และโดยที่อาจมีการติดต่อมากหลายทางด้วยกัน ก็จะก่อให้เกิดความรับผิดชอบ (Commitments) หรือความรับผิดชอบโดยปริยาย (Implied Commitments) หรือข้อผูกพันตามสัญญา (Inferable Commitments) กับชนชาวไทย หรือกลุ่มคนไทยอันอาจนำไปสู่ความสับสน ความเข้าใจผิด และความยุ่งยาก

ข้าพเจ้าได้บอกเซอร์ยอร์ชว่า เราก็หวั่นเกรงเช่นเดียวกันเกี่ยวกับนัยและทางเป็นไปได้บางประการของการดำเนินสัมพันธภาพกับชนชาวไทยขณะนี้ของเจ้าหน้าที่ฝ่ายต่าง ๆ ผู้ซึ่งมีแนวปฏิบัติและวัตถุประสงค์ไม่เหมือนกัน ข้าพเจ้าได้พูดว่ากระทรวง (ต่างประเทศ) ได้พยายามทำให้เป็นที่กระจ่างชัดแก่หน่วยงานอื่น ๆ ของรัฐบาลนี้ถึงความจำเป็นที่จะต้องใช้ความระมัดระวัง และดำเนินการด้วยความรอบคอบในการติดต่อกับชนชาวไทยหรือกลุ่มคนไทย ข้าพเจ้าได้ชี้ให้เห็นว่าในขณะที่ประเทศไทยและบริเตนใหญ่ประกาศสงครามซึ่งกันและกัน สหรัฐก็มิได้ประกาศสงครามกับประเทศไทยถึงแม้ว่าประเทศไทยจะได้ประกาศสงครามกับเรา และได้ชี้ว่าเราได้เลือกที่จะถือว่าประเทศไทยหรือขบวนการเสรีไทยมีอัครราชทูตไทย ณ กรุงวอชิงตันเป็นตัวแทนอยู่ในประเทศนี้ ดังนั้น เราจึงยอมรับขบวนการเสรีไทย แต่เราไม่ผูกพันตัวเราเองในด้านการตั้งรัฐบาลไทย

เซอร์ยอร์ชและข้าพเจ้ามีความเห็นตรงกันในความปรารถนาที่จะให้มีการปรึกษาหารือกันระหว่างรัฐบาลอังกฤษและรัฐบาลนี้ (สหรัฐ) ในแง่ของการหลีกเลี่ยงมิให้มีการก้าวก่ายกันระหว่างรัฐบาลทั้งสองหรือโดยหน่วยงานของประเทศใดประเทศหนึ่ง

โดยนัยของสิ่งที่ได้ปรากฏในบันทึกของ FE ที่ได้อ้างถึง และโดยนัยของบันทึกฉบับต่อมาของ FE ลงวันที่ ๑๑ ธันวาคม ข้าพเจ้ามีความรู้สึกว่าเป็นความจำเป็นที่หน่วย FE จะต้องศึกษาสิ่งที่ได้กล่าวถึงในบันทึกฉบับหลังของบันทึกทั้งสองนี้ทันที และการปรึกษาหารือในเรื่องนี้ต่อไปกับเซอร์ยอร์ช แซนซอม โดยเร็วที่สุดจะเป็นสิ่งเหมาะสมและให้ประโยชน์

สแตนลี เค ฮอร์นเบ็ค

 


บันทึกของ Chief of the Division of Far Eastern Affairs

 

บันทึกของ Chief of the Division of Far Eastern Affairs

(มร. บัลแลนไทน์)[8]

(วอชิงตัน) ๓๑ ธันวาคม ๑๙๔๓

อ้างถึงเอกสารสำคัญเกี่ยวกับเรื่องขบวนการเสรีไทย (บันทึกจากอัครราชทูตไทย ลงวันที่ ๒๓ ธันวาคม ๑๙๔๓ พร้อมด้วยบันทึกถึงอัครราชทูตไทยของ ส. ตุลารักษ์ ประธานคณะกรรมการเพื่อการปลดปล่อยแห่งชาติไทย (The Committee for Siamese National Liberation)[9] กฎหมายไทยเป็นภาษาไทยหนึ่งชุด[10] เกี่ยวกับหน้าที่ของคนไทยทุกคนที่จะต้องต่อต้านผู้รุกราน ลงวันที่ ๑๑ กันยายน ๑๙๔๑ และบทแถลงการณ์ของ เซอร์ โจไซอาร์ ครอสบี อดีตอัครราชทูตอังกฤษประจำประเทศไทยเกี่ยวกับการที่ประเทศไทยประกาศสงครามกับบริเตนใหญ่และสหรัฐ ๑ ชุด และบันทึกของ มร.ฮอร์นเบ็ค ลงวันที่ ๑๓ ธันวาคม บันทึกการสนทนากับ เซอร์ ยอร์ช แซนซอม ในปัญหาเรื่องขบวนการเสรีไทย)

