Focus
- นายปรีดี พนมยงค์ เคยเดินทางเข้าลาวตั้งแต่ช่วงดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ (พ.ศ. 2479) โดยข้ามฝั่งจากหนองคายไปเวียงจันทน์ และล่องเรือในแม่น้ำโขงเพื่อตรวจเยี่ยมพื้นที่ หากภายหลังการรัฐประหาร พ.ศ. 2490 ซึ่งทำให้เขาต้องลี้ภัยทางการเมือง ข่าวเกี่ยวกับความเป็นไปได้ที่เขาจะเคลื่อนไหวในลาวสร้างความกังวลให้รัฐบาลไทย
- พลจัตวาสมัย แววประเสริฐดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตไทย ณ เวียงจันทน์ ได้รับนโยบายจากจอมพล ป. พิบูลสงคราม ให้ลดอิทธิพลต่างชาติในลาว ส่วนท้าวกระต่าย รองนายกรัฐมนตรีลาว และแกนนำขบวน “ลาวอิสระ มีบทบาทในการติดต่อกับจีนและเคยพบกับนายปรีดีที่เมืองกวางตุ้ง
- ช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ไทยได้สถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตกับลาวและมีการตั้งสถานเอกอัครราชทูตที่เวียงจันทน์ และขณะที่สงครามเย็นทวีความเข้มข้น ไทยได้พยายามจำกัดอิทธิพลของจีนในลาว และจับตามองความเคลื่อนไหวของนายปรีดีอย่างใกล้ชิด มีการปล่อยข่าวเท็จว่าจีน “เลี้ยง” นายปรีดีไว้เพื่อสร้างความวุ่นวายในไทย และกำลังจะเดินทางไปลาว แต่แท้จริงจีนให้นายปรีดีอาศัยเพราะชอบพอกันเท่านั้น และเหตุผลที่นายปรีดีเลือกจะลี้ภัยเพราะกลัวจะถูก “อุ้มฆ่า” แบบ 4 รัฐมนตรีที่ถูกรัฐบาลสั่งเก็บไป
แอ๊ด คาราบาว หรือ ยืนยง โอภากุล เคยขับขานบทเพลงหนึ่งว่า “อยากจะไปเมืองลาว ไปหาท้าวคำแปง อยู่ที่เมืองปากแบง แขวงอุดมไซ...”
เมื่อช่วงใกล้ ๆ วันสิ้นปี พ.ศ. 2567 ที่ผ่านมา ผมเองสบโอกาสได้ล่องเรือในลำน้ำโขง โดยเริ่มขึ้นเรือที่เมืองห้วยทรายตอนเช้าวันอาทิตย์ที่ 29 ธันวาคม แล้วไปหยุดพักค้างแรมที่เมืองปากแบงหนึ่งคืน ก่อนที่เช้าวันจันทร์ที่ 30 ธันวาคม จะขึ้นเรือล่องจากเมืองปากแบงไปยังเมืองหลวงพระบาง
ในระหว่างที่กำลังทอดอารมณ์อยู่บนเรือนั้น ผมหวนครุ่นคำนึงว่า นายปรีดี พนมยงค์ เคยล่องเรือในลำน้ำโขงและเดินทางเข้ามาในเขตประเทศลาวบ้างหรือไม่ แล้วก็พลันนึกขึ้นมาได้ ใช่สิ นายปรีดี เคยล่องเรือในลำน้ำโขงสมัยที่เขาดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศในรัฐบาลพระยาพหลพลพยุหเสนา ซึ่งได้รับแต่งตั้งเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2478 (หากนับเทียบศักราชแบบปัจจุบันจะตรงกับเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2479)
กระทั่งช่วงปลายเดือนมกราคมถึงต้นเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2479 (หากนับเทียบศักราชแบบปัจจุบันจะตรงกับเดือนมกราคมและเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2480) รัฐมนตรีปรีดีและคณะได้เดินทางไปตรวจเยี่ยมจังหวัดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือหรือดินแดนอีสานบริเวณชายฝั่งแม่น้ำโขง อีกทั้งยังข้ามฟากไปเยือนฝั่งหัวเมืองลาวที่อยู่ภายใต้การปกครองของฝรั่งเศสด้วย

พระอนุรักษ์ภูเบศร์ (เต็ม บุณยรัตพันธุ์)
ที่มา: หนังสือเจ้านายและข้าราชการกราบบังคมทูลความเห็นจัดการเปลี่ยนแปลงราชการแผ่นดิน ร.ศ.103
บ่ายวันพุธที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2479 นายปรีดี หรือ หลวงประดิษฐ์มนูธรรม หลวงโกวิทอภัยวงศ์ (ควง อภัยวงศ์) รัฐมนตรีลอยและอธิบดีกรมไปรษณีย์โทรเลข พระพหิทธานุกร (ส่วน นวราช) อธิบดีกรมการเมือง พระอนุรักษ์ภูเบศร์ (เต็ม บุณยรัตพันธุ์) หัวหน้ากองการต่างประเทศ พร้อมด้วยข้าราชการในกระทรวงการต่างประเทศและกระทรวงมหาดไทย ได้เดินทางโดยรถยนต์มาถึงจังหวัดหนองคาย แล้วเข้าพักผ่อน ณ จวนข้าหลวงประจำจังหวัด โดยมีข้าราชการ สมาชิกสภาจังหวัดและสภาเมือง นายกมนตรีและมนตรีเทศบาลเมืองมาคอยต้อนรับ จากนั้นคณะของนายปรีดีจะไปเยี่ยมดูโรงเรียนกสิกรรม ดูการปลูกยาสูบในดอนยาด และดูเครื่องมือจับสัตว์น้ำในลำแม่น้ำโขงชนิดต่าง ๆ และดื่มน้ำชาที่โรงเรียน ก่อนที่จะกลับมายังจวนข้าหลวง
เช้าวันพฤหัสบดีที่ 28 มกราคม รัฐมนตรีปรีดีและคณะ พร้อมด้วยข้าหลวงประจำจังหวัดหนองคายได้ล่องเรือข้ามฟากลำน้ำโขงไปยังบ้านท่าเดื่อ เพื่อเดินทางต่อสู่เมืองเวียงจันทน์ตามคำเชิญของเรสิดังต์ สุเปริเออร์ (Résidence Supérieure) ข้าหลวงใหญ่หรือผู้สำเร็จราชการของที่นั่น ซึ่ง เมอซิเออร์ปาริโซ รั้งตำแหน่งเรสิดังต์ เดอ ฟรังส์ (Résidence de France) ได้นำคณะจากฝั่งไทยตระเวนเที่ยวชมเมืองเวียงจันทน์ ก่อนที่ตอนบ่ายเวลา 15.00 น. จะมาส่งลงเรือที่บ้านท่าเดื่อเพื่อกลับมายังจังหวัดหนองคาย

ปรีดี พนมยงค์ นมัสการพระธาตุพนม เมื่อ พ.ศ. 2477
ภาพจากเฟซบุ๊ก สหพันธ์ศิษย์ วัดพระธาตุพนม
ถัดมาในวันศุกร์ที่ 29 มกราคม ซึ่งถือเป็นวันสำคัญ เพราะตั้งแต่เวลา 8.00 น. รัฐมนตรีปรีดีและคณะพร้อมด้วยข้าหลวงประจำจังหวัดหนองคายได้ล่องเรือในลำน้ำโขงจากจังหวัดหนองคายไปยังจังหวัดนครพนม เพื่อตรวจเยี่ยมและนมัสการพระธาตุพนม มหาเจดีย์ศักดิ์สิทธิ์ประจำเมือง ซึ่ง นายปรีดี ก็เคยมานมัสการเมื่อปี พ.ศ. 2477 แล้ว
เป็นอันว่า นายปรีดี ทั้งเคยล่องเรือในลำน้ำโขงและเคยข้ามฝั่งเข้าไปเยือนประเทศลาวตั้งแต่เมื่อช่วงปลายทศวรรษ 2470 และต้นทศวรรษ 2480
การเดินทางเข้าไปในลาวของ นายปรีดี ในฐานะรัฐมนตรีจากฝ่ายรัฐบาลไทย ก็คงจะเป็นเรื่องปกติธรรมดา เพราะถือเป็นการปฏิบัติภารกิจของประเทศชาติ
ทว่าต่อมาภายหลังเหตุการณ์รัฐประหาร พ.ศ. 2490 ซึ่งกลุ่มทหารยึดอำนาจจากรัฐบาลฝ่ายประชาธิปไตยคือรัฐบาลของพลเรือตรีถวัลย์ ธํารงนาวาสวัสดิ์ ตั้งแต่กลางดึกวันศุกร์ที่ 7 พฤศจิกายนต่อเนื่องจนเช้าวันเสาร์ที่ 8 พฤศจิกายน อันถือเป็นจุดเริ่มต้นของระบอบเผด็จการอันเลวร้ายในเมืองไทย และ นายปรีดี ต้องกลายเป็นผู้ลี้ภัยทางการเมืองในต่างประเทศ โดยเฉพาะตอนที่เขาพำนักอยู่ในประเทศจีนนั้น การปรากฏข่าวคราวว่า นายปรีดี จะเดินทางเข้าไปในลาว ได้สร้างความวิตกกังวลอย่างยิ่งให้กับทางรัฐบาลไทย

ท้าวกระต่าย โดนสโสฤทธิ์
ดังช่วงปลายปี พ.ศ. 2499 ในสมัยรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม ทางเมืองไทยได้ยินข่าวลือว่า นายปรีดี มีความพยายามจะเดินทางเข้าไปเคลื่อนไหวในเมืองลาว ซึ่งเรื่องราวนี้ยังไปเกี่ยวข้องกับบุคคลอีกสองราย ได้แก่ พลจัตวาสมัย แววประเสริฐ (ยศขณะนั้น) เอกอัครราชทูตไทยประจำประเทศลาว และ ท้าวกระต่าย โดนสโสฤทธิ์ รองนายกรัฐมนตรีของประเทศลาว

พลจัตวาสมัย แววประเสริฐ
ที่มา: สถานเอกอัคราชทูต ณ เวียงจันทร์

นายวิกรม นินนาท
ที่มา: สถานเอกอัคราชทูต ณ เวียงจันทน์
ควรกล่าวด้วยว่า ภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลง และช่วงต้นทศวรรษ 2490 ประเทศไทยได้สถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตกับประเทศลาว ในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2493 กระทรวงการต่างประเทศของไทยมอบหมายให้อุปทูตไทย ณ ไซง่อน ทาบทามผู้แทนลาวประจำไซง่อนเพื่อที่จะขอจัดตั้งสถานกงสุลไทย ณ กรุงเวียงจันทน์ ต่อมาในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2494 ทางลาวให้ความเห็นชอบและยินดีที่ทางไทยจะส่งผู้แทนไปประจำ ณ กรุงเวียงจันทน์ ซึ่งทางไทยได้แต่งตั้ง นายวิกรม นินนาท เป็นรองกงสุลรักษาราชการสถานกงสุล และให้เดินทางไปปฏิบัติหน้าที่ประจำกรุงเวียงจันทน์พร้อมกับ นายสงวน รุจิเทศ
นายวิกรม ได้จัดหาบ้านเช่าของเอกชนเพื่อเปิดเป็นที่ทำการสถานกงสุลและจ้างชาวลาว 2 คนให้มาเป็นเสมียนคอยติดต่อประสานงาน และเป็นผู้ดูแลสถานกงสุล ขณะเดียวกัน กระทรวงการต่างประเทศของไทยก็พยายามหาซื้อที่ดินเพื่อก่อสร้างอาคารที่ทำการและบ้านพักข้าราชการ แต่ยังหาทำเลอันเหมาะสมไม่ได้สักที
