วาณี พนมยงค์ สายประดิษฐ์
(2484 - 2561)
ท่านผู้หญิงพูนศุข พนมยงค์ ถ่ายภาพกับคุณอุดร รักษมณี และคุณอัญชนา โอบอ้อม เมื่อวันที่ 26 เมษายน 2536
ที่มา : บันทึกอันระทึกใจ จากหนังสือ "วัน “ปรีดี พนมยงค์” 11 พฤษภาคม 2538 ห้าสิบปี ศักดิ์ศรี เสรีไทย"
วันอาทิตย์ ๒๖ เมษายน ๒๕๓๖
วันนี้เป็นอีกวันหนึ่งของฤดูร้อน ปุยเมฆเบาบางบนท้องฟ้าเหมือนกลีบบัวสีขาวลอยฟ่องในสระน้ำสีคราม สักครู่กลีบบัวแหวกว่ายสู่ขอบสระ คงเหลือแต่สระน้ำสีครามสว่างไสวเหมือนแผ่นกระจกใสแจ๋ว ครอบโลกใบนี้ไว้
อีกเพียง ๗ วัน ตรงกับวันที่ ๒ พฤษภาคม เป็นวันที่คุณพ่อ[1] จากไปครบ ๑๐ ปี วันเวลาผ่านไปราวติดปีกบิน วันนี้ฉันจะหมุนนาฬิกาย้อนถอยหลัง ไม่ใช่ย้อนกลับไปเมื่อ ๑๐ ไปก่อนที่บ้านอองโตนี แต่จะหมุนนาฬิกาย้อนกลับไปเมื่อ ๔๔ ปีก่อน ณ บ้านสวนฝั่งธนฯ
วันนี้ฉันมีนัดกับบุคคลสำคัญ ๒ คนในเหตุการณ์ครั้งกระโน้น พี่อัญชนา โอบอ้อม และคุณอุดร รักษมณี คือผู้ที่จะไขปริศนาที่ค้างคาในใจฉันมากกว่า ๔ ทศวรรษ
คณะรัฐประหาร ๘ พฤศจิกายน ๒๔๙๐ ได้ใช้รถถังเข้ายึดอำนาจจากรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง คุณพ่อต้องระหกระเหินลี้ภัยไปสิงคโปร์ ต่อมาท่านได้ชักชวนเพื่อนฝูงลูกศิษย์ลูกหาร่วมขบวนการ ๒๖ กุมภาพันธ์ (๒๔๙๒) เพื่อกอบกู้ระบอบประชาธิปไตยกลับคืนมา แต่ขบวนการประชาธิปไตยถูกคณะรัฐประหารที่มีอำนาจกำลังพลและอาวุธยุทโธปกรณ์ที่เหนือกว่าปราบจนพ่ายแพ้ บางคนถูกจับกุม บางคนถูกยิงทิ้ง บางคนหนีไปได้ ประกาศให้สินบนนำจับติดทั่วพระนครและทั่วราชอาณาจักร คุณพ่อเกือบเอาชีวิตไม่รอด แล้วคุณพ่อรอดชีวิตมาได้อย่างไรหนอ ฉันตั้งคำถามนี้กับพี่อัญชนา โอบอ้อม
เมื่อได้ฟังคำถามของฉันแล้ว พี่อัญชนานิ่งอยู่ชั่วครู่ คล้ายกับว่าทบทวนความจำของตน แล้วค่อย ๆ เล่าให้ฉันฟังอย่างเนิบ ๆ ว่า
“เช้าวันที่ ๒๘ กุมภาพันธ์ คุณแม่[2] ได้เรียกคุณสุธี[3] ไปพบ เล่าให้ฟังว่า คุณพ่อและพรรคพวกที่เป็นทหารเรือเข้าไปในวังหลวงแต่ไม่สําเร็จ ตอนนี้กําลังหลบซ่อนอยู่ จะให้คุณสุธีช่วยหาที่สําหรับให้คุณพ่อไปพัก เพราะว่าถ้าจะไปพักบ้านคนรู้จักประเดี๋ยวก็จะไม่ปลอดภัย พี่ถามคุณสุธีว่าคุณคิดจะให้ไปพักที่ไหน คุณสุธีบอกว่าจะให้ไปพักที่บ้านกํานันเฉลิมชัย ทีนี้ก่อนหน้านี้ประมาณสักเดือนนะคะ บังเอิญคุณสุธีพาพี่ไปที่บ้านกํานันเฉลิมชัย ด้านหน้าอยู่ริมคลองแสนแสบ หลังบ้านเป็นท้องนา บ้านหลังไม่ใหญ่นัก คนไปคนมาต้องผ่านบ้านหลังนี้ พี่บอกไม่ได้นะคุณ ไปบ้านกํานันเฉลิมชัยนี้จะต้องไปลงเรือจ้างที่ตลาดต้องผ่านผู้คน แล้วถ้าหากว่าเกิดอะไรขึ้นมา ทางหนีทีไล่ไม่มีเลย เราจะไปหาก็ลําบาก คุณสุธีก็ถามว่า แล้วเธอว่าที่ไหนถึงจะดี พี่บอกว่า เอ บ้านฉางเกลือที่คุณอุดรพักที่เราไปเยี่ยมเมื่อวันก่อนนี้ ที่นั่นเหมาะที่จะให้ท่านไปพัก คุณสุธีบอกว่า บ้านนั้นไม่ใช่ของคุณอุดร เป็นบ้านพักของคุณอาเขา แล้วคุณอาเขาจะยอมหรือ พี่บอกว่า คุณลองไปพูดดูก่อนสิ ถ้าเผื่อเล่าอะไรให้คุณอุดรฟัง คุณอุดรอาจจะเห็นใจนะคะ ถ้าอย่างนั้นคุณรีบไปอําเภอ ไปเซ็นชื่อ แล้วก็ลางานไปหาคุณอุดร คุณสุธีไปแล้วกลับมาบอกว่าตกลงคุณอุดรยอม แต่ ตอนนี้จะไม่บอกให้คุณอาทราบ แล้วก็นัดกับคุณอุดรว่า ตอนกลางคืนจะพาท่านไปส่งที่บ้านคุณอุดรนะคะ”
