เมื่อทางกองบัญชาการทหารสูงสุดของสหประชาชาติ โดยลอร์ดหลุยส์ เมานต์แบตตัน ตอบปฏิเสธเด็ดขาดไม่ยอมพูดเรื่องการเมืองกับฝ่ายไทยในปลายเดือนธันวาคม ๒๔๘๗ ท่านปรีดี พนมยงค์ เล็งเห็นว่าจำเป็นจะต้องอาศัยสหรัฐอเมริกาเป็นที่พึ่งด่านสุดท้าย ซึ่งความจริง สหรัฐอเมริกาวางท่าทีอันเหมาะสมสำหรับไทยอยู่แล้ว ถ้าได้แรงดันจากทางสหรัฐฯ ช่วย บางทีอาจจะผ่อนคลายความแข็งกร้าวของอังกฤษได้บ้าง ท่านปรีดีจึงมีดำริส่งผู้แทนคณะต่อต้านเดินทางไปสหรัฐอเมริกาเพื่อสมทบกับ ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช และคุณสงวน ตุลารักษ์ เจรจากับรัฐบาลอเมริกา ในชั้นแรก ท่านคิดจะส่งคุณทวี ตะเวทิกุล อธิบดีกรมการตะวันตก ออกไปเพื่อการนี้ แต่เมื่อใกล้เวลาเข้าจริง ท่านเปลี่ยนใจ จะให้ข้าพเจ้าซึ่งขณะนั้นเป็นเพียงหัวหน้ากองไปแทน คุณทวีเป็นผู้นำความมาบอกข้าพเจ้าว่า สุขภาพไม่สู้จะดี ขอให้ข้าพเจ้าออกไปแทน ข้าพเจ้ายังโสดอยู่ ไม่มีภาระทางครอบครัว มีมารดาที่เป็นห่วงเพียงคนเดียว จึงไม่ขัดข้องในการไปปฏิบัติงานนอกประเทศในลักษณะนั้น คุณทวีสั่งให้ข้าพเจ้าเตรียมทำหนังสือมอบอำนาจการเจรจากับรัฐบาลอเมริกาเป็นทางการ โดยให้จัดเป็นคณะผู้แทนไทย ประกอบด้วย ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช อัครราชทูตไทย ณ กรุงวอชิงตัน เป็นหัวหน้าคณะ คุณสงวน ตุลารักษ์ และข้าพเจ้าเป็นผู้แทนอีก ๒ คน
ท่านปรีดีติดต่อกับฝ่ายสหรัฐฯ ผ่าน โอ.เอส.เอส. แจ้งความประสงค์ให้ทราบ และสั่งให้ข้าพเจ้าไปพบที่ทำเนียบท่าช้างเพื่อรับคำสั่งรายละเอียด คืนนั้นข้าพเจ้าต้องค้างที่ทำเนียบเพื่อลงเรือของกรมศุลกากรเช้าตรู่วันรุ่งขึ้นก่อนสว่าง ข้าพเจ้าลามารดาว่าต้องไปราชการต่างจังหวัดชั่วระยะเวลาหนึ่ง คืนนั้นอยู่สนทนากับท่านปรีดีจนดึก เป็นการสนทนาตัวต่อตัวครั้งที่สองในชีวิตของข้าพเจ้า ข้าพเจ้ารู้จักท่านปรีดีสมัยทำงานที่มหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมืองเมื่อแรกตั้ง ท่านเป็นผู้ประศาสน์การ ข้าพเจ้าเป็นเจ้าหน้าที่ชั้นผู้น้อย ซึ่งคุณวิจิตร ลุลิตานนท์ ผู้ช่วยเลขาธิการมหาวิทยาลัย ขอให้ไปนั่งจดรายงานการประชุมคณะกรรมการมหาวิทยาลัย
ท่านปรีดีนั่งหัวโต๊ะ ข้าพเจ้าอยู่สุดท้ายปลายโต๊ะไม่เคยเข้าใกล้หรือพูดจากับท่านเลย ข้าพเจ้าเคยสนทนาตัวต่อตัวกับท่านครั้งแรกเมื่อข้าพเจ้าสอบชิงทุนรัฐบาลหน่วยกระทรวงการต่างประเทศได้ จะไปศึกษาวิชากฎหมายและการทูตที่ประเทศฝรั่งเศส ตอนนั้นท่านดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวง ท่านสั่งให้ข้าพเจ้าไปพบเพื่อวางแนวการศึกษาให้ข้าพเจ้าจดโดยละเอียด ข้าพเจ้าเรียนสำเร็จกลับมารับราชการในกระทรวงการต่างประเทศ ท่านย้ายไปว่าการกระทรวงการคลังเสียแล้ว จึงไม่ได้พบท่านอีกเลย ครั้นญี่ปุ่นขึ้นประเทศไทย ข้าพเจ้าทราบท่าทีและแผนการของท่านทางคุณทวี ตะเวทิกุล ตลอดเวลาที่ประจำอยู่ญี่ปุ่น และภายหลังกลับมาประเทศไทย ทุกสิ่งทุกอย่างข้าพเจ้ารับทราบทางคุณทวีทั้งนั้น ในการพบท่านครั้งที่สองในห้องรับแขก ชั้นบนของทำเนียบท่าช้าง ข้าพเจ้าได้รับทราบคำสั่งโดยละเอียดถึงแนวทางที่ท่านประสงค์จะให้ข้าพเจ้าไปปฏิบัติในสหรัฐอเมริกา
ท่านเริ่มด้วยการขอบใจข้าพเจ้าที่ยอมรับเดินทางออกไปนอกประเทศแทนคุณทวี ท่านเตือนว่า การไปครั้งนี้มิใช่การเดินทางธรรมดา จะต้องไม่คำนึงถึงความสะดวกสบายส่วนตัว จะต้องเสี่ยงภัยตลอดทาง ข้าพเจ้าจะต้องไปในลักษณะแอบแฝง ตามแต่เจ้าหน้าที่ฝ่ายอเมริกันจะจัดให้ ข้าพเจ้าจะไม่มีสิทธิเสรี เขาจะให้ทำสิ่งใดก็ต้องทำสิ่งนั้น จนกว่าถึงกรุงวอชิงตัน ข้าพเจ้าจึงจะเปลี่ยนไปอยู่ในคณะของท่านทูตเสนีย์ ปราโมช ช่วยทูตในการเจรจากับรัฐบาลอเมริกา และถ้าสามารถจะเป็นไปได้กับฝ่ายอังกฤษ
คืนนั้นก็อีก ท่านเป็นผู้พูดฝ่ายเดียว ข้าพเจ้าได้แต่รับฟังท่าน และถ้อยคำของท่าน ทำให้ข้าพเจ้าตระหนักในความห่วงใยอย่างสุดซึ้งในอนาคตของชาติบ้านเมืองเท่านั้น ท่านกล่าวด้วยความตื้นตันว่า เมื่อรัฐบาลไทยสั่งหยุดยิงและยินยอมให้ญี่ปุ่นส่งทหารผ่านประเทศไทย ใคร ๆ ก็มองเห็นความจำเป็น แต่การผูกพันตัวภายหลังต่อมาทีละขั้นให้กระชั้นชิดกับฝ่ายญี่ปุ่นนั้นซิที่ท่านไม่เห็นด้วย โดยเฉพาะการประกาศสงครามทำตนเป็นศัตรูกับอังกฤษและสหรัฐฯ การยอมรับมอบดินแดนทางมลายูและพม่าจากญี่ปุ่น ตลอดจนการกล่าวโจมตีอังกฤษและสหรัฐอเมริกา นอกลู่นอกทางออกไป บทสนทนาทางวิทยุกระจายเสียงของนายมั่นนายคง ที่ไม่ละเว้นแม้แต่กษัตริย์ราชวงศ์อังกฤษ ทั้งหลายเหล่านี้เป็นเหตุให้อังกฤษเกิดความขัดเคืองใจโดยไม่จำเป็น นอกจากจะประกาศสงครามตอบแล้ว อังกฤษยังงดเว้นไม่ยอมติดต่อทางการเมืองกับฝ่ายไทยอย่างใดเลย เมื่อลอร์ดหลุยส์ เมานต์แบตตัน ผู้บัญชาการทหารสูงสุดฝ่ายสหประชาชาติ ติดต่อมาในปลายเดือนธันวาคม ๒๔๘๗ ขอให้เราส่งผู้แทนไปที่แคนดี ก็ได้ปฏิเสธล่วงหน้าว่าจะไม่พูดเรื่องการเมืองกับผู้แทนไทย ฝ่ายเราพยายามทุกทางที่จะแสดงให้เห็นว่า การร่วมมือกับประเทศญี่ปุ่นมิใช่เจตนาอันแท้จริงของประชาชนชาวไทย เราอยากจะจัดตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นขึ้นภายนอกประเทศเพื่อยืนยันความร่วมมือที่ไทยพร้อมจะให้แก่ฝ่ายสหประชาชาติ พยายามมาหลายปีแล้ว ส่งคนออกไปเจรจาครั้งแล้วครั้งเล่า ก็ไม่ประสบผลสำเร็จ เนื่องจากท่าทีอันแข็งกร้าวของอังกฤษนั่นเอง
ความดำริที่จะส่งข้าพเจ้าออกไปคราวนี้ ก็เพื่อให้ไปสมทบกับทูตไทยที่กรุงวอชิงตัน ยกเรื่องเจรจาเป็นทางการกับรัฐบาลอเมริกา แต่จุดหมายปลายทางที่แท้จริงอยู่ที่ทำอย่างไรจะให้อังกฤษเปิดเผยท่าทีเกี่ยวกับอนาคตของประเทศไทยออกมาให้แน่ชัดก่อนที่ญี่ปุ่นจะพ่ายแพ้สงครามขั้นเด็ดขาด มิฉะนั้นแล้วไทยจะตกเข้าอยู่ข้างฝ่ายปราชัยร่วมกับญี่ปุ่น ถ้าเราสามารถจัดตั้งรัฐบาลภายนอกประเทศได้ ก็จะเป็นทางกระชับความสัมพันธ์กับฝ่ายสหประชาชาติ ถ้ารัฐบาลอเมริกายังมีเหตุผลเป็นอุปสรรคต่อการตั้งรัฐบาลดังกล่าว ก็จะต้องพยายามขอให้รัฐบาลอเมริกาช่วยคะยั้นคะยออังกฤษให้ผ่อนปรนให้ไทยบ้าง อย่างน้อยให้รับหลักการเคารพเอกราชและอธิปไตยของประเทศไทย ไม่มุ่งร้ายต่อบูรณภาพแห่งอาณาเขตของไทยเช่นที่มีข่าวกระเซ็นกระสายออกมาทุกวี่วัน ในขณะเดียวกันไทยพร้อมที่จะคืนดินแดนในมลายูและพม่าให้แก่อังกฤษ ท่านกรุณาชี้แจงข้อเท็จจริงหลายข้อหลายประการให้ข้าพเจ้ายึดถือเป็นปัจจัยประกอบการเจรจากับฝ่ายอเมริกัน รวมตลอดทั้งแผนดำเนินงานภายหลังที่ได้เปลี่ยนรัฐบาลจากจอมพล ป. พิบูลสงคราม เป็นรัฐบาลควง อภัยวงศ์