เป็นที่กระจ่างชัดจากข้อสังเกตของ เซอร์ ยอร์ช แซนซอม ว่าปัญหาท่าทีที่ควรจะปฏิบัติต่อประเทศไทยโดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องขบวนการเสรีไทย และการติดต่อกับผู้แทนของขบวนการนี้เป็นเรื่องที่อยู่ในความสนใจของกระทรวงการต่างประเทศอังกฤษ เซอร์ ยอร์ช ได้ชี้ให้เห็นว่า กลุ่มคนไทยอิสระต่าง ๆ ในจีน อินเดีย และสหรัฐได้มีการติดต่อกันกับกลุ่มทั้งสามของฝ่ายสหประชาชาติ และจากการติดต่อแตกแยกกันออกไปเหล่านี้ก็อาจจะเกิดความรับผิดชอบ (Commitments) หรือความรับผิดชอบโดยปริยาย (Implied Commitments) ต่าง ๆ ซึ่งหากไม่ประสานกันกับความคิดเห็นที่เป็นทางการของเจ้าหน้าที่ก็อาจก่อให้เกิดความเข้าใจผิดและความยุ่งยากได้

ในเรื่องนี้ กระทรวงได้รับข่าวแว่วมาให้ไม่สบายใจว่า ได้เกิดมีความเห็นแตกแยกกันและเกิดความไม่ชอบและคลางแคลงซึ่งกันและกันระหว่างอัครราชทูตไทยในวอชิงตันและทูตทหารบกไทย[11] ผู้ซึ่งถูกส่งจากกรุงวอชิงตันไปนครจุงกิง เราได้ทราบอีกด้วยว่า คนไทยบางคนในประเทศจีนหรือบางคนที่เคยไปอยู่ในเมืองจีนมาแล้วมีความรู้สึกว่าคนจีนปรารถนาจะใช้ตนเพื่อผลประโยชน์ทางการเมืองในทำนองเดียวกันคนไทยในอินเดียก็มีความรู้สึกต่อคนอังกฤษเช่นนั้น นอกจากนี้เป็นที่เข้าใจกันด้วยว่า คนอังกฤษและคนจีนมีความแคลงใจในวัตถุประสงค์ของรัฐบาลสหรัฐฯ ที่มีต่ออัครราชทูตไทยและประเทศไทยหลังสงคราม ไม่มีปัญหาเลย สิ่งนี้ถูกกระตุ้นโดยความจริงที่ว่า อัครราชทูตไทยเป็นบุคคลที่เด่นที่สุดในขบวนการเสรีไทยนอกประเทศไทยเท่าที่เป็นอยู่ขณะนี้

บันทึกของอัครราชทูตไทยอันมีพื้นฐานมาจากบันทึกที่ตุลารักษ์ส่งถึงเขาได้ชี้ถึงความต้องการรีบด่วนที่จะต้องมีการวางเค้าโครงและประสานความคิดเห็นระหว่างเจ้าหน้าที่ในปัญหาของขบวนการเสรีไทย

บันทึกของตุลารักษ์ได้รายงานกำลังของขบวนการในเมืองไทยซึ่งเขาอ้างว่าเขาเป็นตัวแทน และโดยอาศัยการแสดงดังกล่าวเป็นพื้นฐานได้ยื่นข้อเสนอพิเศษทางการเมืองและทางการทหาร คำขอร้องทางการเมืองของเขาก็คือจะต้องมีการให้การยืนยันว่าขบวนการเพื่อการกู้ชาติไทย (The Movement for Siamese National Liberation) จะได้รับการรับรองอย่างเป็นทางการ และจะต้องมีการจัดตั้งรัฐบาลไทยอิสระขึ้นในดินแดนแห่งใดแห่งหนึ่งในอาณาเขตของสัมพันธมิตร หากมีการช่วยนำนักการเมืองบางคนซึ่งเป็นผู้นำของขบวนการในประเทศไทยออกมานอกประเทศได้ หากการรับรองนี้เป็นไปได้เขาก็จะขอร้องต่อไปว่าให้เลิกการอายัดเครดิตของรัฐบาลสยามเพื่อให้รัฐบาลสยามอิสระนำมาใช้จ่าย หากและเมื่อได้มีการจัดตั้งรัฐบาลขึ้น และยังได้มีการแนะนำอีกด้วยว่า ควรให้ มร. เพ็ค อดีตทูตอเมริกันมาร่วมกับรัฐบาลสยามอิสระ และควรแต่งตั้ง มร. เอฟ อาร์ ดอลแบร์ อดีต Adviser for Foreign Affairs ผู้ซึ่งขณะนี้ปฏิบัติงานอยู่กับหน่วย โอ.เอส.เอส. ให้กลับสู่ตำแหน่งเดิม

ในบันทึกของเขา ทูตไทยได้ถือเอาบันทึกของตุลารักษ์เป็นจุดแตกแยก และได้ให้สิ่งที่เขาเชื่อว่าเป็นพื้นฐานที่ถูกต้องสำหรับขบวนการไทยอิสระ เขาได้เล่าถึงความเป็นมาในตอนที่ญี่ปุ่นยึดครองประเทศไทยและระลึกว่าเขาได้ประณามการเข้าร่วมกับญี่ปุ่นของประเทศไทยในเอกสารลงวันที่ ๑๒ ธันวาคม ๑๙๔๑ ซึ่งได้เก็บไว้ ณ กระทรวง ทูตได้อ้างต่อไปถึงหลักฐานต่างๆ เพื่อแสดงว่าชาติไทยได้ต่อต้านญี่ปุ่นในทุกวิถีทางที่ทำได้ เขาสรุปพร้อมกับคำขอร้อง “ที่จะทำสัญญาประนีประนอมกับรัฐบาลสหรัฐฯ ด้วยความมุ่งหมายที่จะดำเนินการต่อต้านศัตรูของชนชาติไทย ตามที่กฎหมายได้ระบุไว้ไปจนถึงจุดหมายปลายทางที่เป็นเกียรติสูงส่ง