บ้านฉางเกลือที่นายปรีดี พนมยงค์ หลบซ่อนหลังเหตุการณ์ 26 กุมภาพันธ์ ห้องที่นายปรีดีพักอยู่ชั้นบนด้านขวาของตึก (ภาพนี้ถ่ายก่อนตึกนี้ถูกทุบทิ้ง)
ที่มา : บันทึกอันระทึกใจ จากหนังสือ "วัน “ปรีดี พนมยงค์” 11 พฤษภาคม 2538 ห้าสิบปี ศักดิ์ศรี เสรีไทย"
พี่อัญชนาเล่าต่อไปว่า
“คืนนั้นคุณแม่ไปกับคุณปาล[๔] คุณปาลเธอเป็นคนขับรถนะคะ คุณพ่อนั่งอยู่เบาะหลัง ส่วนคุณสุธีคอยรับที่ท่าเรือปากคลองสาธร”
“ทีนี้คุณสุธีรออยู่เป็นนานชักจะเป็นห่วง ตอนหลังจึงรู้ว่าคุณแม่เข้าใจว่านัดพบที่ท่าเรือยานนาวา กว่าจะวกกลับมาที่ท่าเรือสาธรอีกที....คุณปาลตอนนั้นอายุ ๑๖ กว่า ๆ ขับรถยังมือใหม่อยู่ ต้องขับหลีกรถราง จนรถเกือบจะเกยขึ้นไปบนฟุตบาท....”
ในที่สุดคุณพ่อก็มาถึงบ้านฉางเกลือของคุณอุดรด้วยความปลอดภัย
ฉันหันมาทางคุณอุดร เพื่อซักถามความในใจว่าเหตุใดจึงตัดสินใจให้คุณพ่อหลบซ่อนอยู่ที่บ้าน
เวลาผ่านมา ๔๔ ปีแล้ว รอยย่นบนหน้าผากเพิ่มขึ้น ผมเป็นสีดอกเลา แต่ลักษณะของทหารเก่าที่มีความแกร่งกล้าและความเชื่อมั่นมิได้จางหายไป
คุณอุดรตอบข้อข้องใจของฉันอย่างหนักแน่นว่า
“คือ....ผมเองมีความเลื่อมใสในตัวท่านอยู่แล้ว ท่านเป็นคนดี ทําประโยชน์ให้แก่ประเทศชาติอย่างมากมาย ทีนี้เมื่อคุณสุธีมาปรึกษาว่า ท่านต้องการจะหลบตัวอยู่สักพัก ผมศรัทธาท่านอยู่แล้ว ตกลงตัดสินใจรับ สถานที่ที่รับก็เหมาะสมไม่มีใครอยู่มากมาย เราสามารถที่จะควบคุมสถานการณ์ได้ ก่อนที่สุธีจะตัดสินใจ ได้ให้คุณปาลไปดูสถานที่ด้วย ทั้งสองคนเห็นพ้องกันว่า ที่นี่เหมาะดี และอีกอย่างผมก็เป็นเพื่อนรักสุธี สุธีเคารพท่านมาก แล้วก็เป็นห่วงอยากจะให้ท่านปลอดภัยเมื่อสุธีเห็นว่าไว้ใจได้ ผมก็ตัดสินใจรับทันที”
ฉันถามคุณอุดรว่า ตอนนั้นมีสินบนนําจับคุณพ่อและให้รางวัลอย่างมากใช่หรือเปล่า
คุณอุดรจึงเล่าต่อไปว่า
“สามสี่เดือนแล้วหลังจากเหตุการณ์ยึดวังหลวง คือตํารวจเค้าค้นจับที่โน่นที่นี่ จนหมดปัญญา แล้วจึงให้สินบนนําจับก็มีสินบนนําจับท่านด้วย ก็เป็นเงินมากอยู่ แต่เราก็ไม่สนใจอะไร ท่านก็ถามเหมือนกัน ท่านถามถึงความในใจผม ผมก็บอกว่าผมมีอุดมคติอยู่อย่างหนึ่ง คือว่า รับปากจากเพื่อนแล้วก็ต้องการที่จะรับใช้ประเทศชาติ ก็ไม่ได้คิดอะไร จริง ๆ นะรักสุธีมากอยากให้สุธีสบายใจได้ แล้วก็อยากให้ท่านรอดพ้นภยันตราย คือจะได้มีโอกาสทําประโยชน์ให้ประเทศชาติต่อไป”
พี่อัญชนาเสริมด้วยว่า “ท่านถามว่ารู้ข่าวไหมว่าเขาให้สินบนนําจับ และถ้าถูกจับจะบอกไหม พี่เรียนท่านว่าไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ จะสินบนหรืออะไร ถ้าเขาทรมาน ยอมตาย” พี่อัญชนาใจเด็ดจริง ๆ
