ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก
เกร็ดประวัติศาสตร์

สงวน ตุลารักษ์ และคณะราษฎรชาวบ้านบางคล้า (ที่ถูกลืม) ในการปฏิวัติ 2475

22
มิถุนายน
2568

Focus

  • ในวาระ 93 ปี การอภิวัฒน์สยาม ผู้เขียนได้นำเสนอ กลุ่มบุคคลจากอำเภอบางคล้า จังหวัดฉะเชิงเทรากับบทบาทในฐานะสามัญชนผู้ร่วมก่อการอภิวัฒน์ ตั้งแต่ช่วงเวลาก่อนการอภิวัฒน์ ที่ได้ร่วมกับสมาชิกคณะราษฎรในการร่วมดำเนินการ จนกระทั่งภายหลังเหตุการณ์

 

“เมื่อข้าพเจ้ากลับประเทศไทยใน พ.ศ. 2470 ภายหลังที่ไปอยู่ในฝรั่งเศสเกือบ 7 ปีนั้นแล้ว ปรากฏว่าชนรุ่นหนุ่มสมัยนั้นชนิดที่ไม่เคยไปเห็นระบบประชาธิปไตยในต่างประเทศแต่ก็มีความตื่นตัวที่ต้องการเปลี่ยนระบบสมบูรณา ทั้งนี้ก็แสดงถึงว่าผู้ที่มิได้มีความเป็นอยู่อย่างระบบศักดินาเกิดจิตสำนึกที่เขาประสบแก่ตนเองถึงความไม่เหมาะสมของระบบนั้นและอิทธิพลที่เขาได้รับจากสื่อมวลชนที่มีลักษณะก้าวหน้าในสมัยนั้นที่เรียกร้องให้มีการเปลี่ยนระบบศักดินามาเป็นระบบราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ เพราะเหตุนั้นพวกข้าพเจ้าจำนวนน้อยที่กลับมาจากยุโรปจึงไม่มีความลำบากมากนักในการชวนผู้ตื่นตัวในเมืองไทยให้เข้าเป็นสมาชิกคณะราษฎรเพราะเขามีพื้นฐานแห่งความต้องการนั้นอยู่แล้ว[1]

ข้อความข้างต้นเป็นส่วนหนึ่งของงานเขียนของนายปรีดี พนมยงค์ เผยแพร่ในโอกาสครบรอบการปฏิวัติสยาม24 มิถุนายน พ.ศ. 2515 กล่าวถึงความสำคัญของราษฎรภายในประเทศสยามที่มีความตื่นตัวทางการเมือง ดังนั้นเมื่อคณะราษฎรแสวงหาพรรคพวกเพื่อร่วมก่อการเปลี่ยนแปลงการปกครองจึงกระทำได้ไม่ยากนักโดยเฉพาะในหมู่คนรุ่นหนุ่ม ตัวอย่างที่เด่นชัดของสมาชิกคณะราษฎรกลุ่มนี้คือ สมาชิกคณะราษฎรสายพลเรือนระดับรอง ที่ได้รับการศึกษาภายในประเทศและประกอบอาชีพเป็นข้าราชการ ทนายความ และพ่อค้า[2]

เมื่อพิจารณารายนามคณะราษฎรที่รวบรวมโดยนริศ จรัสจรรยาวงศ์ พบว่าสมาชิกทางการของคณะราษฎร มีจำนวนทั้งสิ้น 102 คน แบ่งเป็นสายทหารบก 34 คน สายทหารเรือ 18 คน และสายพลเรือน 50 คน นอกจากนี้ยังมี “รายนามผู้ก่อกำเนิดรัฐธรรมนูญ” อีก 17 คน จากหนังสือ “ประชานุเคราะห์ พ.ศ. 2480” ที่ไม่ได้อยู่ในรายนามสมาชิกคณะราษฎรทางการ[3] ผู้เขียนจึงนำรายชื่อ 17 คนข้างต้นนี้ไปตรวจสอบกับเอกสาร“บัญชีรายนามและตำแหน่งหน้าที่ราชการของผู้ก่อการฯ 24 มิ.ย. 75”[4]  ซึ่งสำรวจข้อมูลในปี พ.ศ. 2489 กับ  “บัญชีรายชื่อของผู้ก่อการเปลี่ยนแปลงการปกครอง เมื่อปี พ.ศ. 2475” ซึ่งหลวงรณสิทธิพิชัย อธิบดีกรมศิลปากรและสมาชิกคณะราษฎรทำการสำรวจข้อมูลในปีพ.ศ. 2493[5] พบว่า สมาชิกคณะราษฎรแบบไม่เป็นทางการหลายคน ยังคงปรากฏชื่อในฐานะสมาชิกคณะราษฎรที่ได้รับการยอมรับจากทางราชการตัวอย่างเช่น นายจ้อย โอปั๊ก นายสมใจ ตุลารักษ์ นายกลึง (สุวรรณ) ช่วงโชติ นายจันทร์ ศิริวัฒน์ นายเพิ่ม ศิริวัฒน์ และนายซุนเซ็ง ตุลารักษ์

ตัวอย่างรายชื่อคณะราษฎร 6 คนข้างต้น มีข้อสังเกตที่น่าสนใจคือ บุคคลเหล่านี้ล้วนเป็นชาวบ้านธรรมดาที่เข้ามาเป็นสมาชิกคณะราษฎรสายพลเรือนในสายของนายสงวน ตุลารักษ์ หลายคนเป็นคนไทยเชื้อสายจีนมีภูมิลำเนาตามหัวเมือง โดยเฉพาะอย่างยิ่งอำเภอบางคล้า จังหวัดฉะเชิงเทรา ภายหลังการปฏิวัติสยามประสบความสำเร็จ บุคคลเหล่านี้มิได้มีบทบาททางการเมืองหรือรับหน้าที่สำคัญในรัฐบาลระบอบใหม่จนกระทั่งถูกลบชื่อออกจากรายนามคณะราษฎรฉบับทางการชื่อของพวกเขาจึงค่อยๆเลือนหายไปจากหน้าประวัติศาสตร์การเมืองไทยในเวลาต่อมา[6]

อย่างไรก็ตามจากการค้นพบ“บรรทึกความจำของบรรณาธิการเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงการปกครองคราวนี้” ของนายสงวน ตุลารักษ์ สมาชิกคณะราษฎรสายพลเรือนคนสำคัญ ซึ่งเผยแพร่ในหนังสือพิมพ์ “24 มิถุนา” นับตั้งแต่ช่วงปลายเดือนสิงหาคมจนถึงต้นเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2475 งานเขียนชิ้นนี้ถือเป็นบันทึกความทรงจำชิ้นแรก ๆ ของสมาชิกคณะราษฎร ที่เผยแพร่เพียงไม่นานภายหลังการปฏิวัติ 2475 โดยเนื้อหาในบันทึกบอกเล่าชีวประวัติของนายสงวน ตั้งแต่การเรียนวิชาสามัญ การเรียนวิชากฎหมาย การประกอบอาชีพทนายความ การคบค้าสมาคมกับบุคคลต่าง ๆ การชักชวนและพบปะผู้ก่อการเปลี่ยนแปลงการปกครองตลอดจนการตระเตรียมการเปลี่ยนแปลงการปกครอง[7]

 


คอลัมน์ “บรรทึกความจำของบรรณาธิการเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงการปกครองคราวนี้”
ของนายสงวน ตุลารักษ์ ในหนังสือพิมพ์ 24 มิถุนา

 

แม้ว่าบันทึกจะกล่าวถึงชีวิตของนายสงวน ตุลารักษ์เป็นแกนเรื่องหลัก แต่ข้อเขียนชิ้นนี้สามารถเปิดเผยเรื่องราวเครือข่ายคณะราษฎรในสายงานระดับรอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการหาสมัครพรรคพวกกันอย่างเอิกเกริกจากบรรดาชาวบ้านคนธรรมดาเพื่อเข้ามาร่วมทำการปฏิวัติ ซึ่งสมาชิกบางคนในสายนี้ ผู้มีอายุน้อยที่สุดคือ 20 ปี ทั้งยังได้รับการยอมรับในฐานะสมาชิกคณะราษฎรอีกด้วย ทว่าต่อมาพวกเขากลับถูกทำให้หายไปจากประวัติศาสตร์การเมืองไทย ดังนั้นผู้เขียนจึงขอใช้บทความชิ้นนี้นำเสนอเรื่องราวของนายสงวน ตุลารักษ์ และคณะราษฎรชาวบ้านบางคล้าที่เข้ามามีส่วนร่วมในการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 โดยอาศัยบันทึกความทรงจำของนายสงวน ตุลารักษ์ เป็นหลักฐานหลักในการศึกษา

 

สงวน ตุลารักษ์ ลูกจีนบางคล้า

 


ภาพถ่ายนายสงวน ตุลารักษ์ พร้อมข้อความเขียนด้วยลายมือ
“ให้ คุณพี่ ปรีดี พนมยงค์ ด้วยความรักใคร่เหมือนพี่ สงวน เตียวเลี่ยงซิม 30/พฤษภ/70”