รุ่งขึ้นออกเรือบ่ายหน้าไปทางเกาะกระดาษ ซึ่งเป็นที่นัดหมาย โดยมีร้อยเอก บุญมาก เทศบุตร เป็นเจ้าหน้าที่วิทยุไปด้วยเพื่อติดต่อกับฝ่ายอเมริกัน เมื่อไปถึงเกาะกระดาษ นายวรกิจบรรหาร เจ้าของเกาะ ให้การต้อนรับเป็นอย่างดี คืนแรกท่านพาออกไปรอเครื่องบินทะเลที่ฝ่ายอเมริกันจะส่งมารับ พร้อมทั้งส่งเจ้าหน้าที่ของ โอ.เอส.เอส. มาประจำกองบัญชาการคณะต่อต้านญี่ปุ่น รออยู่ตลอดคืน ไม่เห็นวี่แววของเครื่องบิน คืนที่สองออกเรือไปลอยลำรอในทะเลที่อ้างว้างอีก ก็ไม่มีเครื่องบินมา บังเอิญมองเห็นเรืออีกลำหนึ่งตะคุ่ม ๆ ในระยะห่างพอสมควร เกรงกันว่าจะเป็นเรือญี่ปุ่น จึงเตรียมการต้อนรับไว้โดยต่างกุมปืนแน่น ข้าพเจ้าคนเดียวไม่มีอาวุธติดตัว เดชะบุญเป็นเรือชาวประมงออกหาปลา จึงไม่มีเหตุการณ์อย่างใด วันที่สาม ร้อยเอก บุญมากชักใจเสีย คิดจะพาคณะกลับกรุงเทพฯ เนื่องจากนัดหมายแล้วอีกฝ่ายไม่มา ถ้าขืนออกไปรอเป็นคืนที่สาม ความปลอดภัยอาจน้อยลง จะต้องให้กรุงเทพฯ นัดหมายใหม่ให้แน่นอน โดยจะต้องเปลี่ยนบริเวณรับส่ง ข้าพเจ้าไม่เห็นด้วย เพราะออกมาแล้วก็น่าจะไปให้ได้ การกลับกรุงเทพฯ เพื่อออกมาใหม่สำหรับข้าพเจ้าดูไม่ค่อยเข้าที ในที่สุดตกลงกันให้รออีกคืนเป็นคืนสุดท้าย คืนนั้นระหว่างที่เราออกเรือไปลอยลำคอยอยู่กลางดึก ได้ยินเสียงกระหึ่มของเครื่องบินมาแต่ไกล ทางเราจุดไต้สัญญาณบอกพื้นที่ที่จะให้เครื่องบินทะเลร่อนลง นักบินกระทำได้เรียบร้อย เรือเราเข้าไปเทียบ รับพันตรี กรีนลี และร้อยเอก เวสตัน นายทหารอเมริกา โอ.เอส.เอส. ลง ขึ้นเรือของเรา ข้าพเจ้าขึ้นเครื่องบินนํ้าท่ามกลางความมืด เราไม่ทันเห็นหน้าค่าตากัน มาทราบชื่อเสียงก็ภายหลัง
ข้าพเจ้าไปคราวนั้นไปตัวเปล่า ไม่มีกระเป๋าหรือของใช้ไม้สอยติดตัวไปด้วยเลย หนังสือเดินทางก็ไม่มี มีแต่หนังสือมอบอำนาจของผู้สำเร็จราชการที่ซ่อนไว้กับตัว ขึ้นไปบนเครื่องบินแล้วข้าพเจ้าภาวนาสวดมนต์เช่นที่เคยก่อนนอน เวลาเครื่องบินลำเลียงของเสร็จแล้วบินขึ้น ข้าพเจ้ายึดผนังภายในเครื่องบินแน่น เพราะไม่มีสายรัดลำเครื่องบินวิ่งกระทบพื้นนํ้าทะเลดังสนั่น เร่งความเร็วไม่ถึงนาที เครื่องบินก็ลอยตัวในอากาศ เจ้าหน้าที่ในเครื่องบินมีเพียงสี่คน คนหนึ่งทำหน้าที่คุมปืนกลเป็นยามตลอดทาง ข้าพเจ้าพยายามจะนอนให้หลับ แต่ไม่สำเร็จ นอกจากเครื่องยนต์จะดังสนั่นมาก ข้าพเจ้ายังตื่นเต้นกับการเดินทางบนเครื่องบินทหาร เจตสิกคิดไปถึงเรื่องต่าง ๆ ไม่ทราบว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นระหว่างทางหรือไม่ บินผ่านทะเลอันดามันตลอดคืน รุ่งขึ้นเครื่องบินลงที่เมืองมาดราสของอินเดีย ที่นั่นมีเจ้าหน้าที่ทหารอเมริกาชั้นร้อยเอกกับร้อยโทมารับ จัดเครื่องแบบทหารอเมริกาชั้นร้อยโทให้ข้าพเจ้าแต่ง ข้าพเจ้าคิดชื่อสมมุติขึ้นเองว่า สุนี เทพรักษา เพื่อขอความคุ้มครองจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายทั้งปวง
ชื่อนี้เป็นชื่อที่ข้าพเจ้าใช้ตลอดเวลาเดินทางครั้งนั้น ตั้งแต่ออกจากอ่าวไทยจนกระทั่งกลับกรุงเทพฯ เจ้าหน้าที่ โอ.เอส.เอส. ที่เกี่ยวข้องเรียกข้าพเจ้าว่า “ซันนี่” จนกระทั่งทุกวันนี้ เฉพาะเมื่อคณะผู้แทนไทยไปเจรจากับเจ้าหน้าที่ในกระทรวงการต่างประเทศอเมริกันเท่านั้นที่ข้าพเจ้าใช้ชื่อจริง เพราะเป็นชื่อที่ปรากฏในหนังสือมอบอำนาจเต็มในการเจรจาของผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ แต่ในบันทึกของกระทรวงการต่างประเทศตอนนั้น ใช้ชื่อ “สุนี เทพรักษา” เพื่อความปลอดภัย
เราค้างที่เมืองมาดราสหนึ่งคืน รุ่งขึ้นเดินทางโดยเครื่องบินทหารไปลงที่เมืองแคนดี เกาะลังกา เมื่อวันที่ ๒ กุมภาพันธ์ ๒๔๘๘ ข้าพเจ้าไปพบเจ้าหน้าที่ โอ.เอส.เอส. เขาสอบถามเหตุการณ์ในประเทศไทยตามสมควร พบกับคุณสงวน ตุลารักษ์ แล้วต่อมาเข้าพบพลตรี โดโนเวน หัวหน้า โอ.เอส.เอส. ซึ่งรับจะพาเราทั้งสองโดยสารเครื่องบินประจําตำแหน่งของท่านเดินทางต่อไปกรุงวอชิงตัน นายพลตรี โดโนเวน วัย ๖๐ ปี ผมขาวดังสำลีมองเห็นความเข้มแข็งและเด็ดขาดในสายตาและอากัปกริยาของท่าน อาชีพเดิมเป็นทนายความสำนักงานมีชื่อในถนนวอลล์สตรีท นครนิวยอร์ก ท่านให้ความกรุณาปรานีแก่ชายหนุ่มเช่นข้าพเจ้ามาก ระหว่างเดินทาง เราเล่นไพ่บริดจ์กับท่านตลอดเวลา เมื่อเครื่องบินถึงกรุงวอชิงตัน ท่านทูตเสนีย์และข้าราชการสถานทูตกรุณามารับที่สนามบินพาไปโรงแรมที่พัก ส่วนนายพลตรี โดโนเวนตรงไปสํานัก โอ.เอส.เอส. ของท่าน โดยไม่แวะบ้านพักผ่อนเลย
ข้าพเจ้าดีใจจริง ๆ ที่ได้พบอาจารย์เสนีย์ ปราโมช ผู้สอนวิชาลักษณะนิติกรรมและหนี้ให้ข้าพเจ้าที่มหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง ข้าพเจ้ารู้จักท่านอาจารย์ดีกว่านักศึกษาอื่น เพราะข้าพเจ้าเป็นคนชอบซัก ท่านชอบตอบ เสร็จชั่วโมงการสอนแล้วอาจารย์และนักศึกษายังอยู่ต่ออีกนาน บางครั้งเกือบชั่วโมง บัดนี้จะได้มาร่วมงานกันเพื่อความอยู่รอดของชาติ แต่ข้าพเจ้าเคยเป็นศิษย์ท่านอย่างไร ข้าพเจ้าก็ยังคงวางตนเป็นศิษย์ของท่านอย่างนั้น เราเริ่มปรึกษาหารือในเรื่องการงานตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายทันที ข้าพเจ้าได้กราบเรียนให้ท่านทราบถึงความประสงค์ในการจัดตั้งคณะผู้แทนไทยเพื่อเจรจากับฝ่ายอเมริกันครั้งนี้ ซึ่งหลักสำคัญอยู่ที่การจัดตั้งคณะรัฐบาลพลัดถิ่นนอกประเทศ และปัญหาเรื่องท่าทีของอังกฤษต่อประเทศไทย
ฝ่ายบัญชาการทหารสูงสุดสำหรับเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้รายงานให้กระทรวงการต่างประเทศอังกฤษทราบเมื่อวันที่ ๓ กุมภาพันธ์ว่า ทาง โอ.เอส.เอส. ได้ลักลอบนำบุคคลชื่อสุนีออกไปจากประเทศไทยเพื่อไปสมทบกับ ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช พร้อมด้วยเอกสารที่ไม่ยอมเปิดเผยให้ผู้ใดทราบ ทางอังกฤษส่งพันตรี กิลคริสต์ไปพบสุนี ยืนยันว่าเป็นผู้ที่เชื่อถือได้ แต่สุนีไม่ยอมแจ้งความประสงค์ของการออกมาให้ทราบ นอกจากยํ้าว่าจะทำการติดต่อกับฝ่ายสัมพันธมิตร มิใช่เฉพาะกับฝ่ายอเมริกัน
