คนรักที่แต่งงานกันแล้วมักจะหาโอกาสในวันหยุดออกเดินทางท่องเที่ยวด้วยกันเพื่อฉลองการร่วมชีวิตคู่ หรือเรียกแบบถ้อยคำติดปากคนปัจจุบันว่าไป ‘ฮันนีมูน’ หรือดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์ เนื่องในวาระเทศกาลวันแห่งความรักของเดือนกุมภาพันธ์ ถ้าจะทดลองเอ่ยถึงลักษณะการเดินทางไปทัศนาจรด้วยกันของนายปรีดีและท่านผู้หญิงพูนศุข พนมยงค์อันเข้าเค้า ‘ฮันนีมูน’แล้ว ก็คงน่าสนใจไม่เบา ประกอบกับมีเกร็ดข้อมูลที่สามารถจะแจกแจงได้พอสมควร
นายปรีดีเข้าพิธีสมรสกับนางสาวพูนศุข ณ ป้อมเพชร์เมื่อวันศุกร์ที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2471 ใช่ว่าทั้งสองจะได้ไปท่องเที่ยวด้วยกันหลังแต่งงานทันที เนื่องจากสามีหนุ่มมิแคล้วติดพันภาระหน้าที่งานราชการ อาจควงคู่ไปชมภาพยนตร์บ้างในวันหยุด หรือแวะไปเยี่ยมเยือนพระนครศรีอยุธยาบ้านเกิดของนายปรีดี
จวบจนเดือนเมษายน พ.ศ. 2472 ในช่วงที่ข้าราชการกระทรวงยุติธรรมได้หยุดพักผ่อนหนึ่งเดือน นายปรีดีและภรรยาจึงสบโอกาสไปทัศนาจรด้วยกันตามประสาผู้เพิ่งเคียงครองชีวิตคู่หมาดใหม่หรือ ‘ฮันนีมูน’ ดังท่านผู้หญิงพูนศุข พนมยงค์เปิดเผยไว้ในข้อเขียน “ชีวิต ๘๔ ปี เท่าที่จําได้” ตอนหนึ่งว่า
“...ภายหลังแต่งงานเราได้ไปเที่ยวชายทะเลแถบตะวันออก โดยเรือภาณุรังษี ออกจากกรุงเทพฯ เที่ยงวันเสาร์แวะระยอง จันทบุรี เข้าเขตกัมพูชา แวะเมืองเรียม เมืองเด๊ป และเมืองซาเตียนซึ่งขึ้นกับเวียดนาม เรือเทียบท่าเฉพาะจันทบุรีและเมืองเรียม ใช้เวลา ๖ วัน ถึงกรุงเทพฯ เช้าวันพฤหัสบดี เสียค่าโดยสารคนละ ๖๐ บาท นับว่าเป็นการท่องเที่ยวที่คุ้มค่า เพราะได้อากาศทะเล อาหารดีทั้งไทยและฝรั่ง”
นายปรีดีและนางพูนศุขโดยสารเรือภาณุรังษีออกจากท่าเรืออีสต์เอเชียติกบริเวณวัดพระยาไกรตอนเที่ยงของวันเสาร์ แล่นล่องแม่น้ำเจ้าพระยาไปสู่อ่าวไทย และแล่นเลียบชายฝั่งตะวันออกไปเรื่อย ๆ ให้ผู้โดยสารดื่มด่ำบรรยากาศท้องทะเล อาศัยเวลาประมาณ 18 -24 ชั่วโมงจึงเทียบท่าเรือเมืองจันทบุรี เรือลำนี้ยังแล่นเข้าไปในเขตกัมพูชา แวะจอดที่เรียม (Ream) เมืองท่าสำคัญของเขมร ปัจจุบันเป็นฐานทัพเรือเรียม (Ream Naval Base) ในจังหวัดสีหนุวิลล์ (Sihanoukville) ส่วนเมืองเด๊ปที่ท่านผู้หญิงพาดพิง ผมคิดว่าน่าจะหมายถึงเมืองแกบ (Kep) หรือแก็ป ซูร์ แมร์ (Kep-Sur-Mer) เมืองตากอากาศสมัยอาณานิคมฝรั่งเศสเสียมากกว่า ขณะที่เมืองซาเตียนในเขตเวียดนามติดกับพรมแดนกัมพูชา คงหมายถึงเมืองฮาเตียน (Ha Tien) หรือเมืองพุทไธมาศ (บันทายมาศ) ตามที่เรียกขานในเอกสารเก่า ๆ ของไทยสมัยกรุงศรีอยุธยา เรือภาณุรังษีแล่นเลียบชายฝั่งย้อนเข้ามาถึงกรุงเทพมหานครตอนเช้าวันพฤหัสบดี เป็นอันจบการทัศนาจรในลักษณะเที่ยวตากอากาศทางทะเลอ่าวไทยชายฝั่งตะวันออกโดยเรือเมล์ ใช้ทั้งสิ้นเวลา 6 วัน ราคาค่าโดยสารคนละ 60 บาท ซึ่งจะว่าไปหาใช่เงินจำนวนน้อย ๆ ถ้าเทียบอัตราค่าเงินยุคนั้น แต่ท่านผู้หญิงพูนศุขมองว่าคุ้มค่า เพราะบนเรือยังจัดเลี้ยงอาหารเลิศรสทั้งตำรับไทยและตำรับฝรั่ง
เรือภาณุรังษี (Bhanurangsi) เป็นเรือสังกัดบริษัท เรือไฟไทย จำกัด (The Siam Stream Navigation Co., Ltd: SSNC) ซึ่งอยู่ในเครือบริษัทอีสต์เอเชียติก (East Asiatic Company) กิจการสัญชาติเดนมาร์ก ชื่อเรือตั้งมาจากพระนามสมเด็จเจ้าฟ้าภาณุรังษีสว่างวงศ์ กรมพระยาภาณุพันธุวงศ์วรเดช พระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 (เรือกลไฟของบริษัท เรือไฟไทย มักตั้งชื่อตามพระนามเจ้านายสยาม เช่น เรืออัษฎางค์ มาจากพระนามสมเด็จเจ้าฟ้าอัษฎางค์เดชาวุธ กรมหลวงนครราชสีมา และเรือบริพัตร มาจากพระนามสมเด็จเจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต เป็นต้น)
เรือภาณุรังษีสร้างขึ้นที่เดนมาร์กเมื่อปี ค.ศ. 1927 (ตรงกับ พ.ศ. 2470) มีระวางประมาณ 685 ตัน เสร็จสิ้นแล้วจึงนำเข้ามาใช้งานในเมืองไทย นั่นแสดงว่าตอนปรีดีกับพูนศุขโดยสารเรือลำนี้เที่ยวชมชายทะเลฝั่งตะวันออกเมื่อเดือนเมษายน พ.ศ. 2472 (ตรงกับ ค.ศ. 1929) ก็ถือเป็นเรือลำใหม่เอี่ยมอ่องทีเดียว
ภายหลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 ห้วงยามสถานการณ์ยังไม่สงบราบรื่นเท่าไหร่ พระบรมวงศานุวงศ์ฝ่ายในหลายพระองค์ได้เสด็จพระราชดำเนินโดยเรือภาณุรังษีออกจากพระนครเพื่อไปประทับ ณ ตำหนักเขาน้อยจังหวัดสงขลา
ปลายทศวรรษ 2470 การทัศนาจรทางทะเลด้วยการโดยสารเรือภาณุรังษียังได้รับความนิยมมิเสื่อมคลาย ปรากฏโฆษณาของบริษัทเรือไฟไทยเสมอ ๆ ผ่านหน้าหนังสือพิมพ์ ประชาชาติ เฉกเช่น ในหนังสือพิมพ์ ปีที่ 2 ฉะบับที่ 352 ประจำวันเสาร์ที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2476 ให้รายละเอียดว่า
“การพักผ่อนเพื่อความสุขและอนามัยของท่าน ตามระยะทางฝั่งทะเลอันสวยงามของจังหวัดจันทบุรี ในระหว่างที่คลื่นลมเปนปกติ ซึ่งเริ่มแต่พฤศจิกายน ๗๖ ถึงพฤษภาคม ๗๗ โดยเรือโดยสานที่ทันสมัย เรือยนตร์ “ภาณุรังษี” และเรือกลไฟ “นิภา”
การไปและกลับภายในระยะ 5 วัน ออกจากรุงเทพฯ ในวันพุธและวันเสาร์เที่ยงวัน กลับถึงกรุงเทพฯ ในวันจันทร์และวันพฤหัส ก.ท.