 

นายสงวน ตุลารักษ์ (นามสกุลเดิม “เตียวเลี่ยงซิม”) เกิดวันที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2445 ณ บ้านปลายคลองบ้านหมู่ ตำบลเสม็ดเหนือ อำเภอบางคล้า จังหวัดฉะเชิงเทรา เป็นบุตรของนายซุ่นติ้ด(ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็นนายณัฏฐ์) ชาวจีนแต้จิ๋วที่เกิดในสยาม กับนางฟัก หญิงชาวไทย โดยบิดาของสงวนยังคงถือธรรมเนียมจีน หาเลี้ยงชีพด้วยการทำสวนทำนาในอำเภอบางคล้า

จากความทรงจำของนายกระจ่าง ตุลารักษ์ น้องชายต่างมารดาของนายสงวนได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับถิ่นกำเนิดของตระกูลตุลารักษ์ว่า เดิมนั้นอยู่ที่ตำบลท่าลาด (ปัจจุบันคือ ตำบลปากน้ำ) อำเภอบางคล้า จังหวัดฉะเชิงเทรา โดยมีหลักฐานสำคัญเป็นศาลเจ้าตระกูลเตียบริเวณริมคลองท่าลาดที่ยังดำรงอยู่ถึงปัจจุบันบิดาของนายสงวนและนายกระจ่างยังเคยเป็นนายแขวงที่มีสถานะเทียบเท่ากำนันรับหน้าที่คุมคนจีนทั้งหมดบริเวณลุ่มแม่น้ำบางปะกง โดยคนจีนที่มาอยู่ด้วยนั้นจะมาช่วยบิดาทำงานทั้งขุดคลองและทำสวนทำไร่[8]

 


ศาลเจ้าตระกูลเตีย ริมคลองท่าลาด อำเภอบางคล้า จังหวัดฉะเชิงเทรา
(ภาพจากศรัญญู เทพสงเคราะห์)

 

สงวนเข้ารับการศึกษาเบื้องต้นที่โรงเรียนวัดใหม่บางคล้าจากนั้นพระอาจารย์ได้ฝากตัวสงวนไว้กับท่านเจ้าคุณวัดอนงคาราม จังหวัดธนบุรี ให้เข้าโรงเรียนสุขุมาลัยในปี พ.ศ. 2456 ต่อมาสงวนได้ย้ายไปพักอาศัยกับป้าที่ถนนหลานหลวงและศึกษาต่อที่โรงเรียนมัธยมวัดเทพศิรินทร์ แต่สงวนเรียนมัธยมได้เพียงปีเดียวต้องลาออกในปี พ.ศ. 2457 เนื่องจากป้าผู้ให้การอุปถัมภ์เกิดขัดสนทางการเงิน สงวนจึงต้องกลับไปอยู่บ้านที่บางคล้าและช่วยบิดาทำสวนทำนา ต่อมาในปี พ.ศ. 2458 สงวนได้กลับไปเรียนมัธยมอีกครั้งที่โรงเรียนตัวอย่างมณฑลปราจีน อย่างไรก็ตามจากปัญหารายได้ที่ไม่แน่นอนของครอบครัวตุลารักษ์ ส่งผลให้นายร้อยเอกขุนวิสุทธิ์รณพัสดุ์(บุญสด ศรีโอภาส) ญาติที่รับราชการทหารในจังหวัดพิษณุโลก ได้รับตัวสงวนไปอุปการะและให้สงวนเข้าเรียนที่โรงเรียนตัวอย่างมณฑลพิษณุโลกนับตั้งแต่ปลายปี พ.ศ. 2458

สงวนได้เข้าเรียนที่พิษณุโลกประมาณปีเศษกลับต้องลาออกจากโรงเรียนและกลับบ้านที่บางคล้าอีกครั้งในปี พ.ศ. 2460 เนื่องจากเกิดเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ที่แปดริ้ว ทำให้เรือกสวนไร่นาของบิดาเสียหายจนสิ้นเนื้อประดาตัว สงวนจึงเปลี่ยนสถานะจาก “นักเรียน” มาเป็น“แรงงาน” ช่วยบิดาและพี่น้องฟื้นฟูที่นาของครอบครัว นอกจากนี้ในช่วงปี พ.ศ. 2462-2463 สงวนยังช่วยบิดาหักร้างถางพงที่ป่าวังเย็น อำเภอบางคล้า (ปัจจุบันคือ ตำบลวังเย็น อำเภอแปลงยาว จังหวัดฉะเชิงเทรา) เพื่อบุกเบิกที่ดินปลูกเผือก มัน กล้วย และข้าว

ช่วงเวลาที่สงวนอยู่กับครอบครัว ณ อำเภอบางคล้าแห่งนี้ ทำให้เขาได้เรียนรู้วิถีชีวิตชาวนาบุกเบิก ซึ่งต้องทำงานฝ่าฟันอุปสรรคความยากลำบากต่าง ๆ เพื่อเปลี่ยนที่ดินรกร้างว่างเปล่าให้กลายมาเป็นที่ดินเพาะปลูก นอกจากนี้สงวนยังได้ใช้ชีวิตโลดโผนด้วยการเป็นนักพนัน นักดื่ม และนักเลงหัวไม้จากความคึกคะนองในช่วงวัยรุ่นจนเกือบถูกคนในครอบครัวตัดขาดแต่ถึงกระนั้นสงวนก็ยังคงเห็นคุณค่าของการศึกษาเมื่อเพื่อนฝูงของสงวนที่บางคล้าชวนสงวนให้กลับมาเรียนมัธยมในพระนคร สงวนจึงนำเงินหลายพันบาทที่ได้กำไรจากการพนันมาเป็นทุนส่วนตัวในการเรียนที่โรงเรียนมัธยมบ้านสมเด็จเจ้าพระยา จังหวัดธนบุรี ในปี พ.ศ. 2464

 


พระยาประมวลวิชาพูล (วงศ์ บุญ-หลง) อาจารย์ใหญ่โรงเรียนมัธยมบ้านสมเด็จเจ้าพระยา

 

การเข้าเรียนเป็นนักเรียนประจำโรงเรียนมัธยมบ้านสมเด็จเจ้าพระยา ถือเป็นจุดพลิกผันชีวิตของสงวนที่ได้รับรู้เหตุการณ์เปลี่ยนแปลงการปกครองในต่างประเทศ และลัทธิการเมืองต่าง ๆ จากพระยาประมวญวิชาพูล (วงศ์ บุญ-หลง) อาจารย์ใหญ่ ผู้สอนวิชาประวัติศาสตร์ รวมถึงได้รู้จักเพื่อนฝูงมากมายที่ต้องการเปลี่ยนแปลงการปกครอง โดยเฉพาะนายหงวน ทองประเสริฐ และนายบุญล้อม พึ่งสุนทร ที่ต่อมาได้เป็นสมาชิกคณะราษฎรในการปฏิวัติสยาม

 


ซ้าย นายหงวน (สงวน) ทองประเสริฐ
ขวา นายบุญล้อม (ปราโมทย์) พึ่งสุนทร

 

นายสงวนสอบไล่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 8 ได้สำเร็จในปีพ.ศ. 2467 จากนั้นได้ประกอบอาชีพครูที่โรงเรียนมัธยมวัดสุวรรณาราม ธนบุรี กระทั่งปลายปี พ.ศ. 2467 นายสงวนได้ตัดสินใจสอบเข้าโรงเรียนกฎหมาย แต่เนื่องจากเขาต้องทำงานตอนกลางวันจนไม่มีเวลาไปฟังเลคเชอร์ เขาจึงต้องเรียนพิเศษวิชากฎหมายในเวลากลางคืนกับขุนสรรพเพทย์พิศาล และได้รู้จักกับเพื่อนนักเรียนกฎหมายที่คิดจะเปลี่ยนแปลงการปกครอง ได้แก่ นายทองอินทร์ อุดล นายกลึง พนมยงค์ (หลวงอรรถกิติกำจร) ขุนวิสุทธจรรยา นายล่งฮั้ว ลิมปนันท์ และนายซิม วีระไวทยะ[9]

ด้านชีวิตครอบครัว นายสงวนได้สมรสกับบุญมา วิบูลย์สวัสดิ์ บุตรีของครอบครัวนายทุนน้อยชาวบางคล้า ที่ประกอบอาชีพค้าขายในตลาดบ้านหมู่ริมแม่น้ำบางปะกงและให้เช่าที่ดินเพาะปลูก ภายหลังการสมรสสงวนและบุญมาได้ย้ายมาอยู่บ้านของแม่ยายในซอยศาลาแดงหลังโรงเรียนเซนต์โยเซฟคอนแวนต์นับตั้งแต่ พ.ศ. 2469 บ้านศาลาแดงแห่งนี้ยังเป็นที่พำนักของเพื่อนนายสงวนจากหัวเมืองหลายคน อาทิ นายหงวน ทองประเสริฐ นายสงวน ชูปัญญา นายนิตย์ อโนมศิริ นายวิชัย วานิช และนายมนัส จรรยงค์ ซึ่งต่อมาพวกเขาเหล่านี้ได้กลายเป็นทนายความ อัยการ ผู้พิพากษา และนักเขียนที่มีชื่อเสียง[10]