ต่อมาเมื่อวันที่ ๑๒ กุมภาพันธ์ เซอร์จอร์ช แซนซัม ที่ปรึกษาสถานเอกอัครราชทูตอังกฤษที่กรุงวอชิงตัน รายงานกระทรวงการต่างประเทศอังกฤษว่า ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช ได้นำสุนีไปพบ แจ้งให้ทราบว่าได้รับมอบหมายจากผู้สำเร็จราชการโดยมีหนังสือแต่งตั้งและมีคำสั่งด้วยวาจาให้ดำเนินการขนานกันไปกับอีกสองคณะที่ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ส่งไปจุงกิงและแคนดี ม.ร.ว.เสนีย์และคณะจะเข้าเจรจากับกระทรวงการต่างประเทศอเมริกันในไม่ช้า โดยที่เซอร์จอร์ชทราบจาก เอส.โอ.อี. ว่า ฝ่ายอังกฤษจะไม่ยอมรับผู้แทนทางการเมืองของไทยทางแคนดี จึงข้องใจว่า ถ้าฝ่ายอเมริกันเกิดรับฟังและเจรจาทางการเมืองกับฝ่ายไทยแล้ว อังกฤษจะไม่อยู่ในภาวะกระอักกระอ่วนหรือที่จะยอมให้ฝ่ายอเมริกันเดินหน้าอังกฤษไปในด้านการเจรจากับไทย ด้วยเหตุนี้ทางกระทรวงการต่างประเทศอังกฤษและ เอส.โอ.อี. จึงได้ตกลงกันเมื่อวันที่ ๑๒ กุมภาพันธ์ว่า การจะยืนกรานไม่ยอมพูดการเมืองกับคณะผู้แทนไทยทางแคนดีน่าจะไม่เหมาะสม รัฐบาลอังกฤษจึงสั่งการไปยังลอร์ดหลุยส์ เมานต์แบตตัน อนุมัติให้แจ้งต่อผู้แทนไทยด้วยตนเอง หรือโดยที่ปรึกษาฝ่ายการเมือง เน้นในหลักการว่า รัฐบาลอังกฤษปรารถนาที่จะเห็นประเทศไทยเป็นประเทศอิสระ มีอธิปไตยและเอกราช และยินดีจะกลับฟื้นความสัมพันธไมตรีระหว่างอังกฤษกับไทย แต่ทั้งนี้จะต้องคำนึงถึงมาตรการที่ประเทศไทยจะช่วยในการขับไล่ญี่ปุ่นออกจากดินแดนไทย ให้ญี่ปุ่นต้องปราชัยในที่สุด และมาตรการที่ฝ่ายไทยจะแก้ไขความเสื่อมเสียที่ไทยได้ก่อให้เกิดแก่ฝ่ายสัมพันธมิตรสืบเนื่องจากการที่ไทยเข้าข้างญี่ปุ่น และร่วมรักษาความมั่นคง และความเป็นเพื่อนบ้านที่ดีในอนาคต
เซอร์จอร์ชรายงานกระทรวงการต่างประเทศอังกฤษเมื่อวันที่ ๑๓ กุมภาพันธ์ ๒๔๘๘ ว่าได้พบกับสุนีและเสนีย์ สุนีอ้างว่า คณะผู้แทนนี้ขนานกันกับที่ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ส่งไปจีนและแคนดี เซอร์จอร์ชแสดงความห่วงใยว่า ถ้าอเมริกาเกิดรุดหน้าเจรจาเรื่องการเมืองโดยอิสระ อังกฤษจะทำอย่างไร นายสเตอร์นเดล เบ็นเน็ทท์ ตอบว่า ถ้าไทยมาพูดเรื่องการเมือง ก็ขอให้เบี่ยงบ่าย เพราะจะต้องได้รับอนุมัติจากรัฐบาลก่อน
ข้าพเจ้าพำนักอยู่ในกรุงวอชิงตันไม่กี่วัน ก็ได้ทราบความแตกแยกในบรรดากลุ่มเสรีไทยในสหรัฐฯ ท่านทูตเสนีย์ และพันโท ขาบ กุญชร ผู้ช่วยทูตฝ่ายทหารบก ไม่สู้จะกินเกลียวกัน โดยเหตุผลทั้งทางราชการและทางส่วนตัว เสรีไทยจึงแบ่งเป็นสองพวก คือ พวกท่านทูต มีหลวงดิษฐการภักดี คุณมณี สาณะเสน เป็นผู้สนับสนุนที่สำคัญ และพวกผู้ช่วยทูตฝ่ายทหารบก มีคุณอนันต์ จินตกานนท์ เลขานุการตรี สนับสนุน นักเรียนนักศึกษาก็พลอยแตกกันไปด้วย เมื่อนักศึกษาสมัครเข้าไปเป็นทหารในองค์การ โอ.เอส.เอส. ตามสายงานจึงอยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของพันโท ขาบ ประกอบกับพันโท ขาบเป็นผู้ชอบสนุก บ้านที่พักของท่านเปิดแก่นักศึกษาผู้เพิ่งเป็นทหารทุกคน จึงมีการพบปะสังสรรค์กันแทบทุกวัน คุณเทียบ กุญชร ผู้ภริยาก็ช่างทำกับข้าว มีการเลี้ยงดูกันเป็นเนืองนิจ ฝ่ายท่านทูตเสนีย์เป็นคนเคร่งครัดในหน้าที่การงาน เจ้าระเบียบแบบแผน ไม่ชอบสนุกสนานเฮฮา เมื่อมีเวลาว่างท่านก็เล่นดนตรี วาดภาพอะไรของท่านไป ประกอบกับในยามยากของบ้านเมืองเช่นนั้น ท่านคิดหาทางประหยัดการใช้จ่ายของสถานทูต และของข้าราชการ ตลอดจนนักเรียนนักศึกษา ทางรัฐบาลอเมริกายินยอมให้ท่านเบิกเงินของรัฐบาลไปใช้จ่ายได้ แม้จะเลยปีงบประมาณแล้ว และมิได้รับงบประมาณใหม่จากประเทศไทย การลดจ่ายเงินประจำเดือนย่อมกระทบกระเทือนเป็นธรรมดา ยิ่งผู้มีรายได้น้อยก็ยิ่งรับนํ้าหนักมาก เช่น นักศึกษาเคยได้อยู่เดือนละ ๙๐ เหรียญ ลดลงไป ๕ เหรียญ ก็ย่อมแย่ การขัดกันกระจายไปถึงเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ข้าพเจ้าได้ยินได้ฟังมาก็คือมีสงครามกระดาษชำระทางสถานทูตใช้โดยถือเป็นของสถานทูต ข้าราชการบางคนอยากจะขอแบ่งไปใช้บ้าง เมื่อไม่ได้ก็เกิดขัดใจ สิ่งเล็กสิ่งน้อยเหล่านี้ เมื่อรวมกันเข้ากลายเป็นเรื่องใหญ่ ซึ่งไม่มีผู้ใดคอยแก้ไข อีกสิ่งหนึ่งที่นักศึกษาไม่พอใจเป็นอย่างมากก็คือ ในยามที่สถานทูตเฝ้าเทศนาขอให้ช่วยกันประหยัดการใช้จ่าย สถานทูตยังคงเช่าสถานที่ตากอากาศยามคิมหันตฤดูไว้เพื่อให้ข้าราชการได้แบ่งไปพักผ่อนตามควรแก่โอกาส การแตกแยกเลยพาดพิงไปถึงการปฏิบัติงานด้วย ความจริงท่านทูตเสนีย์ไม่สู้จะไว้อกไว้ใจพันโท ขาบเท่าใดนัก เริ่มโดยเข้าใจว่า พันโทคนนี้เป็นผู้ที่จอมพล ป. พิบูลสงคราม ส่งไปกรุงวอชิงตันเพื่อให้สอดส่องการปฏิบัติงานของทูต เมื่อขาดความไว้วางใจ ท่านทูตจึงไม่สู้อยากจะให้พันโท ขาบมีหน้าที่เกี่ยวกับฝ่ายอเมริกันทาง โอ.เอส.เอส. เท่าใดนัก ถึงกับเจ้าหน้าที่ภายใน โอ.เอส.เอส. เองก็เลยแบ่งเป็นฝ่ายสนับสนุนท่านทูตและฝ่ายสนับสนุนพันโท ขาบ นายพลตรี โดโนเวนเคยกล่าวว่า ใครก็ตามรวมทั้งท่านเสนีย์ด้วย ถ้ายินดีจะสวมเครื่องแบบออกไปทำการสู้รบหรือปฏิบัติการอย่างอื่นให้แก่ โอ.เอส.เอส. ท่านรับทั้งนั้น ในกรมกิจการตะวันออกไกล กระทรวงการต่างประเทศอเมริกัน เจ้าหน้าที่ที่ทำงานเกี่ยวกับประเทศไทย ก็ยังแบ่งเป็นสองพวกเหมือนกัน นายมอฟเฟ็ตสนิทสนมกับท่านทูตเสนีย์ นายแลนดอนผู้เคยเป็นบาทหลวงสอนศาสนาอยู่ที่จังหวัดตรังในประเทศไทย รู้สึกจะชอบพันโท ขาบ จึงไม่สู้จะลงเส้นกับท่านทูตนัก
อย่างไรก็ตาม สำหรับคุณสงวนและข้าพเจ้า เราถือว่าเป็นคนที่ถูกส่งจากประเทศไทยเพื่องานเฉพาะกิจ เราไม่เกี่ยวข้องพันพัวกับความเป็นไปในกรุงวอชิงตัน เราจึงไม่ต้องการเข้าร่วมในการแตกแยกภายใน ซึ่งจะไม่เป็นประโยชน์ต่อการปฏิบัติงานตามภาระหน้าที่ที่เราได้รับมอบหมาย ฉะนั้น เราจึงไปทั้งสองแห่ง ทั้งที่สถานทูตและที่บ้านผู้ช่วยฝ่ายทหารบก เราร่วมทำงาน และร่วมสนุกด้วยกัน
