Focus
- รองศาสตราจารย์ ดร.อนุสรณ์ ธรรมใจ ประธานกรรมการบริหารสถาบันปรีดี พนมยงค์ ผู้มีส่วนสำคัญในการผลักดันเรื่องประกันสังคมมากกว่า 30 ปี เสนอว่า ปัจจุบันเศรษฐกิจประเทศไทยเติบโตต่ำเพราะโครงสร้างเศรษฐกิจที่ล้าหลัง การทุจริต การขาดการลงทุนในนวัตกรรม และการทุจริตในโครงการรัฐ นโยบายประชานิยมมักถูกนำมาใช้แก้สถานการณ์เฉพาะหน้า แต่รัฐบาลกลับไม่ใส่ใจแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างที่จะให้ผลในระยะยาว นอกจากนี้ยังมีปัญหาเรื่องอัตราหนี้ครัวเรือนที่สูงอีกด้วย
- ทั้งควรมีการปฏิรูปเศรษฐกิจให้มีการลงทุนในวิจัยและนวัตกรรม การยกระดับผลิตภาพในทุกภาคส่วน เช่น ภาคการเกษตรและธุรกิจขนาดเล็ก (SMEs) เพื่อเพิ่มศักยภาพการเติบโตของเศรษฐกิจ และการที่ประเทศไทยจะมีรัฐสวัสดิการที่เข้มแข็งได้ นอกจากจะต้องมีระบบราชการที่โปร่งใสตรวจสอบได้แล้ว ควรให้มีการปฏิรูปประกันสังคมเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในด้านการบริหารจัดการ โดยมอบความเป็นอิสระให้ผู้เชี่ยวชาญในการบริหารกองทุน และหลีกเลี่ยงการแทรกแซงจากกลุ่มผลประโยชน์ทางการเมือง
“การประกันความสุขสมบูรณ์ของราษฎร ราษฎรทุกคนควรได้รับประกันจากรัฐบาล ความไม่เที่ยงแท้ในการเศรษฐกิจเป็นอยู่เช่นนี้จึงมีนักปราชญ์คิดแก้โดยวิธี ให้รัฐบาลประกันความสุขสมบูรณ์ของราษฎร (Social Assurance) กล่าวคือราษฎรที่เกิดมาย่อมจะได้รับประกันจากรัฐบาลว่า ตั้งแต่เกิดมาจนกระทั่งสิ้นชีพซึ่งในระหว่างนั้นจะเป็นเด็ก หรือเจ็บป่วย หรือพิการ หรือชรา ทำงานไม่ได้ก็ดีราษฎรจะได้มีอาหาร เครื่องนุ่งห่ม สถานที่อยู่ ฯลฯ
ปัจจัยแห่งการดำรงชีวิตเมื่อรัฐบาลประกันได้เช่นนี้แล้วราษฎรทุกคนจะนอนตา หลับเพราะตนไม่ต้องกังวลว่าเมื่อเจ็บป่วยหรือพิการหรือชราแล้วจะต้องอดอยาก หรือเมื่อตนมีบุตรจะต้องเป็นห่วงใยในบุตรเมื่อตนได้สิ้นชีพไปแล้วว่าบุตรจะ อดอยากหรือหาไม่ เพราะรัฐบาลเป็นผู้ประกันอยู่แล้ว การประกันนี้ย่อมวิเศษดียิ่งกว่าการสะสมเงินทอง…”
ปรีดี พนมยงค์
เค้าโครงการเศรษฐกิจ, พ.ศ. 2475
การออกจากภาวะเติบโตรั้งท้ายอาเซียนต้องเดินหน้าการปฏิรูปประเทศในทุกมิติ

รองศาสตราจารย์ ดร.อนุสรณ์ ธรรมใจ ประธานกรรมการบริหารสถาบันปรีดี พนมยงค์
รองศาสตราจารย์ ดร.อนุสรณ์ ธรรมใจ ประธานกรรมการบริหารสถาบันปรีดี พนมยงค์ กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยเคยขยายตัวสูงถึง 11.7 เปอร์เซ็นต์ ในช่วง พ.ศ. 2530-2533 และในช่วงพุทธทศววรษ 2530 ไทยเคยเติบโตทางเศรษฐกิจในบางปีสูงถึง 13.3 เปอร์เซ็นต์ ต่อปี การที่อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยรั้งท้ายในกลุ่มประเทศอาเซียนหลายปีติดต่อกันและมีอัตราการขยายตัวโดยเฉลี่ยต่ำกว่า 3 เปอร์เซ็นต์ มาโดยตลอดช่วงทศวรรษที่ผ่านมาเป็นปัญหาในเชิงโครงสร้างทางเศรษฐกิจ การเมือง สังคมและโครงสร้างประชากร