ล่วงมาถึงช่วงปลายทศวรรษ 2490 สถานกงสุลไทยประจำกรุงเวียงจันทน์ได้รับการยกฐานะขึ้นให้เป็นสถานอัครราชทูตและเป็นสถานเอกอัครราชทูตตามลำดับ
เริ่มจากเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2496 พลจัตวาสมัย แววประเสริฐ ได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งอัครราชทูตประจำสถานอัครราชทูตไทย ณ กรุงเวียงจันทน์ ต่อมาในปี พ.ศ. 2498 มีการยกฐานะให้เป็นสถานเอกอัครราชทูต พลจัตวาสมัย จึงได้ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตด้วย ดังที่เจ้าตัวบอกเล่าถึงการปฏิบัติหน้าที่ของตนว่า
“ในต้นเดือนมิถุนายน พ.ศ. ๒๔๙๖ ก่อนที่ผมจะเดินทางไปประจำสถานทูตไทย ณ กรุงเวียงจันทน์ ได้มีคำสั่งจากกระทรวงการต่างประเทศให้ผมไปพบ ฯพณฯ จอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรีที่ทำเนียบรัฐบาลเพื่อรับนโยบาย จอมพล ป. พิบูลสงคราม ได้มอบนโยบายให้ผมนั้นมีความสำคัญอยู่ ๔ เรื่องด้วยกัน หนึ่งใน ๔ เรื่องที่ผมถือว่าเป็นเรื่องสำคัญที่สุดก็คือ เพื่อเป็นการร่วมมือและสนับสนุนลาว เราจะต้องพยายามทำลายอิทธิพลต่างชาติให้หมดไปในเมืองลาว เมื่อหมดเรื่องการรับนโบายจาก ฯพณฯ จอมพล ป. พิบูลสงคราม แล้ว ผมก็กราบลาท่านกลับบ้านและเตรียมการที่จะเดินทางไปรับตำแหน่งในประเทศลาว สำหรับกระทรวงการต่างประเทศนั้นมิได้มีการสั่งการหรือมอบหมายนโยบายอย่างใดทั้งสิ้นกับผมเลย
เมื่อผมได้เดินทางไปถึงเมืองลาวแล้ว ผมก็ได้พยายามครุ่นคิดถึงนโยบายที่ได้รับมอบหมายมาอยู่ตลอดเวลา และวางแผนการที่จะดำเนินการตลอดจนขั้นตอนในการปฏิบัติอย่างใด ผมได้กำหนดไว้ในใจที่จะดำเนินการไปพร้อม ๆ กันทั้งการเมือง การทหาร การเศรษฐกิจและการสังคม ซึ่งผมจะได้เรียนให้ทราบเป็นเรื่อง ๆ ไป และในโอกาสเดียวกันนี้ก็ค่อยขอเรียนว่า ผมได้ไปอยู่เมืองลาวตั้งแต่มิถุนายน ๒๔๙๖ และได้คลิปมาบันทึกและเขียนเรื่องราวในเหตุการณ์นี้เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๒๙ รวมเวลาที่ผ่านมาแล้วประมาณ ๓๓ ปี ทั้งนี้ความทรงจำในรายละเอียดของเรื่องอาจมีการหลงลืมไปบ้าง ดังนั้น ความเข้มข้นของเรื่องอาจขาดรสชาติไปบ้างเป็นธรรมดา
แผนการทำลายอิทธิพลของต่างชาติให้หมดไปในลาวนั้น ผมตั้งความคิดไว้ว่า ก่อนอื่นจะต้องหาวิธีการทุกอย่างที่ทำให้คนลาวเห็นว่าต่างชาตินั้นไม่มีความสำคัญโดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับคนลาว สาเหตุที่คนลาวถือว่าต่างชาติมีความสำคัญของพวกเขา เพราะชาวต่างชาติได้ปกครองลาวมาประมาณ ๗๐ ปี ลาวได้ถูกต่างชาติปกครองมาในลักษณะลาวเป็นเมืองขึ้น ทำให้คนลาวจึงทั้งกลัวและเกรงชาวต่างชาติตลอดมา เราจึงต้องหาวิธีการดังกล่าวคือต้องหาทางให้คนลาวเห็นว่า ชาวต่างชาตินั้นไม่มีความสำคัญสำหรับพวกเขาแต่ประการใด”
พลจัตวาสมัย ยังมีบทบาทสำคัญในการพยายามเจรจาขอซื้อที่ดินหลายแห่งเพื่อสร้างอาคารสถานเอกอัครราชทูต แค่ติดขัดตรงที่ปัญหาการเวนคืนที่ดินของราษฎรลาว จนกระทั่งในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2499 พลจัตวาสมัย ได้ตกลงซื้อที่ดินของ นายบง สุวรรณวงศ์ ประมาณสามไร่กว่าเกือบสี่ไร่ริมถนน De Lattre de Tassigny ในราคา 714,286 กีบ หรือคิดเป็นเงินไทยในขณะนั้นคือประมาณ 200,000 บาท แล้วจึงก่อสร้างอาคารคอนกรีตเสริมเหล็ก 2 ชั้นทรงไทยหลายเพื่อใช้เป็นทำเนียบของเอกอัครราชทูต ที่ทำการของสถานเอกอัครราชทูต เรือนรับรองของสถานเอกอัครราชทูตและอาคารที่พักของลูกจ้างท้องถิ่น โดยนำอุปกรณ์และวัสดุก่อสร้างส่วนใหญ่มาจากฝั่งไทย ซึ่งการก่อสร้างแล้วเสร็จในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2500

พระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหมื่นนราธิปพงศ์ประพันธ์