ปลายปี พ.ศ. 2469 นายสงวนสอบได้เนติบัณฑิตจึงประกอบอาชีพทนายความร่วมกับเพื่อน ๆ ในสำนักงานทนายความ “ผดุงธรรม” ที่ก่อตั้งโดยขุนวิศุทธจรรยา (สุวรรณ เพ็ญจันทร์) ทนายความชั้นที่ 1 และนายทองอินทร์ อุดล (ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น อินทร์ อุดล) ทนายความชาวร้อยเอ็ด นอกจากนี้นายสงวนยังเป็นผู้ช่วยสอนวิชากฎหมายแก่นักเรียนที่สำนักงานในช่วงเวลากลางคืน

จากบุคลิกของนายสงวนที่เข้ากับผู้อื่นได้ง่ายและถือว่านักเรียนกฎหมายทุกคนเป็นเพื่อน ส่งผลให้เขามีความใกล้ชิดกับนักเรียนกฎหมายในสำนักงานทนายความคณะผดุงธรรม จนสามารถแลกเปลี่ยนความคิดเกี่ยวกับปัญหาต่าง ๆ ของบ้านเมือง รวมถึงแนวคิดการเปลี่ยนแปลงการปกครองให้แก่บรรดานักเรียนกฎหมาย โดยนายสงวนได้ระบุชื่อนักเรียนกฎหมายที่สนิทสนมและชักชวนให้ร่วมเปลี่ยนแปลงการปกครองหลายคน ตัวอย่างเช่น นายเรือเอก ถวัลย์ ธารีสวัสดิ์ (ต่อมาคือ หลวงธำรงค์นาวาสวัสดิ์) นายหงวน ทองประเสริฐ นายสมนึก เอี่ยมปรีชา นายวิชัย วานิช นายสงวน ชูปัญญา นายพร ศิริวัฒน์ และนายบุญส่ง ตัณสวัสดิ์ เป็นต้น[11]

 


หลวงอรรถกิติกำจร (กลึง พนมยงค์) ผู้แนะนำนายสงวน ตุลารักษ์
ให้รู้จักกับนายปรีดี พนมยงค์ จนเข้าร่วมเป็นสมาชิกคณะราษฎร

 

ในปี พ.ศ. 2469 นายสงวนยังได้พบกับหลวงประดิษฐมนูธรรม (ปรีดี พนมยงค์) จากการแนะนำของนายกลึง พนมยงค์ น้องชายต่างมารดาของนายปรีดี โดยนายสงวนได้บันทึกไว้ว่า “การที่ข้าพเจ้าอยากรู้จักกับคุณหลวงประดิษฐมนูธรรมนั้น เพราะข้าพเจ้าทราบข่าวว่าท่านมีนิสสัยในทางเดียวกับข้าพเจ้า แลมีพรรคพวกจากเมืองนอกหลายคน เมื่อต่างเข้าใจความมุ่งหมายกันแล้ว ก็ตกลงหาวิธีที่จะหาสมัครพรรคพวกให้เพิ่มจำนวนขึ้น”[12] อันทำให้นายสงวน ตุลารักษ์ได้เข้าร่วมเป็นสมาชิกคณะราษฎรสายพลเรือน

 

ชาวบ้านบางคล้าเข้าร่วมการปฏิวัติ

เมื่อพิจารณาแนวทางในการหาสมาชิกคณะราษฎรจะพบว่า หัวหน้าสายคนหนึ่งจะมีสมัครพรรคพวกจำนวนหนึ่งและในกลุ่มสมัครพรรคพวกมีบางคนทำหน้าที่เป็นหัวหน้าสายระดับรอง ไปจัดหาสมัครพรรคพวกมาเพิ่มเติมอีกจำนวนหนึ่ง[13] นายสงวน ตุลารักษ์ ถือเป็นหัวหน้าระดับรองของคณะราษฎรที่มีนายปรีดี พนมยงค์ เป็นหัวหน้าสาย โดยนายสงวนได้แสวงหาสมาชิกผู้ร่วมก่อการปฏิวัติใน2 แนวทาง ได้แก่ การชักชวนนักเรียนกฎหมายของสำนักงานทนายความผดุงธรรมที่ไว้วางใจได้เข้ามาเป็นสมาชิก และการตั้งบริษัทค้าข้าวสำหรับแสวงหาสมาชิกและจัดหาทุนในการก่อการปฏิวัติ

บริษัทค้าข้าวเพื่อการปฏิวัติของนายสงวนและมิตรสหายร่วมอุดมการณ์ ใช้ชื่อว่า “บริษัทเสี้ยมฮะจั่น” มีนายทองอินทร อุดล เข้าหุ้นร่วมกับขุนวิศุทธจรรยา มีสำนักงานและฉางข้าวที่ตำบลบางซ่อน อำเภอบางซื่อ จังหวัดพระนคร โดยนายสงวนรับหน้าที่ทำงานในสำนักงานที่กรุงเทพฯ มีนายถวิล อุดล น้องชายนายทองอินทร เป็นเหรัญญิก ส่วนนายทองอินทร ซึ่งเป็นผู้กว้างขวางในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ รับหน้าที่เป็นผู้เดินทางไปซื้อข้าวตามหัวเมืองมาขายที่กรุงเทพฯ[14]

 


นายถวิล อุดล น้องชายนายทองอินทร อุดล

 

ทั้งนี้นายสงวนได้ชักชวนเพื่อน ญาติพี่น้อง และคนจีนหลายคน มาทำงานเป็นหลงจู๊ ผู้จัดการ เสมียน และคนงานของบริษัทค้าข้าวเสี้ยมฮะจั่น เริ่มต้นจากนายพร ศิริวัฒน์ เพื่อนนักเรียนกฎหมาย นายเพิ่ม ศิริวัฒน์ กับนายจันทร์ ศิริวัฒน์ ญาติของนายพร ศิริวัฒน์ สงวนยังชักชวนญาติพี่น้องจากบางคล้าที่มีประสบการณ์ด้านการผลิตและการค้าข้าวมาร่วมงาน ได้แก่ นายสมใจ ตุลารักษ์ (พี่ชายคนโตสุดของนายสงวน) นายสะอาด ตุลารักษ์ นายชุนเซ็ง ตุลารักษ์ ซึ่งต่อมาหลายคนได้เข้าร่วมเปลี่ยนแปลงการปกครอง ดังปรากฏรายนามสมาชิกคณะราษฎรจากการสำรวจในปี พ.ศ. 2493 ได้แก่ นายสมใจ ตุลารักษ์ นายจันทร์ ศิริวัฒน์ นายเพิ่ม ศิริวัฒน์ และนายซุนเซ็ง ตุลารักษ์[15]

อย่างไรก็ตามจากสภาวะเศรษฐกิจตกต่ำทั่วโลกได้ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยนับตั้งแต่ต้นทศวรรษ 2470 โดยเฉพาะราคาข้าวที่มีราคาลดต่ำถึง 2 ใน 3[16] ดังนั้นบริษัทค้าข้าวเสี้ยมฮะจั่นจึงเริ่มประสบปัญหาและต้องเลิกกิจการไปในปี พ.ศ. 2472 โดยนายสงวนได้บันทึกไว้ว่า “การค้าข้าวมีแต่ขาดทุนไม่เคยมีกำไรเลย ซื้อมาเท่าไรราคาข้าวก็ลดลงไปเท่านั้น ประจวบกับคราวเศรษฐกิจตกต่ำ ทางโรงสีไฟก็พยายามเอารัดเอาเปรียบทุกทาง คงขาดทุนไปประมาณ 2 หมื่นบาทเศษว่าจะทำต่อไปคงมีแต่หนทางขาดทุน จึงตกลงกันเลิก ส่วนที่ดินแลฉางข้าวที่ตำบลบางซ่อนคงให้คนเช่าหรือฝากให้คนเฝ้าที่ดินไว้”[17]

ก่อนจะเลิกกิจการบริษัทค้าข้าว นายสงวนได้มอบหมายให้เพื่อนร่วมงานที่สมัครใจเข้าร่วมปฏิวัติ ได้แก่ นายเพิ่ม ศิริวัฒน์ นายจันทร์ ศิริวัฒน์ และนายซุนเซ็ง ตุลารักษ์ เข้าเรียนวิชาเครื่องยนต์ ขณะที่นายสมใจกับนายสะอาด ตุลารักษ์ ให้กลับไปหาสมัครพรรคที่ฉะเชิงเทราเพื่อมาเป็นกำลังในการปฏิวัติ ส่วนนายถวิล อุดล กับนายพร ศิริวัฒน์ ให้กลับมาเรียนวิชากฎหมายจนกว่าจะสอบได้เป็นเนติบัณฑิต[18]