ฉันถามคุณอุดรต่อไปด้วยว่า ถ้าสมมุติทางตํารวจหรือใครเขาจับได้ ตัวคุณอุดรเองและยังจะครอบครัวอีก อาจได้รับอันตรายในเรื่องนี้คิดวิตกกังวลบ้างหรือเปล่า
คุณอุดรตอบฉันอย่างไม่ลังเลว่า
“ผมไม่นึกและภรรยาก็ไม่นึก แล้วแม่ภรรยาก็ไม่นึก แกเป็นคนที่มีการศึกษาดี อดีตเคยเป็นอาจารย์วัฒนาวิทยาลัย มีจิตใจงาม แกทําอาหารทําอะไรต่าง ๆ ถ้าเป็นผู้หญิงคนอื่น ก็ต้องมีการไปพูด ไปอวดไปเล่าไปอะไร เรื่องก็ต้องแตก”
คุณอุดรหยิบแก้วน้ํามาจิบแล้วเล่าต่อไปว่า
“เป็นธรรมดาอยู่แล้ว คือเราตัดสินใจลงไปแล้วอย่างนี้ เรื่องนี้ไม่ต้องพูดถึง ครอบครัวผม ผมก็ยังเป็นหนี้บุญคุณทางภรรยาผมแล้วพี่น้องภรรยาผม ซึ่งเป็นคนดีมาก ดีที่สุดเลย พ่อแม่เขาแล้ว น้อง ๆ เขา พอมีอย่างนี้ขึ้นมา ถ้าเขาเป็นคนไม่ดีเรื่องก็จบแล้วนี่เขาทําทุกอย่าง รับใช้ทุกอย่าง นี่ไม่ใช่อะไร เป็นเพราะศรัทธาในตัวท่าน คือเห็นว่า ท่านนี่แหละทําประโยชน์แก่ประเทศชาติอย่างมากมาย และเป็นคนที่ซื่อสัตย์สุจริต ศรัทธาอันนี้เป็นเรื่องสําคัญที่สุด แล้วทุกคนที่อยู่ในครอบครัวของผมก็ทําด้วยความศรัทธาบริสุทธิ์ใจจริง ๆ ไม่เห็นแก่ความเหน็ดเหนื่อย...ผมเคยเป็นทหารแล้ว ได้รับการอบรมฝึกฝนลําบากลําบน ทนได้ การที่ว่าจะระแวดระวังอยู่ดึก ๆ ดื่น ๆ จะวางแนวป้องกันต่าง ๆ ก็เคยศึกษามาแล้ว รู้สึกเฉยๆ ไม่รู้สึกตกใจอะไร ทําด้วยความเต็มใจ แล้วก็บริสุทธิ์ใจที่สุด”
ลองนึกดูเถิดว่าสภาพบ้านเมืองในตอนนั้น ลมพัดใบไม้ไหวติงสักนิดก็จะรู้สึก อุณหภูมิทางการเมืองร้อนแรงยิ่งนัก ถึงคุณอุดรกับครอบครัวจะยินดีให้คุณพ่อหลบซ่อนด้วยความบริสุทธิ์ใจ แต่ใช่ว่าจะไม่น่าสะพรึงกลัว คุณอุดรยอมรับว่า “แรก ๆ ก็กลัวเครียดกันมากเหลือเกิน โอ้โฮ เรากลัวมากทีเดียว ทีนี้มาเห็นบุคลิกสุภาพเรียบร้อยของท่าน ท่านไม่เหมือนผู้ใหญ่บางคนที่เอาแต่ใจโมโหฉุนเฉียว ทําอะไรไม่ได้ดังใจก็แสดงอํานาจ ท่านไม่เคยทําอย่างนี้เลย เราก็เลยสบายใจ ผมเคยเป็นทหาร เคยอยู่กับนายทหารบางคน บางทีพูดอะไรไม่ถูก ก็เอ็ดตะโรโฉเก...ใช้อํานาจ หรือว่ากินเหล้าเมายา ขืนอยู่อย่างนั้น เราก็อยู่ไม่ไหว” พูดมาถึงตอนนี้คุณอุดรหัวเราะออกมาด้วยความสบายใจ “ท่านทําให้ผมไม่กลัวอะไรเลย ผมทํางานอย่างสบาย ๆ แล้วก็มั่นใจที่สุด”
ฉันฟังมาถึงตอนนี้รู้สึกคอหอยตีบตันด้วยความตื้นตันใจ ฉันชื่นชมมิตรภาพแท้ของคุณอุดรที่มีต่อคุณสุธี ฉันประทับใจในความกล้าหาญเสียสละของคุณอุดรและครอบครัว โดยไม่เห็นแก่อามิสสินจ้างหรือลาภยศ ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้ไม่เคยรู้จักมักจี่กับคุณพ่อ แต่ด้วยความศรัทธาที่เห็นว่าคุณพ่อทําประโยชน์แก่ประเทศชาติอย่างมากมายและเป็นคนที่ซื่อสัตย์สุจริต คุณอุดร และครอบครัวจึงไม่ลังเลที่จะช่วยเหลือคุณพ่อในยามยาก