คำขอร้องของทูตไทยก่อให้เกิดปัญหาเรื่องแนวทางที่กระทรวงจะต้องปฏิบัติเกี่ยวกับขบวนการเสรีไทย

ทางหนึ่งก็คือยอมให้ขบวนการนั้นดำเนินไปดังที่เป็นอยู่ขณะนี้ แต่ให้มีนิยามของสถานะที่ชัดแจ้งกว่านี้เพื่อหลีกเลี่ยงการเข้าใจผิดระหว่างสมาชิกสหประชาชาติที่สนใจ คนไทยจะเป็นบุคคลสำคัญหรือไม่ก็ตาม หากสามารถเล็ดลอดออกมาได้จากประเทศไทยก็ย่อมมีเสรีที่จะเข้าร่วมขบวนการนี้และมีส่วนในการสงคราม ข้อได้เปรียบของการไม่จัดตั้งหน่วยงานที่มีนัยในทางการเมืองอย่างเป็นทางการย่อมเห็นได้ชัดอยู่แล้วและไม่จำเป็นต้องอธิบาย ณ ที่นี้

อีกสองแนวทางก็คือการจัดตั้ง (๑) รัฐบาลพลัดถิ่น หรือ (๒) คณะกรรมการปลดปล่อยแห่งชาติ (Committee of National Liberation) แต่ละทางย่อมจะขึ้นอยู่กับองค์ประกอบซึ่งไม่สามารถจะบอกได้ คือ (ก) ความสามารถของไทยอิสระจำนวนพอสมควรที่จะสามารถหนีเล็ดลอดออกมาจากประเทศไทย (ข) ขอบเขตซึ่งผู้ที่หนีออกมาได้นี้จะเป็นตัวแทนในความรู้สึกของประชาชนชาวไทยอย่างแท้จริงได้เพียงใด (ค) ข้อได้เปรียบและเสียเปรียบโดยแท้จริงต่อความพยายามในการสงครามของหน่วยงานที่เป็นทางการนี้ และ (ง) ความเต็มใจของรัฐบาลนี้ที่จะเข้ายุ่งเกี่ยวในการเมืองภายในของประเทศไทยจนถึงขั้นที่จะตัดสินว่า กลุ่มไทยอิสระหรือรัฐบาลชุดพิบูลสงครามซึ่งตั้งขึ้นโดยถูกต้องตามกฎหมายและยังคงปกครองประเทศอยู่ในกรุงเทพฯ แม้ว่าจะอยู่ภายใต้การครอบครองของญี่ปุ่น จะเป็นตัวแทนของประเทศไทยที่แท้จริง

อาจกล่าวได้ว่า ข้อขัดแย้งต่อแนวปฏิบัติทั้งสองประการนี้ก็คือการที่กระทรวงจะยอมรับหน่วยงานแต่ละประเภทที่ได้กล่าวมาแล้ว จะเป็นการค้านกับนโยบายไม่ยอมรับรองขบวนการอิสระใด ๆ ท่าทีของกระทรวงที่มีอยู่ขณะนี้ต่อขบวนการอิสระใดๆ (free movements) จะไม่เกินไปจากคำกล่าวที่ มร. จอห์น ฮิกเกอร์สัน (แทนรัฐมนตรีต่างประเทศ) กล่าวไว้ในจดหมายถึงผู้พิพากษาเฟลิกซ์ ฟอร์เต ซึ่งส่งไปในวันที่ ๒๘ พฤษภาคม ๑๙๔๗[12] เพื่อตอบคำถามเกี่ยวกับนโยบายของรัฐบาลนี้ที่มีต่อขบวนการอิสระในสหรัฐฯ คำตอบมีอยู่ว่า “กระทรวงไม่ได้ให้การยอมรับเป็นทางการต่อขบวนการอิสระใด ๆ เลย” ถึงแม้ว่าขบวนการเหล่านี้จะถูกมองและปฏิบัติต่อด้วยความเห็นใจและเข้าใจ ในระยะสองสามวันที่แล้วมานี้ ท่าทีดังกล่าวนี้ก็ได้รับการยืนยันอีกครั้งหนึ่งโดยเจ้าหน้าที่ของ Eu[13] ต่อประเทศออสเตรียปัญหาของกลุ่มออสเตรียเกิดเป็นผลตามมาจากการประกาศของมอสโคว์