 


นายซิม วีระไวทยะ คณะราษฎรสายพลเรือน

 

หลังเลิกกิจการค้าขายในปี พ.ศ. 2472 นายสงวนได้กลับมาประกอบอาชีพทนายความที่สำนักงานทนายความคณะผดุงธรรมอีกครั้ง รวมถึงรับนายซิม วีระไวทยะ เพื่อนทนายความ มาเข้าร่วมเป็นสมาชิกคณะราษฎร ในปีเดียวกันนั้นนายภาณุช เทพหัสดิน ณ อยุธยา ซึ่งมีห้างค้าขายเครื่องยนต์ ได้ชักชวนนายสงวนและนายซิม ให้มาช่วยกิจการค้าขายเครื่องยนต์ตามหัวเมือง ดังนั้นสงวนจึงดึงตัวนายเพิ่ม นายจันทร์ และนายซุนเซ็ง ที่เรียนวิชาเครื่องยนต์พอจะขับรถและซ่อมเครื่องยนต์มาร่วมทำงานกับนายภาณุชด้วย

การร่วมงานค้าขายครั้งนี้ทำให้นายสงวนได้รู้จักคนที่สนใจเปลี่ยนแปลงการปกครองอีกหลายคน อาทิ นายวุฒิ วีระไวทยะ ญาติของนายซิม วีระไวทยะ นายชิต สัมมะสุด และนายร้อยโท ขุนบุญวัฒน์วิชัย (บุญช่วย อังคนาวิน) เพื่อนของนายชิต โดยทั้งสามคนนี้ได้ตกลงร่วมมือทำการเปลี่ยนแปลงการปกครองด้วย[19]

ต่อมาเมื่อบริษัทภาณุชประสบปัญหาเกี่ยวกับผู้ถือหุ้นและหนี้สิน นายสงวน นายซิม นายเพิ่ม นายจันทร์ และนายซุนเซ็ง ได้ตัดสินใจแยกย้ายไปทำมาหากินตามแนวทางของตน ดังนั้นนายสงวนกับนายซิมจึงกลับไปประกอบอาชีพทนายความที่สำนักงานทนายความคณะผดุงธรรมเช่นเดิม

ในเดือนเมษายน พ.ศ. 2473 นายสงวนได้พบกับนายปรีดี พนมยงค์ในงานสันนิบาตสโมสรเนติบัณฑิตยสภา นายสงวนได้เสนอแผนการก่อปฏิวัติด้วยวิธีการ “สังหาญมนุษย์ที่ถืออำนาจเปนธรรมทีละคนสองคนจนกว่าจะหมด” แต่นายปรีดีคัดค้านทันที โดยให้เหตุผลว่า “วิธีนี้ไม่ดี เพราะการทำลายชีวิตมนุษย์นั้นเปนการผิดธรรม เขาจะดีจะชั่วอย่างไรก็เปนคนไทยด้วยกันควรจะรักกัน เราคิดปลดอำนาจดูเหมือนจะดีกว่า”[20] นอกจากนี้นายปรีดียังให้คำแนะนำเกี่ยวกับการเลือกเฟ้นสมาชิกในการปฏิวัติตามความไว้วางใจของบุคคลในการรักษาความลับ ดังปรากฏในบันทึกของสงวน ความว่า “การเลือกนั้นให้พยายามเลือกบุคคลที่เปนดี 1 ซึ่งอาจบอกความลับกันได้ ส่วนบุคคลที่เปนดี 2 ดี 3 ดี 4 แลดี 5 นั้นก็พยายามชักชวนให้เปนดี 1 2 3 4 ขึ้นตามลำดับ พยายามเลือกพวกดี 1 ให้มากที่สุด”[21]

อย่างไรก็ตามในปี พ.ศ. 2473 สมาชิกในสำนักงานทนายความผดุงธรรมต่างแยกย้ายไปประกอบอาชีพทั้งข้าราชการ อัยการ ผู้พิพากษา และทนายความ เหลือเพียงนายสงวนและนายซิมที่ยังทำงานในกรุงเทพฯ ส่วนเพื่อนฝูงที่นายสงวนชวนมาร่วมงานปฏิวัติต่างกระจัดกระจายไปทำงานตามหัวเมือง เช่น นายพร ศิริวัฒน์ ไปเป็นทนายความที่จังหวัดลำปาง นายจันทร์ ศิริวัฒน์ ทำงานขับรถยนต์ที่จังหวัดนครราชสีมา น้องชาย 2 คนของนายสงวน ได้แก่ นายชุนเซ็งกับนายสะอาด ตุลารักษ์ ได้กลับไปอยู่บางคล้า ส่วนนายเพิ่ม ศิริวัฒน์ ยังคงอาศัยอยู่กับนายสงวนที่บ้านศาลาแดงในกรุงเทพฯ[22]

 


ขุนสมาหารหิตะคดี (โป๊ โปรคุปต์)

 

ในช่วงปี พ.ศ. 2474 นายสงวนยังได้ปรึกษากับขุนสมาหารหิตะคดี (โป๊ โปรคุปต์) ทนายความและข้าราชการกระทรวงพาณิชย์และคมนาคม ว่าวางแผนจะยึดอำนาจในวันที่3เมษายนพ.ศ.2475 ด้วยวิธีการจับบุคคลสำคัญของรัฐบาลสมบูรณาญาสิทธิราชย์ บันทึกของสงวนได้กล่าวถึงการชักชวนเพื่อนฝูงจากหัวเมืองมาร่วมก่อการหลายคน นับตั้งแต่ชาวชลบุรีที่ประกอบด้วยนายกำปั่น วิวัฒน์วานิช นายแสวง พุทธรัตน์ นายโป๊ นายจวน นายอุทัย ปัทมดิลก โดยนายกำปั่นและนายแสวงได้ให้คำมั่นสัญญาว่าจะหาพรรคพวกในจังหวัดชลบุรีมาร่วมสมทบอีกประมาณ 100 คน[23]

ด้านชาวแปดริ้วที่นายสงวนคาดหวังว่าจะเป็นกำลังสำคัญในการปฏิวัตินั้น บันทึกของนายสงวนกล่าวถึงผู้ที่จะเข้าร่วมปฏิวัติ ได้แก่ นายหงวน พานิชเจริญ เพื่อนสมัยประถมของนายสงวนที่วัดใหม่บางคล้า นายกิมซัว จิตโรภาศ เพื่อนที่ชวนนายสงวนมาเรียนที่โรงเรียนมัธยมบ้านสมเด็จเจ้าพระยา รวมถึงนายบุ๋น นายจุ๊ นายซัว นายเส่ย และนายกือ นอกจากนี้ยังมีญาติพี่น้องของนายสงวน คือ นายสมใจ กับ นายซุนเซ็ง ตุลารักษ์ โดยนายสงวนได้ระบุว่า “นายบุ๋น, นายหงวน รับปากว่ามีพรรคพวกประมาณ 2000 คน ส่วนนายเลี้ยงนั้นว่าจะได้พรรคพวกทางจังหวัดสมุทรปราการอีกหลายสิบคน จึงตกลงกันว่าจะลงมือเมื่อใด ข้าพเจ้าจะแจ้งให้ทราบล่วงหน้า”[24]

อย่างไรก็ตามการแสวงหาพรรคพวกเข้าร่วมการปฏิวัติของนายสงวน น่าจะกระทำกันอย่างเอิกเกริกจนการเคลื่อนไหวนี้เล็ดลอดไปถึงฝ่ายอำนาจรัฐสมบูรณาญาสิทธิราชย์ เนื่องจากนายสงวนและเพื่อนร่วมอุดมการณ์ในคณะผดุงธรรมเริ่มถูกตำรวจสะกดรอยตามหาข่าวการปฏิวัติอยู่เสมอ นายสงวนจึงตัดสินใจย้ายที่พักจากบ้านศาลาแดงไปเช่าบ้านพระยาวินัยสุนทรบริเวณตึกดินนับตั้งแต่ปีพ.ศ. 2474 ถึงเดือนมกราคม พ.ศ. 2474 (พ.ศ. 2475 ตามปฏิทินใหม่) จากนั้นนายสงวนได้ย้ายมาเช่าตึกของพระคลังข้างที่บริเวณปากคลองตลาดเยื้องกับโรงเรียนเสาวภาเพื่อใช้เป็นที่พักและสำนักงานทนายความ

ยิ่งไปกว่านั้นจากการที่นายสงวนไปพบกับนายปรีดี พนมยงค์บ่อยครั้ง จนถูกตำรวจตั้งข้อสงสัยว่าอาจข้องเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงการปกครอง นายสงวนจึงวางอุบายให้นายซิม วีระไวทยะ กับนายหงวน ทองประเสริฐ ผลัดกันไปพบนายปรีดีแทน แต่ทางราชการก็ยังไม่คลายความสงสัย ดังนั้นนายสงวน นายซิม และนายหงวน จึงต้องระมัดระวังในการเข้าพบนายปรีดีมากขึ้น และต้องเล่นละครเป็น “นักเลงการพนัน”ตามที่ต่างๆ อันทำให้นายสงวนได้สนิทสนมกับคนในวงพนันจนชักชวนมาร่วมก่อการ คือ นายตุ๊ แหลมหลวง[25] ซึ่งต่อมาได้เป็นผู้ร่วมบุกเบิกงานโฆษณาการหลังการปฏิวัติ 2475