คุณอุดรเล่าให้ฉันฟังว่าบ้านฉางเกลือที่คุณพ่อหลบร้อนพึ่งเย็นอยู่ในอาณาบริเวณ ๒๐ กว่าไร่ ของบริษัทเกลือไทยฝั่งธนบุรีริมแม่น้ําเจ้าพระยา บริเวณเชิงสะพานสาธร อันเป็นที่ตั้งของตึกสุภาคารในปัจจุบัน สมัยนั้นร่มรื่นไปด้วยแมกไม้ต้นมะม่วงชูช่อออกผลเต็มต้น ไหนจะต้นลําใย ต้นกล้วย ต้น มะละกออีก ด้านหน้าริมแม่น้ําเป็นโกดังสินค้า ตัวตึกตั้งลึกเข้าไปในสวนประมาณร้อยกว่าเมตร รอบ ๆ ไม่มีบ้านใกล้เรือนเคียง ฉันพยายามหลับตานึกภาพธรรมชาติอันเงียบสงบเมื่อครั้งก่อนแต่ภาพที่เห็นกลับเป็นตึกระฟ้าระเกะระกะริมน้ําเจ้าพระยาในปัจจุบัน สรรพสิ่งเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา มีแต่แม่น้ําเจ้าพระยาเท่านั้น แม้สีจะเปลี่ยนเป็นสีคล้ําสกปรกด้วยน้ํามือของมนุษย์ แต่ผู้ประดุจมารดรที่เลี้ยงดูชาวไทยมาตลอดชั่วนาตาปี ก็ยังคงไหลเอื่อยจากภาคเหนือสู่อ่าวไทยเหมือนทุกเมื่อเชื่อวัน เฝ้ามองทุกสิ่งทุกอย่างสองฟากฝั่งลําน้ําที่ลูกหลานพานพบด้วยความห่วงใย
ตึกหลังที่คุณพ่อเคยหลบซ่อนนั้นทุบทิ้งไปนานแล้ว คุณอุดรนําภาพถ่ายตัวตึกก่อนทุบทิ้งมาให้ดู “นี่ท่านนอนห้องนี้ ผมอยู่ห้องนี้ ตรงนี้เป็นห้องโถง ตรงนี้เป็นหน้ามุข ข้างล่างเป็นห้องโล่งๆ” จากนั้นอธิบายเพิ่มเติมต่อไปว่า “บ้านที่อยู่ไม่ได้สมบูรณ์เหมือนอย่างบ้านอื่น ห้องน้ําห้องท่าก็อยู่ข้างล่าง ต้องใช้กระโถน กระโถนก็ไม่ได้ใช้คนเดียว หมายความว่าใช้รวมกันอันนี้เป็นเรื่องที่ผมพยายามจะแก้ไขให้ได้” พี่อัญชนาแทรกขึ้นมาว่า “ท่านบอกว่าไม่ต้อง ไม่ต้อง” คุณอุดรเล่าต่อไปว่า “เห็นใจท่านจริงๆ ท่านต้องลําบากมาก” แทนที่คุณอุดรจะบ่นว่าตนเองและภรรยาต้องลําบากกับการเทกระโถน กลับบ่นเห็นใจคุณพ่อ “เดือนมีนา-เมษา อากาศร้อนอบอ้าว ไม่มีแอร์ไม่มีพัดลม อยู่บนตึกก็จริง แต่เราต้องอาศัยลมธรรมชาติ ท่านไม่ยอมเปิดหน้าต่างจะมีลมได้ยังไง บางทีร้อนก็ตักน้ําขึ้นไปอาบข้างบน” ผู้ที่ตักน้ําขึ้นไปให้ไม่ใช่ใครอื่น คุณอุดรกับภรรยา ขณะนั้นคุณกิ่งภรรยาคุณอุดรกําลังตั้งครรภ์บุตรคนที่ ๒ เมื่อคุณพ่อมาพักด้วย จําต้องให้คนช่วยงานบ้านออกไป งานบ้านจึงตกอยู่ที่คุณกิ่งภรรยาคุณอุดรและน้องคุณกิ่ง
ห้องที่คุณพ่ออยู่ยาว ๘ เมตร กว้าง ๔ เมตร หน้าต่างปิดมิดชิด ไปไหนมาไหนไม่ได้ เหมือนคุกที่กักขังอิสรภาพแต่จะต่างกันกับคุกทั่วไปก็ตรงที่คุณพ่อได้รับความดูแลเอาใจใส่อย่างดีจากสามีภรรยาใจพระคู่นี้
“ท่านนอนกับพื้นบนเสื่อ เตียงนอนผมจะยกให้ท่านนอน ท่านก็ไม่เอา ท่านอยากจะเอาง่าย ๆ ทานง่าย ๆ บางทีจะทําอะไรต่าง ๆ ให้ ท่านก็บอกว่าไม่ต้อง ท่านมาไม่ต้องลําบาก” พี่อัญชนาเสริมด้วยว่า “หลาย ๆ วันที่พี่ก็ซื้ออาหาร ซื้อข้าวของอะไรไป บางทีก็ไปช่วยคุณกิ่งทําเสร็จแล้วบ่าย ๆ ก็กลับ”