หากมองกันอย่างผิวเผินแล้วก็ดูเหมือนว่าคณะกรรมการปลดปล่อยแห่งชาติฝรั่งเศส (The French Committee of National Liberation) จะเป็นตัวอย่างที่มีมาก่อนคณะกรรมการของคนไทยซึ่งมีลักษณะคล้ายกัน แต่ที่จริงแล้วทั้งสองคณะนี้แตกต่างกันมาก เป็นการสมควรที่จะกล่าวว่าคนฝรั่งเศสเป็นพันธมิตรที่แข็งขันของ เรา และคณะกรรมการแห่งฝรั่งเศสเป็นตัวแทนการร่วมงานที่ดีที่สุดในการสงคราม ซึ่งชาวฝรั่งเศสในฐานะพันธมิตรของเราสามารถทำได้อยู่ในขณะนี้ และขณะนี้ฝรั่งเศสก็ครอบครองดินแดนที่อยู่ภายในแดน (sphere) ของสหประชาชาติอย่างแท้จริง ฝรั่งเศสไม่ได้เป็นข้อยกเว้นสำหรับนโยบายของกระทรวงในเรื่องขบวนการอิสระ เพราะเรามิได้ถือว่าเป็นขบวนการอิสระในความหมายทั่วๆ ไป ตามคำกล่าวของเจ้าหน้าที่ Eu บางคน ถือว่าฝรั่งเศสเป็นแบบฉบับหนึ่ง รัสเซียไปไกลยิ่งกว่านี้ โดยยอมรับว่าคณะกรรมการฝรั่งเศส (The French Committee) เป็นตัวแทนผลประโยชน์ของสาธารณรัฐฝรั่งเศส (representative of the state interests of the French Republic) และได้แลกเปลี่ยนผู้แทนทางการทูต (plenipotentiary representatives) สหรัฐฯ ได้ออกแถลงการณ์รับรองคณะกรรมการฝรั่งเศส (The French Committee) ว่า ได้ครอบครองและยอมรับการมีอำนาจในดินแดนเหล่านั้น สหรัฐได้แต่งตั้ง มร. เอ็ดวิน ซี วิลสัน เป็นผู้แทนของรัฐบาลต่อคณะกรรมการฝรั่งเศส (The French Committee) มีฐานะเทียบเท่าเอกอัครราชทูต

รัฐบาลพลัดถิ่นต่าง ๆ เช่น รัฐบาลพลัดถิ่นเนเธอร์แลนด์ ก็มิได้เป็นตัวอย่างที่มีมาก่อน สำหรับกลุ่มของข้าราชการไทยผู้ซึ่งอาจหนีมาจากเมืองไทยเพื่อจัดตั้งรัฐบาลพลัดถิ่น รัฐบาลพลัดถิ่นต่าง ๆ ซึ่งได้รับการรับรองนี้ปฏิบัติหน้าที่อยู่เป็นปกติก่อนการยึดครองของฝ่ายอักษะ และยังคงปฏิบัติหน้าที่ต่อไปอย่างธรรมดาภายในขอบเขตของสถานการณ์ใหม่ นอกจากนี้บุคคลเหล่านี้ก็คาดหวังจะกลับไปยังประเทศต่าง ๆ ของตนเพื่อรับงานบริหารต่อไปอีก

สถานการณ์ของประเทศไทยใกล้เคียงกับประเทศเดนมาร์คมากกว่าประเทศอื่น ๆ ที่ถูกครอบครองโดยฝ่ายอักษะ ทั้งสองประเทศต่างมีทูตที่ได้รับการยอมรับอยู่ ณ กรุงวอชิงตัน ซึ่งต่างก็ประกาศตนเป็นอิสระไม่ขึ้นต่อรัฐบาลปัจจุบัน ในขณะที่ทั้งสองต่างประกาศยืนยันความภักดีต่อกษัตริย์ ทั้งสองต่างมีกษัตริย์ซึ่งขณะนี้ทรงเป็นองค์พระประมุขของรัฐบาลและผู้ซึ่งจะยังทรงเป็นกษัตริย์ต่อไปเพื่อการจัดตั้งรัฐบาลประชาธิปไตยภายหลังสงคราม สหรัฐมิได้อยู่ในภาวะสงครามกับประเทศใดประเทศหนึ่งทั้งสองนี้ แต่ประเทศไทยได้ประกาศสงครามกับสหรัฐ บุคคลสําคัญผู้ซึ่งสามารถจัดตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นได้หนีออกมาจากเดนมาร์ค ในขณะที่บุคคลสำคัญของไทยก็กำลังกะแผนการที่จะหนีออกมาจากประเทศไทย ในทางตรงกันข้ามกษัตริย์ไทยในสวิตเซอร์แลนด์มิได้ตกอยู่ในกำมือของข้าศึกดังเช่น กษัตริย์เดนมาร์ค จนกระทั่งบัดนี้กระทรวงได้คัดค้านความคิดในการจัดตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นของเดนมาร์ค