 


นายบุญล้อม พึ่งสุนทร (แถวยืนคนที่ 2 จากซ้าย) กับ นายตุ๊ แหลมทอง (แถวยืนคนที่ 3 จากซ้าย)

 

นอกจากนี้ในปลายปี พ.ศ. 2474 นายสงวนกับนายซิมได้ติดต่อกับนายร้อยโท ขุนบุญวัฒน์วิชัย ที่กรมทหารม้าบางซื่อ กระทั่งขุนบุญวัฒน์วิชัยตัดสินใจเข้าร่วมการปฏิวัติ รวมถึงให้คำสัญญาว่าจะจัดหาอาวุธปืนประมาณ 500 กระบอก พร้อมเครื่องกระสุน นอกจากนี้ขุนบุญวัฒน์วิชัยยังอธิบายวิธีใช้รถเกราะ รถรบ และปืนกลให้แก่นายสงวนและนายซิมด้วย[26]

 

ล้มเลิกแผนการปฏิวัติในงานฉลองพระนคร 150 ปี พ.ศ. 2475

บันทึกของนายสงวนยังระบุถึงแผนการปฏิวัติว่าจะเกิดขึ้นในวันที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2475 หรืองานฉลองพระนครครบรอบ 150 ปี แต่แผนการนี้กลับเล็ดลอดออกไปจนกลายเป็น “ข่าวลือ” ที่ทราบกันอย่างแพร่หลายในสังคมสยามช่วงต้นปี พ.ศ. 2475 ดังนั้นบรรดาสมาชิกผู้ก่อการต้องล้มเลิกแผนการนี้ เนื่องจากทราบข่าวว่าฝ่ายทหารและตำรวจของรัฐสมบูรณาญาสิทธิราชย์ได้เตรียมพร้อมปราบปรามคณะผู้ก่อการปฏิวัติ

ข่าวลือเรื่องการปฏิวัติของกลุ่มคณะราษฎรสายพลเรือนในหมู่นักกฎหมายและทนายความยังแพร่กระจายทั้งในกรุงเทพฯ และหัวเมือง ดังปรากฏในบันทึกของนายสงวนซึ่งกล่าวถึงเหตุการณ์ที่นายสงวนเดินทางไปว่าความในจังหวัดอ่างทองช่วงต้นปี พ.ศ. 2475 และได้พบกับหม่อมเจ้าวุฒิภาค เกษมสันต์ ผู้พิพากษาศาลมณฑลอยุธยา หม่อมเจ้าวุฒิภาคได้ถามนายสงวนว่า “ฉันได้ยินข่าวว่าจะมีคนคิดเปลี่ยนแปลงการปกครองลื้อรู้เรื่องบ้างไหม?” นายสงวนจำเป็นต้องกล่าวเท็จว่า “คงไม่มีใครคิดบ้าเช่นนั้นนอกจากข่าวลือเหลว ๆ ไหล ๆ ไม่เปนเรื่อง ยังมองไม่เห็นว่าใครจะเอากำลังที่ไหนมากระทำการเปลี่ยนแปลงการปกครอง” หม่อมเจ้าวุฒิภาคยังกล่าวถึงข่าวลือหนาหูว่ามีเนติบัณฑิตและทนายความเข้าร่วมก่อการด้วย ซึ่งนายสงวนได้แสดงความเห็นว่า น่าจะเป็นเพียงข่าวลือเพราะไม่เคยได้ยินว่ามีเนติบัณฑิตหรือทนายความคนใดคิดเปลี่ยนแปลงการปกครอง[27]

ขณะที่นายหงวน ทองประเสริฐ ทนายความและสมาชิกคณะราษฎรที่ใกล้ชิดกับนายสงวน ก็ถูกพระยามานวราชเสวี อธิบดีศาลคดีต่างประเทศและกรรมการเนติบัณฑิตยสภา สอบถามเรื่องข่าวลือการเปลี่ยนแปลงการปกครองเช่นเดียวกัน โดยนายหงวนได้แจ้งกับนายสงวนว่า “เจ้าคุณมานพูดว่าตำรวจเขาสงสัยนายสงวนกับนายซิม แต่ไม่มีหลักฐานอะไรสำหรับท่านไม่มีเจตนาร้ายขออย่าให้ทำกันโดยทารุณโหดร้ายปราศจากธรรมแลเหตุผลก็แล้วกัน อีกประการหนึ่งให้ระวังตัวให้ดี ถ้าตำรวจเขาจับได้มีหลักฐานเพียงพอ ท่านจำต้องฟ้องตามหน้าที่ นายหงวนคงปฏิเสธว่าไม่มีมูลความจริง”[28]

 

เตรียมก่อการปฏิวัติ

หลังผ่านเหตุการณ์งานฉลองพระนครในต้นเดือนเมษายน พ.ศ. 2475 นายสงวนเข้าพบนายปรีดีอีกครั้งและได้รับคำสั่งให้เตรียมพร้อมสำหรับก่อการปฏิวัติในช่วงเดือนพฤษภาคมและมิถุนายน พ.ศ. 2475 ดังปรากฏข้อความในบันทึกความทรงจำของนายสงวน ความว่า

ตำรวจกำลังสืบสวนอยู่เหมือนกันแลบอกอุบายให้กระทำตนเปนคนไม่เกี่ยวข้องกับการเมืองเช่นทำทีจะอุปสมบทเปนต้น ส่วนการจะลงมือกระทำนั้นคงจะเร็ว ๆ นี้ในระวางเดือนพฤษภาคมแลมิถุนายน ห้ามไม่ให้ไปว่าความต่างจังหวัด เพราะอาจลงมือกระทำวันใดวันหนึ่งทันทีทันใดก็ได้ สั่งให้เตรียมคนแลศาสตราอาวุธให้พร้อม จะลงมือเมื่อใดบอกล่วงหน้า 1 วัน เปนพร้อมเพรียงถ้าบอกล่วงหน้าหลายวันเกรงเนื้อความจะแตกขึ้น[29]

ดังนั้นนายสงวนและนายซิมจึงส่งจดหมายไปถึงเพื่อนฝูงตามหัวเมืองที่เข้าร่วมการปฏิวัติให้มาพบกันที่กรุงเทพฯ เพื่ออธิบายแผนการปฏิวัติ ผู้ที่มาตามนัดหมายได้แก่ นายพร ศิริวัฒน์ ทนายความจากจังหวัดลำปาง นายอรัญ พานิชกุล และนายสมบุญ กำเหนิดศิริ จากจังหวัดเพชรบุรี นายชิต สัมมสุต จากจังหวัดอุตรดิตถ์ นายวุฒิ วีระไวทยะ จากหัวหิน นายโป๊ จากจังหวัดชลบุรี นายวิน สุวรรณชาติ จากจังหวัดสระบุรี นายเผื่อน จากจังหวัดนครราชสีมา นายร้อยตรีประดิษฐ ตู้จินดา จากจังหวัดราชบุรี ส่วนนายทองอินทร อุดล ซึ่งติดงานว่าความอยู่ที่จังหวัดขอนแก่น ได้ส่งนายถวิล อุดล น้องชายมาร่วมประชุมแทน โดยสมาชิกทั้งหมดต่างรับปากอย่างแข็งขันว่าจะยอมพลีหมดทุกสิ่งในการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ซึ่งหากทราบวันก่อการปฏิวัติแล้ว จะพาเพื่อนฝูงตามหัวเมืองมาร่วมสมทบด้วย[30]

 

แผนการลุกฮือที่แปดริ้ว

หลังเสร็จสิ้นการประชุมวางแผนการปฏิวัติกับเพื่อนชาวหัวเมือง นายสงวนได้เดินทางกลับบ้านที่บางคล้า จังหวัดฉะเชิงเทรา เพื่อนัดหมายกับญาติและเพื่อนฝูงชาวบ้านบางคล้าซึ่งจะร่วมตายในการปฏิวัติ อาทิ นายสมใจ นายซุนเซ็ง นายซัว และนายหงวน ให้รวมรวมผู้คนที่มีความเสียสละและใจคอหนักแน่นมาเป็นกำลังร่วมก่อการปฏิวัติ พร้อมกับนัดหมายให้มาพบกันที่บ้านของนายสงวนที่กรุงเทพฯ เมื่อได้รับคำสั่ง