พี่อัญชนายังมีหน้าที่สื่อสารอีกตําแหน่งหนึ่ง “ถ้าหากคุณแม่มีอะไรจะสั่งถึงคุณพ่อ ก็สั่งพี่ให้ไปเรียนคุณพ่อถ้าหากคุณพ่อมีอะไรก็จะสั่งพี่ พอจะกลับก็ให้ทวนคําสั่งอีกที จําได้ไหมที่สั่งไว้ พี่ก็จะทวนตามคุณพ่อสั่งไว้ ท่านก็บอกว่าใช้ได้เพราะว่าทุกสิ่งทุกอย่างต้องสั่งด้วยคําพูด จําไว้ในสมอง จะจดหรือโน้ตอะไรไม่ได้เลย” พี่อัญชนาเล่าให้ฟังว่า “ท่านเป็นห่วงพรรคพวกมาก พี่มาเยี่ยมท่านทีไร ท่านก็ถามอยู่เรื่อย ถามถึงคนนั้นคนนี้ ใครเขาลําบากก็ให้คุณแม่ช่วยช่วยไป”
ฉันอยากรู้ว่าให้ห้องที่อุดอู้อย่างนี้ วัน ๆ หนึ่งคุณพ่อทําอะไรบ้าง คุณอุดรเล่าว่า
“นอน...บางทีก็เดินไปเดินมา บางทีก็อ่านหนังสือ...อ่านหนังสือพิมพ์ ผมว่าท่านอ่านหนังสือพิมพ์ไม่เหมือนคนอื่น เช้า ๆ ผมไปซื้อหนังสือพิมพ์มา ๔-๕ ฉบับ มาถึงก็วางไว้ ท่านนุ่งกางเกงปังลิ้นสวมเสื้อตัวหนึ่งมีผ้าขาวม้าคาดพุง นั่งยอง ๆ กับพื้น เปิดหนังสือพิมพ์แพล็บ ๆ โยน แพล็บ ๆ โยน แต่ว่าเล่าถูก เรื่องโน้นเป็นอย่างนั้น เรื่องนั้นเป็นอย่างนี้ ท่านพูดถูกหมด เอ้...รู้สึกท่านเป็นอัจฉริยะจริงๆ ขอโทษเถิดครับ เวลาท่านเขียนหนังสือนี่ ผมก็ไม่เคยเห็นใครเขียนเร็วอย่างนี้ คราวที่เขียนข้อความส่งให้คุณ[5] ไปทําอะไรเขียนหนังสือเร็วมาก”
คุณอุดรเป็นเพื่อนคุยกับคุณพ่อในยามนั้น
“พอทานอาหารค่ําเสร็จแล้วนะครับ ถึงเวลาประมาณสักสองทุ่ม ท่านก็ออกมานั่งตรงมุขข้างหน้านั้น แล้วท่านจะเรียกผมนั่งอยู่ด้วย ท่านก็คุยเรื่องสารพัด คุยไปจนถึงสองยามตีหนึ่ง บางทีก็ ๕ ทุ่ม โดยมากคุยกันเรื่องเก่า ๆ แต่ไม่เคยไปใส่ร้ายใครนะครับ บางทีผมพูดผิดพูดถูก ท่านบอกไม่ใช่ เรื่องเป็นอย่างงั้นอย่างงี้ อธิบายไปเลย ท่านแม่น....แล้วก็เล่าเรื่องต่าง ๆ เกี่ยวกับบุคคลสําคัญ ท่านเล่าให้ฟังว่า คนนั้น ๆ เขารวยอย่างนั้น เมื่อเปลี่ยนแปลงการปกครองใหม่ ๆ จะมารีดเอาเงินจากท่าน ท่านไม่รู้จะเอาที่ไหนให้เขา ท่านก็ไปหาอธิบดีกรมตํารวจขณะนั้น กรมตํารวจมีเงินค่าข้าวตัง ท่านเล่าพลางก็หัวเราะคิก ๆ คือตำรวจหุงข้าวมีข้าวตังขายได้เล็ก ๆ น้อย ๆ ก็เก็บไว้ ท่านว่า...คนคนนั้น เขารวยสมัยนี้แต่เมื่อก่อนเขาเอาเงินค่าข้าวตังไปกิน”
คุณอุดรเล่าพลางหัวเราะพลาง
"ท่านเล่าเกร็ดขำของท่านบางเรื่อง ไม่เคยแก้ตัวกรณีอย่างโน้นอย่างนี้ท่านไม่เคยพูดเลย ท่านยังสอนผมด้วยซ้ำว่าคุณอุดรคอยดูนะ คอยสังเกตคนนะ ถ้าคนไหนที่ด่าคนมาก ๆ คนนั้นต้องระวังไว้ ท่านว่าอย่างนี้ อันนี้ผมจำได้”
คุณอุดรได้เล่าปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่นานหลายสิบปีที่มีหนหนึ่งให้ฟังว่า “ตอนนั้นราวตีสามตีสี่มีดาวหางขึ้นทุกคืนเลยครับ เสมียนที่ร่วมทำงานกับผมมีความรู้ทางโหราศาสตร์ แกบอกว่าภายในไม่กี่วันนี้ จะต้องมีบุคคลสำคัญของประเทศเสียชีวิต...ผมใจไม่ดีเลย บุคคลสำคัญเสียด้วย เอ้ จะหมาย ถึงใคร....หรือจะเป็น....” คุณอุดรไม่อยากจะเดาต่อไป
อีกไม่กี่วันต่อมา หนังสือพิมพ์ประโคมข่าว “โจรจีนมลายูบุกชิงตัวสี่อดีต รมต. ที่บางเขน” และรายงานต่อไปว่าสี่อดีตรัฐมนตรี คือคุณทองเปลว ชลภูมิ, คุณถวิล อุดล, คุณทองอินทร์ ภูริพัฒน์ และคุณจำลอง ดาวเรือง ถูกกระสุนปืนจากการต่อสู้ของโจรจีนมลายูกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ เสียชีวิตทั้งสี่คน คุณอุดรเล่าให้ฉันฟังถึงความรู้สึกในตอนนั้นของคุณพ่อว่า
