ในวันนี้ วันที่ 11 ตุลาคม ครบรอบ 92 ปี วันแรกเริ่มเหตุการณ์ "กบฏบวรเดช" เมื่อปี พ.ศ. 2476 การสู้รบนองเลือดครั้งใหญ่ครั้งแรกในยุคสมัยระบอบรัฐธรรมนูญระหว่าง รัฐบาลคณะราษฎร ซึ่งนำโดยนายพันเอก พระยาพหลพลพยุหเสนา (พจน์ พหลโยธิน) นายกรัฐมนตรี นายพันโท หลวงพิบูลสงคราม (แปลก ขิตตะสังคะ) ผู้บังคับกองผสม นายนาวาโท หลวงศุภชลาศัย (บุง ศุภชลาศัย) ฯลฯ กับ คณะกู้บ้านกู้เมือง นำโดยนายพลเอก พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าบวรเดช นายพันเอก พระยาศรีสิทธิสงคราม (ดิ่น ท่าราบ) นายพลตรี พระยาเสนาสงคราม (ม.ร.ว.อี๋ นพวงศ์) ฯลฯ
เหตุการณ์สิ้นสุดลงด้วยชัยชนะของรัฐบาลคณะราษฎร จึงมีผลให้ระบอบใหม่คือระบอบราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญยังคงอยู่และสืบทอดมาจนทุกวันนี้ แม้อาจจะยังไม่สมบูรณ์และล้มลุกคลุกคลานก็ตาม
ในบทความนี้ ผู้เขียนจะเขียนเล่าเรื่องราวของนักสู้ผู้พิทักษ์รัฐธรรมนูญในระดับรองและระดับผู้น้อย ซึ่งอาจไม่ใช่ผู้นำคณะราษฎรโดยตรง หากเป็นนักสู้ที่มีสถานะหลากหลาย ทั้งทหาร ข้าราชการ ประชาชน พวกเขาเหล่านั้นคือใคร ทำอะไรบ้างในการช่วยเหลือรัฐบาล ต่อสู้คณะกู้บ้านกู้เมือง
1. หลวงสินาดโยธารักษ์ (ชิต มั่นศิลป์) ขุนศึกทหารปืนใหญ่ปราบกบฏ
พ.ท. หลวงสินาดโยธารักษ์ ผู้บังคับทหารปืนใหญ่ กองผสมปราบกบฏ
ผู้บังคับทหารปืนใหญ่ / ปตอ. หน่วยอาวุธชี้ขาดชัยชนะ
ท่านผู้นี้เป็นนายทหารปืนใหญ่อาชีพ เกิดเมื่อปี พ.ศ. 2439 สำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนนายร้อยทหารบก เริ่มรับราชการในปี พ.ศ. 2456 ผ่านตำแหน่งผู้บังคับหน่วยทหารปืนใหญ่ อาจารย์วิชาทหารปืนใหญ่ ในตำแหน่งนี้ หลวงสินาดโยธารักษ์ได้เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาโดยตรงของ พ.อ. พระยาพหลพลพยุหเสนา รองจเรทหารปืนใหญ่ และถึงแม้จะไม่ได้ร่วมก่อการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครองในเช้าของวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 หลวงสินาดโยธารักษ์ก็ยังได้ร่วมเป็นกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับถาวร พ.ศ. 2475 ร่วมคณะกับหลวงประดิษฐ์มนูธรรม (ปรีดี พนมยงค์) หลังจากนั้นได้เป็นรองผู้บังคับทหารปืนใหญ่
เมื่อเข้าสู่สถานการณ์กบฏบวรเดชในช่วงวันที่ 11 – 16 ตุลาคม พ.ศ. 2476 พ.ต. หลวงสินาดโยธารักษ์ได้เป็นผู้บังคับทหารปืนใหญ่ สังกัดกองผสม ภายใต้ พ.ท. หลวงพิบูลสงคราม ผู้นำรุ่นใหม่คณะราษฎร คุมกำลังรบปราบกองกำลังฝ่ายกบฏโดยตรง
ขบวนปืนต่อสู้อากาศยานแบบ 76 ขนาด 40 มิลลิเมตร (ปตอ.76) ของกองกำลังฝ่ายรัฐบาล
กำลังเคลื่อนพลผ่านกรุงเทพฯ ในระหว่างเหตุการณ์กบฏบวรเดช
ที่มา : Tank Encyclopedia
ในตำแหน่งผู้บังคับทหารปืนใหญ่ หลวงสินาดโยธารักษ์มีภารกิจในการนำกองพันทหารปืนใหญ่ต่าง ๆ ยิงสนับสนุนกองผสม ซึ่งแม้ว่าเหล่าทหารปืนใหญ่ไม่ได้เข้าปะทะข้าศึกโดยตรง หากฝ่ายรัฐบาลบรรจุปืนใหญ่ทันสมัยต่าง ๆ เข้าประจำการ โดยเฉพาะเพิ่งประจำการปืนต่อสู้อากาศยานแบบ 76 ขนาด 40 มิลลิเมตร (ปตอ.76) สามารถยิงกระสุนปืนใหญ่เป็นชุดต่อเนื่องได้อย่างรวดเร็ว เมื่อผสมกับปืนใหญ่รุ่นอื่น ๆ ทำให้กองผสมฝ่ายรัฐบาลมีอำนาจการยิงสูง ทั้งรุนแรงและรวดเร็วกว่าฝ่ายคณะกู้บ้านกู้เมือง แม้ว่าฝ่ายตรงข้ามจะมีจำนวนทหารราบและทหารม้าที่มากกว่า แม้จะมีเครื่องบินในบังคับ ฝ่ายรัฐบาลก็มีปืนต่อสู้อากาศยานพร้อมตอบโต้ จนมีผลให้ฝ่ายรัฐบาลเอาชนะฝ่ายกบฏได้ในที่สุด โดยเฉพาะสมรภูมิสถานีบางเขน สมรภูมิหลักสี่ ที่ปืน ปตอ.76 ได้ทำลายที่มั่นข้าศึกอย่างรวดเร็ว ผสมกับการยิงปูพรมของปืนใหญ่สนาม
ปืนใหญ่ของฝ่ายรัฐบาล ที่สมรภูมิบางเขน ในเหตุการณ์กบฏบวรเดช
ที่มา : ศิลปวัฒนธรรม