ทางปฏิบัติอีกทางหนึ่งก็คืออนุญาตให้คนไทยจัดตั้งสภาซึ่งอาจมีชื่อเรียกว่า สภาที่ปรึกษาตัวแทนขบวนการกอบกู้ชาติไทย (The Advisory Council Representing the Movement of Thai National Liberation) สภานี้ควรจะประกอบด้วยบุคคลสำคัญจากประเทศไทยผู้เป็นตัวแทนของ The Movement of Siamese National Liberation (ตามที่ได้กล่าวไว้ในบันทึกของ ส. ตุลารักษ์) บุคคลเหล่านี้ทูตไทยในกรุงวอชิงตันรับรอง สภานี้จะไม่มีฐานะทางการเมือง (political status) แบบรัฐบาลพลัดถิ่นเช่นพวกเนเธอร์แลนด์ หรือแบบ National Committee of Liberation ของฝรั่งเศสสัมพันธ์ทางการทั้งหมดจะต้องกระทำกับทูตไทยดังที่เคยปฏิบัติมา อย่างไรก็ตามเป็นที่เข้าใจกันว่าทูตไทยจะพูดตามคำแนะนำของสภานี้ และการกระทำของเขาจะแทนความคิดเห็นที่ได้พิจารณากันแล้วของสภานี้ การจัดตั้งดังกล่าวนี้จะหลีกเลี่ยงการปฏิบัติผิดนโยบายของกระทรวงที่จะมิยอมให้ฐานะทางการเมืองแก่ขบวนการอิสระ และจะหลีกเลี่ยงความยุ่งยากของ National Committee of Liberation ซึ่งจะมีความรับผิดชอบทางการเมืองโดยปริยายหรือข้อผูกพันตามสัญญา (implied of inferable political commitments) จะหลีกเลี่ยงความล่อแหลมของการจัดตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นซึ่งย่อมคาดหวังว่า จะกลับไปประเทศไทยเพื่อเป็นรัฐบาลอยู่อย่างน้อยที่สุดในระยะเวลาเริ่มแรก มันจะหลีกเลี่ยงความยุ่งยากที่จะเกิดขึ้นในการเอารัฐบาลนี้หรือรัฐบาลในสหประชาชาติอื่น ๆ ไปผูกพันกับแนวความคิดของรัฐบาลพลัดถิ่น หรือ Committee of National Liberation ในขณะที่มีองค์ประกอบอีกหลายประการที่ยังชั่งไม่ได้ สิ่งนี้เป็นข้อได้เปรียบที่แน่นอนในการเสนอวิธีการให้แก่ คนไทยผู้สามารถในการที่จะทุ่มกำลังและแสดงออกอย่างมีสมรรถภาพเท่าที่จะทำได้ภายใต้สถานการณ์ที่มีขอบเขตจำกัด สภาเช่นว่าควรจะเป็นที่พอใจของคนไทย และควรจะเป็นการขยายขอบเขตของกิจกรรมไทยอิสระซึ่งรัฐบาลประเทศในเครือสหประชาชาติที่สนใจจะสามารถเห็นพ้องด้วยได้

FE เชื่อว่ายังคงมีความต้องการที่จะต้องศึกษาคำแนะนำของการจัดตั้งสภาที่ปรึกษา (An Advisory Council) ต่อไป และในขั้นแรกเพื่อบรรลุวัตถุประสงค์นี้ ขอแนะนำให้กระทรวงปรึกษาเรื่องนี้กับหน่วย โอ.เอส.เอส. ซึ่งคนไทยอิสระส่วนมาก ผู้ประสานงานอยู่กับหน่วยงานอเมริกันปฏิบัติงานอยู่ ภายหลังการประชุมดังกล่าวนี้กระทรวงก็อาจจะขอให้ทูตไทยเข้าพบเพื่อฟังคำอธิบายความคิดเห็นของทูตในจุดที่เป็นเรื่องของปัญหานี้โดยตรง สิ่งที่ควรจะกระทำต่อไปก็คือปรึกษาหารือกับทูตอังกฤษ เซอร์ยอร์ช แซนซอม แต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับผลของการสนทนาระหว่างหน่วย โอ.เอส.เอส. กับทูตไทย อย่างไรก็ตามผลของการสนทนากับ โอ.เอส.เอส. อาจจะแนะว่ากระทรวงควรจะได้เจรจากับเซอร์ยอร์ช แซนซอม ก่อนขอพบทูตไทย ประการสุดท้าย ในกรณีที่มติเป็นเอกฉันท์หลังจากที่ได้มีการปฏิบัติตามแนวที่แนะนำไว้นี้ เราก็อาจจะคาดหวังการวางโครงการร่วมกันในความคิดเห็นอย่างเป็นทางการในส่วนของประเทศสหประชาชาติที่สนใจ เพื่อว่าจะได้หลีกเลี่ยงความเข้าใจผิดใด ๆ เกี่ยวกับเจตนาของสหประชาชาติเรื่องขบวนการเสรีไทยและเอกราชของชาติไทยในอนาคต

พร้อมนี้ ขอแนบร่างจดหมายถึงนายพลโดโนแวน แห่งหน่วย โอ.เอส.เอส. พร้อมทั้งส่งบันทึกของทูตไทย และรายงานการสนทนาของ มร. ฮอร์นเบ็ค กับ เซอร์ ยอร์ช แซนซอม หลังจากการส่งจดหมายนี้อาจจะติดต่อทางโทรศัพท์กับ พ.อ. เอ็มเพรสตัน กู๊ดเฟลโวล์ แห่ง โอ.เอส.เอส. เพื่อขอให้เขามาที่กระทรวงเพื่อปรึกษาเรื่องราวทั้งหมดกับ มร. ฮอร์นเบ็ค และเจ้าหน้าที่ของ FE

เจ ดับเบิลยู บี

(โจเซฟ ดับเบิลยู บัลแลนไทน์)

 


บันทึกการสนทนา โดย The Assistant Chief of the Division of Southwest Pacific Affairs

 