ในช่วงกลางเดือนมิถุนายน นายสงวนได้เรียนรู้วิธีการใช้ปืนกลพกพากับนายตำรวจที่สนิทสนมกับหลวงอรรถกิติกำจร (กลึง พนมยงค์) รวมถึงได้ทราบข่าวจากนายปรีดีว่า ทางคณะผู้ก่อการเปลี่ยนแปลงการปกครองฝ่ายทหารได้เตรียมพร้อมปฏิบัติการแล้ว โดยนายสงวนได้บันทึกไว้ว่า“ทหารเตรียมพร้อมแล้วข้าพเจ้ารู้สึกโล่งอกขึ้นเปนกอง เพราะถ้าทหารไม่ร่วมด้วยมองไม่เห็นความสำเร็จสักนิดเดียว แต่ข้าพเจ้าก็ยังคงไม่ทราบอยู่นั่นเองว่าใครบ้างคงทราบคร่าว ๆ ว่าทหารร่วมด้วยมากเท่านั้นเอง”[31] จากนั้นนายสงวนได้รับคำสั่งให้จัดหาคนไปเฝ้าติดตามการเคลื่อนไหวของบุคคลสำคัญในรัฐสมบูรณาญาสิทธิราชย์

ขณะที่ชาวบ้านบางคล้า จังหวัดฉะเชิงเทรา ผู้เข้าร่วมกับการปฏิวัติ พ.ศ. 2475 อันประกอบด้วยนายสมใจ ตุลารักษ์ นายซุนเซ็ง ตุลารักษ์ นายกระจ่าง ตุลารักษ์ นายกิมซัว จิตโรภาศ นายสำรวย ดิษฐศรี (ญาติฝั่งมารดาของนายกระจ่าง ตุลารักษ์) นายกลึง (สุวรรณ) ช่วงโชติ นายเต๊ก ศิริคง นายจ้อย โอปั๊ก นายหงวน พานิชเจริญ นายบุ๋น และนายเลี้ยง ได้เดินทางมาอยู่บ้านของนายสงวนที่กรุงเทพฯ นับตั้งแต่ครึ่งหลังของเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2475 เพื่อรอกำหนดการนัดหมายวันปฏิวัติ[32]

นายกระจ่าง ตุลารักษ์ น้องชายต่างมารดาของนายสงวน ได้เล่าถึงความทรงจำในช่วงก่อนการปฏิวัติ ความว่า “พี่สงวนพี่ชายผมเป็นลูกศิษย์อาจารย์ปรีดี แต่ผมไม่เคยเห็นท่านมาก่อน เขาปกปิดเก่ง สองสามเดือนก่อนเหตุการณ์ (เปลี่ยนแปลงการปกครอง - ผู้เขียน) พี่ชายสั่งว่าให้ไปหาเพื่อนที่แปดริ้วมา ให้ยิงปืนได้ ผมก็พามาก่อนทำงานหนึ่งคืนแล้วพี่ชายก็มอบหน้าที่ให้ทำต่าง ๆ”[33]

เนื่องจากนายบุ๋ยกับนายเลี้ยงได้เตรียมสมัครพรรคพวกไว้ที่จังหวัดฉะเชิงเทราอีกประมาณ 2,000 คน นายสงวนจึงวางแผนสำรองว่า หากเปลี่ยนแปลงการปกครองที่กรุงเทพฯ ล้มเหลว จะให้ชาวแปดริ้วลุกฮือขึ้นทำการปฏิวัติต่อจากกรุงเทพฯ ทันที ดังนั้นนายสงวนจึงขอให้นายบุ๋ยกับนายเลี้ยงกลับไปเตรียมการที่แปดริ้ว ส่วนญาติพี่น้องและพรรคพวกชาวบ้านบางคล้าคนอื่นๆนั้นนายสงวนได้เช่าบ้านบริเวณถนนแพร่งสรรพศาสตร์ให้เป็นที่พักอาศัยชั่วคราว เนื่องจากหากมีผู้คนพลุกพล่านภายในบ้านของนายสงวนอาจทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเกิดความสงสัย[34]

 

คณะราษฎรชาวบ้านบางคล้าก่อการปฏิวัติ 24 มิถุนายน 2475

ในช่วงก่อนย่ำรุ่งของวันก่อการปฏิวัติ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 นายสงวนและสมาชิกคณะราษฎรระดับรองในสายของเขา อันประกอบด้วยเพื่อนนักกฎหมาย ญาติพี่น้อง และมิตรสหายจากหัวเมืองได้มีบทบาทในการควบคุมตัวข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ร่วมกับผู้ก่อการฝ่ายทหารโดยผู้ก่อการชาวบ้านบางคล้าถือเป็น “หัวแรง” ซึ่งปฏิบัติงานอย่างแข็งขันในการปฏิวัติสยาม แต่หลักฐานสำคัญเกี่ยวกับเรื่องราวของคณะราษฎรชาวบางคร้าในบันทึกความทรงจำของนายสงวนที่ตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ 24 มิถุนา กลับเขียนไม่ถึงเหตุการณ์ในเช้าวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 เนื่องจากนายสงวนยุติการเขียนบันทึกหลังจากถูกติเตียนจากหนังสือพิมพ์ฉบับอื่นและต้องใช้พื้นที่หนังสือพิมพ์นำเสนอเรื่องการเลือกผู้แทนราษฎร[35]

ถึงกระนั้นเรื่องราวของชาวบ้านบางคล้าในการปฏิวัติสยามเมื่อเช้าวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 ยังสามารถปะติดปะต่อได้จากตัวแทนคณะราษฎรชาวบ้านบางคล้า 2 คน คือ นายจ้อย โอปั๊ก กับ นายกระจ่าง ตุลารักษ์

 


นายจ้อย โอปั๊ก “ลูกทุ่ง” ชาวบ้านบางคล้า

 

ทั้งนี้นายจ้อย โอปั๊ก เป็นบุตรนายไพ่กับนางลุ่ม โอปั๊ก เกิดวันที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2454 ณ ตำบลสาวชะโงก อำเภอบางคล้า จังหวัดฉะเชิงเทรา เมื่อนายจ้อยศึกษาถึงระดับอ่านออกเขียนได้ ก็ต้องออกมาช่วยบิดามารดาทำนาและค้าขาย นายจ้อยในวัย 21 ปีได้เข้าร่วมการปฏิวัติสยาม พ.ศ. 2475 จากการชักชวนของนายสงวน ซึ่งเป็นเพื่อนรุ่นพี่[36] เช้าวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 นายจ้อยได้รับหน้าที่ควบคุมตัวพระยาเสนาสงคราม (ม.ร.ว.อี๋ นพวงศ์) ผู้บัญชาการกองพลที่ 1 ณ บ้านพักถนนนครไชยศรี โดยขุนศรีศรากร (ชลอ ศรีศรากร) หัวหน้าชุดปฏิบัติการ ได้กล่าวถึงนายจ้อย ชาวบ้านผู้หาญกล้าใช้พานท้ายปืนตีศีรษะพระยาเสนาสงครามจนเป็นเหตุให้เกิดการยิงต่อสู้กันจนพระยาเสนาสงครามได้รับบาดเจ็บ ความว่า “ข้าพเจ้าทราบว่านายจ้อยไม่เคยเป็นทหารหรือตำรวจหรือลูกเสือ แกเป็นลูกทุ่งอยู่ริมทุ่งจังหวัดฉะเชิงเทรา ซึ่งข้าพเจ้าก็เพิ่งรู้จักเขาในคืนวันนั้นเอง เขาเป็นคนที่ฝ่ายพลเรือนส่งมา (นายสงวน ตุลารักษ์) เป็นโชคดีของท่านนายพลอย่างยิ่ง ที่การตีนั้นพลาดไปโดนขอบหมวก จึงไม่เกิดบาดเจ็บมาก”[37]

 


นายกระจ่าง ตุลารักษ์ น้องชายต่างมารดาของนายสงวน ตุลารักษ์

 

ขณะที่นายกระจ่าง ตุลารักษ์ เกิดวันที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2454 (พ.ศ. 2455 ตามปฏิทินใหม่) ที่อำเภอบางคล้า จังหวัดฉะเชิงเทรา เป็นบุตรของนายซุ่นติ้ด (ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็นนายณัฏฐ์) กับนางนกแก้ว (นามสกุลเดิม ดิษฐศรี) สตรีที่ประกอบอาชีพทำนาทำสวนในตำบลบางสวน อำเภอบางคล้า โดยนายกระจ่างเป็นบุตรคนโต มีน้องสาวและน้องชายร่วมสายเลือด 9 คน[38]