ในด้านงาน เรามีประชุมกันที่สถานทูตระหว่างท่านทูตเสนีย์ คุณหลวงดิษฐการภักดี คุณมณี สาณะเสน คุณสงวน ตุลารักษ์ และข้าพเจ้า ปรึกษาหารือในการเตรียมการเจรจากับฝ่ายสหรัฐฯ ในการประชุมภายในครั้งแรก ข้าพเจ้ารายงานให้ที่ประชุมทราบถึงสถานการณ์ภายในประเทศไทย โดยชี้แจงว่า การจัดส่งคณะผู้แทนออกมาเจรจากับรัฐบาลสหรัฐฯ ครั้งนี้ แท้ที่จริงแล้วมุ่งประสงค์อยู่ที่ท่าทีของอังกฤษ สหรัฐฯ ดีต่อประเทศไทยตลอดมา อังกฤษยังไม่ยอมเปิดเผยท่าทีที่แน่นอนเกี่ยวกับอนาคตของไทย วิธีที่ฝ่ายเราคิดไว้ก็คือ หากเราสามารถจัดตั้งรัฐบาลไทยชั่วคราวนอกประเทศได้ ก็พอจะเป็นปัจจัยให้มีการติดต่อทางการเมืองกับฝ่ายสัมพันธมิตรทุกประเทศรวมทั้งอังกฤษด้วย ฉะนั้นในหนังสือมอบอำนาจแต่งตั้งคณะผู้แทนในการเจรจากับรัฐบาลอเมริกาจึงได้เน้นเรื่องการจัดตั้งรัฐบาลชั่วคราวพลัดถิ่นโดยเฉพาะ
ที่ประชุมได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันอย่างกว้างขวาง และตกลงให้ท่านทูตเสนีย์เป็นผู้ยกร่างบันทึกที่จะยื่นต่อกระทรวงการต่างประเทศอเมริกัน ต่อมาได้มีการประชุมภายในอีกเพื่อพิจารณาร่างบันทึกของท่านทูตเสนีย์ ข้าพเจ้าขอจารึกไว้ ณ ที่นี้ถึงความเป็นประชาธิปไตยของท่านทูตเสนีย์ ทุกคนขอแก้ไขเพิ่มเติมความในร่างบันทึกได้ทุกข้อ เมื่อตกลงกันแล้วท่านทูตเสนีย์รับไปจัดการปรับปรุงบันทึกใหม่ตามมติของที่ประชุม เป็นบันทึกลงวันที่ ๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๔๘๘
การประชุมครั้งแรกที่กระทรวงการต่างประเทศนัดในวันที่ ๑๘ กุมภาพันธ์ ๒๔๘๘ ฝ่ายอเมริกันมีนาย เจ. ดับบลิว. บัลเลนไทน์ อธิบดีกรมกิจการตะวันออกไกล และนาย อี. สแตนตัน ผู้ช่วย ฝ่ายไทยมี ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช เป็นหัวหน้า พร้อมด้วยคุณสงวนและข้าพเจ้า ท่านทูตยื่นบันทึกลงวันที่ ๑๔ กุมภาพันธ์ ให้แก่นายบัลเลนไทน์ พร้อมกับหนังสือมอบอำนาจจากผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ และแถลงประกอบการเสนอขอจัดตั้งรัฐบาลไทยพลัดถิ่นโดยขอให้สหประชาชาติรับรอง
ความจริงเรื่องการจัดตั้งรัฐบาลไทยพลัดถิ่นนี้ เมื่อครั้งคุณสงวนและคุณแดงออกไปกรุงวอชิงตัน ก็ได้ไปทาบทามทางกระทรวงการต่างประเทศอเมริกันไว้แล้วแต่เมื่อวันที่ ๑๑ ธันวาคม ๒๔๘๖ แต่ท่านทูตเสนีย์ยังไม่สู้จะเห็นด้วย เรื่องจึงเงียบไป ต่อมาเมื่อวันที่ ๑๒ ธันวาคม ๒๔๘๗ นายแลนดอน เจ้าหน้าที่โต๊ะไทยในกรมกิจการตะวันออกไกล เชิญท่านทูตเสนีย์ไปพบและแจ้งให้ทราบว่า ทางอเมริกาได้รับสาส์นจากคุณหลวงอรรถกิติกำจร ทูตไทยที่สตอกโฮล์ม แจ้งว่า ท่านปรีดีใคร่จะขอให้ท่านเสนีย์จัดตั้งคณะรัฐบาลไทยเสรีขึ้นในสหรัฐฯ และขอให้ท่านทูตเสนีย์ส่งผู้แทนไปพบที่กรุงสตอกโฮล์มเพื่อปรึกษาหารือวางแผนดาเนินงาน ท่านทูตเสนีย์ให้ความเห็นว่า ความประสงค์ในสาส์นฉบันนั้นขัดต่อหลักการของท่านที่เคยแถลงไว้ว่า ท่านทำงานเสรีไทย ไม่มุ่งประสงค์จะได้ตำแหน่งหน้าที่อย่างใด จึงยังไม่แน่ใจว่า ที่สั่งมาเช่นนั้น ท่านปรีดีมีความมุ่งหมายประการใด นายแลนดอนตอบว่าอาจจะเป็นเพราะท่านปรีดีมีแผนที่จะอยากหนีออกจากประเทศไทยก็ได้ จึงใคร่จะให้เตรียมองค์การอย่างใดไว้ก่อน นายมอฟเฟ็ต หัวหน้ากองในกรมกิจการตะวันออกไกล เตือนว่า การส่งผู้แทนทูตจากวอชิงตันไปกรุงสตอกโฮล์มอาจจะไม่พ้นสายตาของฝ่ายข้าศึก ท่านทูตเสนีย์ขอให้กระทรวงการต่างประเทศอเมริกันส่งคนไปติดต่อกับทูตไทยที่สวีเดนดีกว่า ได้ความอย่างไรค่อยแจ้งให้ท่านทราบ
เมื่อวันที่ ๑๕ ธันวาคม ๒๔๘๗ ท่านทูตเสนีย์แจ้งต่อนายมอฟเฟ็ตว่า ในทัศนะของท่าน การจัดตั้งรัฐบาลไทยเสรีมีท่านเป็นหัวหน้านั้น เกรงจะไม่ชอบด้วยกฎหมาย ท่านไม่มีอำนาจที่จะกระทำเช่นนั้นได้ และจะไม่ทำเป็นอันขาด ถ้าผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ยืนยันว่ามีความจำเป็นจริง ๆ ไม่มีทางเลือกอย่างอื่น เนื่องด้วยผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์อาจถูกฝ่ายญี่ปุ่นบีบบังคับมากขึ้น ท่านทูตก็จะรับไว้พิจารณาดู ต่อมาอีกสัปดาห์หนึ่ง นายมอฟเฟ็ตแสดงความเห็นต่อท่านทูตเสนีย์ว่า นอกจากจะมีเหตุผลอื่นบังคับให้หลีกเลี่ยงไม่ได้ การจัดตั้งรัฐบาลไทยพลัดถิ่นในสหรัฐฯ จะไม่ช่วยประเทศไทย และอาจจะก่อให้เกิดความยุ่งยากแก่สหรัฐฯ ก็ได้ เนื่องจากอังกฤษไม่เห็นด้วย ในบันทึกที่อธิบดีกรมกิจการตะวันออกไกลเสนอต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศฉบับลงวันที่ ๒๕ มกราคม ๒๔๘๘ มีข้อความตอนท้ายว่า ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ส่งผู้แทนไปจุงกิงตามคำเชิญของจอมพล เจียงไคเช็ค เพื่อปรึกษาหารือเกี่ยวกับการจัดตั้งคณะรัฐบาลไทยชั่วคราวขึ้นที่จุงกิง ซึ่งหากประเทศจีนรับรองแล้ว ก็จะได้ให้ฝ่ายสหรัฐฯ และอังกฤษรับรองอีกด้วย ทั้งนี้เพราะผู้สำเร็จราชการเชื่อว่า ญี่ปุ่นกำลังเตรียมการจะเข้ายึดอำนาจการปกครองของประเทศไทยแล้ว และในขณะเดียวกันผู้สำเร็จราชการกำลังส่งผู้แทนอีกคนหนึ่งมากรุงวอชิงตัน
อย่างไรก็ตาม เมื่อมีหนังสือมอบอำนาจจากผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ให้เปิดการเจรจากับฝ่ายอเมริกันเป็นทางการ กระทรวงการต่างประเทศจึงต้องรับฟังและเจรจาด้วย ในการประชุมเมื่อวันที่ ๑๙ กุมภาพันธ์ ๒๔๘๘ ฝ่ายไทยเริ่มอธิบายว่า การกระทำของจอมพล ป. พิบูลสงคราม ในการสั่งให้ฝ่ายไทยหยุดยิงต่อสู้กำลังทหารญี่ปุ่นเมื่อวันที่ ๘ ธันวาคม ๒๔๘๔ ก็ดี การยินยอมให้ญี่ปุ่นส่งกำลังทหารผ่านประเทศไทยก็ดี ตลอดจนการประกาศสงครามกับสหรัฐฯ และอังกฤษ เมื่อวันที่ ๒๕ มกราคม ๒๔๘๕ ล้วนเป็นการกระทำขัดต่อเจตนารมณ์อันแท้จริงของประชาชนชาวไทยส่วนใหญ่ เป็นการละเมิดกฎหมายกำหนดหน้าที่คนไทยในเวลารบที่ผ่านรัฐสภาโดยชอบ สำหรับการประกาศสงครามยังเป็นการขัดต่อรัฐธรรมนูญไทยด้วย เพราะคณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ผู้ทำหน้าที่ในพระปรมาภิไธยมิได้ลงนามในประกาศสงครามครบถ้วน ประชาชนชาวไทยไม่เห็นด้วยกับการร่วมมือทางทหารกับญี่ปุ่น จนในที่สุดได้มีการล้มรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม ลง และจัดตั้งรัฐบาลควง อภัยวงศ์ ขึ้นแทน รัฐบาลใหม่แม้จะอยู่ในบังคับต้องทำตนเป็นมิตรกับญี่ปุ่น แต่ก็เปิดโอกาสให้ขบวนการต่อต้านญี่ปุ่นปฏิบัติการร่วมมือกับฝ่ายสหประชาชาติโดยใกล้ชิด รัฐบาลควงย่อมไม่สามารถทำตนเป็นปฏิปักษ์ต่อญี่ปุ่นอย่างเปิดเผย จึงจำต้องจัดให้มีรัฐบาลไทยพลัดถิ่นขึ้นเป็นปากเสียงที่แท้จริงของประชาชนชาวไทย ซึ่งจะปฏิเสธการประกาศสงครามของรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม และการกระทำอื่น ๆ ในด้านการร่วมมือกับญี่ปุ่น ตลอดจนการรับดินแดนบางส่วนของมลายูและพม่า ในการนี้ รัฐบาลพลัดถิ่นจำต้องได้การยอมรับนับถือจากฝ่ายสหประชาชาติเพื่อส่งเสริมกําลังใจให้แก่คนไทยว่า ฝ่ายสหประชาชาติมิได้รังเกียจเดียดฉันท์ประเทศไทย หากเห็นอกเห็นใจในการที่ต้องตกอยู่ในอำนาจของญี่ปุ่น