การไปและกลับในปลายสัปดาห์ ออกจากรุงเทพฯ วันเสาร์ เที่ยงวัน กลับถึงกรุงเทพฯ วันจันทร์ ก่อนเที่ยง
ค่าโดยสานชั้นที่ 1 คนละ 20 บาท ไม่รวมค่าอาหาร อาหารจีน ฝรั่ง ได้จัดทำบนเรือเปนพิเศษ และขายโดยราคาอันย่อมเยาว์....”
สังเกตดูจะพบว่า ราคาค่าโดยสารลดลงมาจากตอนที่ปรีดีกับพูนศุขล่องเรือเมื่อต้นปี พ.ศ. 2472 ถึง 40 บาท บางที อาจเพราะยังไม่รวมค่าอาหารก็เป็นได้
ด้านหนังสือพิมพ์ ปีที่ 2 ฉะบับที่ 376 ประจำวันจันทร์ที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2476 (หากนับเทียบศักราชแบบปัจจุบันจะตรงกับ 1 มกราคม พ.ศ. 2477) กล่าวถึงเรือภาณุรังษีในฐานะเรือเดินเมล์ฝั่งตะวันออกไปจันทบุรีและเขมรว่า “ออกทุกวันเสาร์เวลาเที่ยง ไปเกาะสีชัง ศรีราชา, บ้านนาเกลือ, ระยอง, จันทบุรี, เกาะกง, เรียม และท่าอื่น ๆ” ทั้งโปรยถ้อยคำเชิญชวนทำนอง “เปนเรือสายที่เหมาะที่สุดสำหรับการเที่ยวตากอากาศทางทะเลเพื่ออนามัยของท่าน จะเที่ยวไปในเรือหรือจะพักบนฝั่งขึ้นเที่ยวบนบกด้วยก็ได้ทั้งสองประการ”
การท่องเที่ยวทางทะเลฝั่งตะวันออก ไม่ว่าจะไปตากอากาศเพื่อพักผ่อนหย่อนใจหรือเพื่อสุขภาพอนามัย อันที่จริงคือค่านิยมที่ชนชั้นนำสยามได้รับอิทธิพลจากวัฒนธรรมตะวันตกมาตั้งแต่สมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระสมมตอมรพันธุ์ได้ถ่ายทอดเป็นพระนิพนธ์เรื่อง เที่ยวทะเลตะวันออก แนะนำสถานที่ท่องเที่ยวต่าง ๆ ตั้งแต่เมืองชลบุรีไปจนเมืองประจันตคีรีเขตรหรือเกาะกง ขณะที่พระนิพนธ์ในสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพเรื่อง อธิบายถึงเรื่องเที่ยว เสนอประโยชน์ของการท่องเที่ยวว่ามิเพียงทำให้แลเห็นภูมิประเทศหลากหลายเท่านั้น แต่ยังส่งผลดียิ่งต่อสุขภาพพลานามัย
ประมาณปี พ.ศ. 2479 เจอข้อมูลว่าเรือภาณุรังษีได้แล่นลำกลางทะเลอ่าวไทยไปทางภาคใต้ด้วยอีกสายหนึ่ง สวมบทบาทในฐานะเรือขนส่งสินค้าพร้อมบรรทุกผู้โดยสารระหว่างไทยกับสิงคโปร์ และแวะจอดรับคนตามท่าเรือหัวเมืองปักษ์ใต้รายทางย้อนขึ้นมาพระนคร
ในทศวรรษ 2490 เรือภาณุรังษีมีส่วนในการอัญเชิญพระบรมอัฐิพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 หวนคืนสู่ประเทศไทยเมื่อปี พ.ศ. 2492 กล่าวคือ ครั้นเรือวิลเล็มไรซ์ (Willem Ruys) เดินทางออกจากท่าเรือเซาท์แธมป์ตัน ประเทศอังกฤษมาถึงสิงคโปร์ในวันที่ 18 พฤษภาคม ทางรัฐบาลไทยได้ส่งเรือภาณุรังษีไปอัญเชิญพระบรมอัฐิเดินทางต่อมาถึงเกาะสีชังในวันที่ 24 พฤษภาคม จากนั้นจึงอัญเชิญพระบรมอัฐิจากกล่องหินอ่อนลงบรรจุในพระโกศทองคำเดินทางมากับเรือรบหลวงแม่กลองแล่นลำสู่กรุงเทพมหานคร