ช่วงปลายปี พ.ศ. 2499 พลจัตวาสมัย ยังมีบทบาทในการเป็นหูเป็นตาให้กับรัฐบาลไทยเพื่อที่จะรายงานความเคลื่อนไหวทางการเมืองของผู้ลี้ภัยชาวไทยในต่างแดน ดังในวันที่ 10 กันยายน เมื่อ พลจัตวาสมัย ได้เข้าพบ ท้าวกระต่าย รองนายกรัฐมนตรีของลาว และสนทนากันถึงเรื่องที่ ท้าวกระต่าย เพิ่งเดินทางไปเยือนประเทศจีน แล้วพบกับ นายปรีดี พนมยงค์ ที่เมืองกวางตุ้ง เขาก็รีบส่งหนังสือรายงานมายังรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของไทยขณะนั้นคือ พระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหมื่นนราธิปพงศ์ประพันธ์ ความว่า
“ข้าพระพุทธเจ้าได้ถามท้าวกระต่าย ว่าได้มีการตกลงกับจีนแดงในเรื่องการช่วยเหลืออย่างใดหรือไม่ ท้าวกระต่ายตอบว่า ไม่ได้มีการตกลงอย่างใด เป็นแต่นายจูเอนไล แจ้งแก่ผู้แทนคณะทูตที่เข้าพบ ซึ่งมีเจ้าสุวันภูมา ท้าวกระต่าย และท้าวเลื่อม อินศรีเชียงใหม่ รัฐมนตรีว่าการคลังและเศรษฐกิจว่า หากทางประเทศลาวจะให้ประเทศจีนช่วยเหลืออย่างใด ทางประเทศจีนก็ยินดีที่จะช่วยเหลือและให้ความร่วมมือ ท้าวกระต่ายกล่าวว่า ทางเราได้ตอบนายจูเอนไลว่า ขณะนี้ประเทศลาวก็ได้รับการช่วยเหลือจากอเมริกา ฝรั่งเศส และตามแผนการโคลัมโบอยู่แล้ว และการช่วยเหลือดังกล่าวก็ไม่มีข้อผูกพันอย่างใด และได้แจ้งให้นายจูเอนไลทราบว่า ทางรัฐบาลลาวจะได้วางแผนการบูรณะประเทศตามโครงการ ๕ ปี หากมีอะไรจะขอความช่วยเหลือจากประเทศจีนก็จะขอความช่วยเหลือมาทางรัฐบาลจีน ข้าพระพุทธเจ้าได้ถามท้าวกระต่ายว่า รัฐบาลลาวมีแผนการที่จะขอความช่วยเหลือจากจีนแดงทางด้านใดบ้าง ท้าวกระต่ายตอบว่า ขณะนี้ยังไม่มีแผนการอย่างใด ข้าพระพุทธเจ้าได้ถามท้าวกระต่ายต่อไปว่า เมื่อใดทางรัฐบาลจีนแดงจะส่งคณะทูตมาเยี่ยมตอบ ท้าวกระต่ายตอบว่า ไม่ได้มีการตกลงกัน แต่ถ้าเขาแจ้งความจำนงค์มา ก็จำเป็นจะต้องรับเขาด้วยอัธยาศัยไมตรี ข้าพระพุทธเจ้าได้ถามท้าวกระต่ายอีกว่า มีข่าวว่าทางจีนแดงจะส่งผู้เชี่ยวชาญทางเศรษฐกิจมาสังเกตการณ์ในลาวนั้นเป็นความจริงหรือไม่ ท้าวกระต่ายตอบว่า ไม่เป็นความจริง นายจูเอนไลได้บอกว่า ทางประเทศจีนก็ขาดแคลนผู้เชี่ยวชาญอยู่มาก หลังจากญี่ปุ่นได้ถอนตัวไปจากประเทศจีนแล้ว ทางรัฐบาลจีนต้องปฏิบัติงานด้วยตัวเองทั้งสิ้น จึงทำให้ประเทศจีนมีคนไม่ค่อยพอกับงาน ข้าพระพุทธเจ้าได้ถามถึงเรื่องนายปรีดี พนมยงค์ ท้าวกระต่ายแจ้งว่าได้พบกันที่เมืองกวางตุ้ง โดยนายปรีดีได้พาภริยามารักษาตัวเกี่ยวกับโรครูมาติสซั่ม เพราะที่เมืองกวางตุ้งมีบ่อน้ำร้อน ตามปกตินายปรีดีและภริยาพักอยู่ที่ปักกิ่ง ท้าวกระต่ายได้ถามนายปรีดีว่า เมื่อใดจะกลับประเทศไทย นายปรีดีกล่าวว่า อยากจะกลับเหมือนกัน แต่ไม่ไว้ใจรัฐบาลไทย กลัวจะไม่ซื่อต่อเขา เฉพาะอย่างยิ่งกลัวการยิงทิ้ง (เจ้าสุวรรณภูมาบอกข้าพระพุทธเจ้าว่า นายปรีดีไม่อยากกลับประเทศไทย รายงานของสถานเอกอัครราชทูตที่ กต. ๔๙๐/๒๔๙๙ ลงวันที่ ๔ กันยายน ๒๔๙๙) ท้าวกระต่ายได้ถามนายปรีดีถึงเรื่องนายเตียง ศิริขันธ์ นายปรีดีตอบว่าเข้าใจว่าคงถูกเจ้าหน้าที่ฝ่ายไทย “เก็บ” ตัวเสียแล้ว นายปรีดีได้กล่าวถึงการเลือกตั้งในประเทศไทยว่า พวกอื่นๆ คงไม่มีหวัง เพราะรัฐบาลคุมการเลือกตั้งทั้งหมดทุกอย่าง ท้าวกระต่ายเล่าต่อไปว่า เจ้าสุวันภูมาได้บอกนายปรีดีว่า ถ้ามีเรื่องอะไรจะติดต่อกับประเทศไทย ตัวเจ้าสุวันภูมารับว่าจะเจรจากับรัฐบาลไทยให้ นายปรีดีบอกว่า ขณะนี้ตัวเขาอยู่ไกล ลำบากแก่การติดต่อ จึงอยากจะขอเข้ามาอยู่ในประเทศลาวเพื่อสะดวกแก่การติดต่อกับประเทศไทย เจ้าสุวันภูมาได้ตอบแก่นายปรีดีว่า ยินดีและไม่ขัดข้องในการจะเดินทางมาอยู่ประเทศลาวของนายปรีดี เรื่องนี้ ข้าพระพุทธเจ้าได้บอกกับท้าวกระต่ายว่า หากไม่มีการจำเป็นอย่างใดในขณะนี้แล้ว ขอให้หลีกเลี่ยงการรับนายปรีดีเข้ามาอยู่ในประเทศลาวไว้ก่อน เพราะชายแดนไทยและลาวอยู่ชิดกัน การควบคุมการข้ามไปมาระหว่างลาวกับไทย ก็ยังมีการควบคุมไม่รัดกุมพอ หากมีคนที่คิดร้ายต่อประเทศไทยและรัฐบาลไทยข้ามมาติดต่อกับนายปรีดีเพื่อก่อกวนความสงบแล้ว ก็เป็นการยากแก่เจ้าหน้าที่ของฝ่ายลาวที่จะควบคุม และผลร้ายอาจเกิดขึ้นแก่ประเทศของเราทั้งสองได้ ท้าวกระต่ายรับว่า จะพยายามหาทางกีดกันนายปรีดีในการเข้ามาพักในประเทศลาวให้