ฝ่ายอเมริกันอธิบายว่ายังไม่ตระหนักในความจำเป็นที่อ้างถึง เพราะการจัดตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นอาจจะก่อให้เกิดความสับสน จะอธิบายได้อย่างไรว่า ประเทศไทยมีทั้งรัฐบาลที่จัดตั้งขึ้นโดยชอบด้วยกฎหมาย และในขณะเดียวกันมีรัฐบาลพลัดถิ่นนอกประเทศอีกคณะหนึ่ง บางทีอาจจะมีทางสนองความต้องการของไทยได้ด้วยการจัดตั้งคณะกรรมการเสรีคณะหนึ่ง โดยไม่ต้องเรียกเป็นรัฐบาลพลัดถิ่นจะสะดวกกว่า
ฝ่ายไทยพยายามชี้แจงว่า รัฐบาลพลัดถิ่นย่อมปฏิบัติการใด ๆ ได้ในนามของประชาชนชาวไทยอย่างเต็มที่ พร้อมด้วยการยอมรับนับถือของฝ่ายสหประชาชาติ การมอบอำนาจที่คณะผู้แทนไทยได้รับมาก็เพื่อให้เจรจาจัดตั้งคณะรัฐบาลพลัดถิ่น แยกต่างหากจากรัฐบาลภายในประเทศ และเมื่อจำเป็นก็จะมีบุคคลชั้นผู้นำของขบวนต่อต้านออกมาร่วม มิใช่เพียงคณะกรรมการเท่านั้น ประชาชนไทยจะเข้าใจในความสำคัญของรัฐบาลพลัดถิ่นยิ่งกว่าคณะกรรมการ หากฝ่ายอเมริกันไม่เห็นด้วยกับการจัดตั้งคณะรัฐบาลพลัดถิ่น และขอให้เป็นเพียงคณะกรรมการไปพลางก่อน ฝ่ายไทยจะต้องขอเวลาปรึกษาหารือกันดู โดยจะต้องฟังความเห็นของผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ทางกรุงเทพฯ
ในบันทึกของฝ่ายไทยได้กล่าวถึงความต้องการจะได้รับความช่วยเหลือในรูปให้ยืมให้เช่าจากรัฐบาลอเมริกา ในข้อนี้ฝ่ายอเมริกันชี้แจงว่า ถ้าเป็นความช่วยเหลือในด้านทหาร จะต้องติดต่อทางเจ้าหน้าที่ฝ่ายทหารอเมริกา ฝ่ายอเมริกันได้ถือโอกาสถามถึงการเลือกปฏิบัติทางเศรษฐกิจที่รัฐบาลไทยเคยถือเป็นนโยบายต่อคนต่างด้าวก่อนสงครามว่า จะคงดำเนินต่อไปหรือไม่ ฝ่ายไทยตอบว่า นโยบายทางเศรษฐกิจของรัฐบาลไทยภายหลังสงครามย่อมจะตั้งอยู่บนมูลฐานการไม่เลือกปฏิบัติ คนต่างด้าวทุกประเทศจะได้รับผลปฏิบัติอย่างคนชาติที่ได้รับอนุเคราะห์ยิ่ง และอย่างคนไทย โดยปราศจากการกีดกัน
ในตอนท้ายก่อนสิ้นประชุม ฝ่ายไทยได้แจ้งให้ฝ่ายอเมริกันทราบว่า ได้มีโอกาสไปเยี่ยมเซอร์จอร์ช แซนซัม ที่ปรึกษาสถานเอกอัครราชทูตอังกฤษ ทางสันถวไมตรีแล้ว ขอมอบให้อยู่ในดุลยพินิจของนายบัลเลนไทน์ที่จะแจ้งให้เซอร์จอร์ชทราบถึงการเจรจาระหว่างอเมริกากับไทย ถ้าฝ่ายอังกฤษมีความคิดเห็นอย่างใด หวังว่าทางฝ่ายอเมริกันคงจะแจ้งให้ทราบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในข้อที่ว่า อังกฤษมีนโยบายจะปฏิบัติอย่างไรกับประเทศไทยหลังสงคราม อังกฤษยังไม่ยอมเปิดเผยท่าทีของอังกฤษเลย ทั้งยังไม่ยอมจะเจรจาการเมืองกับไทยด้วย หากฝ่ายอเมริกันสามารถช่วยให้อังกฤษแสดงท่าทีออกมาให้ชัดเจน ก็จะเป็นการดี เพราะภายในประเทศไทยมีข้อเกรงกลัวห่วงใยในเรื่องนี้มาก
หลังจากที่ได้พบกับคณะผู้แทนไทยแล้ว นายบัลเลนไทน์เชิญเซอร์จอร์ช แซนซัม ไปพบที่กระทรวงการต่างประเทศ และตามรายงานที่เซอร์จอร์ชส่งกระทรวงการต่างประเทศอังกฤษเมื่อวันที่ ๒๒ กุมภาพันธ์ นายบัลเลนไทน์ได้บอกเล่าเก้าสิบให้เซอร์จอร์ชทราบในรายละเอียดของการพูดจากับคณะผู้แทนไทย และแสดงความเห็นว่า ยังไม่สู้จะมองเห็นประโยชน์เพียงใดนักที่ผู้สำเร็จราชการเสนอจะให้มีการปฏิเสธการประกาศสงครามของจอมพล ป. พิบูลสงคราม ในช่วงนั้น แต่น่าที่จะพิจารณาปัญหาเรื่องการรับรองคณะกรรมการไทยเสรีซึ่งจะมีผู้แทนประจำที่กรุงวอชิงตัน ลอนดอน และจุงกิง คำขอของคณะผู้แทนไทยดูจะเกินความจำเป็นเฉพาะหน้าไปบ้าง แต่ก็ไม่ควรจะเพิกเฉยละเลยเสียทีเดียว นายบัลเลนไทน์รับว่า ท่าทีของรัฐบาลอังกฤษแตกต่างจากของรัฐบาลอเมริกา เพราะอังกฤษมีผลประโยชน์โดยตรงในดินแดนที่ติดต่อกับประเทศไทย ส่วนสหรัฐฯ คำนึงถึงแต่ประโยชน์ทั่วไป อย่างไรก็ตาม ทั้งสองรัฐบาลน่าจะตกลงกันในหลักการสำคัญ ๆ เพื่อป้องกันมิให้จุงกิงชิงดำเนินการฝ่ายเดียวไปก่อน
วันที่ ๖ มีนาคม นายอีเดนสั่งให้ลอร์ดแฮลิแฟ็กซ์ขอบคุณกระทรวงการต่างประเทศอเมริกันที่ได้แจ้งผลของการเจรจากับคณะผู้แทนไทยให้ทราบ และยินดีที่จะรับปรึกษาหารือด้วย ก่อนที่กระทรวงการต่างประเทศอเมริกันจะติดต่อกับคณะผู้แทนไทยต่อไป ในขณะเดียวกัน นายอีเดนได้แจ้งเนื้อหาของการสนทนาระหว่างนายเดนิ่งกับคุณดิเรก ชัยนาม เมื่อวันที่ ๒๖ กุมภาพันธ์ ให้ฝ่ายอเมริกันทราบด้วย
พึงสังเกตว่า เมื่อมีคณะผู้แทนไทยออกไปจุงกิง ทางฝ่ายจีนแจ้งให้ทั้งอังกฤษและอเมริกาทราบเสมอ เมื่อคุณดิเรกเดินทางออกไปแคนดี และข้าพเจ้าออกไปกรุงวอชิงตัน ทั้งอังกฤษและอเมริกาต่างแจ้งให้แก่กันทราบ แต่มิได้แจ้งต่อฝ่ายจีนเนื่องจากเกรงข่าวจะรั่วไหลถึงหูญี่ปุ่น
วันที่ ๑๖ มีนาคม กระทรวงการต่างประเทศอเมริกันมีหนังสือถึงสถานอัครราชทูตอังกฤษเสนอแนะให้รัฐบาลอังกฤษ จีน และอเมริกาตกลงกันในเรื่องการจัดตั้งคณะกรรมการไทยเสรีนอกประเทศไทย เพื่อเป็นทางสนับสนุนงานของคณะต่อต้านญี่ปุ่นภายในประเทศไทย และได้แจ้งให้อังกฤษทราบด้วยว่า จอมพล เจียงไคเช็ค พร้อมที่จะยินยอมให้คณะกรรมการไทยเสรีนี้ตั้งทำการอยู่ในกรุงวอชิงตัน ฝ่ายอังกฤษตอบเมื่อวันที่ ๕ เมษายน ไม่เห็นด้วยกับการจัดตั้งคณะกรรมการดังกล่าว และไม่เชื่อว่าจะทำ ประโยชน์อย่างใดได้ นอกจากจะเพิ่มความยุ่งยากให้เกิดขึ้นภายในประเทศไทย และจะทำ ให้ญี่ปุ่นมีปฏิกิริยารุนแรงยิ่งขึ้น เมื่อมีทางติดต่อกับหัวหน้าขบวนการต่อต้านโดยตรงได้แล้ว ก็ควรจะดำ เนินการอย่างลับ ๆ ต่อไปอีกจนกว่าจะถึงเวลาจัดตั้งรัฐบาลชั่วคราวในดินแดนไทยที่ได้รับการปลดปล่อยแล้ว