๘๙๒.๐.๑/๑๒-๑๒๔๔

บันทึกการสนทนา โดย The Assistant Chief of the Division of Southwest Pacific Affairs

(มร. แลนดอน)

(วอชิงตัน) ๑๒ ธันวาคม ๑๙๔๔

ผู้ร่วมสนทนา : อัครราชทูตไทย หม่อมราชวงศ์เสนีย์ ปราโมช

มร. แอบบ๊อต แอล มอฟแฟต[14] และ เคนเนท พี แลนดอน

ทูตไทยได้มาพบตามคำขอร้องของ มร. แลนดอน เพื่อฟังข่าวเกี่ยวกับเรื่องขบวนการเสรีไทยที่มีอยู่ใน (เอกสาร) ๕๐๔๐ แห่งสต๊อคโฮล์ม ลงวันที่ ๘ ธันวาคม[15]

ทูตไทยได้รับแจ้งว่ามีข่าวมาจากทูตอรรถกิติ[16] ณ กรุงสต๊อคโฮล์มว่า พี่ชายของเขาผู้สำเร็จราชการในกรุงเทพฯ ปรารถนาจะให้ทูตปราโมชจัดตั้งรัฐบาลอิสระขึ้นในสหรัฐโดยมีตัวทูตเองเป็นหัวหน้า นอกจากนี้ทูตอรรถกิติยังได้ขอร้องให้ทูตปราโมชส่งตัวแทนไปยังสต๊อคโฮล์มเพื่อปรึกษาเรื่องนี้

ทูตไทยกล่าวว่า ข่าวนี้มิใช่สิ่งที่เขาคาดหวังไว้ และขัดต่อหลักการที่เขาได้เคยประกาศไว้ เขากล่าวว่า เขาไม่เข้าใจเลยว่า ทำไมผู้สำเร็จราชการฯ จึงได้ขอร้องเช่นนี้ มร. แลนดอน ได้แนะว่า อาจเป็นไปได้ว่าผู้สําเร็จราชการฯ[17] ได้วางแผนที่จะหลบออกจากประเทศไทย และปรารถนาที่จะจัดเตรียมองค์การ (กู้ชาติ) ไว้ เพื่อเขาจะได้ดำเนินการต่อได้ทันที และมีตำแหน่งอยู่ในองค์การนั้น

มร. มอฟแฟตได้ชี้ว่า เป็นการยากอย่างยิ่งยวดในการที่จะส่งผู้แทนไปสต๊อคโฮล์มโดยมิให้ฝ่ายข้าศึกสังเกตได้ ทูตไทยได้กล่าวว่า อาจจะส่งคนอเมริกันไปอย่างเงียบ ๆ แต่สิ่งนี้เป็นเรื่องที่จะต้องศึกษากันต่อไป ผู้เข้าประชุมมีความเห็นร่วมกันว่าควรศึกษาปัญหาต่าง ๆ ที่ทูตอรรถกิติส่งมาต่อไปอีก[18]

 


บันทึกของหน่วยกิจการแปซิฟิคตะวันตกเฉียงใต้ The Director of the office of Far Eastern Affairs

 

๘๙๒.๐๑/๑-๑๓๔๕

บันทึกของหน่วยกิจการแปซิฟิคตะวันตกเฉียงใต้ The Director of the office of Far Eastern Affairs

(วอชิงตัน) ๑๓ มกราคม ๑๙๔๕

บันทึกสำหรับประธานาธิบดี

เพื่อหารือกับ มร. เชอร์ชิล และจอมพล สตาลิน[19]

เรื่อง ฐานะของประเทศไทยในอนาคต

นโยบายของอังกฤษต่อประเทศไทยแตกต่างไปจากนโยบายของเรา อังกฤษถือว่าประเทศไทยเป็นศัตรูและมีความคิดเห็น

๑. เอกราชของประเทศไทยหลังสงครามจะต้องเป็นไปตามเงื่อนไขการยอมรับ “การจัดการพิเศษเพื่อความปลอดภัยหรือการร่วมมือทางเศรษฐกิจภายในระบบสากล”

๒. ควรถือคาบสมุทรไทยจากมาลายูถึงแลตติจูดเหนือประมาณ ๑๒ ํ เป็นจุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญและควรจัดให้มีการป้องกันดำเนินการเพื่อความปลอดภัยระดับนานาชาติโดยประเทศมหาอำนาจ หรือโดยที่ประชุมนานาชาติ มีรายงานว่าความคิดเห็นดังกล่าวนี้เป็นของ มร. เชอร์ชิล การปฏิบัติดังกล่าวอาจมีผลในการลดสิทธิการปกครองของไทย (Thai administrative rights) ในอาณาเขตดังกล่าว

๓. ไม่จำเป็นต้องมีรัฐบาลทหารที่แท้จริง นอกจากในบางแห่งที่เป็นพื้นที่ที่มีการรบ อย่างไรก็ดีทางอังกฤษเชื่อว่าควรมีการจัดตั้งคณะกรรมการควบคุมฝ่ายสัมพันธมิตรขึ้นในประเทศไทย ซึ่งควรมีต่อไประยะหนึ่ง