ดังนั้น ตั้งแต่วันที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2476 กองทหารฝ่ายกบฏกลับเป็นฝ่ายร่นถอยอย่างรวดเร็ว หลังจากนั้น กองทหารปืนใหญ่และหน่วย ปตอ. ได้ติดตามกองทหารราบและกองทหารม้าฝ่ายรัฐบาลรุกไล่ติดตามกองทหารฝ่ายกบฏจากบางเขน หลักสี่ ดอนเมือง ภาชี สระบุรี แก่งคอย หินลับ ปากช่อง นครราชสีมา และเพชรบุรี จนได้ชัยชนะในขั้นสุดท้าย ในวันที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2476 ในที่สุด
แม่ทัพเสรีไทย
หลังเสร็จสิ้นการปราบกบฏ พ.ศ. 2476 ในปีต่อมา หลวงสินาดโยธารักษ์ได้ไปศึกษาดูงานกิจการทหารที่อังกฤษ ฝรั่งเศส เบลเยียมเป็นเวลา 3 ปี เมื่อกลับมาได้เป็นเจ้ากรมป้องกันต่อสู้อากาศยาน (ปัจจุบันคือกองพลทหารปืนใหญ่ต่อสู้อากาศยาน) ในยุคบุกเบิก จนผ่านศึกกรณีพิพาทอินโดจีนฝรั่งเศส พ.ศ. 2483 - 2484 ก่อนย้ายเป็นปลัดกระทรวงกลาโหม และพลาธิการทหารบก เลื่อนยศและลาออกจากบรรดาศักดิ์เป็น พลโท ชิต มั่นศิลป์ สินาดโยธารักษ์
ที่สำคัญ ในช่วงปลายสงครามมหาเอเชียบูรพา พ.ศ. 2487 - 2488 หลังจากจอมพล ป. พิบูลสงคราม พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ผู้บัญชาการทหารสูงสุด และแม่ทัพบก พลโท ชิต มั่นศิลป์ สินาดโยธารักษ์ ได้เลื่อนขึ้นเป็นรองแม่ทัพใหญ่และรองแม่ทัพบก ปฏิบัติงานแทนแม่ทัพ (พล.อ.พระยาพหลพลพยุหเสนา) และหัวหน้าเสรีไทยฝ่ายทหาร รหัส “จัมปา” นำกองทัพไทยบก เรือ อากาศ ปฏิบัติงานต่อต้านญี่ปุ่น ทั้งการวางแผนยุทธศาสตร์ทางทหารร่วมกับขบวนการเสรีไทย และฝ่ายสัมพันธมิตร และจัดวางเตรียมกำลังรบสามเหล่าทัพ จนสิ้นสงคราม พ.ศ. 2488
หลังสงคราม พลโท ชิต มั่นศิลป์ สินาดโยธารักษ์ ได้ออกจากชีวิตนายทหารอาชีพเข้าสู่เส้นทางการเมือง สังกัดพรรคประชาธิปัตย์ โดยได้เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดพระนคร เคยต้องหาคดี "กบฏเสนาธิการ" พ.ศ. 2491 จนถูกคุมขังเพื่อสอบสวนเป็นเวลา 1 เดือน แต่หลักฐานไม่เพียงพอส่งฟ้อง จึงทำงานการเมืองต่อไปจนพ้นจากแวดวงการเมืองเมื่อปี พ.ศ. 2501 และใช้ชีวิตในด้านสาธารณกุศลและการปฏิบัติธรรมตราบจนถึงแก่อนิจกรรมในปี พ.ศ. 2532
2. ขุนวิรุฬห์จรรยา : ครูใหญ่อาสาปราบกบฏ
ขุนวิรุฬห์จรรยา (จันทร์ เงินมาก) ครูใหญ่ผู้นำลูกเสืออาสา
"ครูใหญ่" ผู้ทรงวิชา
ขุนวิรุฬห์จรรยา (จันทร์ เงินมาก) เป็นครูผู้รักในวิชาชีพ เป็นต้นแบบสำคัญของผู้เป็นครู เกิดเมื่อปี พ.ศ. 2440 เริ่มต้นชีวิตครูที่โรงเรียนกุหลาบวิทยาลัย ต่อจากนั้นได้ย้ายไปเป็นครูใหญ่ที่โรงเรียนวัดราชาธิวาส เป็นเวลายาวนานกว่าสามสิบปี ได้เขียนคู่มือศึกษาวรรณคดีไทยสำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา เช่น คู่มือเวสสันดรชาดก คู่มือสามัคคีเภทคำฉันท์ คู่มืออิลราชคำฉันท์ เป็นต้น
นอกจากนี้ ขุนวิรุฬห์จรรยายังเป็นครูลูกเสือจนถึงระดับรองผู้ตรวจการลูกเสือ และได้สร้างลูกศิษย์ที่มีชื่อเสียงไว้มาก อาทิเช่น นายจรูญพันธุ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา พลเรือเอก จิตต์ สังขดุลย์ ฯลฯ
หัวหน้าลูกเสือ ช่วยลำเลียงอาวุธกระสุน
ในคราวกบฏบวรเดช 11 – 16 ตุลาคม พ.ศ. 2476 ขุนวิรุฬห์จรรยา ครูใหญ่โรงเรียนวัดราชาธิวาส ได้นำกลุ่มลูกเสือโรงเรียนไปรายงานตัวต่อเจ้าหน้าที่รัฐบาล เพื่อขออาสาช่วยราชการปราบกบฏ จึงได้รับมอบหมายหน้าที่ในการออกคำสั่งกองตรวจบริเวณแขวงพระนครเหนือ ให้กองร้อยลูกเสือรักษาความสงบในพื้นที่ตำบลสามเสน และช่วยงานอาสาลำเลียงอาวุธกระสุนและเสบียงส่งให้กองทหารแนวหน้า จนสิ้นสุดการปะทะด้านชานพระนคร
ในเหตุการณ์กบฏครั้งนั้น ลูกเสือระดับมัธยมเป็นกำลังหลักส่วนหนึ่งร่วมกับตำรวจนครบาลและกรรมกร ช่วยรักษาความสงบเรียบร้อยแนวหลังในพระนคร ทำให้กองทหารผสมฝ่ายรัฐบาลสามารถสู้รบในแนวหน้าได้อย่างเต็มที่ แสดงถึงแรงศรัทธาของประชาชนในการรักษาระบอบราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ
ภายหลังเหตุการณ์กบฏบวรเดช ขุนวิรุฬห์จรรยายังคงเป็นครูใหญ่โรงเรียนวัดราชาธิวาส จนถึงเกษียณอายุราชการ พ.ศ. 2502 แล้วยังช่วยงานในกิจการพิเศษของกระทรวงศึกษาธิการ เช่น กรรมการจัดทำหนังสือประวัติครู (คุรุสภา) กรรมการการอ่านทำนองเสนาะ (กรมศิลปากร) เป็นต้น ภายหลังได้ถึงแก่กรรมเมื่อปี พ.ศ. 2518
3. ขุนรณนภากาศ (ฟื้น รณนภากาศ ฤทธาคนี) : กองบินผสมปราบกบฏ
ร.อ. ขุนรณนภากาศ นายทหารกองบินผสมปราบกบฏ
เมื่อ "สนามหลวง" พลิกเป็น "สนามบิน" (ชั่วคราว)
ขุนรณนภากาศผู้นี้เกิดเมื่อปี พ.ศ. 2443 สำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนนายร้อย ออกมารับราชการกรมทหารพรานอยู่ในระยะสั้น ก่อนสมัครเป็นศิษย์การบินและเป็นนายทหารนักบินสังกัดกรมอากาศยาน จน 8 ปีต่อมา ได้เข้าศึกษาโรงเรียนเสนาธิการทหารบก เข้าประจำกรมยุทธการทหารบก และกรมยุทธศึกษาทหารบกตามลำดับ ในช่วงปีปฏิวัติ พ.ศ. 2475 - 2476
เมื่อเข้าสู่สถานการณ์กบฏ พ.ศ. 2476 นายร้อยเอก ขุนรณนภากาศ ได้รับบรรจุเป็นนายทหารฝ่ายเสนาธิการกองผสม ในบังคับของ พ.ท. หลวงพิบูลสงคราม ในช่วงแรกมีภารกิจในการวางแผนและประสานงานหน่วยทหารปราบกบฏ พอดีในระยะนี้กรมอากาศยานที่ดอนเมืองถูกฝ่ายคณะกู้บ้านกู้เมืองยึดไว้เป็นกองบัญชาการ ได้มีนักบินลักลอบนำเครื่องบินมาจอดที่สนามหลวงหลายลำ พร้อมรับใช้ช่วยเหลือฝ่ายรัฐบาล เมื่อวันที่ 14 ตุลาคม พ.ท. หลวงพิบูลสงคราม ผู้บังคับกองผสมจึงมอบหมายให้ ร.อ. ขุนรณนภากาศเป็นผู้บังคับหน่วยบินเฉพาะกิจนี้
บริเวณกรมอากาศยานตำบลดอนเมือง ถ่ายจากเครื่องบิน
กองบินตรวจการณ์ฝ่ายกบฏ
ในวันแรกที่ได้รับแต่งตั้งเป็นผู้บังคับหน่วยบินนี้ ขุนรณนภากาศได้รับมอบภารกิจในการบินทิ้งระเบิดกรมอากาศยานที่ดอนเมือง ซึ่งเป็นกองบัญชาการฝ่ายกบฏ เหตุการณ์ครั้งนี้นับว่าฝืนความรู้สึกขุนรณนภากาศอย่างยิ่ง เพราะต้องทำลายสถานที่อันเป็นที่รักและผูกพันตั้งแต่ยังเป็นศิษย์การบิน ทว่ามีคำสั่งเปลี่ยนแปลงให้ยกเลิกภารกิจนี้ เนืองจากฝ่ายพระองค์เจ้าบวรเดชถอนทัพไปแล้ว ขุนรณนภากาศจึงนำเครื่องบินลงสู่สนามบินดอนเมืองอย่างปลอดภัย
ที่ดอนเมืองได้มีนายทหารนักบิน ฝ่ายเสนาธิการ และช่างอากาศรอรับอยู่ นำโดยนายพันโท พระเทวัญอำนวยเดช (หลี สุวรรณานุช) เล่าถึงสถานการณ์ที่นายทหารกรมอากาศยานจำต้องร่วมมือกับฝ่ายกบฏ ทั้ง พ.ท.พระเทวัญอำนวยเดช และ ร.อ. ขุนรณนภากาศได้ปรึกษาตกลงใจตั้งกองบินผสมภายใต้บังคับกองผสมปราบกบฏ เพื่อช่วยเหลือฝ่ายรัฐบาล ทั้งด้วยการบินโจมตีและตรวจการณ์
ในสถานการณ์จริงกองบินผสมได้ออกบินตรวจการณ์จากดอนเมือง ต่อมาเมื่อฝ่ายกบฏได้ถอยร่นจากสระบุรีแล้ว จึงได้ใช้สนามบินสระบุรีสำหรับเครื่องบินขนาดเล็ก แล้วตรวจการณ์เส้นทางถอยฝ่ายกบฏที่นครราชสีมาต่อไป จากการบินตรวจการณ์ของกองบินผสม จึงมีผลให้กองผสมฝ่ายรัฐบาลทราบสถานการณ์การล่าถอยของฝ่ายกบฏได้ทันท่วงที จึงสามารถยึดพื้นที่คืนจากฝ่ายกบฏได้ตามลำดับ
ที่นครราชสีมาซึ่งเป็นที่ตั้งกองบัญชาการคณะกู้บ้านกู้เมือง (กบฏบวรเดช) ขุนรณนภากาศต้องลงจอดเครื่องที่สนามบินด้านนั้นด้วยตนเอง เพื่อตรวจสอบสถานการณ์ให้แน่ชัด ก่อนที่กองผสมฝ่ายรัฐบาลจะเคลื่อนทัพเข้ายึดเมือง แม้จะเสี่ยงต่อการถูกควบคุมตัว เพราะแม้จะประเมินและตรวจการณ์ได้ว่าฝ่ายกบฏได้ถอนตัวแล้ว แต่อาจเป็นกลลวงของฝ่ายกบฏที่มีกำลังมากได้ หากว่าขุนรณนภากาศสามารถลงจอดได้อย่างปลอดภัย ได้พบกับผู้บังคับกองบินและข้าราชการ จึงทราบเหตุการณ์ทางเมืองนี้ก่อนผู้ใดในกองผสมฝ่ายรัฐบาล เมื่อขุนรณนภากาศได้รายงานไปยังผู้บังคับกองผสมแล้ว ฝ่ายรัฐบาลจึงสามารถเคลื่อนทัพต่อไปได้อย่างปลอดภัย มีเหตุปะทะเพียงที่ตำบลหินลับ (ซึ่งต้องสูญเสียพระยาศรีสิทธิสงคราม เสนาธิการฝ่ายกบฏ มันสมองของวงการทหารไทย)