“มีเหตุการณ์หนหนึ่งที่ท่านเศร้าใจที่สุด คือ ครั้งที่จับพวกคุณทองอินทร์ คุณจำลอง คุณถวิล และคุณทองเปลว ผมเอาหนังสือพิมพ์ให้ท่านดู ท่านอ่านหนังสือพิมพ์แล้วก็... ตอนเช้าก่อนเวลาจะทานอาหาร ยกอาหารไปให้ท่าน ท่านไม่ได้ทาน เช้าไม่ได้ทาน กลางวันก็ดูเหมือนไม่ได้ทาน อาหารก็เหลือ คือเสียใจมาก ๆ ท่านเสียใจมากจริง ๆ ตอนนั้นรู้สึกสงสารท่านมากบ่นถึงเรื่องนั้นนะครับ บ่นอยู่เสมอ คนดีๆ... ท่านต้องไปทำให้เขาลำบากเสียชีวิต”
การสังหารโหด ๔ อดีต รมต. คือผลงานของเผ่า ศรียานนท์ กับเหล่าอัศวินภายใต้คำขวัญที่ว่า “ใต้ดวงอาทิตย์นี้ไม่มีอะไรที่ตำรวจไทยทำไม่ได้” โจรจีนมลายูที่เสกสรรปั้นแต่งขึ้นมาเหมือนกับนิยายของเด็กเลี้ยงแกะ ฉันจำได้ว่าจนถึงบั้นปลายชีวิต คุณพ่อพูดถึง ๔ อดีตรัฐมนตรีอย่างยกย่องและระลึกถึงเสมอ ท่านเหล่านี้คือวีรบุรุษประชาธิปไตยและผู้รับใช้ชาติต่อต้านผู้รุกรานในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ ๒
นอกจากเรื่องเศร้าที่กระทบกระเทือนจิตใจคุณพ่อแล้ว ยังมีเรื่องตื่นเต้นเกิดขึ้นที่บ้านสวนฝั่งธนฯ คุณอุดรเล่าให้ฉันฟังว่าบริษัทเกลือไทยมีบริเวณกว้างขวาง บริษัทในเครือข่ายมีโกดังสินค้าด้วย ด้วยถูกงัดแงะโจรกรรมบ่อยครั้ง ทางบริษัทต้องจ้างเจ้าหน้าที่ตำรวจมาเฝ้าประจำ เวลากลางคืนเจ้าหน้าที่สะพายปืนเดินตรวจตรา ปกติแล้วจะไม่เคยมาเดินมาตรวจแถวตึกที่คุณพ่อหลบซ่อนอยู่ “แล้วอยู่มาวันหนึ่ง” คุณอุดรทบทวนเหตุการณ์ในวันนั้นให้ฉันฟัง
“บังเอิญผมปลูกกล้วยไม้ ตำรวจอยากจะได้กล้วยไม้ก็มาพูดคุย ขณะที่พูดคุยกันอยู่ เขาก็สะพายปืน ทีนี้เรื่องนี้ผมไม่เคยพูดให้ท่านทราบเลยว่าแถวนี้มีตำรวจคอยตรวจดูอยู่ ตำรวจคนนั้นพยายามพูดหว่านล้อมเพื่อจะเอากล้วยไม้ต้นนั้นให้ได้ เอ๊ะ ชักจะไม่เข้าท่าเสียแล้ว ผมคิดว่า ให้ ๆ เขาไป ตำรวจคนนั้นจะได้ไปเสียที กล้วยไม้ต้นนั้นพันธุ์ดีนะครับ ผมก็ตัดใจให้ไปที่นี้ระหว่างเจรจาอยู่ข้างล่าง ท่านก็มองจากข้างบนลงมา ทำไมผมคุยกับตำรวจนานสองนาน ท่านนึกว่า ตอนนี้ตำรวจคงรู้เรื่องรู้ราวแล้ว ท่านก็แต่งเนื้อแต่งตัวเตรียมที่จะถูกจับ…” พี่อัญชนาเสริมขึ้นมาว่า “คุณพ่อคิดว่าถ้าตำรวจมาคาดคั้น ยังไง ๆ คุณอุดรอาจจะต้องกลัว ก็อาจจะรับสารภาพ”
ด้วยปฏิภาณของคุณอุดร ตำรวจคนนั้นมิได้ลงลัยเลยว่า บนตึกมีบุคคลสำคัญที่ทางการมีสินบนนำจับราคางาม
จากเดิมที่คุณพ่อจะพำนักที่บ้านฉางเกลือไม่กี่วันกลายเป็น ๔-๕ เดือนเข้าไปแล้ว ท้องคุณกิ่งก็โตขึ้น “ท่านบอกทำไมท้องโตเร็วจัง ท่านกังวลอยู่เรื่อย ๆ ท่านไม่สบายใจที่ผมกับคุณกิ่งต้องลำบาก เดี๋ยวก็หิ้วถังน้ำ เดี๋ยวก็เทกระโถน” คุณอุดรเล่าต่อ พี่อัญชนาเสริมด้วยว่า “พอไปที่ไร ก็สั่งมาถึงคุณแม่เรื่อยเลย ให้ติดต่อใครต่อใคร เพื่อหาทางออกไปเร็ว ๆ คุณกิ่งท้องใหญ่แล้วถ้าเผื่อเกิดคลอดขึ้นมา...ท่านเกรงใจคุณอุดรกับคุณกิ่ง ท่านพูดอยู่เรื่อยนะคะ แหม เขาดีเหลือเกิน”