นอกจากนี้สัดส่วนของการลงทุนเทียบกับ GDP (Gross Domestic Product) อยู่ในระดับต่ำ โครงการลงทุนขนาดใหญ่ของรัฐหรือกิจการที่สัมปทานให้เอกชนดำเนินการก็มักจะมีการทุจริตรั่วไหลและเบี่ยงเบนไปจากหลักวิชาการ ผิดไปจากหลักการของการดำเนินนโยบายสาธารณะที่ดี และไม่เป็นไปตามหลักการลงทุนเพื่อสาธารณะ เกิดผลประโยชน์ทับซ้อนเอื้อประโยชน์ในทุกระดับ มีการผ่องถ่ายผลประโยชน์สาธารณะไปเป็นผลประโยชน์ของคนบางกลุ่ม
นโยบายและมาตรการต่าง ๆ มักมีผลประโยชน์ทับซ้อนทุจริตและมีวาระซ่อนเร้นเพื่อผลประโยชน์ของเครือข่ายของกลุ่มผูกขาดอำนาจทางการเมืองและเศรษฐกิจเสมอ จึงไม่มีนโยบายหรือมาตรการใดที่มีประสิทธิผลต่อการยกระดับคุณภาพชีวิตของคนส่วนใหญ่ของประเทศให้ดีขึ้น ไม่มีประสิทธิภาพช่วยขับเคลื่อนให้เศรษฐกิจเติบโตได้เต็มศักยภาพหรือยกระดับศักยภาพให้สูงขึ้น ระบอบประชาธิปไตยก็ไม่มีเสถียรภาพจากรัฐประหารสองครั้งและความไม่สงบและความรุนแรงทางการเมืองเป็นระยะ ๆ การเติบโตต่ำจึงกลายเป็น “ภาวะปรกติ” ของเศรษฐกิจไทยตลอดช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมา โอกาสที่ “ไทย” กลับมาสู่การเป็น “แถวหน้า” ของอาเซียนจึงไม่อาจเกิดขึ้นได้ หากไม่แก้ปัญหาพื้นฐานเหล่านี้เสียก่อน

อาเซียน
ที่มา: https://almanac.nia.go.th/media/images/almanac/pages/2023/01/asean-map.jpg
การจะหนีเติบโตรั้งท้ายอาเซียนต้องเดินหน้าการปฏิรูปประเทศในทุกมิติ ทั้งเศรษฐกิจ การเมือง สังคม กฎหมายและระบบสถาบันต่าง ๆ เพิ่มสัดส่วนการลงทุนต่อจีดีพีให้อยู่ในระดับเดียวกับช่วงทศวรรษ 2530 ลงทุนในนวัตกรรมและทรัพยากรมนุษย์ สร้างฐานการเติบโตและรายได้ใหม่ ระยะสั้นต้องผ่อนคลายการเงินและกฎระเบียบเปิดกว้างให้มีการขับเคลื่อนการลงทุนด้านต่าง ๆ อย่างเต็มที่ โดยขจัดอุปสรรคทางกฎระเบียบให้หมดไป แก้ปัญหาการทุจริตคอร์รัปชันติดสินบนให้ลดลงอย่างจริงจัง แนวทางการพัฒนาประเทศที่ยั่งยืนกว่า และส่งผลในระยะปานกลางและระยะยาว ไม่ก่อให้เกิดการเสพติดนโยบายและมาตรการประชานิยมเกินขนาดและนำมาสู่ปัญหาฐานะทางการคลังในอนาคต ก็คือ การปรับโครงสร้างภาคการผลิต การบริหารจัดการทางด้านอุปทาน ภาคธุรกิจอุตสาหกรรมต้องทำให้เกิด Breakthrough Competitiveness and Growth with country innovation ต้องเพิ่มสัดส่วนการลงทุนทางด้านวิจัยและนวัตกรรมต่อ GDP ให้สูงขึ้น โดยเฉพาะต้องลงทุนในการศึกษาและวิจัยยกระดับมูลค่าผลิตภัณฑ์ ผลิตภาพของทุนและแรงงาน
โครงสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่มีคุณภาพ : ส่งเสริมให้มีการเปิดเสรีสินค้าเกษตร