วกไปที่ข้อเขียนบันทึกความทรงจำของท่านผู้หญิงพูนศุข ซึ่งบอกเล่าเสริมอีกว่าในปีถัด ๆ มา ท่านกับนายปรีดีได้เดินทางทัศนาจรไปไกลถึงสงขลาและเลยพ้นไปจนถึงเกาะปีนัง นับเป็นการไปต่างประเทศครั้งแรกของท่านเอง และบางปีถัดมา ท่านกับนายปรีดีก็ได้ไปเช่าบังกะโลราคาวันละสี่บาทเพื่อพักผ่อนตากอากาศที่หัวหิน
แม้ดูเหมือนเป็นการเดินทางไปท่องเที่ยว ‘ฮันนีมูน’ ของนายปรีดีและท่านผู้หญิงพูนศุขในวัยหนุ่มสาวแห่งวันวานเพื่อกระชับความรักหวานชื่นแน่นแฟ้น ทว่าการโดยสารเรือภาณุรังษีทัศนาจรทางทะเลอ่าวไทยชายฝั่งตะวันออก ทั้งสองย่อมประสบพบเห็นความเป็นอยู่และวิถีชีวิตของประชาชนตามหัวเมืองต่าง ๆ ไม่น้อย ขณะเดียวกันก็สัมผัสคลุกคลีกับผู้โดยสารผู้มีอันจะกินบนเรือ ภาพเหล่านี้ไม่เพียงเปิดโลกทัศน์ให้กว้างขวาง แต่อาจบันดาลให้สามีหนุ่มและภรรยาสาวตระหนักเข้าใจสภาพสังคมจนก่อเกิดปณิธานและความปรารถนาจะช่วยกันเปลี่ยนแปลงเมืองไทยให้เจริญวัฒนาก็เป็นได้
เอกสารอ้างอิง
- ประชาชาติ. ปีที่ 2 ฉะบับที่ 352 (2 ธันวาคม 2476)
- ประชาชาติ. ปีที่ 2 ฉะบับที่ 376 (1 มกราคม 2476)
- พูนศุข พนมยงค์, ท่านผู้หญิง. “ชีวิต ๘๔ ปี เท่าที่จําได้” ใน ไม่ขอรับเกียรติยศใดๆ ทั้งสิ้น ๙๕ ปี ๔ เดือน ๙ วัน พูนศุข พนมยงค์. บรรณาธิการ วาณี พนมยงค์-สายประดิษฐ์. กรุงเทพฯ: ตถาตาพับลิเคชั่น, 2551.
- ภราดร ศักดา. เมืองสามสมุทร. กรุงเทพฯ: แสงดาว, 2561
- ภาณุพันธุ์วงศ์วรเดช, สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้า กรมพระยา, ดำรงราชานุภาพ, สมเด็จฯ กรมพระยา, สมมตอมรพันธุ์, กรมพระ. อธิบายถึงเรื่องเที่ยว ทะเลตะวันออก เที่ยวมณฑลเพชรบูรณ์ เที่ยวน้ำตกเจ้าอนัมก๊กที่เกาะกูด เที่ยวไทรโยค. กรุงเทพฯ: องค์การค้าของคุรุสภา, 2504
- ราชเลขาธิการ, สำนัก. พระราชประวัติสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินีในรัชกาลที่ ๗. ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พิมพ์พระราชทานในงานพระบรมศพ 9 เมษายน 2528. กรุงเทพฯ: อัมรินทร์พริ้นติ้งกรุ้พ, 2531
- คู่ชีวิต ปรีดี-พูนศุข พนมยงค์
- ปรีดี พนมยงค์
- พูนศุข พนมยงค์
- อาชญาสิทธิ์ ศรีสุวรรณ
- ปรีดี-พูนศุข
- ชีวิต ๘๔ ปี เท่าที่จําได้
- เรือภาณุรังษี
- ท่าเรืออีสต์เอเชียติก
- วัดพระยาไกร
- สีหนุวิลล์
- เมืองฮาเตียน
- แก็ป ซูร์ แมร์
- สมเด็จเจ้าฟ้าภาณุรังษีสว่างวงศ์
- เรืออัษฎางค์
- เรือบริพัตร
- เรือกลไฟนิภา
- เมืองสามสมุทร
- ตำหนักเขาน้อยจังหวัดสงขลา
- หนังสือพิมพ์ ประชาชาติ
- เที่ยวทะเลตะวันออก
- สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระสมมตอมรพันธุ์
- อธิบายถึงเรื่องเที่ยว
- สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ
- พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว
- เรือรบหลวงแม่กลอง