ถึงบ้านสวนฝั่งธนฯ จะเงียบสงบ แต่ฝั่งพระนครคลาคล่ำด้วยสายลับตำรวจ การกวาดล้างศัตรูทางการเมืองดำเนินไปอย่างกระเหี้ยนกระหือรือ ร้านกาแฟหน้าบ้านป้อมเพชรริมถนนสีลม มักมีชายแปลกหน้าผลัดเปลี่ยนกันมาอุดหนุนทุกย่างก้าวของคุณแม่จะอยู่ในสายตาของพวกตาสับปะรด แต่กระนั้นก็ไม่สามารถขวางกั้นมิให้คุณแม่ลอบไปเยี่ยมคุณพ่อที่บ้านฉางเกลือได้ วันที่ ๒ ที่คุณพ่ออยู่บ้านฉางเกลือ ยามค่ำคืนดึกสงัด คุณสุธีพาคุณแม่ข้ามไปฝั่งธนฯ ขึ้นที่ท่าเรือคลองต้นไทร แล้วจึงเดินทะลุสวนมะม่วงหนาทึบไปยังตึกหลังที่คุณพ่อพำนัก วันรุ่งขึ้นตอนตีสี่กว่า ๆ คุณอุดรจ้างเรือมาส่งคุณแม่ที่ตลาดบางรัก รถรางขบวนแรกออกเดินรถแล้ว ร้านโจ๊กเพิ่งจะเปิดร้าน เพื่อเลี่ยงพบคนรู้จักหรือเกรงคนจำได้คุณแม่ได้ลัดเลาะผ่านถนนข้างป่าช้าสีลมกลับไปยังบ้านป้อมเพชรแต่ผู้เดียว ผู้หญิงตัวเล็ก ๆ ทำได้เช่นนี้มิใช่เพราะมหัศจรรย์แห่งรักดอกหรือ
คุณแม่ได้วางแผนเส้นทางหลบหนีไปยังสิงคโปร์ให้คุณพ่อ วันที่ ๖ สิงหาคม คือวันปฏิบัติการ อันเป็นวันครบรอบวันตายของคุณย่า คุณแม่เล่าให้ฟังในตอนหลังว่า “ขอให้คุณย่า[6] คุ้มครองพ่อ[1] ด้วย” กะกันไว้ว่าจะลงเรือในตอนเย็น ๆ แต่ทำอย่างไรจึงจะผ่านโกดังสินค้าที่มีผู้คนขวักไขว่ไปถึงท่าเรือได้หนอ คุณอุดรเล่าให้ฉันฟังว่า “ผมก็คิดอยู่หลายคืน มาคิดได้ว่าเอาอย่างนี้ก็แล้วกันให้ท่านปลอมตัวเป็นช่างไฟฟ้า ปกตินี่ตามบ้านเราถ้าไฟฟ้าเสีย เราต้องบอกการไฟฟ้านครหลวงเขาก็จะต้องส่งช่างมา ช่างไฟฟ้าแต่งตัวยังไงเราก็จำลักษณะนั้นมา ผมไปตัดเสื้อขึ้นมาชุดหนึ่ง เป็นเสื้อของพนักงานการไฟฟ้านครหลวง ท่านก็สวมชุดนั้นออกมา แล้วก็มีคีม มีสายไฟ... แนบเนียนดี ผมเป็นคนเดินหน้า ท่านก็เดินตามผม...ตรงนั้นเสียนะ...ผมแกล้งพูดเสียงดัง นำท่านเข้าโรงสินค้าแล้วเปิดออกอีกประตูหนึ่งก็ลงเรือเลย” คุณอุดรหัวเราะพลางเล่าต่อไปว่า “ตอนนั้นท่านอายุประมาณ ๔๙ ไว้หนวด ทรงผมสั้นเกรียน”
วันนั้นอากาศไม่ดี ฝนตกพรำ ๆ พี่อัญชนาบอกว่า “ฟ้าดินช่วยท่าน”
ร.ต.อมฤต วิสุทธิธรรม รน. อดีตนายทหารราชนาวีไทยเป็นกัปตัน นำเรือหาปลาลำเล็กผ่านด่านศุลกากรที่ปากน้ำเมื่อมาถึงป้อมพระจุลฯ เลยเวลาปิดด่านไปได้ ๕-๑๐ นาที เหมือนกับนาฬิกาที่ด่านจะเป็นใจ เข็มนาทีและเข็มชั่วโมงอยู่ตรงเลข ๑๐ หรืออีก ๑๐ นาทีจึงจะถึง ๒๒ นาฬิกา ดังนั้นด่านจึงยังเปิดอยู่ “กัปตันเขาเล่าให้ฟังในตอนหลังว่า ปกติแล้วนายทหารเรือจะตรวจเรือที่ผ่านด่านป้อมพระจุลฯ ทีนี้แทนที่เขาจะลงมาตรวจเอง ก็บอกลูกน้องว่า… เฮ้ย ไปดูทีสิ ลูกน้องก็ลงมา ไม่ได้ตรวจไม่ได้ดูอะไรกัปตันเล่าว่า ที่นายทหารไม่ลงมาตรวจก็เพราะกำลังติดพันเล่นไพ่กันอยู่ ข้างนอกฝนตกพรำ ๆ..."