ในส่วนของภาคเกษตรกรรมนั้นต้องแปรรูปพืชผลเกษตรเพิ่มมูลค่าด้วยการลงทุนทางด้านวิจัย พัฒนาผลิตภัณฑ์จากผลิตผลการเกษตรให้มีมูลค่าสูงขึ้น เพิ่มผลผลิตต่อไร่ เพิ่มรายได้ผ่านช่องทางต่าง ๆ ลดต้นทุนโดยเฉพาะค่าปุ๋ย ค่าอาหารสัตว์ ปฏิรูปที่ดินให้เกษตรกรสามารถเข้าถึงทรัพยากรที่ดินได้มากขึ้น การใช้มาตรการและนโยบายเหล่านี้จะแก้ปัญหายั่งยืนกว่า ในส่วนของธุรกิจขนาดย่อม ขนาดเล็ก ขนาดกลาง หรือ SME ต้องมุ่งที่การเพิ่มผลิตภาพทุนและผลิตภาพแรงงาน ผ่านการลงทุนทางด้านการพัฒนาทักษะและเทคโนโลยี มุ่งสร้างเครื่องหมายการค้าและเอาการตลาดนำการผลิต ขยายตลาดใหม่ ลดต้นทุนด้วยการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและการดำเนินกิจการ ภาครัฐเองก็ต้องลดต้นทุนให้กับเกษตรกรและกิจการเอสเอ็มอี ด้วยการมีโครงสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่มีคุณภาพและราคาเหมาะสม ไม่ว่าจะเป็นระบบสาธารณูปโภคสาธารณูปการทั้งหลายทั้งระบบประปา ระบบบริหารจัดการน้ำและการชลประทาน ระบบไฟฟ้าและพลังงาน ระบบโทรคมนาคม ระบบคมนาคมขนส่งโลจีสติกส์ ระบบการบังคับใช้กฎหมายและระบบใบอนุญาตต่าง ๆ การติดสินบนทุจริตคอร์รัปชันต้องลดลงอย่างชัดเจน เป็นต้น
นอกจากนี้ ภาครัฐควรส่งเสริมให้มีการเปิดเสรีสินค้าเกษตรอย่างมียุทธศาสตร์ ต้องมีแนวทางที่ปกป้องผู้ผลิตภายใน และการอุดหนุนราคาโดยไม่ผิดหลักการขององค์การการค้าโลก เพิ่มการแข่งขัน ลดอำนาจผูกขาดในโครงสร้างตลาดและโครงสร้างการผลิตทั้งในภาคเกษตรกรรมและอุตสาหกรรม ทำให้ “เกษตรกร” และ “ผู้ประกอบการขนาดย่อมขนาดเล็ก” มีอำนาจต่อรองมากขึ้นในโครงสร้างระบบเศรษฐกิจทุนนิยมของไทย นวัตกรรมของประเทศจะเกิดขึ้นได้จำเป็นต้องมีการปฏิรูปเศรษฐกิจอย่างทั่วถึง โดยเฉพาะการลงทุนทางด้านทรัพยากรมนุษย์และวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี ขณะที่เราไม่สามารถเป็นประเทศพัฒนาแล้วได้ภายใต้ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจสังคมที่สูงยิ่ง การปฏิรูปให้เกิดความเป็นธรรมทางเศรษฐกิจและการกระจายความมั่งคั่งจึงมีความสำคัญเช่นเดียวกัน การปฏิรูปเศรษฐกิจให้เกิดความเท่าเทียมจึงต้องเกี่ยวข้องกับการจัดการเรื่องทุนโดยเฉพาะทุนขนาดใหญ่ที่มีลักษณะผูกขาดให้กลายเป็นทุนที่แข่งขันกันอย่างเสรี ขณะเดียวกันต้องมีมาตรการทางภาษีในการแบ่งปันกำไรส่วนเกินมากระจายให้กับสังคมผ่านระบบสวัสดิการหรือการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจไปยังพื้นที่ยากจน
การลดช่องว่างทางรายได้ การแก้ความยากจนและสร้างความเป็นธรรมทางสังคม