นายกระจ่างเล่าถึงความทรงจำก่อนการปฏิวัติว่า หลังจากเขามาอาศัยอยู่กับนายสงวนพี่ชายต่างมารดาที่สำนักงานกฎหมาย และได้ซึมซับแนวคิดเปลี่ยนแปลงการปกครองจากการรับฟังเรื่องราวที่สนทนาในกลุ่มนักกฎหมายทุกวัน[39] ในการปฏิวัติ พ.ศ. 2475 พี่น้องตระกูลตุลารักษ์เข้าร่วมก่อการเปลี่ยนแปลงการปกครองกันอย่างถ้วนหน้า ได้แก่ นายสมใจ นายสงวน นายสะอาด นายกระจ่าง และนายซุนเซ็ง ตุลารักษ์ จนอาจ “เรียกว่าเทกระเป๋าแหละ” นอกจากนี้นายกระจ่างยังรับหน้าที่ไป “หามือปืน” คือพรรคพวกแถวบ้านที่บางคล้ามาเตรียมพร้อมไว้ “รวมความว่าจ้างมือปืนนั่นแหละ ตายเป็นตาย เพราะเขามีปฏิวัติ ร.ศ. 130 มาครั้งหนึ่งจำได้ไหม แต่ไม่สำเร็จ ครั้งนี้ถ้าไม่สำเร็จก็ตายเป็นตายกัน”[40] ซึ่งนายกระจ่างตามพรรคพวกได้ 2-3 คน แต่สุดท้ายมีผู้ที่มาตามนัดเพียงคนเดียว[41]

เช้าวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 นายกระจ่างในวัย 20 ปี ได้ร่วมมือกับนายสงวน ตุลารักษ์ พี่ชายต่างมารดา ไปควบคุมตัวนายพลโท พระยาสีหราชเดโชชัย (สวาสดิ์ บุนนาค) ผู้เป็นเสนาธิการทหารบกและเป็นทหารเสือของกรมพระนครสวรรค์วรพินิต ณ บ้านพักริมกระทรวงเกษตราธิการใกล้กับวัดโพธิ์(สำนักงานที่ดินกรุงเทพมหานครในปัจจุบัน) โดยปฏิบัติงานร่วมกับผู้ก่อการฝ่ายทหารที่นำโดยพระประศาสน์พิทยายุทธ (วัน ชูถิ่น) และหลวงกาจสงคราม (เทียน เก่งระดมยิง)[42]

นายกระจ่างกล่าวถึงอารมณ์ความรู้สึกในการเข้าร่วมปฏิวัติไว้ว่า “ความตื่นเต้นอะไรมันไม่มีหรอก เพราะที่บ้านผมมันสู้กันทุกวันอยู่แล้ว พ่อผมเป็นนายแขวงต้องปราบพวกเขมรพวกลาว เรื่องตีต่อยกันเป็นธรรมดา สมัยนั้นปืนไม่ค่อยมี พวกชาวบ้านก็ใช้ดาบ แต่พวกผมชอบใช้กระบอง เอากระบองสู้กับดาบ ตีกันเป็นเรื่องธรรมดาเหมือนเล่นกีฬา พวกผมยิงปืนเป็นกันทุกคนแหละ”[43]

ในวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 กระจ่างได้แต่งกายแบบคนไทยเชื้อสายจีนทั่วไปคือ นุ่งกางเกงสวมเสื้อกุยเฮง โดยเขาถือเป็นตัวแทนของชาวบ้านบางคล้าที่ร่วมก่อการปฏิวัติไว้อย่างน่าภาคภูมิใจ ความว่า “...ต่างคนต่างแยกย้ายไปตามจุดนัดหมายตัวเอง ทุกหมู่เหล่ามีชาวบ้านอย่างเราไปอยู่ด้วย ถนนราชดำเนินตอนนั้นเงียบมาก พี่ชายบอกว่า เดี๋ยวมีคนเอาปืนมาให้ ผมคิดอย่างเดียวว่า ตั้งใจมาทำงานให้สำเร็จ เขาสู้ก็สู้กับเขา ตายก็ตาย...”[44]

เรื่องราวของนายจ้อย โอปั๊กและนายกระจ่าง ตุลารักษ์ถือเป็นตัวแทนคณะราษฎรชาวบ้านบางคล้าที่กล้าหาญ มีจิตใจรักชาติ และยอมอุทิศชีวิตเข้าร่วมการเปลี่ยนแปลงการปกครองเพื่อความก้าวหน้าของบ้านเมือง แม้ว่าปัจจุบันจะยังมีข้อจำกัดเรื่องหลักฐานข้อมูลในการศึกษาความคิดและอุดมการณ์ของสมาชิกคณะราษฎรชาวบ้านสามัญชน แต่ถึงกระนั้นก็ต้องยอมรับถึงบทบาทของคณะราษฎรชาวบ้านสามัญชนที่เข้ามาร่วมเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงการปกครองในฐานะคณะราษฎรระดับผู้ปฏิบัติการหรือ “หัวแรง” ของคณะราษฎร ผู้มีส่วนเกื้อหนุนให้การปฏิวัติสยามในเช้าวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 ของคณะราษฎรประสบความสำเร็จในระดับหนึ่ง

 

ความส่งท้าย

แม้ว่ารายนามและเรื่องราวการปฏิวัติของคณะราษฎรชาวบ้านสามัญชนในสายของนายสงวน ตุลารักษ์ จะเลือนหายไปจากความทรงจำและประวัติศาสตร์การเมืองไทย แต่ความกล้าหาญของคณะราษฎรชาวบ้านสามัญชนเหล่านี้ยังได้รับการยอมรับในหมู่สมาชิกคณะราษฎร ดังปรากฏจากหนังสืออนุสรณ์งานศพของนายจ้อย โอปั๊กที่นายสงวน ตุลารักษ์ เป็นผู้จัดพิมพ์ และหลวงวิจิตรวาทการเป็นผู้เขียนประวัตินายจ้อยเป็นกรณีพิเศษยิ่งไปกว่านั้นอัฐิของคณะราษฎรชาวบ้านบางคล้าหลายคนยังได้รับเกียรติยศให้บรรจุอยู่บริเวณผนังด้านในของพระเจดีย์วัดพระศรีมหาธาตุ บางเขน หรือวัดประชาธิปไตย เฉกเช่นเดียวกับสมาชิกคณะราษฎรคนอื่น ๆ ในฐานะผู้ร่วมสร้างคุณงามความดีให้แก่ประเทศชาติ

 


อัฐิคณะราษฎรชาวบ้านบางคล้า ได้แก่ นายเพิ่ม ศิริวัฒน์ นายสมใจ ตุลารักษ์ นายสงวน ตุลารักษ์ และนายจ้อย โอปั๊ก
ที่บรรจุบริเวณผนังด้านทิศตะวันตกของพระเจดีย์วัดพระศรีมหาธาตุ บางเขน

 

สุดท้ายนี้ผู้เขียนขอแสดงความระลึกถึงความกล้าหาญและความเสียสละของคณะราษฎรชาวบ้านบางคล้าในการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ด้วยการใช้พื้นที่ท้ายบทความบันทึกรายนามคณะราษฎรชาวบ้านบางคล้าที่บรรจุอัฐิบริเวณผนังด้านทิศตะวันตกของพระเจดีย์วัดพระศรีมหาธาตุ บางเขน ดังนี้

 

นายสมใจ ตุลารักษ์           ชาตะ พ.ศ. 2431 มรณะ กันยายน 2493
นายสงวน ตุลารักษ์          ชาตะ 18 มิถุนายน 2445 มตะ 15 พฤษภาคม 2538
นายกลึง ช่วงโชติ    ชาตะ 18 มิถุนายน 2447 มตะ 25 กรกฎาคม 2533
นายเพิ่ม ศิริวัฒน์    ชาตะ 14 เมษายน 2452 มตะ 19 กันยายน 2490
นายจ้อย โอปลั๊ก     ชาตะ 9 ธันวาคม 2454 มตะ 27 ธันวาคม 2484
ร.ท.กระจ่าง ตุลารักษ์       ชาตะ 18 มีนาคม 2455 มรณะ 23 มิถุนายน 2552
นายสำรวย ดิษฐศรี (จารึกไม่ระบุวันชาตะและมตะ)

 

หมายเหตุ:

  • อักขระและวิธีสะกดคงไว้ตามต้นฉบับ

 


[1] ปรีดี พนมยงค์, บางเรื่องเกี่ยวกับการก่อตั้งคณะราษฎรและระบบประชาธิปไตย (กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์นีติเวชช์, 2515), หน้า 18. (นายปราโมทย์ พึ่งสุนทร จัดพิมพ์เนื่องในโอกาส 24 มิถุนายน 2515)

[2] ดูรายละเอียดใน นครินทร์ เมฆไตรรัตน์, การปฏิวัติสยาม พ.ศ. 2475, พิมพ์ครั้งที่ 5 (กรุงเทพฯ: ฟ้าเดียวกัน, 2553), หน้า. 301-303; สวิตรา ดวงประทีป, “บทบาทของคณะราษฎรฝ่ายพลเรือนในการเมืองไทย พ.ศ.2475-2490,” (วิทยานิพนธ์ศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาประวัติศาสตร์ คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ, 2566), หน้า 37-45.

[3] นริศ จรัสจรรยาวงศ์, 2475 ราษฎรพลิกแผ่นดิน (กรุงเทพฯ: มติชน, 2564), หน้า 265-276.