๔. อังกฤษไม่ควรติดต่อกับรัฐบาลไทยใดๆ ในขณะนี้

ในทางตรงข้าม เรามิได้ถือว่าประเทศไทยเป็นศัตรู แต่ถือว่าเป็นประเทศที่ถูกยึดครองโดยศัตรู เรารับรองทูตไทยในกรุงวอชิงตันว่าเป็น “ทูตของประเทศไทย” มีฐานะเช่นเดียวกับทูตของเดนมาร์ค เราพอใจที่ประเทศไทยจะเป็นอิสระมีเอกราชโดยที่ไม่เสียอธิปไตย มีการปกครองด้วยรัฐบาลที่คนไทยเลือกเอง ประเทศไทยเป็นประเทศหนึ่งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ซึ่งยังคงเป็นเอกราชก่อนเกิดสงคราม เราเชื่อว่าจะเป็นข้อเสียแก่ผลประโยชน์ของอเมริกัน ตลอดทั้งตะวันออกไกล หากประเทศไทยจะถูกลิดรอนดินแดนที่มีอยู่ใด ๆ ก่อนสงคราม หรือถูกลิดรอนฐานะความเป็นเอกราชอันเป็นผลเนื่องมาจากสงครามซึ่งเราจะมีส่วนอย่างใหญ่ยิ่งในการยอมจำนนของญี่ปุ่นผู้รุกราน ประวัติศาสตร์ของแรงผลักดันของประเทศยุโรปต่อชาติไทยและการแย่งดินแดนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ยังคงแจ่มจ้าอยู่ในความทรงจำของชาวเอเชีย รัฐบาลนี้ไม่สามารถที่จะมีส่วนร่วมรับผิดชอบในประการใดๆ ก็ตามในการดำเนินลัทธิจักรวรรดินิยมแบบเดียวกับก่อนสงครามต่อประเทศไทย ไม่ว่าจะแอบแฝงอยู่ในรูปใด ๆ ก็ตาม ในเมืองไทยรัฐบาลซึ่งยอมต่อญี่ปุ่นและซึ่งร่วมมือกับญี่ปุ่นอย่างชั่วช้าได้ถูกแทนด้วยคณะรัฐบาล ซึ่งควบคุมโดยประดิษฐ์ ผู้สำเร็จราชการฯ ปัจจุบัน ผู้ซึ่งเป็นผู้นำของคนไทยที่มีผู้เคารพมากที่สุด และเป็นปรปักษ์ของญี่ปุ่นมาตั้งแต่เริ่มต้น อเมริกันได้เริ่มการติดต่อกับประดิษฐ์ผู้ซึ่งช่วยงานจารกรรมของฝ่ายสัมพันธมิตรอย่างจริงจัง และผู้ซึ่งได้แสดงความปรารถนาว่าประเทศไทยจะร่วมรบต่อต้านญี่ปุ่น และกองทัพไทยจะต่อสู้เคียงข้างกับสัมพันธมิตร

เป็นความเห็นของกระทรวงนี้ว่า ควรจะใช้ความพยายามเพื่อชักชวนคนอังกฤษให้เปลี่ยนแผนการของเขาเสีย เพื่อว่าแผนการของเขาจะได้ไม่ขัดแย้งกับแผนการของเรา เป็นที่เชื่อว่าหากประเทศไทยร่วมในการสงครามต่อต้านญี่ปุ่น ก็ควรจะต้องถือว่าเป็นประเทศที่ถูกปลดปล่อย และรัฐบาลของประเทศไทยควรจะได้รับการรับรอง อย่างน้อยที่สุดเป็นการชั่วคราว แม้ว่าจะเป็นการเสียเปรียบในแง่ทางการเมืองที่จะใช้กองทัพอเมริกันร่วมในการตีดินแดนอาณานิคมของยุโรปกลับคืน (นอกจากในกรณีที่เป็นความจำเป็นทางทหาร) แต่จะมีข้อได้เปรียบในแง่การเมืองที่จะมอบให้กองทัพอเมริกันภายใต้การบังคับบัญชาที่เป็นอิสระโดยแม่ทัพอเมริกันเป็นผู้รับผิดชอบในการปลดปล่อยประเทศไทย ดีกว่าที่จะให้ประเทศไทยถูกยึดครองในฐานะดินแดนของฝ่ายศัตรูโดยกองทัพอังกฤษ การที่จะใช้กำลังทหารอเมริกันในประเทศไทยหรือไม่นั้นเป็นปัญหาซึ่งจะต้องตัดสินโดยพิจารณาในแง่ยุทธศาสตร์ทุกประการ

 

เรื่องที่เกี่ยวข้อง:

หมายเหตุ:

  • คงอักขระ การสะกดคำ เลขไทย และการเว้นวรรคตามต้นฉบับ

เอกสารอ้างอิง:

  • ปรีดี พนมยงค์, เรื่อง “ความสนใจของสหรัฐ ในปัญหาการรับรองขบวนการเสรีไทย”, เอกราชได้มาด้วยการต่อสู้, พิมพ์ครั้งที่ 2 (กรุงเทพฯ: เรือนแก้วการพิมพ์, 2543),  น. 36-51.