ท้าวกระต่ายเล่าต่อไปว่า สำหรับเรื่องนายปรีดีนี้ นายจูเอนไลได้พูดกับท้าวกระต่ายว่า ทางรัฐบาลจีนแดงอยากจะให้นายปรีดีกลับไปอยู่ประเทศไทย เพราะจะได้เป็นการป้องกันข้อกล่าวหาที่ว่า รัฐบาลจีนเลี้ยงนายปรีดีไว้เพื่อก่อกวนความสงบ บายจูเอนไลกล่าวว่า ทางรัฐบาลจีนแดงช่วยเหลือนายปรีดี ในฐานผู้รู้จักและชอบพอกัน”
ก็คงไม่แปลกอะไรที่ พลจัตวาสมัย จะสนใจต่อความเคลื่อนไหวทางการเมืองของ นายปรีดี เพราะตอนที่ นายปรีดี พยายามต่อสู้เรียกร้องประชาธิปไตยกลับคืนมาจากรัฐบาลเผด็จการทหาร ด้วยการนำกองกำลังอันประกอบด้วยอดีตเสรีไทยและลูกศิษย์เข้ายึดพื้นที่เมืองหลวง และประกาศยึดอำนาจ รัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม พร้อมทั้งประกาศจัดตั้งรัฐบาลใหม่ผ่านทางวิทยุในคืนวันเสาร์ที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2492 นั้น พลจัตวาสมัย ก็เป็นนายทหารยศพันโทที่เคยร่วมกับ จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ และ จอมพลถนอม กิตติขจร นำกำลังบุกเข้ายึดพระบรมมหาราชวังคืนจากฝ่ายของนายปรีดี โดยอยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของ จอมพลถนอม ซึ่งขณะนั้นเป็นผู้บังคับการกรมทหารราบที่ 11 และได้สั่งการให้ใช้รถถังพุ่งเข้าชนประตูวิเศษไชยศรี
ราวสองเดือนถัดมา หนังสือพิมพ์ เช้า ฉบับประจำวันศุกร์ที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2499 ได้พาดหัวข่าว “ปรีดีจากปักกิ่งมาพักลาว-มาพักอยู่ ๑ คืนแล้วกลับปักกิ่ง” และรายงานว่า
“มีข่าวกระแสร์หนึ่งยืนยันว่า เมื่อสัปดาห์ที่แล้วได้มีการพบนายปรีดี พนมยงค์ รัฐบุรุษอาวุโส ผู้ลี้ภัยการเมืองไปอยู่ในจีนแดงกับพรรคพวก ซึ่งเป็นคนจีนอีก ๔-๕ คน ได้เดินทางจากดินแดนจีนเข้ามาในประเทศลาว กระแสร์ข่าวกล่าวว่า นายปรีดีกับพวกเหล่านั้นได้เข้ามาพบกับคณะลาวอิสสระที่ตอนเหนือของประเทศลาว และพักอยู่หนึ่งคืนจึงเดินทางกลับไปในเขตจีนแดง คาดกันว่า นายปรีดีคงจะมาเจรจาความลับอย่างใดอย่างหนึ่งกับลาวอิสสระ ซึ่งยังเป็นความมืดมนที่ไม่มีใครอาจทราบได้.”
จากนั้น หนังสือพิมพ์ฉบับอื่นอย่าง สยามนิกร และ เกียรติศักดิ์ ก็นำเสนอข่าวว่า นายปรีดี ได้เดินทางเข้าไปในประเทศลาวพร้อมกับคณะอีก 2-3 คน และบัดนี้ย้อนกลับไปยังเมืองจีนแล้ว นั่นทำให้รัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม สั่งให้สอบสวนไปยัง พลจัตวาสมัย อีก เพื่อหาข้อสรุปว่า นายปรีดี ได้เข้าไปในลาวจริงหรือไม่

ที่มา: Bangkok Post
ใช่เพียงแค่หนังสือพิมพ์ภาษาไทย หนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษอย่าง Bangkok Post ฉบับประจำวันจันทร์ที่ 19 พฤศจิกายน ค.ศ. 1956 (ตรงกับ พ.ศ. 2499) ก็รายงานเรื่องที่รัฐบาลจอมพล ป. สั่งให้สอบสวนไปยังเอกอัครราชทูตไทยประจำประเทศลาวว่า นายปรีดี ได้เข้าไปในลาวตามที่หนังสือพิมพ์ เช้า นำเสนอหรือเปล่า

ที่มา: The Bangkok Tribune
อีกฉบับหนึ่งที่น่าสนใจคือหนังสือพิมพ์ The Bangkok Tribune ฉบับประจำวันเสาร์ที่ 24 พฤศจิกายน ค.ศ. 1956 (ตรงกับ พ.ศ. 2499) ซึ่งนำเสนอข่าวว่า นายปรีดี ตั้งใจจะใช้ชีวิตที่เหลืออยู่อย่างสงบสุขในประเทศลาว โดยจะตัดขาดเรื่องทางโลกด้วยการบวชเป็นพระภิกษุ