ต่อมาเมื่อปรากฏว่า ฝ่ายสหประชาชาติจะจัดให้มีการประชุมตั้งองค์การสหประชาชาติขึ้นที่นครซานฟรานซิสโกในเดือนเมษายน ๒๔๘๘ ประเทศที่จะเข้าร่วมการประชุมได้จะต้องเป็นประเทศที่ประกาศสงครามกับอักษะ คณะผู้แทนไทยได้รับคำ สั่งจากผู้สำ เร็จราชการให้แถลงต่อฝ่ายอเมริกันว่า ฝ่ายต่อต้านญี่ปุ่นในประเทศไทยพร้อมที่จะประกาศสงครามกับญี่ปุ่นทันที ซึ่งทางฝ่ายอเมริกันได้ขอร้องให้รอไว้ก่อน เพราะการประกาศเช่นนั้น อาจจะสร้างความไม่พอใจให้แก่ญี่ปุ่น ทำ ให้ญี่ปุ่นปฏิบัติการรุนแรงจนถึงกับยึดครองประเทศไทยอย่างเด็ดขาดได้ ฝ่ายสหประชาชาติยังต้องการให้ประเทศไทยช่วยสหประชาชาติทางใต้ดินไปก่อน จะเป็นประโยชน์ต่อสหประชาชาติมากกว่าเกิดการแตกหักระหว่างไทยกับญี่ปุ่น ฝ่ายอเมริกันขอรับทราบเจตจำ นงของฝ่ายไทยไว้ แต่จะยังไม่ให้ดำ เนินงานจนกว่าทุกฝ่ายจะพร้อม
วันที่ ๒๐ มีนาคม ๒๔๘๘ นายเบรน ประจำกองบัญชาสูงสุดฝ่ายสัมพันธมิตร มีโทรเลขถึงกระทรวงการต่างประเทศอังกฤษว่า ข่าวจากกระแสอเมริกาว่า รัฐบาลไทยคิดว่า ญี่ปุ่นอาจจะเข้ายึดควบคุมประเทศไทยในเร็ววัน และรัฐบาลไทยตัดสินใจจะต่อสู้ด้วยกำลังอาวุธ แต่คงสู้ได้ไม่เกินเดือน ถ้าหากไม่ได้รับการสนับสนุนจากภายนอก
นายเบรนรายงานอีกว่า ไม่มีหลักฐานว่า ญี่ปุ่นจะผลุนผลันดำ เนินการเช่นนั้น เพราะยังมีท่าทีพอใจในรัฐบาลไทยอยู่ ถ้าขืนใช้กำลังเข้ายึดไทย จะได้รับการต่อต้านอย่างรุนแรงจากฝ่ายไทย ซึ่งญี่ปุ่นจะต้องอาศัยกำลังใหญ่หลวงจึงจะสำเร็จ และไม่สมเหตุสมผลในทางโฆษณาของญี่ปุ่นว่าด้วยวัตถุประสงค์ของสงคราม ข่าวลือนี้อาจจะมาจากไทยที่รํ่าร้องแสวงหาอาวุธจากภายนอก นายเบรนเชื่อว่า ญี่ปุ่นคงไม่ปฏิบัติการอย่างใด นอกจากจะทราบแน่นอนว่า ไทยเตรียมการต่อต้านหรือมีการคุกคามจากภายนอก
ในระหว่างที่เจรจาทางกระทรวงการต่างประเทศ ฝ่าย โอ.เอส.เอส. ได้เสนอแนะให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศมีโทรเลขส่งเสริมให้กำลังใจแก่ผู้สาเร็จ ํราชการแทนพระองค์ ซึ่งกระทรวงการต่างประเทศตกลงให้ส่งโทรเลขมีข้อความดังนี้ “ความพยายามของท่านและของผู้ร่วมงานกับท่านที่จะปลดเปลื้องประชาชาติไทยจากผู้กดขี่ เป็นที่ทราบตระหนักอย่างดี และจะไม่ล้มเหลว ข้าพเจ้าอวยพรให้ท่านประสบความสำเร็จและขอแสดงความนับถืออย่างอบอุ่นที่สุดมา ณ ที่นี้”
ข้าพเจ้าได้รับเชิญให้ไปพบกับเจ้าหน้าที่ของ โอ.เอส.เอส. หลายครั้งเพื่อชี้แจงถึงความเป็นไปภายในประเทศไทย ได้ทราบว่า ทาง โอ.เอส.เอส. มีบัญชีอาชญากรสงครามในประเทศไทย ได้แก่ จอมพล ป. พิบูลสงคราม พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวรรณไวทยากร นายวิจิตร วิจิตรวาทการ นายวนิช ปานะนนท์ ซึ่งถือว่าเป็นผู้ให้ความร่วมมือกับญี่ปุ่นอย่างใกล้ชิด ข้าพเจ้าพยายามแก้ไขให้บรรเทาความเชื่อถือของฝ่ายอเมริกันลงไปบ้างเท่าที่พอจะกระทำได้ โดยอ้างว่า ในสถานการณ์ขณะนั้น เมื่อกำลังญี่ปุ่นมหาศาลอยู่ในประเทศ จำต้องมีการผ่อนคลายยอมให้ฝ่ายญี่ปุ่นบ้าง มิฉะนั้นแล้วญี่ปุ่นก็คงยึดครองประเทศโดยเด็ดขาด ทุกสิ่งทุกอย่างจะตกอยู่ในอำนาจของญี่ปุ่น การที่ไทยประกาศเข้าข้างญี่ปุ่นในตอนนั้น ย่อมเปิดทางให้รัฐบาลไทยมีสิทธิมีเสียงในทางปฏิบัติบ้างไม่มากก็น้อย เช่น การกักกันบุคคลพลเรือนฝ่ายสหประชาชาติ หากญี่ปุ่นมีอำนาจเด็ดขาดในการควบคุมค่ายกักกัน ผลปฏิบัติที่ผู้ถูกกักกันจะได้รับจะรุนแรงยิ่งกว่าที่อยู่ในการควบคุมของไทย เจ้าหน้าที่ฝ่ายไทยพยายามรักษาสภาวะความเป็นอยู่ของบรรดาผู้ถูกกักกันให้พอทนทานกันไป และในบางกรณีถึงกับต้องโต้แย้งกับฝ่ายญี่ปุ่นอย่างออกหน้าก็มี การที่ทหารญี่ปุ่นจะเข้ายึดสถานที่ทางราชการของอังกฤษและสหรัฐฯ ในประเทศไทย ฝ่ายเราก็ได้หาทางกีดกันเท่าที่จะกระทำได้ เช่น เมื่อทราบว่า ญี่ปุ่นต้องการจะใช้สถานทูตอังกฤษ เราก็ชิงประกาศบริเวณสถานทูตเป็นที่พักฟื้นของทหารไทยที่ต้องบาดเจ็บและเจ็บป่วยเสีย เมื่อญี่ปุ่นต้องการจะทำลายอนุสาวรีย์ของควีนวิกตอเรียที่ตั้งอยู่กลางบริเวณสถานทูตอังกฤษ เพราะเห็นว่าเป็นสัญลักษณ์แห่งจักรวรรดินิยม ไทยก็เจรจาขอร้องมิให้โยกย้ายอนุสาวรีย์ออกไป เพียงให้ต่อลังไม้ปิดบังเสีย ความร่วมมือที่ฝ่ายไทยให้แก่ญี่ปุ่นแม้สมัยนายกรัฐมนตรีจอมพล ป. พิบูลสงคราม จำกัดเฉพาะเท่าที่จำเป็นจริง ๆ เราจัดตั้งคณะกรรมการผสมระหว่างไทยกับญี่ปุ่นขึ้น หากฝ่ายญี่ปุ่นต้องการสิ่งใด จะต้องเสนอผ่านคณะกรรมการผสมนี้พิจารณาเสนอความคิดเห็นต่อรัฐบาลก่อน เมื่อญี่ปุ่นจัดการประชุมมหาเอเชียบูรพา และได้เชิญให้นายกรัฐมนตรีของประเทศภายในภูมิภาคไปร่วมประชุมที่กรุงโตเกียวเมื่อวันที่ ๕ พฤศจิกายน ๒๔๘๖ ไทยเป็นประเทศเดียวที่มิได้ส่งนายกรัฐมนตรีออกไปร่วมประชุม แสดงให้เห็นว่า จอมพล ป. พิบูลสงคราม มิใช่จะเอออวยกับญี่ปุ่นไปเสียทุกอย่าง
สำหรับพระองค์เจ้าวรรณไวทยากร ฝ่าย โอ.เอส.เอส. ถือเป็นอาชญากรสงครามในฐานที่เสด็จไปร่วมการประชุมมหาเอเชียบูรพา ถ้าไม่นิยมญี่ปุ่นแล้ว ก็น่าจะทรงปฏิเสธไม่ยอมเสด็จ ยิ่งกว่านั้น ยังทรงส่งบุตรชายไปเรียนที่ญี่ปุ่นด้วย แสดงให้เห็นว่าทรงนิยมญี่ปุ่นอย่างแน่ชัด ในข้อนี้ ข้าพเจ้าให้คำชี้แจงว่า ข้าพเจ้าทำงานใกล้ชิดกับพระองค์ท่าน ทราบทัศนะของพระองค์ท่านเป็นอย่างดี การส่งบุตรหลานไปเรียนในประเทศญี่ปุ่นนั้น บิดามารดาไทยกระทำกันอยู่ไม่น้อย เพราะค่าเล่าเรียนในประเทศญี่ปุ่นถูก และญี่ปุ่นพยายามส่งเสริมให้ไปศึกษากัน เมื่อส่งไปเรียนที่ยุโรปและสหรัฐอเมริกาไม่ได้ เพราะเหตุสงคราม ก็พากันส่งไปญี่ปุ่น ซึ่งการศึกษาก้าวหน้าพอใช้ ส่วนการเสด็จไปร่วมการประชุมมหาเอเชียบูรพา ที่พระองค์ท่านต้องยินยอมเสด็จแทนนายกรัฐมนตรี ก็เพราะพระองค์ท่านเป็นข้าราชการประจำมีตำแหน่งเป็นที่ปรึกษาราชการต่างประเทศ เมื่อรัฐบาลสั่งให้กระทำสิ่งใดในกรอบหน้าที่ พระองค์ทรงรับทุกอย่าง การที่ไทยได้ผู้เชี่ยวชาญในกิจการต่างประเทศไปร่วมประชุมที่ญี่ปุ่นครั้งนั้น ย่อมเป็นประโยชน์แก่ประเทศไทยยิ่งกว่าจะส่งผู้ไม่สันทัด ฉะนั้นจะทึกทักถือว่า พระองค์ท่านนิยมญี่ปุ่นถึงขีดเป็นอาชญากรสงคราม ก็ไม่ถูกต้อง