อย่างไรก็ตามกองทหารฝ่ายรัฐบาลสามารถเคลื่อนทัพไปได้อย่างเชื่องช้า เพราะฝ่ายกบฏได้รื้อถอนทางรถไฟ เพื่อให้ฝ่ายตนสามารถถอยทัพและหลบหนีได้ในที่สุด ขุนรณนภากาศจึงได้เจรจาขอให้ข้าราชการเมืองนครราชสีมาช่วยเหลือซ่อมสร้างทางรถไฟ ให้กองผสมฝ่ายรัฐบาลสามารถเคลื่อนทัพได้โดยสะดวก
จากผลการปฏิบัติภารกิจของกองบินผสม จึงได้รับคำชมเชยจาก พ.อ. พระยาพหลพลพยุหเสนา ในฐานะผู้บัญชาการทหารบก และ พ.ท. หลวงพิบูลสงคราม ผู้บังคับกองผสมปราบกบฏ ถึงกับมีหนังสือชมเชย โดยเฉพาะ ร.อ. ขุนรณนภากาศที่มีสถานะเป็นนายทหารอากาศที่ไว้วางใจใกล้ชิดฝ่ายรัฐบาลคณะราษฎร ถึงกับในปีต่อมา พ.ศ. 2477 ขุนรณนภากาศได้ไปศึกษาต่อโรงเรียนการบินกองทัพอากาศอังกฤษ และกลับมามีตำแหน่งสูงในกองทัพอากาศไทยอย่างรวดเร็ว
กอบกู้กรมอากาศยาน สู่การตั้งกองทัพอากาศ
จากการที่กรมอากาศยานถูกคณะกู้บ้านกู้เมือง หรือฝ่ายกบฏบวรเดชยึดไว้เป็นกองบัญชาการ ส่งผลให้นายทหารที่ติดค้างอยู่ในดอนเมืองจำนวนมากถูกควบคุมตัว และมีส่วนร่วมมือกับฝ่ายกบฏ ไม่ว่าจะโดยตั้งใจหรือไม่ก็ตาม เมื่อเสร็จสิ้นการปราบปรามกบฏบวรเดช นายทหารอากาศจำนวนมากอาจจะมีความผิดโทษฐานกบฏ ขุนรณนภากาศจึงได้พยายามช่วยเหลือ เพราะนายทหารเหล่านั้นถือเป็นพี่น้องเพื่อนฝูงที่ร่วมเป็นร่วมตายกันมาในชีวิตนักบิน โดยต้องแยกแยะนายทหารที่ช่วยเหลือกบฏมากน้อย นายทหารที่มีความพยายามช่วยเหลือรัฐบาล หรือผู้ที่ไม่ได้รับคำสั่งดำเนินการใด หรือผู้ที่ไม่ได้เข้าหน่วยบิน
ร.อ. ขุนรณนภากาศจึงได้อาศัยสถานะนายทหารที่ไว้วางใจของรัฐบาล เข้าช่วยเหลือนายทหารอากาศเหล่านั้น วิธีแรกคือการเสนอการปูนบำเหน็จความชอบ ตามผลงานของนายทหารแต่ละนาย รวมทั้งเสนอพฤติกรรมของนายทหารต่าง ๆ ตามหลักฐาน ทั้งนายทหารที่มีความผิด หรือเป็นผู้บริสุทธิ์ เพื่อให้กรมอากาศยานที่แม้จะระส่ำระสาย แต่ก็ไม่ล่มสลาย เพราะยังคงมีนายทหารและนายสิบนักบินเดิมเป็นโครง
นอกจากนี้ พระยาพหลพลพยุหเสนา ได้ถามความเห็นจากขุนรณนภากาศ เสนอนายทหารที่เหมาะสมจะปกครองกรมอากาศยานในตำแหน่งสูง ซึ่งทางรัฐบาลได้เลือกนายทหารชั้นสัญญาบัตรที่ขุนรณนภากาศเสนอมาเป็นผู้บังคับบัญชากรมอากาศยาน เท่ากับว่าขุนรณนภากาศได้รับสิทธิในการเลือกเจ้านายโดยตรง แล้วนายทหารบังคับบัญชาเหล่านี้ บวกกับนายทหารและนายสิบที่ยังหลงเหลือรอดพ้นคดี คือกำลังสำคัญในการพัฒนากรมอากาศยานเป็นกองทัพอากาศ เมื่อปี พ.ศ. 2480 ตามนโยบาย พ.อ. หลวงพิบูลสงคราม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม
ผบ. กองบินเหรียญกล้าหาญ สู่จอมพลอากาศ
หลังจากที่ขุนรณนภากาศเดินทางกลับจากการศึกษาต่อที่อังกฤษ จึงได้เติบโตในราชการกองทัพอากาศ และได้เป็นนายทหารใกล้ชิดหลวงพิบูลสงคราม จากที่เป็นรองเสนาธิการทหารอากาศและผู้บังคับกองบินใหญ่ผสมภาคใต้ ยศนาวาอากาศเอก ทำการรบในกรณีพิพาทอินโดจีนฝรั่งเศสจนได้รับเหรียญกล้าหาญ ได้เลื่อนเป็นเสนาธิการทหารอากาศและผู้บังคับกองบินใหญ่ผสมพายัพ ทำการรบร่วมกองทัพพายัพด้านเชียงตุงในช่วงแรกของสงครามมหาเอเชียบูรพา ช่วงครึ่งหลังของสงครามได้เลื่อนเป็นรองแม่ทัพอากาศ ยศพลอากาศตรี ควบคุมกองบินป้องกันภัยทางอากาศ ในขณะที่เตรียมกองบินร่วมปฏิบัติการเสรีไทย ภายใต้พลอากาศโท หลวงเทวฤทธิ์พันลึก (กาพย์ ทัตตานนท์) แม่ทัพอากาศและหัวหน้าเสรีไทย เตรียมการต่อสู้กองทัพญี่ปุ่น ในระยะนี้ได้ลาออกจากบรรดาศักดิ์โดยใช้ชื่อ ฟื้น รณนภากาศ ฤทธาคนี
ภาพวาดเครื่องบินทิ้งระเบิดแบบ "นาโกยา" (Mitsubishi Ki-30) หมายเลข 6 ที่ขุนรณนภากาศเคยขับ
เพื่อปฏิบัติภารกิจทิ้งระเบิดในกรณีพิพาทอินโดจีนฝรั่งเศส
ที่มา : ม.ล.ชัยนิมิตร นวรัตน