หากพิจารณาให้ถ่องแท้ เช้า เป็นหนังสือพิมพ์ที่ได้รับการสนับสนุนจาก พลตำรวจเอกเผ่า ศรียานนท์ อาจเป็นไปได้ว่า ถึงแม้การเดินทางเข้าไปในประเทศลาวของ นายปรีดี จะไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นจริง แต่การนำเสนอให้เป็นข่าวขึ้นมาก็เป็นกลวิธีทางการเมืองรูปแบบหนึ่ง
สมัย แววประเสริฐ เป็นศิษย์เก่าโรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัยช่วงก่อนเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 จากนั้นเข้าเรียนในโรงเรียนนายร้อยทหารบก สำเร็จเป็นนายร้อยตรีเมื่อปี พ.ศ. 2477 ตอนเป็นร้อยโทเคยไปรบในสงครามกรณีพิพาทอินโดจีน-ฝรั่งเศส ได้เป็นร้อยเอกตอนที่สงครามโลกครั้งที่ 2 เพิ่งเปิดฉากในเมืองไทย และได้เป็นพันตรีในช่วงก่อนสงครามปิดฉากลง หลังเหตุการณ์รัฐประหาร พ.ศ. 2490 ได้เป็นพันโท และพอปี พ.ศ. 2495 ก็ได้เป็นพันเอก พอปีถัดมาคือ พ.ศ. 2496 จึงได้เป็นพลจัตวา

พลจัตวาสมัย แววประเสริฐ
พลจัตวาสมัย รั้งตำแหน่งเอกอัครราชทูตประจำประเทศลาวเป็นเวลา 4 ปี 2 เดือน เจ้าตัวยังได้เล่าถึงสิ่งที่ต้องเผชิญขณะปฏิบัติหน้าที่ว่า
“ในการที่ผมได้มาปฏิบัติงานในเมืองลาวประมาณ ๔ ปีเศษนั้น ได้ทำให้ชาวฝรั่งเศส โดยเฉพาะเอกอัครราชทูตฝรั่งเศสประจำประเทศลาวไม่พอใจและมีการเพ่งเล็งการดำเนินงานของผมโดยตลอด และทำให้ชาวฝรั่งเศสเกิดการเขม่นและไม่พอใจ เฉพาะอย่างยิ่งผมต้องการแสดงให้คนลาวนั้นได้เห็นว่า คนไทยที่มาอยู่กับพี่น้องเรานั้นรักใคร่และมีความสัมพันธ์กันเพียงใด โดยเฉพาะได้เปลี่ยนแปลงกิจการไปหลายอย่าง
ผมอยู่เมืองลาวได้อยู่ร่วมกับเอกอัครราชทูตฝรั่งเศสมา ๓ คน แต่ผมจำชื่อเป็นภาษาอังกฤษไม่ได้ จึงเขียนชื่อของไม่ถูก ได้แต่เรียกชื่อเป็นไทยคือคนหนึ่งที่ชื่อว่ามิสเตอร์แอตลี่ (ซึ่งทำหน้าที่เป็นผู้รักษาการ) คนที่สองชื่อ มิสเตอร์ไบร์อัน (ท่านผู้นี้เคยทำงานเกี่ยวกับการป่าไม้ทางด้านเหนือของไทย ๑๐ กว่าปี พูดภาษาไทยได้คล่องแคล่ว) คนที่สามชื่อ มิสเตอร์ก๊าศซูแวง (เคยเป็นเลขานุการเอกสถานทูตฝรั่งเศสในไทยมาเป็นเวลานาน) ในจำนวนทูตทั้ง ๓ คนนี้ สองคนแรกคือ มิสเตอร์แอตลี่และมิสเตอร์ไบร์อัน เราเข้าใจกันดี เมื่อพบปะกัน โอภาปราศรัยกันดีเคยร่วมกันด้วยดีมาตลอดมา ครั้งมาถึงสมัยมิสเตอร์ก๊าศซูแวง พอมาถึงเวียงจันทน์ก็เริ่มสำแดงเดชทันที ก่อนอื่นแสดงให้เห็นว่าทูตไทยไม่มีความสำคัญอย่างใด เรื่องของการทูตนั้น เป็นแบบธรรมเนียมที่ถือกันมานมนานแล้วว่า เมื่อทูตใดเดินทางมาถึงใหม่ จะต้องไปเคารพหัวหน้าคณะทูต ซึ่งในขณะนั้นผมได้ทำหน้าที่เป็นหัวหน้าทูตในเมืองลาว นอกจากมิสเตอร์ก๊าศซูแวงจะไม่ไปเคารพผมตามธรรมเนียมการทูตแล้ว เขายังได้ไปเยี่ยมเอกอัครราชทูตอเมริกาและเอกอัครราชทูตอังกฤษ แม้แต่ข้าราชการและบุคคลในคณะรัฐมนตรียังต้องถามผมเสมอว่า ทูตฝรั่งเศสได้ไปเยี่ยมแล้วหรือยัง เพราะเขาสงสัยกันว่าทำไมจึงไม่ไปเยี่ยมผม”
เมื่อกลับมายังเมืองไทยในปี พ.ศ. 2501 พลจัตวาสมัย ได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 7 จังหวัดลำปาง และได้เลื่อนยศเป็นพลตรี ก่อนที่จะย้ายกลับมาเจ้ากรมอุตสาหรรมที่กรุงเทพมหานคร และต่อมาก็ได้เลื่อนยศเป็นพลโทในปี พ.ศ. 2506
ทางด้าน ท้าวกระต่าย โดนสโสฤทธิ์ นับเป็นปัญญาชนชาวลาวคนสำคัญ ในช่วงระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 เขาเคยทำงานร่วมกับชาวฝรั่งเศสในคณะลาวใหญ่ ก่อนที่จะเปลี่ยนมาเป็นผู้นำขบวนการต่อสู้ปลดปล่อยประเทศลาวออกจากอาณานิคมฝรั่งเศสที่เรียกันว่า “ขบวนลาวอิสระ”
ท้าวกระต่าย เป็นบุตรชายของพ่อค้าชาวเวียดนามกับหญิงชาวลาว ลืมตาดูโลกหนแรกเมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม ค.ศ. 1904 (ตรงกับ พ.ศ. 2447) ที่เมืองปากเซ แขวงจำปาสักทางตอนใต้ของประเทศลาว แท้จริง เขามีชื่อว่า กระต่าย สโสฤทธิ์ แต่ที่เติมคำว่า “โดน” เข้าไปตรงกลางชื่อด้วย ก็เพราะ “โดน” มาจากแม่น้ำเซโดนอันหล่อเลี้ยงเมืองปากเซ