เรือที่ลักลอบนำพา ฯพณฯ ปรีดี พนมยงค์ ลี้ภัยออกนอกประเทศ หลังขบวนการประชาธิปไตย 26 กุมภาพันธ์ 2492 ประสบความล้มเหลวในการโค่นล้มรัฐบาลเผด็จการ
ที่มา : บันทึกอันระทึกใจ จากหนังสือ "วัน “ปรีดี พนมยงค์” 11 พฤษภาคม 2538 ห้าสิบปี ศักดิ์ศรี เสรีไทย"
กัปตันอมฤตอาศัยความชำนาญและความสุขุมเยือกเย็น เสี่ยงภยันตรายในการนำเรือลำเล็กแล่นผ่านอ่าวไทยเข้าสู่น่านน้ำสากล แล้วขึ้นฝั่งที่สิงคโปร์อย่างปลอดภัย กัปตันอมฤตเป็นผู้มีพระคุณอีกท่านหนึ่ง น่าเสียดายที่ถึงแก่กรรมไปก่อนหน้านี้หลายปี มิทันบันทึกเหตุการณ์ตอนนั้นไว้
ฉันดีใจเหลือเกินที่ได้มีโอกาสบันทึกคำบอกเล่าของพี่อัญชนากับคุณอุดร ฉันไม่อยากให้เหตุการณ์ตอนนั้นกลายเป็นจุดบอดของความทรงจำ เมื่อท่านผู้มีบทบาทช่วยเหลือคุณพ่อลาจากโลกนี้ไป ฉันถามความเห็นว่าบันทึกนี้เปิดเผยได้หรือไม่คุณอุดรตอบอย่างหนักแน่นว่า “ความจริงใจของผม ถ้าเปิดเผยข้อเท็จจริงก็คงจะเป็นได้ แต่ถ้าจะให้เราออกมาพูดเองอวดเองว่าคนนั้นคนนี้ฉันเคยได้ช่วยไว้ อย่างนี้ผมไม่เอา ผมขอเพียงลำดับเหตุการณ์ในตอนนั้นให้ทราบ” สำหรับพี่อัญชนาก็บอกว่าเป็นหน้าที่ของตนที่จะตอบแทนบุญคุณ จะต้องช่วยเท่าที่จะช่วยได้จนสุดชีวิต “เป็นบุญของคุณพ่อนะคะ แล้วก็ความกตัญญูของเราทำให้ทุกอย่างราบรื่นไปตลอด”
“บุญ” ที่พี่อัญชนาพูดเสมอในการสนทนาครั้งนี้ ทำให้ฉันนึกถึงคำสอนของคุณยาย[7] ที่ว่า “ทำความดีไว้เถอะ ตกน้ำไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้” เมื่อเราได้ทำกรรมดีไว้ แม้จะต้องตกทุกข์ได้ยาก ก็ย่อมได้ความอนุเคราะห์จากผู้คนที่มีความเห็นใจและมีจิตใจเป็นธรรม คงเป็นกุศลกรรมของคุณพ่อที่ “เป็นคนทำประโยชน์ให้กับประเทศชาติอย่างมาก และเป็นคนมีความซื่อสัตย์สุจริต” อย่างที่คุณอุดรสรุปกระมัง ที่ดลบันดาลให้คุณพ่อคลาดแคล้วภยันตรายทั้งปวง
คุณอุดร คุณกิ่ง กัปตันอมฤต คุณสุธี พี่อัญชนา คุณแม่ของคุณกิ่ง น้อง ๆ คุณกิ่ง....และยังบุคคลนิรนามอีกมากหลายที่ฉันรู้สึกประทับใจ เรื่องราวเมื่อ ๔๔ ปีก่อนจะเป็นตำนานเล่าขานให้ ลูก ๆ หลาน ๆ ได้ทราบเลี้ยวชีวิตเล็ก ๆ ของคุณพ่อในยามหน้าสิ่วหน้าขวาน และระลึกถึงคุณความดีของท่านผู้มีพระคุณเหล่านั้นในความทรงจำตลอดไป
“ธมฺโม หเว รกฺขติ ธมฺมจารี” ธรรมะย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรม
หมายเหตุ :
- อักขรวิธีสะกดคงไว้ตามต้นฉบับ
- ตั้งชื่อบทความใหม่โดยกองบรรณาธิการ
- อ่านหนังสือ “วัน “ปรีดี พนมยงค์” 11 พฤษภาคม 2538 ห้าสิบปี ศักดิ์ศรี เสรีไทย” ในรูปแบบ E-book ได้ที่นี่ : https://pridi.or.th/sites/default/files/pdf/pridibook252.pdf
[1] คุณพ่อ, พ่อ : นายปรีดี พนมยงค์
[2] คุณแม่ : ท่านผู้หญิงพูนศุข พนมยงค์
[3] คุณสุธี โอบอ้อม : สามีพี่อัญชนา ขณะนั้นรับราชการเป็นปลัดอำเภอพระโขนง
[4] คุณปาล : นายปาล พนมยงค์
[5] คุณ : ผู้ใกล้ชิดสนิทสนมมักเรียกท่านผู้หญิงพูนศุขว่า "คุณ"
[6] คุณย่า : นางลูกจันทน์ พนมยงค์ มารดานายปรีดี
[6] พ่อ : นายปรีดี พนมยงค์
[7] คุณยาย : คุณหญิงเพ็ง ชัยวิชิต มารดาท่านผู้หญิงพูนศุข