 


[1] ส่งถึงรัฐมนตรีช่วยว่าการต่างประเทศ มร.ลอง และ มร.เบิร์ล และส่งถึง Adviser on Political Relations (มร.ฮอร์นเบ็ค)

[2] บันทึกของการสนทนาโดย Chief of the Division of Far Eastern Affair ลงวันที่ ๙ ธันวาคม ไม่ได้พิมพ์

[3] สงวน ตุลารักษ์ (หรือตุลารักษ์) และแดง ติลากะ (คุณะดิลก)

[4] หน่วยหนึ่งของ Far Eastern Affairs

[5] เอกสารไม่ลงวันที่ถึงที่ปรึกษาสถานทูตในประเทศจีน โดย ส. ตุลารักษ์ ประธานคณะกรรมการปลดแอกของชนชาวไทย ได้รับ ณ สถานทูตวันที่ ๒๓ กันยายน บันทึกส่งให้กระทรวงการต่างประเทศของอัครราชทูตไทย พร้อมบันทึกของเขาลงวันที่ ๒๓ ธันวาคม ไม่ได้พิมพ์ สำหรับบทย่อของบันทึกไม่มีวันที่ ดูบันทึกวันที่ ๓๑ ธันวาคม โดย Chief of the Division of Far Eastern Affairs หน้า ๑๑๒๑

[6] ไม่ได้พิมพ์

[7] ทูตอังกฤษ

[8] ส่งถึงรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศ (เบิร์ล) และถึงที่ปรึกษาทางด้านรัฐสัมพันธ์ (The Adiser on Relations) (ฮอร์นเบ็ค) ผู้ซึ่งเห็นด้วย

[9] ไม่ได้พิมพ์ เป็นบันทึกฉบับที่สถานทูตในประเทศจีนได้รับเมื่อวันที่ ๒๓ ธ.ค.

[10] ไม่พบแฟ้มที่เก็บรวมไว้

[11] พ.ท.ม.ล. ขาบ กุญชร

[12] ไม่ได้พิมพ์ วันที่ส่งจดหมายนี้จริง ๆ ๖ มิถุนายน ๑๙๔๓

[13] หน่วยหนึ่งของ Europeam Affairs

[14] Chief of the Division of Southwest Pacific Affairs

[15] ไม่ได้พิมพ์

[16] หลวงอรรถกิติกำจร (อรรถกิติ พนมยงค์)

[17] หลวงประดิษฐ์มนูธรรม ได้เป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์แต่ผู้เดียว ภายหลังการลาออกของพระองค์เจ้าอาทิตย์ทิพยอาภาจากคณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ในวันที่ ๒๔ กรกฎาคม ๑๙๔๔

[18] ในบันทึกการสนทนากับทูตไทยในวันที่ ๑๕ ธันวาคม มร.มอฟแฟต เขียนไว้ดังนี้ “ทูตกล่าวว่าภายหลังที่ได้ไตร่ตรองอย่างละเอียดแล้ว เขาก็ได้ตัดสินใจว่า การตั้งรัฐบาลอิสระโดยมีตัวเขาเป็นหัวหน้าจะเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย และว่าเขาไม่มีสิทธิ์หรือำนาจที่จะทำเช่นนั้น และไม่ว่าจะโดยประการใด ๆ ก็ตาม เขาจะไม่ทำสิ่งนี้ ในตอนต่อมาเขาได้แสดงเลศนัยว่า เขาอาจจะพิจารณาข้อเสนอนี้หากสถานการณ์ปรากฎว่ารุนแรงมาก และผู้สำเร็จราชการฯ ต้องการกระทำเช่นว่านี้อย่างรีบด่วน เขากล่าวว่า เขาคิดว่าคำขอร้องนี้หากทำด้วยใจจริงก้ย่อมแสดงฐานะของผู้สำเร็จราชการฯ น่าวิตก และจะต้องมีแรงกดดันจากญี่ปุ่นผลักดันเขา (ผู้สำเร็จราชการฯ) อย่างเหลือหลาย (๗๐๗.๙๒๕๘/๑๒-๑๕๔๔)”

ในบันทึกการสนทนากับทูตไทยในวันที่ ๒๒ ธันวาคม มร.มอฟแฟต กล่าวว่า “เราได้หารือกันอย่างสั้น ๆ ในปัญหาของการจัดตั้งรัฐบาลไทยอิสระที่นี่ และข้าพเจ้าได้กล่าว่า แม้ว่ากระทรวงจะยังมิได้พิจารณาเรื่องนี้ ในส่วนตัวของข้าพเจ้าเห็นว่าข้อเสนอดังกล่าว หากกระทำโดยปราศจากเหตุบางประการซึ่งเราไม่ทราบก็จะไม่ช่วยเขาทั้งหลายเลย และอาจจะเป็นเรื่องที่ทำให้เราไม่สะดวกใจ” (๗๐๑.๙๒๕๘/๑๒-๒๒๔๔)

[19] ประธานาธิบดีโรสท์เวลท์ ประชุมกับนายกรัฐมนตรีอังกฤษ วินสตัน เอส เชอร์ชิล และจอมพล อิโอซิฟ วิซาริโอโนวิช สตาลิน Chairman of the Counicil of People’s Commissary of the Soviet Union ณ ยัลตา ระหว่าง ๔-๑๑ กุมภาพันธ์ ๑๙๔๕ สำหรับเอกสารการประชุมดู Foreign Relations, The Conferrences at Malta and Yalta, 1945 ไม่มีรายงานของการประชุมเกี่ยวกับประเทศไทยที่ยัลตา