เจ้าเพชรราช รัตนวงศา
ที่มา: เจ้าเพ็ชราช: บุรุษเหล็กแห่งราชอาณาจักรลาว
ท้าวกระต่าย ได้เข้าเรียนหนังสือในระบบฝรั่งเศส และได้ไปศึกษาต่อในระดับชั้นมัธยมศึกษาและระดับมหาวิทยาลัยในประเทศเวียดนาม ทั้งที่ไซ่ง่อนและฮานอย แต่ยังมิได้ศึกษาต่อในระดับปริญญาเอกก็ต้องกลับมายังประเทศลาว โดยเข้าทำงานในสำนักข้าหลวงฝรั่งเศสร่วมกับ เจ้าเพชรราช รัตนวงศา เขาเป็นทั้งอาจารย์และดูแลด้านสื่อสิ่งพิมพ์ ทั้งยังเป็นหัวหน้าโรงพิมพ์แห่งรัฐ ช่วงเวลานี้เองที่ ท้าวกระต่าย ได้เป็นนักคิดนักเขียนที่สร้างผลงานหนังสือออกมาจำนวนมากมาย โดยมักเขียนเป็นภาษาฝรั่งเศส

มหาสิลา วีระวงส์
แม้จะเคยทำงานร่วมกับเจ้าอาณานิคมฝรั่งเศส แต่พอภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ท้าวกระต่าย ได้เข้าร่วมกับปัญญาชนลาวอีกหลายคน เช่น เจ้าเพชรราช เจ้าสุภานุวงศ์ และ มหาสิลา วีระวงส์ จัดตั้งขบวนการลาวอิสระเพื่อต่อสู้กู้ชาติและเรียกร้องเอกราชคืนจากฝรั่งเศส
ขบวนการลาวอิสระประกาศอิสรภาพให้แก่ลาวในเดือนตุลาคม ค.ศ. 1945 (ตรงกับ พ.ศ. 2488) โดยอาศัยจังหวะที่กองทัพญี่ปุ่นบุกเข้ามาขับไล่เจ้าอาณานิคมฝรั่งเศสในประเทศ เดิมที่มีการจะตั้งให้ เจ้าเพชรราช ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี แต่ เจ้าเพชรราช ไม่ยอมรับ ท้าวกระต่าย จึงแสดงเจตจำนงที่จะรับตำแหน่ง แต่ท้ายสุด ที่ประชุมลงติเห็นชอบให้ พระยาคำม้าว วิไล อดีตเจ้าแขวงเมืองเวียงจันทน์ ซึ่งอาวุโสรองลงมาจาก เจ้าเพชรราช ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ส่วน ท้าวกระต่าย ได้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการเงิน
อย่างไรก็ดี ในปี ค.ศ. 1946 (ตรงกับ พ.ศ. 2489) ฝรั่งเศสได้กลับเข้ามายึดครองประเทศลาวด้วยการใช้กองกำลังและอาวุธที่ทรงอานุภาพเหนือกว่า อีกทั้งยังได้รับการสนับสนุนจากจากอังกฤษ จีนก๊กมินตั๋ง และ เจ้าบุญอุ้ม ณ จำปาสัก เจ้าศักดินาแขวงจำปาสัก
ขบวนการลาวอิสระจึงต้องลี้ภัยเข้ามาจัดตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นในเมืองไทย รวมถึงตั้งกองกำลังติดอาวุธแบบกองโจรต่อสู้กับฝ่ายฝรั่งเศสตามแนวชายแดน
ช่วงนี้เอง ท้าวกระต่าย พักอยู่ที่บ้านไชโย ถนนรองเมือง กรุงเทพมหานคร
ในเดือนตุลาคม ค.ศ. 1949 (ตรงกับ พ.ศ. 2492) เกิดความขัดแย้งกันในขบวนการลาวอิสระจนต้องประกาศยุบตัวลง ห้วงเวลาเดียวกัน ฝรั่งเศสได้ทำสัญญามอบเอกราชบางส่วนให้แก่ลาว แกนนำของขบวนการลาวอิสระจึงเดินทางกลับประเทศลาวรวมถึงเข้าร่วมกับคณะรัฐบาลราชอาณาจักรลาวของเจ้าบุญอุ้ม ณ จำปาสัก
ท้าวกระต่าย ก็เป็นคนหนึ่งที่กลับลาว แต่ความที่ตลอดช่วงระยะเวลาของการลี้ภัยนั้น เขาเขียนงานโจมตีระบอบกษัตริย์ลาวและฝ่ายเจ้าบุญอุ้มไว้อย่างรุนแรง จึงมีผู้แนะนำให้เขาไปอยู่เวียดนามสักพักก่อนเพื่อดูสถานการณ์ กว่าจะได้หวนกลับมายังลาวอีกทีก็ในปี ค.ศ. 1951 (ตรงกับ พ.ศ. 2494)
ท้าวกระต่าย ตั้งพรรคการเมืองชื่อ “พรรคชาติก้าวหน้า” และเป็นหัวหน้าพรรค
ในปี ค.ศ. 1951 (ตรงกับ พ.ศ. 2494) เจ้าสุวรรณภูมา หัวหน้าพรรค “แนวชาติก้าวหน้า” ชนะการเลือกตั้ง จึงได้รับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และดำรงตำแหน่งมาจนถึงเดือนตุลาคม ค.ศ. 1954 (ตรงกับ พ.ศ. 2497) ซึ่งพอมีการเลือกตั้งอีกครั้ง คราวนี้ ท้าวกระต่าย แห่งพรรคชาติก้าวหน้าได้รับชัยชนะ และได้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
รัฐบาลของ ท้าวกระต่าย บริหารประเทศตั้งแต่วันที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2497 มาจนถึงวันที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2499 พอมีการเลือกตั้งอีกหน ก็ต้องพ่ายแพ้ให้กับ เจ้าสุวรรณภูมา แต่เขายังได้เป็นรองนายกรัฐมนตรีในรัฐบาลนี้