หลังการรัฐประหาร 2490 พลอากาศเอก ฟื้น รณนภากาศ ฤทธาคนี ได้รับเลื่อนตำแหน่งเป็นผู้บัญชาการทหารอากาศ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2492 ต่อมาได้รับยศเป็นจอมพลอากาศเมื่อปี พ.ศ. 2497 และได้ร่วมคณะรัฐมนตรีจอมพล ป. พิบูลสงคราม สมัยที่ 2 ตั้งแต่ พ.ศ. 2495 จนถึงปี พ.ศ. 2500 หลังจากจอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ ก่อการรัฐประหารในปีนั้น จอมพลอากาศ ฟื้น รณนภากาศ ฤทธาคนี จึงพ้นจากตำแหน่งทางการเมืองและกองทัพอากาศ และถึงแก่อนิจกรรมในปี พ.ศ. 2530
4. อุดม บุญประกอบ : หัวหน้าอาสาพลเรือนที่ขอนแก่น
นายอุดม บุญประกอบ อัยการจังหวัดขอนแก่น หัวหน้าอาสาพลเรือนปราบกบฏ
อัยการจังหวัด หัวหน้าอาสาพลเรือน
นายอุดม บุญประกอบ เกิดเมื่อปี พ.ศ. 2449 สำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนกฎหมาย แล้วรับราชการในกระทรวงมหาดไทยมาโดยตลอด ทั้งสายอัยการและสายปกครอง จนถึงปี พ.ศ. 2473 นายอุดมได้เป็นอัยการจังหวัดขอนแก่นภายใต้พระณรงคฤทธี (ชาย ดิฐานนท์) ข้าหลวงประจำจังหวัด
เมื่อข่าวเหตุการณ์กบฏไปถึงจังหวัดขอนแก่นตั้งแต่วันที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2476 คณะกรมการจังหวัดได้ตกลงใจเข้าร่วมฝ่ายรัฐบาล หากในยุคสมัยนั้น ในจังหวัดขอนแก่นไม่มีกองทหารตั้งอยู่ ลำพังเพียงตำรวจภูธรมีไม่เพียงพอที่จะต่อสู้ หากกองทหารฝ่ายคณะกู้บ้านกู้เมืองหรือฝ่ายกบฏจะเข้ายึดเมืองขอนแก่น กองทหารฝ่ายรัฐบาลซึ่งตั้งอยู่ใกล้จังหวัดขอนแก่นที่สุดคือกองพันทหารราบที่จังหวัดอุดรธานี ก็อาจเคลื่อนพลมาช่วยไม่ทัน ข้าหลวงประจำจังหวัดขอนแก่นจึงสั่งให้ตั้งกองอาสาพลเรือนเฉพาะกิจ มอบให้นายอุดม บุญประกอบ เป็นหัวหน้าอาสาพลเรือน กำลังพลมาจากข้าราชการและเจ้าหน้าที่รถไฟ รวบรวมอาวุธทั้งปืนส่วนตัว ยึดอาวุธจากร้านขายปืนในจังหวัดสำหรับแจกจ่ายอาสาพลเรือน และเตรียมระเบิดทางรถไฟโดยใช้ดินระเบิดของสถานีรถไฟ อีกทางหนึ่งได้ส่งข้าราชการไปร้องขอให้กองพันที่อุดรธานีส่งกำลังทหารช่วยเหลือที่ขอนแก่น
จนวันที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2476 ฝ่ายคณะกู้บ้านกู้เมืองกำลังจะพ่ายแพ้ต่อฝ่ายรัฐบาล ต้องถอยร่นจากพระนคร และอาจสูญเสียฐานบัญชาการที่นครราชสีมา จึงเตรียมที่จะยึดจังหวัดขอนแก่นเป็นฐานบัญชาการ ต่อมาในวันที่ 18 ตุลาคม ฝ่ายอาสาพลเรือนได้ร่วมกันทำลายทางรถไฟและสะพาน จุดระหว่างสถานีพลกับสถานีบ้านหัน ซึ่งห่างจากเมืองขอนแก่นประมาณ 80 กิโลเมตร
รุ่งขึ้นของวันที่ 19 ตุลาคม ฝ่ายกบฏเคลื่อนกองร้อยทหารม้าทางรถไฟ ภายใต้นายร้อยเอก หลวงโหมรอนราญ (ตุ๊ ปาลกะวงศ์ ณ อยุธยา) เพื่อเข้ายึดเมืองขอนแก่น หากต้องหยุดยั้งขบวนรถไฟที่อำเภอพล ไม่อาจเคลื่อนที่ต่อไปได้ หลวงโหมรอนราญได้เข้าเมืองพล ข่มขู่นายสถานีตามหาผู้ทำลายรถไฟ แต่แล้วไม่ได้ยกทหารทั้งหมดยึดเมืองพล หากวางทหาร 5 – 6 นายยึดสถานีเอาไว้ เพื่อเตรียมการรบหน่วงเหนี่ยว
ในวันที่ 19 ตุลาคมนี้เอง ที่กองพันทหารราบ จังหวัดอุดรธานี ส่งทหาร 100 นายเข้าสมทบกับตำรวจและกองอาสาพลเรือนที่จังหวัดขอนแก่น เมื่อผู้บังคับกองทหารได้ปรึกษากับข้าหลวงประจำจังหวัด ผู้กำกับการตำรวจ และหัวหน้ากองอาสาพลเรือนแล้ว จึงตั้งกองทหารในจุดสำคัญที่สะพานรถไฟข้ามแม่น้ำชี และสถานีบ้านไผ่ มีกำลังตำรวจและพลเรือนร่วมด้วย เตรียมป้องกันกองทหารฝ่ายกบฏที่อาจข้ามมายึดจังหวัดขอนแก่นหากไม่ได้ปะทะกับฝ่ายกบฏ เพราะคณะกู้บ้านกู้เมืองถอยร่นไปนครราชสีมาและปากช่องหมดแล้ว รอทำศึกเหนี่ยวรั้งเพื่อเตรียมหลบหนี
วีรกรรมจับกุมทหารกบฏ
ต่อมาวันที่ 21 ตุลาคม เมื่อสถานการณ์แน่ชัดแล้วว่าฝ่ายกบฏจะพ่ายแพ้ ไม่อาจเข้ายึดขอนแก่นได้ ตำรวจและกำลังพลเรือนอาสาที่อำเภอพลจึงได้เข้ายึดสถานีรถไฟพล ซึ่งมีทหารกบฏเฝ้ารักษา เกิดการปะทะเล็กน้อยจึงยึดสถานีคืนมาได้ นำตัวเชลยส่งไปที่กองตำรวจภูธรเมืองขอนแก่น