[4] “บัญชีรายนามและตำแหน่งหน้าที่ราชการของผู้ก่อการฯ 24 มิ.ย. 75” มีจำนวนสมาชิกคณะราษฎรทั้งสิ้น 115 คน จัดทำขึ้นใน พ.ศ. 2489 เพื่อใช้เป็นข้อมูลในตั้งซ่อมผู้ดำรงตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรประเภทที่ 2 ผู้เขียนสันนิษฐานว่าบัญชีรายนามนี้เป็นการปรับปรุงข้อมูลจากเอกสารรายนามของคณะผู้ก่อการฯ ที่เคยสำรวจสมัยรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม ในช่วงระหว่าง พ.ศ. 2485-2487 โดยสังเกตได้จากการสะกดด้วยอักขรวิธีไทยแบบใหม่สมัยจอมพล ป. ที่มา : “บัญชีรายนามและตำแหน่งหน้าที่ราชการของผู้ก่อการฯ 24 มิ.ย. 75” ใน หจช. (2)สร.0201.35/26 ตั้ง ซ่อม และออกจากตำแหน่งสมาชิกสภาประเภทที่ 2 (ตอน 3) (5 มกราคม 2487 – 27 เมษายน 2489).

[5] หจช. สร.0201.16/48 รายนามผู้ริเริ่มก่อการเปลี่ยนแปลงการปกครอง (พ.ศ. 2493).

[6] นครินทร์ เมฆไตรรัตน์ ตั้งข้อสังเกตว่า การตัดรายชื่อจำนวนสมาชิกคณะราษฎรเหล่านี้จนเหลือ 99 คน เกิดขึ้นจากความผิดพลาดในการรวบรวมรายชื่อสมาชิกคณะราษฎรของอดีตเลขาธิการรัฐสภา และการใช้หลักฐานของนายประยูร ภมรมนตรี ที่ไม่ให้การยอมรับฐานะสมาชิกคณะราษฎรบางกลุ่ม ที่มา : นครินทร์ เมฆไตรรัตน์, “นายจ้อย โอปั๊ก: สามัญชนผู้มีบทบาทร่วมในการปฏิวัติ 2475,” บุคคลวันนี้ 11, 126 (มิถุนายน 2540),หน้า129.

[7] “บรรทึกความจำของบรรณาธิการเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงการปกครองคราวนี้” ของนายสงวน ตุลารักษ์ วางเนื้อหาเป็น 5 ภาค ได้แก่ ภาค 1 ตอนเรียนวิชชาสามัญ ภาค 2 ตอนเรียนวิชชากฎหมาย ภาค 3 ตอนเปนทนายความ ภาค 4 ตอนกระทำการเปลี่ยนแปลงการปกครองแผ่นดิน และภาค 5 ตอนกระทำสำเร็จแล้ว แต่นายสงวนได้เผยแพร่เนื้อหาในหนังสือพิมพ์ 24 มิถุนา เพียง ภาค 1-3 เท่านั้น

[8] แทบลอยด์ไทยโพสต์, “ร.ท.กระจ่าง ตุลารักษ์ คณะราษฎรคนสุดท้าย,” ใน ไทยโพสต์ (29 มิถุนายน 2546) เข้าถึงได้จาก https://www.blockdit.com/posts/621c9921102da5bdd7a1fbfd (6 มิถุนายน 2568).

[9] 24 มิถุนา (28 กันยายน 2475), น. 15; 24 มิถุนา (28 กันยายน 2475), หน้า 15.

[10] สงวน ตุลารักษ์, “อาลัยคุณส่ง,” ใน อนุสรณ์งานพระราชทานเพลิงศพ นายส่ง วิบูลย์สวัสดิ์ (กรุงเทพฯ: เอเชียเพรส, 2531), น. 15. (อนุสรณ์ในงานพระราชทานเพลิงศพ นายส่ง วิบูลย์สวัสดิ์ วันอาทิตย์ที่ 27 มีนาคม 2531 ณ เมรุวัดธาตุทอง)

[11] 24 มิถุนา (7 ตุลาคม 2475), น. 11.

[12] 24 มิถุนา (8 ตุลาคม 2475), หน้า 11.

[13] นครินทร์ เมฆไตรรัตน์, การปฏิวัติสยาม พ.ศ. 2475, หน้า 300.

[14] 24 มิถุนา (11 ตุลาคม 2475), หน้า 12.

[15] หจช. สร.0201.16/48 รายนามผู้ริเริ่มก่อการเปลี่ยนแปลงการปกครอง (พ.ศ. 2493).

[16] พอพันธ์ อุยยานนท์, “อุปสรรคที่ทำให้ “คณะราษฎร” แก้ปัญหาเศรษฐกิจตกต่ำในทศวรรษ 2470 ได้อย่างจำกัด,” เข้าถึงได้จาก https://www.silpa-mag.com/history/article_69941 (22 กุมภาพันธ์ 2565).

[17] 24 มิถุนา (12 ตุลาคม 2475), หน้า 12; 24 มิถุนา (13 ตุลาคม 2475), หน้า 12.

[18] 24 มิถุนา (13 ตุลาคม 2475), หน้า 12.

[19] เรื่องเดียวกัน.

[20] 24 มิถุนา (15 ตุลาคม 2475), หน้า 12.

[21] 24 มิถุนา (18 ตุลาคม 2475), หน้า 12.

[22] เรื่องเดียวกัน.

[23] 24 มิถุนา (24 ตุลาคม 2475), หน้า 13.

[24] เรื่องเดียวกัน.

[25] 24 มิถุนา (26 ตุลาคม 2475), หน้า 13.

[26] เรื่องเดียวกัน.

[27] 24 มิถุนา (27 ตุลาคม 2475), หน้า 13.

[28] 24 มิถุนา (28 ตุลาคม 2475), หน้า 9.

[29] เรื่องเดียวกัน.

[30] 24 มิถุนา (29 ตุลาคม 2475), หน้า 9 ; 24 มิถุนา (31 ตุลาคม 2475), หน้า 9.

[31] 24 มิถุนา (3 พฤศจิกายน 2475), หน้า 9.

[32] 24 มิถุนา (4 พฤศจิกายน 2475), หน้า 9.

[33] วันชัย ตันติวิทยาพิทักษ์, “24 มิถุนายน 2475 ยุทธการยึดเมือง,” สารคดี 15, 172 (มิถุนายน 2542): หน้า 84.

[34] 24 มิถุนา (5 พฤศจิกายน 2475), น. 9.

[35] 24 มิถุนา (7 พฤศจิกายน 2475), น. 18; 24 มิถุนา (16 พฤศจิกายน 2475), น. 19.

[36] หลวงวิจิตรวาทการ, จดหมายเหตุเรื่องเปลี่ยนแปลงการปกครอง (พระนคร: โรงพิมพ์พระจันทร์, 2480), น. ค. (พิมพ์แจกในงานฌาปนกิจศพ นายจ้อย โอปั๊ก ณ เมรุวัดมกุฏกษัตริยาราม วันที่ 7 มีนาคม 2480)

[37] จรูญ กุวานนท์, เลือดหยดแรกของประชาธิปไตย (พระนคร: สหกิจ, 2493), หน้า 77-96 อ้างถึงใน นริศ จรัสจรรยาวงศ์, “โลหิตหยดแรกประชาธิปไตย,” เข้าถึงได้จาก https://www.the101.world/first-blood-democracy/ (18 มกราคม 2565)

[38] อนุสรณ์ในงานฌาปนกิจศพ นางนกแก้ว ตุลารักษ์ (พระนคร: โรงพิมพ์การศาสนา, 2513), หน้า (1). (อนุสรณ์ในงานฌาปนกิจศพ นางนกแก้ว ตุลารักษ์ ณ เมรุวัดเสม็ดเหนือ อำเภอบางคล้า จังหวัดฉะเชิงเทรา วันที่ 19 เมษายน 2513)

[39] แทบลอยด์ไทยโพสต์, “ร.ท.กระจ่าง ตุลารักษ์ คณะราษฎรคนสุดท้าย,” ใน ไทยโพสต์ (29 มิถุนายน 2546) เข้าถึงได้จาก https://www.blockdit.com/posts/621c9921102da5bdd7a1fbfd (6 มิถุนายน 2568).

[40] เรื่องเดียวกัน.

[41] เรื่องเดียวกัน.

[42] หจช. ศธ.0701.34/15 สัมภาษณ์พลเอกสวัสดิ์ สวัสดิ์รณรงค์ (พ.ศ. 2498); วันชัย ตันติวิทยาพิทักษ์, “24 มิถุนายน 2475 ยุทธการยึดเมือง,”: หน้า 92.

[43] แทบลอยด์ไทยโพสต์, “ร.ท.กระจ่าง ตุลารักษ์ คณะราษฎรคนสุดท้าย,” ใน ไทยโพสต์ (29 มิถุนายน 2546) เข้าถึงได้จาก https://www.blockdit.com/posts/621c9921102da5bdd7a1fbfd (6 มิถุนายน 2568).

[44] วันชัย ตันติวิทยาพิทักษ์, “24 มิถุนายน 2475 ยุทธการยึดเมือง,” หน้า 81.