ส่วนนายวิจิตร วิจิตรวาทการ ข้าพเจ้าให้ความเห็นว่า ท่านเป็นนักประวัติศาสตร์ จิตใจย่อมฝังอยู่กับการที่ประเทศไทยต้องถูกบังคับให้เสียดินแดนให้แก่ฝ่ายฝรั่งเศสและอังกฤษ เมื่อญี่ปุ่นเสนอให้ไทยได้ดินแดนคืน ก็ย่อมเป็นเครื่องจูงใจให้หันไปทางญี่ปุ่นบ้าง ประกอบกับในระยะแรกของสงคราม ญี่ปุ่นประสบความสำเร็จในการศึกตลอดมา ท่านจึงเชื่อว่า ฝ่ายอักษะจะได้ชัยชนะในที่สุด ความคิดเห็นของท่านจึงเบนไปทางนั้นเป็นธรรมดา จะเข้าขั้นเป็นอาชญากรสงครามแหละหรือ
ข้าพเจ้าไม่ได้กล่าวถึงนายวนิช ปานะนนท์ เพราะข้าพเจ้าไม่รู้จักดี จึงไม่สามารถชี้แจงให้ความเห็นอย่างใดได้
โดยที่ทราบว่า ข้าพเจ้าเคยไปปฏิบัติราชการในประเทศญี่ปุ่นอยู่ระยะหนึ่ง ฝ่าย โอ.เอส.เอส. ถามข้าพเจ้าตอนหนึ่งว่า ถ้าจะส่งข้าพเจ้ากลับไปประเทศญี่ปุ่น เพื่อให้ช่วยสอดแสวงหาข่าวสารให้จะได้หรือไม่ เพื่อให้ โอ.เอส.เอส มั่นใจว่า ฝ่ายต่อต้านญี่ปุ่นในประเทศไทยพร้อมที่จะให้ความร่วมมือกับฝ่ายสัมพันธมิตรทุกวิถีทาง ข้าพเจ้าตอบไปเลยว่า ถ้ามีสิ่งที่เขาเห็นว่า ข้าพเจ้าจะเป็นประโยชน์แก่ฝ่ายสหประชาชาติ ข้าพเจ้ายินดีจะทำให้ โอ.เอส.เอส. จึงได้เริ่มให้ข้าพเจ้าฝึกการใช้วิทยุพูดส่งข่าวติดต่อจากพื้นดินกับเครื่องบินในอากาศ เขาจัดให้ข้าพเจ้าไปฝึกอยู่หลายวัน โดยพาไปยังที่เปลี่ยวนอกกรุงวอชิงตัน ลองพูดติดต่อทางวิทยุกับเครื่องบินที่ผ่านมา ขั้นต่อไปจะให้ฝึกโดดร่มจากเครื่องบิน แต่ยังไม่ได้กำหนดว่าจะดำเนินการจริงจังอย่างใดและเมื่อใด พอดีข้าพเจ้าได้รับโทรเลขด่วนจากผู้สำเร็จราชการสั่งให้ข้าพเจ้ารีบกลับประเทศไทยด่วน เพราะหายตัวไปเป็นเวลา ๓ เดือนแล้ว พวกญี่ปุ่นทั้งทหารและพลเรือนในประเทศไทยที่รู้จักข้าพเจ้า เริ่มถามถึงข้าพเจ้า เพื่อมิให้ฝ่ายญี่ปุ่นเริ่มหวาดระแวงในท่าทีของฝ่ายไทย ข้าพเจ้าจึงควรรีบกลับประเทศเสียทีหนึ่งก่อน ความดำริของ โอ.เอส.เอส. ที่จะส่งข้าพเจ้าไปญี่ปุ่น จึงเป็นอันพับไป
เมื่อข้าพเจ้าได้รับคำสั่งนี้ในต้นเดือนเมษายน ข้าพเจ้าได้ไปขอพบกับนายบัลเลนไทน์เพื่อแจ้งให้ทราบว่า ข้าพเจ้าเสียใจที่ต้องลากลับเสียแล้ว ทั้ง ๆ ที่ปฏิบัติการยังไม่ได้ผลตามวัตถุประสงค์ที่ส่งข้าพเจ้ามา แม้แต่ท่าทีของอังกฤษต่อประเทศไทยก็ยังไม่ได้ความคืบหน้าเลย ข้าพเจ้าจึงใคร่จะขอให้นายบัลเลนไทน์ช่วยติดต่อสอบถามฝ่ายอังกฤษก่อนที่ข้าพเจ้าจะเดินทางกลับว่า อังกฤษจะเอาอย่างไรกับประเทศไทยแน่ นายบัลเลนไทน์เห็นใจรับกับข้าพเจ้าว่าจะติดต่อกับฝ่ายอังกฤษดูอีก ต่อมานายบัลเลนไทน์ได้เชิญทูตเสนีย์และข้าพเจ้าไปพบเมื่อวันที่ ๙ เมษายนแล้ว แจ้งว่า ฝ่ายอังกฤษยินยอมให้แจ้งต่อฝ่ายไทยด้วยวาจาว่า “(๑) อังกฤษถือว่า เป้าหมายสุดท้ายของสหรัฐอเมริกาและของอังกฤษสำหรับประเทศไทยมีลักษณะอย่างเดียวกัน (๒) อังกฤษไม่มีข้อเคลือบแคลงสงสัยในความจริงใจของผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ที่ปรารถนาจะร่วมมือกับฝ่ายสัมพันธมิตร และ (๓) อังกฤษรู้สึกว่าพึงดำเนินการติดต่อโดยตรงกับผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ต่อไปจนกว่าจะถึงเวลาจัดตั้งรัฐบาลขึ้นบนผืนแผ่นดินไทยที่ได้รับการปลดปล่อยแล้วตามความดำริของผู้สำเร็จราชการฯ” นายบัลเลนไทน์ไม่ขัดข้องในการที่ข้าพเจ้าขอจดถ้อยคำเหล่านั้นไว้เพื่อไปรายงานผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ แต่ขอให้เข้าใจว่า ทั้งนี้เป็นเพียงตามเจตนารมณ์ของฝ่ายอังกฤษเท่านั้น มิใช่ถ้อยคำตัวต่อตัวที่เซอร์จอร์ช แซนซัน แจ้งต่อนายบัลเลนไทน์ และในการแจ้งให้ฝ่ายเราทราบ ทางอเมริกาไม่ประกันความผูกพันของฝ่ายอังกฤษ
ได้ความจากฝ่ายอเมริกันเพียงเท่านี้ ฝ่ายเราก็พอใจแล้ว การเดินทางออกไปสหรัฐฯ ของข้าพเจ้าไม่เสียเที่ยวทีเดียว เพราะถ้อยคำในข้อ (๑) จะแปลเป็นอย่างอื่นไม่ได้ นอกจากอังกฤษรับจะเคารพเอกราชและอธิปไตยของประเทศไทยหลังสงคราม และด้วยคำในข้อ (๒) เป็นการยอมรับนับถือความร่วมมือที่ขบวนการต่อต้านญี่ปุ่นซึ่งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์เป็นหัวหน้าได้ให้แก่สหประชาชาติ นายบัลเลนไทน์ยังได้ให้คำมั่นว่า แม้ข้าพเจ้าจะเดินทางกลับประเทศไทยแล้ว ทางกระทรวงการต่างประเทศอเมริกันยังหวังที่จะพูดจากับฝ่ายอังกฤษและฝ่ายไทยต่อไป
ความจริงในตอนนั้น ทางรัฐบาลอังกฤษได้ทำใจเกี่ยวกับประเทศไทยไว้แล้ว โดยกำหนดเป็นแนวนโยบายในการเจรจากับรัฐบาลไทยที่ได้รับการปลดปล่อยจากญี่ปุ่นว่า ฝ่ายไทยจะต้องปฏิเสธการร่วมมือกับญี่ปุ่นให้สิ้นเชิง ตกลงยอมรับผิดชอบชดใช้ค่าเสียหายที่เกิดขึ้นแก่ผลประโยชน์ของอังกฤษอันสืบเนื่องจากความร่วมมือกับญี่ปุ่น และทำความตกลงทางทหารกับผู้บัญชาการทหารสูงสุดฝ่ายสัมพันธมิตรสำหรับเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เพื่อร่วมกันต่อต้านญี่ปุ่น แล้วรัฐบาลอังกฤษจึงจะยอมรับนับถือรัฐบาลไทยใหม่นั้น อังกฤษต้องส่งข้อเสนอนี้ไปหารือกับรัฐบาลจักรภพที่เกี่ยวข้องอยู่ จึงยังไม่ยอมเปิดเผย
ฝ่ายอเมริกันจัดให้ข้าพเจ้าบินออกจากกรุงวอชิงตันไปเมืองแคนดี เจ้าหน้าที่ โอ.เอส.เอส ที่แคนดี แจ้งให้ทราบว่า บังเอิญเครื่องบินไปประเทศไทยเพิ่งออกไปเมื่อวันก่อนที่ข้าพเจ้าเดินทางถึง จะต้องรอเครื่องบินเที่ยวต่อไป ถ้าอยากจะกลับเร็วกว่านั้น ก็อาจจะต้องลงโดยโดดร่ม ข้าพเจ้าไม่ขัดข้อง เพราะความประสงค์ของผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์อยากจะให้ข้าพเจ้ากลับโดยเร็วที่สุดที่เป็นได้ เขาปรึกษาหารือกัน วันต่อมาแจ้งต่อข้าพเจ้าว่า จะจัดเครื่องบินพิเศษพาข้าพเจ้ากลับประเทศที่จุดหมายที่ได้นัดแนะไว้กับฝ่ายต่อต้านแล้ว เครื่องบินนํ้าอังกฤษนำข้าพเจ้ามาลงที่น่านนํ้าไทยบริเวณหน้าจังหวัดเพชรบุรี จากนั้นเรือศุลกากรของคุณหลวงบรรณากรโกวิทนำข้าพเจ้ากลับกรุงเทพฯ ทำนองเดียวกับที่เคยนำข้าพเจ้าไปเกาะกระดาษ วันรุ่งขึ้น ข้าพเจ้าไปปฏิบัติราชการที่กระทรวงการต่างประเทศเป็นปกติ มารดาของข้าพเจ้าดีใจที่ข้าพเจ้ากลับบ้าน แล้วหลังจากที่ไปต่างจังหวัดเสียกว่าสามเดือน