รุ่งขึ้น 22 ตุลาคม เมื่อเครื่องบินฝ่ายรัฐบาลจากพระนคร ได้นำหนังสือจากรัฐบาลส่งให้ทางจังหวัดขอนแก่น นายอุดม บุญประกอบ จึงได้รับมอบให้โดยสารเครื่องบินไปยังพระนคร เพื่อรายงานสถานการณ์ทางจังหวัดขอนแก่นให้แก่รัฐบาล แม้การเดินทางครั้งนี้มีความเสี่ยง เพราะน้ำมันเครื่องบินมีไม่เพียงพอ ต้องแวะตามจุดต่าง ๆ หากเครื่องบินลำนี้สามารถไปถึงจุดหมายที่พระนคร และนายอุดมสามารถรายงานรัฐบาลได้ในที่สุด
จากสถานการณ์ปราบปรามคณะกู้บ้านกู้เมือง หรือกบฏบวรเดชนี้ ในทางส่วนตัวแล้ว นางปรุงใจ บุญประกอบ ภรรยานายอุดม เพิ่งคลอดลูกได้ไม่นาน นายอุดมก็ต้องเข้าควบคุมกองอาสาพลเรือนทำการต่อสู้พิทักษ์รัฐธรรมนูญ จึงนับเป็นความกล้าหาญ เสียสละ มีความจริงจังและจริงใจ ที่จะกระทำการเพื่อชาติบ้านเมือง เฉกเช่นเดียวกับข้าราชการและประชาชนชาวจังหวัดขอนแก่นที่พร้อมสละชีพเพื่อชาติและรัฐธรรมนูญเช่นกัน
ข้าหลวงไฟแรง สู่งานเสรีไทย
ภายหลังเสร็จสิ้นการปราบกบฏบวรเดช นายอุดม บุญประกอบ ได้รับเลื่อนขั้นเป็นข้าหลวงประจำจังหวัดที่ระยอง สระบุรี ปราจีนบุรี ฉะเชิงเทรา จนปลายสงครามโลกครั้งที่ 2 ในช่วงปี พ.ศ. 2487 – 2488 ทางราชการได้ตั้งนายอุดม บุญประกอบ กลับมาจังหวัดขอนแก่นอีกครั้งในตำแหน่งข้าหลวงประจำจังหวัด และหัวหน้าเสรีไทยขอนแก่น ตระเตรียมการสู้รบแบบกองโจรก่อกวนทำลายกองทหารญี่ปุ่นในด้านจังหวัดขอนแก่น เลย ชัยภูมิ ในเดือนสุดท้ายของสงคราม อุดมได้ย้ายไปเป็นข้าหลวงตรวจการภาค 3 และเป็นหัวหน้าเสรีไทยอีสาน หลังสิ้นสงคราม นายอุดมยังคงรับราชการในกระทรวงมหาดไทย จนลาออกจากราชการปี พ.ศ. 2491 เพื่อไปประกอบอาชีพส่วนตัว ภายหลังถึงแก่อนิจกรรมในปี พ.ศ. 2510
5. พระเริงรุกปัจจามิตร (ทอง รักสงบ) : ขุนศึกแนวหน้า ผู้ฟื้นขวัญเมืองโคราชหลังกบฏ
พ.ท. พระเริงรุกปัจจามิตร (ทอง รักสงบ) ผู้บังคับกองรบ ยึดเมืองนครราชสีมา ศูนย์บัญชาการฝ่ายกบฏ
นายทหารม้าเขยโคราช
พระเริงรุกปัจจามิตร (ทอง รักสงบ) เกิดเมื่อปี พ.ศ. 2434 เป็นชาวกรุงเทพฯ สำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนนายร้อยทหารบก รับราชการในกรมกองเหล่าทหารม้ามาโดยตลอด โดยเฉพาะกรมทหารบกม้านครราชสีมา เป็นเวลาประมาณ 9 ปี ในตำแหน่งผู้บังคับกองร้อยที่ 2 ผู้บังคับกองร้อยที่ 1 กรมทหารบกม้านครราชสีมา และปลัดกรมทหารบกม้านครราชสีมา จึงเป็นผู้ที่มีความคุ้นเคยใกล้ชิดกับพื้นที่และผู้คนในจังหวัดนครราชสีมา รวมทั้งได้สมรสกับนางสาวสอาด อินทรโสฬส บุตรสาวจากตระกูลเจ้าเมืองนครราชสีมา จึงได้เป็นบุตรเขยตระกูลใหญ่แห่งเมืองนี้ จนเป็นที่นับถือในจังหวัดไปด้วย ในทางส่วนตัวได้รับบรรดาศักดิ์เป็นหลวงเริงรุกปัจจามิตร และพระเริงรุกปัจจามิตรตามลำดับ
ต่อมาย้ายมาประจำในกรุงเทพฯ ได้ครองตำแหน่งสำคัญ ได้แก่ ปลัดกรมทหารบกม้ารวม กองทัพน้อยทหารบกที่ 1 ผู้บังคับกองพันทหารม้าที่ 1 รักษาพระองค์ เมื่อประเทศเข้าสู่ระบอบรัฐธรรมนูญตั้งแต่ พ.ศ. 2475 นายพันโท พระเริงรุกปัจจามิตรสามารถรับราชการในระบอบใหม่ได้เป็นอย่างดีในตำแหน่งรองผู้บังคับทหารม้า บังคับบัญชา และดำเนินการฝึกศึกษาแก่กองพันทหารม้าและกองรถรบทั่วประเทศ
ผบ.ทหารม้าปราบกบฏ
เมื่อเกิดเหตุการณ์กบฏบวรเดช วันที่ 11 - 23 ตุลาคม พ.ศ. 2476 พ.ท. พระเริงรุกปัจจามิตร ในตำแหน่งรองผู้บังคับทหารม้า ได้มีหน้าที่บัญชาการกองพันทหารม้าต่าง ๆ ฝ่ายรัฐบาล โดยเฉพาะกองพันทหารม้าที่ 1 รักษาพระองค์ ซึ่งบรรจุรถรบและยานเกราะที่ทันสมัยที่สุดในกองทัพบกสยามยุคนั้น นังเป็นกำลังสำคัญในการรุกเคลื่อนที่เร็วด้วย "ม้าเนื้อ" และ "ม้าเหล็ก"