ช่วงต้นเดือนกันยายน ค.ศ. 1956 (ตรงกับ พ.ศ. 2499) พลจัตวาสมัย ได้สนทนาว่าด้วยเรื่อง นายปรีดี กับทั้ง เจ้าสุวรรณภูมา นายกรัฐมนตรีลาว และ ท้าวกระต่าย รองนายกรัฐมนตรีลาว ซึ่งทั้งสองดูเหมือนจะให้ข้อมูลแตกต่างกัน เพราะ เจ้าสุวรรณภูมา บอก พลจัตวาสมัย ว่า นายปรีดี ไม่อยากกลับเมืองไทยเลย แต่ ท้าวกระต่าย กลับบอกว่า นายปรีดี อยากกลับประเทศไทย เพียงแต่ไม่ไว้ใจรัฐบาลไทย กลัวจะถูก “เก็บ” หรือ “ยิงทิ้ง” อันเป็ยการฆาตกรรมซึ่งเคยเกิดขึ้นกับนักการเมืองฝ่ายตรงข้ามกับรัฐบาลมาแล้วหลายคน ดังจะเห็นได้จากกรณีของสี่อดีตรัฐมนตรีที่ถูกยิงแถวบางเขนเมื่อเดือนมีนาคม พ.ศ. 2492 อันได้แก่ นายทองอินทร์ ภูริพัฒน์ นายจำลอง ดาวเรือง นายถวิล อุดล และ ดร.ทองเปลว ชลภูมิ หรือกรณีที่ นายเตียง ศิริขันธ์ กับพวก ถูกอุ้มฆ่าอย่างทารุณ
ขณะเดียวกัน เจ้าสุวรรณภูมา ยังยินดีช่วยเหลือให้ นายปรีดี ได้เดินทางเข้ามาในประเทศลาว และจะช่วยเจรจากับรัฐบาลไทยให้ ซึ่งเมื่อ ท้าวกระต่าย แจ้งเรื่องนี้ให้ พลจัตวาสมัย ทราบแล้ว เอกอัครราชทูตไทยประจำลาวจึงเป็นตัวแทนรัฐบาลไทย ขอให้ช่วยกีดกันมิให้ นายปรีดี เข้ามาในประเทศลาว ซึ่งรองนายกรัฐมนตรีลาวก็รับปากแม่นมั่น
ท้าวกระต่าย ยังเปิดเผยอีกถึงการที่ โจว เอินไหล แห่งรัฐบาลจีนปรารถนาให้ นายปรีดี ได้กลับไปอยู่เมืองไทย เพราะรัฐบาลจีนก็ถูกกล่าวหาว่าเลี้ยงดู นายปรีดี ไว้เพื่อก่อกวนความสงบ ทั้ง ๆ ที่รัฐบาลจีนให้ความช่วยเหลือ นายปรีดี ก็เพราะความรู้จักชอบพอกันต่างหาก
ข่าวคราวที่ นายปรีดี พนมยงค์ จะการเดินทางเข้าไปในประเทศลาวช่วงปลายปี พ.ศ. 2499 นั้น ได้สร้างความกังวลให้กับรัฐบาลไทยสมัยจอมพล ป. พิบูลสงคราม เป็นอย่างมาก แม้ท้ายที่สุด นายปรีดี จะไม่ได้เดินทางเข้ามาในลาวเลย แต่หลักฐานที่แสดงถึงการสนทนากันระหว่างเอกอัครราชทูตไทยประจำประเทศลาวและรองนายกรัฐมนตรีของลาวนั้น ก็สะท้อนให้เห็นถึงเรื่องราวของอดีตนายกรัฐมนตรีไทยคนที่ 7 และอุปสรรคต่าง ๆ ที่เขาต้องเผชิญในห้วงยามของการระหกระเหินลี้ภัยห่างไกลจากบ้านเกิดเมืองนอนของตน
เอกสารอ้างอิง :
- หจช. (2) กต 16.3.5/63 นายปรีดี พนมยงค์ เดินทางเข้าไปในประเทศลาว (10 ก.ย.- 6 ธ.ค. 2499)
- นายหนหวย. ชีวิตและผลงานจอมพลถนอม กิตติขจร. กรุงเทพฯ: วัชรินทร์การพิมพ์, 2521.
- ประมวลข่าว-บทความหนังสือพิมพ์ต่างๆและสรุปข่าววิทยุต่างประเทศ (20 พฤศจิกายน 2499)
- “ปรีดีจากปักกิ่งมาพักลาว- มาพักอยู่ ๑ คืนแล้วกลับปักกิ่ง.” เช้า (16 พฤศจิกายน 2499).
- ศุขปรีดา พนมยงค์. เรียนรู้ประวัติศาสตร์ลาวผ่านชีวิตเจ้าสุพานุวง. กรุงเทพฯ: แม่คำผางการพิมพ์, 2553.
- สุพัชรี เมนะทัต. วรรณศิลป์ อำนาจ และการต่อสู้ทางการเมืองในวรรณกรรมของกะต่าย โดนสะโสริท. วิทยานิพนธ์อักษรศาสตรดุษฎีบัณฑิต สาขาวรรณคดีและวรรณคดีเปรียบเทียบ คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย, 2561
- อนุสรณ์งานพระราชทานเพลิงศพ พลโท สมัย แววประเสริฐ ม.ว.ม., ป.ช., ท.จ. ณ เมรุวัดโสมนัสวรวิหาร กรุงเทพมหานคร วันพฤหัสบดีที่ 11 ตุลาคม 2533. กรุงเทพฯ: บริษัท กรุงสยาม พริ้นติ้ง กรุ๊ฟ จำกัด , 2533
- อาชญาสิทธิ์ ศรีสุวรรณ. “รัฐมนตรีปรีดีเยี่ยมแดนอีสานริมฝั่งโขง.” สถาบันปรีดี พนมยงค์ Pridi Banomyong Institute (21 มกราคม 2564).
- Ivarsson, Søren. Creating Laos: The Making of a Lao Space Between Indochina and Siam, 1860-1945. Copenhagen: NIAS Press, 2008
- “‘PRIDI IN LAOS’ REPORT PROBED.” Bangkok Post (November 19, 1956).
- “PRIDI TO BE MONK IN LAOS.” The Bangkok Tribune (November 24, 1956).
*** ขอบคุณ ณัฐพล อิ้งทม สำหรับการแนะนำข้อมูลและเอกสารเกี่ยวกับประวัติศาสตร์การเมืองของประเทศลาว