ข้าพเจ้าเดินทางออกไปต่างประเทศตอนนั้นไปอย่างตัวเปล่า ไม่มีข้าวของสิ่งใดติดตัวไปด้วยเลย เวลาขากลับประเทศไทย ข้าพเจ้าก็กลับตัวเปล่าเหมือนกัน นอกจากเสื้อผ้าที่นุ่งห่มอยู่กับตัวแล้ว หาได้มีสิ่งอื่นใดติดมาไม่ แม้แต่ธนบัตรเงินเหรียญอเมริกาที่ข้าพเจ้าได้รับจากสถานทูตด้วยความกรุณาของท่านทูตเสนีย์ ปราโมช เป็นค่าใช้จ่ายที่จำเป็นระหว่างพำนักอยู่ที่กรุงวอชิงตันเหลือติดตัวระหว่างเดินทางมาแคนดี ๑๐๐ เหรียญ ข้าพเจ้าก็ได้มอบให้แก่นาวาอากาศเอก ทวี จุลละทรัพย์ ซึ่งเพิ่งออกไปในงานของขบวนการต่อต้าน และบังเอิญพบกันที่เมืองโคลอมโบ โดยเห็นว่าอาจจะเป็นประโยชน์แก่คุณทวีมากกว่าข้าพเจ้า ถ้าข้าพเจ้าเก็บติดตัวมา นอกจากจะไม่มีประโยชน์อย่างใด เพราะสมัยนั้นไม่มีการแลกเปลี่ยนเงินตราอเมริกาหรืออังกฤษกับเงินบาทไทยเป็นทางการ ยังอาจจะเป็นภัยแก่ข้าพเจ้าเองอีกด้วย หากระหว่างเดินทางเข้ากรุงเทพฯ ข้าพเจ้าเกิดต้องเจอกับทหารญี่ปุ่น ข้าพเจ้าก็จะอธิบายไม่ได้เต็มปากว่าได้ธนบัตรเงินเหรียญอเมริกามาอย่างไร จากที่ไหน
ส่วนความดำริของ โอ.เอส.เอส. ที่จะให้หาข่าวสารโดยตรงจากภายในประเทศญี่ปุ่นนั้น ผู้แทน โอ.เอส.เอส. ทางกรุงเทพฯ ได้ยกเป็นประเด็นขึ้นปรึกษากับผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์เหมือนกัน โดยเน้นในความจำเป็นที่ฝ่ายสัมพันธมิตรจะต้องได้รับเพื่อประกอบการวางแผนยุทธศาสตร์ในการยึดครองประเทศญี่ปุ่นในภายหน้า โอ.เอส.เอส. เรียกโครงการนี้ว่า โครงการแจ๊กป๊อท ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์กรมองเห็นประโยชน์เหมือนกัน แต่ปัญหาอยู่ที่ว่า จะหาทางส่งเครื่องรับส่งวิทยุเข้าไปได้อย่างไร โอ.เอส.เอส. เสนอให้ใช้เครื่องรับส่งจิ๋ว “Punch and Judy” และจะฝึกคนให้จัดเจนกับการใช้เครื่องนี้ให้ แต่ก็ยังมีปัญหาจะส่งทั้งคนทั้งเครื่องเข้าถึงญี่ปุ่นได้อย่างไร เพราะในตอนนั้นไม่มีทางที่จะส่งคนไทยเข้าไปถึงประเทศญี่ปุ่นได้ แม้แต่นายกรัฐมนตรีควง อภัยวงศ์ ก็ยังได้รับการปฏิเสธจากญี่ปุ่นแล้วว่าไม่มีเครื่องบินที่จะรับตัวบินไปญี่ปุ่นได้ ความดำริของ โอ.เอส.เอส. ในด้านนี้ จึงเป็นอันจำต้องระงับ โดยไม่มีทางทำได้สำเร็จ
เมื่อข้าพเจ้ากลับถึงกรุงเทพฯ ก็ได้เริ่มติดต่อกับฝ่ายญี่ปุ่นทันที เพื่อแก้ข้อระแวงสงสัย ข้าพเจ้าหายหน้าหายตาไปนานเป็นเวลาหลายเดือน ที่ข้าพเจ้าต้องติดต่อกับฝ่ายญี่ปุ่นก็เนื่องจากข้าพเจ้าเคยไปประจำอยู่ทางสถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงโตเกียว จึงมีความสัมพันธ์ติดต่อกับพวกญี่ปุ่นบ้าง ทั้ง ๆ ที่ในตำแหน่งหน้าที่แล้ว ข้าพเจ้าปฏิบัติงานด้านการเมืองด้านตะวันตก
เป็นธรรมดาอยู่เองที่งานของกรมการเมืองตะวันตกยามสงครามย่อมมีน้อย เปิดโอกาสให้ข้าพเจ้าไปช่วย “รู้ธ” ในการดำเนินงานใต้ดินของท่าน ข้าพเจ้าได้รับมอบหมายให้ประจำอยู่กับผู้แทนของ โอ.เอส.เอส. ในกรุงเทพฯ ซึ่งในตอนนั้นมีพันตรี กรีนลีเป็นหัวหน้า ตามปกติเมื่อข้าพเจ้าไปราชการที่กรุงวอชิงตัน เวลามีปัญหาที่จะติดต่อกับผู้แทน โอ.เอส.เอส. “รู้ธ” ได้อาศัยคุณทวี ตะเวทิกุล ซึ่งเป็นผู้แทนประจำพวก โอ.เอส.เอส. อยู่ ต่อเมื่อมีเรื่องสำคัญ “รู้ธ” จึงจะมาพบพวก โอ.เอส.เอส. ด้วยตัวเอง ครั้นเมื่อมีข้าพเจ้ามาช่วยคุณทวี ตะเวทิกุล อีกคนหนึ่ง ฝ่ายไทยเราจึงมีผู้แทนประจำที่ทำการของ โอ.เอส.เอส. สองคน การที่ “รู้ธ” มาพบด้วยแต่ละครั้งย่อมเป็นการเสี่ยงภัยไม่มากก็น้อย พวกเราจึงเห็นว่า “รู้ธ” ไม่พึงเสี่ยงเช่นนั้นเป็นนิจสิน หากมีเรื่องสำคัญจะต้องปรึกษาหารือกันก็น่าจะกระทำได้โดยตัวแทนของ “รู้ธ” พันตรี กรีนลีในชั้นแรกแสดงความไม่พอใจที่ไม่รู้จะได้เห็นหน้า “รู้ธ” บ่อยอย่างที่เคย เขาคิดไม่ถึงว่า ญี่ปุ่นคอยสอดส่องการเคลื่อนไหวของ “รู้ธ” อยู่ตลอดเวลา ต้องพยายามทำความเข้าใจกับเขานานพอดู เขาจึงเข้าใจ
หมายเหตุ :
- กองบรรณาธิการสถาบันปรีดี พนมยงค์ ได้รับอนุญาตให้เผยแพร่ต้นฉบับจากศูนย์ศึกษาการต่างประเทศ กระทรวงการต่างประเทศแล้ว
- ศาสตราจารย์กนต์ธีร์ ศุภมงคล, เรื่อง “นายสุนี เทพรักษา”, การวิเทโศบายของไทย ระหว่างปีพุทธศักราช ๒๔๘๓ ถึง ๒๔๙๕ (กรุงเทพฯ : ศูนย์ศึกษาการต่างประเทศ กระทรวงการต่างประเทศ, ๒๕๖๖), น. 225-244.
บรรณานุกรม :
- ศาสตราจารย์กนต์ธีร์ ศุภมงคล, เรื่อง “นายสุนี เทพรักษา”, การวิเทโศบายของไทย ระหว่างปีพุทธศักราช ๒๔๘๓ ถึง ๒๔๙๕ (กรุงเทพฯ : ศูนย์ศึกษาการต่างประเทศ กระทรวงการต่างประเทศ, ๒๕๖๖), น. 225-244.
บทความที่เกี่ยวข้อง :
- การวิเทโศบายของไทย ระหว่างปีพุทธศักราช ๒๔๘๓ – ๒๔๙๕ ตอนที่ 1 : สงครามโลกครั้งแรก
- การวิเทโศบายของไทย ระหว่างปีพุทธศักราช ๒๔๘๓ – ๒๔๙๕ ตอนที่ 2 : สงครามโลกครั้งที่ ๒
- การวิเทโศบายของไทย ระหว่างปีพุทธศักราช ๒๔๘๓ – ๒๔๙๕ ตอนที่ 3 : วิเทโศบายของไทย
- การวิเทโศบายของไทย ระหว่างปีพุทธศักราช ๒๔๘๓ – ๒๔๙๕ ตอนที่ 4 : การเรียกร้องดินแดนคืน
- การวิเทโศบายของไทย ระหว่างปีพุทธศักราช ๒๔๘๓ – ๒๔๙๕ ตอนที่ 5 : การรักษาความเป็นกลางของประเทศไทย
- การวิเทโศบายของไทย ระหว่างปีพุทธศักราช ๒๔๘๓ – ๒๔๙๕ ตอนที่ 6 : ประเทศไทยเข้าสงครามข้างญี่ปุ่น
- การวิเทโศบายของไทย ระหว่างปีพุทธศักราช ๒๔๘๓ – ๒๔๙๕ ตอนที่ 7 : ผลกระเทือนของการร่วมมือกับญี่ปุ่น
- การวิเทโศบายของไทย ระหว่างปีพุทธศักราช ๒๔๘๓ – ๒๔๙๕ ตอนที่ 8 : สองปีในญี่ปุ่น ภาค 1 การต่างประเทศไทย หลัง ประกาศสงครามกับอังกฤษและสหรัฐฯ
- การวิเทโศบายของไทย ระหว่างปีพุทธศักราช ๒๔๘๓ – ๒๔๙๕ ตอนที่ 8 : สองปีในประเทศญี่ปุ่น ภาค 2 ภารกิจหลังการตั้งกระทรวงกิจการมหาเอเชียบูรพา
- การวิเทโศบายของไทย ระหว่างปีพุทธศักราช ๒๔๘๓ – ๒๔๙๕ ตอนที่ 9 : ขบวนการต่อต้านญี่ปุ่นภายในประเทศไทย
- การวิเทโศบายของไทย ระหว่างปีพุทธศักราช ๒๔๘๓ – ๒๔๙๕ ตอนที่ 10 : เสรีไทยเข้าประเทศไทย
- การวิเทโศบายของไทย ระหว่างปีพุทธศักราช ๒๔๘๓ – ๒๔๙๕ ตอนที่ 11 : ท่าทีของอังกฤษต่อประเทศไทย
- การวิเทโศบายของไทย ระหว่างปีพุทธศักราช ๒๔๘๓ – ๒๔๙๕ ตอนที่ 12 : ความคลี่คลายของเหตุการณ์ภายในประเทศไทย
- การวิเทโศบายของไทย ระหว่างปีพุทธศักราช ๒๔๘๓ – ๒๔๙๕ ตอนที่ 13 : ความพยายามติดต่อทางการเมืองกับอังกฤษ