ในระยะต่อมาวันที่ 17 ตุลาคม หลังจากที่ฝ่ายรัฐบาลยึดสถานีภาชีจากฝ่ายกบฏได้สำเร็จ นายพันโท พระเริงรุกปัจจามิตร รองผู้บังคับทหารม้า ได้รับแต่งตั้งจากฝ่ายรัฐบาลให้เป็นผู้บังคับกองรบ (ด้านสระบุรี - นครราชสีมา) ภายใต้กองผสมในสังกัดของนายพันโท หลวงพิบูลสงคราม กองรบนี้เป็นหน่วยรบหลัก ซึ่งมีจุดมุ่งหมายไปที่กองบัญชาการคณะกู้บ้านกู้เมือง หรือฝ่ายกบฏที่นครราชสีมา มีกองพันทหารราบ กองพันทหารม้า กองพันทหารปืนใหญ่ และกองทหารสื่อสารหลายหน่วย ระหว่างวันที่ 18 - 25 ตุลาคม พ.ศ. 2476 กองรบภายใต้ พ.ท. พระเริงรุกปัจจามิตร ได้รุกไล่กองทหารฝ่ายกบฏ โดยเคลื่อนทัพจากภาชี เข้ายึดเมืองสระบุรี ต่อเนื่องไปถึงแก่งคอย กองพันทหารราบบางส่วนได้ปะทะข้าศึกอย่างดุเดือดที่บ้านหินลับ จนฝ่ายกบฏได้สูญเสียพระยาศรีสิทธิสงคราม จากนั้นนำกองรบรุกไล่ต่อไปจนถึงเมืองนครราชสีมา ระยะเดียวกับที่ พล.อ. พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าบวรเดชทรงหลบหนีพร้อมกับพระชายาและนายทหารฝ่ายกบฏบางส่วน
ฝึกฟื้นใจเมืองโคราชหลังกบฏ
เมื่อกองทหารฝ่ายรัฐบาลสามารถเข้ายึดเมืองนครราชสีมาได้ตั้งแต่วันที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2476 พ.ท. พระเริงรุกปัจจามิตร ผู้บังคับกองรบฝ่ายรัฐบาลได้รับแต่งตั้งเป็น ผู้รักษาการมณฑลนครราชสีมา ทั้งฝ่ายทหารและพลเรือน ในระยะนั้นที่ผู้คนด้านจังหวัดนครราชสีมามีความระส่ำระสาย มีความรู้สึกเป็นผู้แพ้ บ้างหลบหนี บ้างเกรงกลัวการลงโทษหรือการล้างแค้นจากฝ่ายรัฐบาล พระเริงรุกปัจจามิตรจึงอาศัยทั้งสถานะผู้บังคับกองรบฝ่ายรัฐบาล และนายทหารเขยตระกูลใหญ่โคราช ได้ดำเนินต่าง ๆ ดังนี้
ในระยะเฉพาะหน้า พระเริงรุกปัจจามิตรได้รับการยอมจำนนจากหน่วยทหารฝ่ายกบฏในจังหวัดนครราชสีมา ได้จัดการปกครองทหารนครราชสีมาที่ไม่มีความผิดด้วยความเรียบร้อย และชี้แจงสถานการณ์จริงและแนวทางปกครองให้แก่ข้าราชการและประชาชนให้มั่นใจและยอมรับรัฐบาล รวมทั้งแจ้งให้พ่อค้าในจังหวัดนครราชสีมาปรับลดราคาสินค้าในราคาปกติ เดือนต่อมาได้จัดพิธีปลงศพทหารฝ่ายกบฏที่เสียชีวิตในเหตุการณ์ กลางเมืองนครราชสีมาอย่างยิ่งใหญ่สมเกียรติ มีพิธีกงเต๊กและมหรสพร่วมในงาน วันรุ่งขึ้นมีพิธีทำขวัญมิ่งเมือง ฟื้นฟูขวัญกำลังใจชาวนครราชสีมาทั้งทหาร ข้าราชการ และประชาชน นอกจากนี้ได้จัดให้กองรบฝ่ายรัฐบาลทำพิธีเดินเลียบเมือง และการแสดงสมรรถนะอาวุธ ทั้งหมดนี้นับเป็นก้าวแรกของการสมานฉันท์ผู้ชนะและผู้แพ้ให้เป็นหนึ่งเดียวกัน รวมทั้งสร้างความเชื่อมั่นแก่รัฐบาลและกองทัพบกสยาม
ในระยะยาว หลังจากที่นายพันเอก พระเริงรุกปัจจามิตร (รับยศนายพันเอก พ.ศ. 2477) ได้เป็นผู้บังคับการมณฑลทหารบกที่ 3 บังคับบัญชากรมกองทหารบกไทยทั่วทั้งภาคอีสาน ตั้งแต่ปลายปี พ.ศ. 2476 โดยนายพันโท หลวงชำนาญยุทธศาสตร์ (ผิน ชุณหะวัณ) เป็นเสนาธิการมณฑลทหารบกที่ 3 และพระยากำธรพายัพกิจ เป็นข้าหลวงประจำจังหวัด ทั้งฝ่ายทหารและฝ่ายพลเรือนต่างช่วยเหลือกิจการเป็นอย่างดี ในภารกิจด้านทหารได้มีดำเนินการสำคัญ ได้มีการแก้ปัญหาความไม่ลงรอยทหารที่มาประจำการใหม่ (กองผสมปราบกบฏ) และทหารภาคอีสานเดิม (อดีตหน่วยฝ่ายกบฏ) ทั้งด้วยการฝึกทหารร่วมกัน กิจกรรมกีฬาและสโมสรร่วมในค่ายทหาร (กีฬาและการสังสรรค์) และด้วยการย้ายทหารบางนายที่ไม่ลงรอยกันให้แยกออกจากกัน และสร้างความเชื่อมั่นของประชาชนต่อกองทัพ
และที่สำคัญได้มีบทบาทในการพัฒนาบ้านเมือง และสร้างสำนึกร่วมของคนโคราชให้เป็นหนึ่งเดียวกับประเทศชาติและกองทัพ ที่สำคัญและโดดเด่นก็คือการร่วมกับข้าราชการพลเรือนและประชาชนในการสร้างอนุสาวรีย์ท้าวสุรนารี (ย่าโม) วีรสตรีในตำนานท้องถิ่นนครราชสีมาเมื่อปี พ.ศ. 2477 เป็นการสร้างความภาคภูมิใจแก่ชาวนครราชสีมา ในฐานะพลเมืองผู้กล้าของชาติ มิใช่ผู้แพ้ในคราวกบฏ และยึดโยงชาวนครราชสีมาในฐานะส่วนหนึ่งของประเทศชาติ (บทความนี้จะไม่ให้ความเห็นถึงข้อเท็จจริงว่าด้วยท้าวสุรนารีในประวัติศาสตร์)
นอกจากนี้ ฝ่ายทหารได้เป็นกำลังสำคัญในการจัดงานประเพณีพิธีการอย่างมโหฬาร เช่น วันสำคัญทางศาสนา งานฉลองวัดวาอาราม วันฉลองรัฐธรรมนูญ วันชาติ วันเฉลิมพระชนมพรรษา วันปิยมหาราช เป็นต้น รวมทั้งการตักบาตรถวายพระสงฆ์ในเมืองนครราชสีมาทั้งคณะมหานิกายและคณะธรรมยุติประจำสัปดาห์ ร่วมกับฝ่ายมหาดไทย พลเรือน และประชาชน เพื่อสมานสามัคคีคณะสงฆ์ ทหาร พลเรือน ประชาชน ชาวนครราชสีมาให้เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ภายใต้ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และรัฐธรรมนูญ
ที่สำคัญได้มีการจัดการอบรมความรู้เรื่องระบอบรัฐธรรมนูญแก่นายทหาร นายสิบ เพื่อเผยแพร่แก่ทหารกองประจำการ (ทหารเกณฑ์) และสนับสนุนให้ทหารกองหนุนแข่งขันประกวดบทเรียงความว่าด้วยรัฐธรรมนูญ อีกทั้งยังได้ร่วมกับฝ่ายจังหวัดและกระทรวงธรรมการ พัฒนาสร้างโรงเรียนฝึกหัดครูสำหรับพระสงฆ์ เพือแก้ปัญหาการขาดแคลนครูในโรงเรียน และเสนอรัฐบาลขยายการศึกษาจนถึงชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 8 และยังได้พัฒนากิจการและหลักสูตรลูกเสือให้มีความทันสมัย ทัดเทียมส่วนกลาง และเสริมความรู้ทางทหารในการฝึก่อบรมลูกเสือ เพื่อเป็นเครื่องมือพัฒนายุวชนให้มีความสามารถช่วยเหลือประเทศชาติ และสร้างสำนึกรักชาติแก่ยุวชน
ทั้งหมดนี้คือภารกิจเพื่อสร้างขวัญกำลังใจแก่ชาวนครราชสีมาภายหลังเหตุการณ์กบฏบวรเดชให้เกิดความรับรู้ใหม่ว่าพวกเขาไม่ใช่ "กบฏ" และไม่ใช่ "เชลย" ผู้พ่ายแพ้ หากเป็น "พลเมือง" ผู้มีคุณค่า มีความพรักพร้อมอุทิศตนเพื่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และรัฐธรรมนูญ โดยที่คนจังหวัดอื่นมิอาจมองข้ามหรือดูหมิ่นได้ ด้วยคุณลักษณะของพระเริงรุกปัจจามิตรที่รู้จักท้องถิ่นนครราชสีมาเป็นเวลานาน และเป็นบุตรเขยตระกูลใหญ่โคราช จึงเป็นที่นับถือของชาวโคราชเป็นทุนเดิม
ภารกิจสำคัญครั้งสุดท้ายของพระเริงรุกปัจจามิตร คือการสำรวจภูมิประเทศภาคอีสานครั้งใหญ่ ไปเส้นทางชนบทอำเภอต่าง ๆ ในจังหวัดชัยภูมิ ขอนแก่น เลย อุดรธานี สกลนคร นครพนม อุบลราชธานี เพื่อให้เป็นประโยชน์แก่ราชการทหารทั้งด้านการเกณฑ์กำลังพล การข่าว ยุทธการ การช่วยรบ ฯลฯ และการสร้างสัมพันธ์กับข้าราชการพลเรือนในหัวเมือง ในการเดินทางครั้งนี้เต็มไปด้วยความลำบากตรากตรำ ฝ่าพายุฝนในบางครั้ง พักผ่อนไม่เพียงพอ จึงล้มป่วยด้วยโรคปอดบวมจนถึงแก่กรรมในเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2478 ท่ามกลางความอาลัยของคณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ กระทรวงกลาโหม คณะทหารมณฑลทหารบกที่ 3 ข้าราชการและประชาชนนครราชสีมา
เป็นที่น่าสนใจว่า พ.อ. พระเริงรุกปัจจามิตรผู้นี้นับเป็นผู้มีสมรรถนะรอบด้าน ทั้งทางทหารและการเมือง หากมีชีวิตยืนยาวกว่านี้ ผ่านกรณีกบฏ 18 ศพ สงครามโลกครั้งที่ 2 รัฐประหาร 2490 ฯลฯ พระเริงรุกปัจจามิตรอาจได้ขยายบทบาททางการทหารและการเมืองไปจนถึงระดับชาติก็เป็นได้
เอกสารอ้างอิง :
พฤตติการณ์อันดีของ นายพันเอก พระเริงรุกปัจจามิตร. เริงรุกกรณีย์ โดยคณะทหารมณฑลทหารบกที่ 3 พิมพ์อุทิศส่วนกุศล ในงานพระราชทานเพลิงศพ นายพันเอก พระเริงรุกปัจจามิตร ณ เมรุวัดมงกุฏกษัตริยาราม 24 พฤศจิกายน 2478
สุทิน เกษคุปต์, ระลึกถึงคุณอุดม บุญประกอบ. พิมพ์เป็นอนุสรณ์ในงานพระราชเพลิงศพ นายอุดม บุญประกอบ ณ เมรุวัดธาตุทอง จ.พระนคร วันพฤหัสบดีที่ 20 มีนาคม 2512
หนังสือในงานพระราชทานเพลิงศพ ขุนวิรุฬห์จรรยา ฌาปนสถานกองทัพบก วัดโสมนัสวิหาร วันอาทิตย์ที่ 18 เมษาย่น 2519
เหตุการณ์สมัยกลางระหว่างปี 2475-2479 กรมอากาศยานเกือบสลายตัว. อนุสรณ์งานพระราชทานเพลิงศพ จอมพลอากาศฟื้น รณนภากาศ ฤทธาคนี ม.ป.ช., ม.ว.ม., ท.จ.ว.. กองโรงพิมพ์กรมสารบรรณทหารอากาศ.
อนุสรณ์งานพระราชทานเพลิงศพ พลโท ชิต มั่นศิลป์ สินาดโยธารักษ์ ป.ช., ป.ม. ณ เมรุวัดมกุฏกษัตริยาราม 7 สิงหาคม 2532
ณัฐพล ใจจริง. กบฏบวรเดช: เบื้องแรกปฏิปักษ์ปฏิวัติสยาม 2475. มติชน, 2566