รศ.ดร.อนุสรณ์ กล่าวอีกว่า การลดช่องว่างทางรายได้ การแก้ความยากจนและสร้างความเป็นธรรมทางสังคมจำเป็นต้องดำเนินการใน 2 ด้าน คือ ด้านผู้มีความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจอย่างเหลือล้นใช้แนวทางการคลัง การงบประมาณ การภาษี และการป้องกันการผูกขาด ส่วนด้านคนยากไร้ผลักดันให้กลุ่มผู้ยากไร้ ผู้ด้อยโอกาสหลุดพ้นจากภาวะขัดสนยากจนด้วยการสร้างโอกาสให้เข้าถึงปัจจัยการผลิต พัฒนาระบบสวัสดิการโดยรัฐอย่างเป็นระบบ จัดให้มีระบบการคุ้มครองทางสังคม (Social protection) และเสริมสร้างการมีส่วนร่วมในการตัดสินใจเชิงนโยบายสาธารณะ ทิศทางแนวนโยบายด้านสวัสดิการสังคมที่เป็นไปได้ และสามารถดำเนินการได้ทันทีคือ การสร้าง “สังคมสวัสดิการ (Welfare Society)” ขึ้นโดยผนึกกำลังจากภาคส่วนต่าง ๆ
ในสังคมสร้างสรรค์สวัสดิการสังคมขึ้นในหลายรูปแบบ มีการจัดการโดยหลายสถาบัน และสร้างความร่วมมือจากหลายฝ่ายให้เข้ามามีส่วนร่วมในการผลิตสวัสดิการอย่างกว้างขวางครอบคลุม โดยแต่ละรูปแบบและแต่ละสถาบันมีความเป็นอิสระต่อกัน ภายใต้ความรับผิดชอบและการดูแลของสังคมโดยรวม ความเหลื่อมล้ำทางด้านรายได้และความมั่งคั่งของไทยจึงยังคงอยู่ในระดับสูงมาอย่างต่อเนื่องยาวนาน จากการวิเคราะห์ข้อมูลล่าสุด พบว่า ในช่วงวิกฤติเศรษฐกิจโควิด-19 ปัญหาความเหลื่อมล้ำสูงขึ้นและเศรษฐกิจฟื้นตัวแบบไม่เท่าเทียมเป็นรูปตัว K และ ความเหลื่อมล้ำระหว่างรายได้กลุ่มรวยสุด 10 เปอร์เซ็นต์ แรกกับกลุ่มรายได้ต่ำสุด 10 เปอร์เซ็นต์ ล่าง ต่างกันมากกว่า 20 เท่า กลุ่มคนรวยสุดร้อยละ 10 ถือครองรายได้รวมมากกว่า 35 เปอร์เซ็นต์ ของรายได้ทั้งหมดของประเทศ
แนวคิดและนโยบายแบบประชานิยมเฟื่องฟูขึ้นท่ามกลางความเหลื่อมล้ำที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ “ประชานิยม” บรรเทาปัญหาความเหลื่อมล้ำได้ระดับหนึ่ง แต่ไม่ได้แก้โครงสร้าง และยังทำให้ “ประชาชนส่วนใหญ่” “นักการเมือง” และ “ข้ารัฐการ” ไม่ตระหนักและละเลยปัญหาในเชิงโครงสร้างอีกด้วย ขณะเดียวกัน รูปแบบวิธีการทางการเมืองแบบประชานิยมที่เกิดขึ้นในยุโรป สหรัฐอเมริกา ละตินอเมริกา และเอเชียบางประเทศ จะก่อความขัดแย้งและทำให้ระบอบเสรีประชาธิปไตยอ่อนแอลง แปรสภาพเป็นระบอบอำนาจนิยมจากการเลือกตั้งมากขึ้นตามลำดับ วิธีการทางการเมืองแบบประชานิยมมุ่งสร้างคู่ตรงข้ามในเชิงศีลธรรมระหว่าง “ประชาชน” และ “ชนชั้นนำผู้ฉ้อฉล” เพื่อระดมการสนับสนุนจากมวลชนให้ชนะเลือกตั้ง อย่างไรก็ตาม จากการศึกษาในหลายประเทศที่มีนโยบายประชานิยมพบว่า ต้องอาศัยผู้นำที่มีบารมี (Charismatic Leadership) อาศัยระบบอุปถัมภ์ (Clientelism) มีปัญหาความเหลื่อมล้ำรุนแรง และในหลายกรณีประชานิยมอาจไม่ได้นำมาสู่การบรรเทาปัญหาความเหลื่อมล้ำ นโยบายกระจายการจัดสรรทรัพยากร การกระจายรายได้กระจายความมั่งคั่ง ความสำเร็จของการลดความเหลื่อมล้ำเป็นผลจากการปฏิรูปทางเศรษฐกิจและการสร้างความเป็นธรรมทางสังคมมากกว่า
กรณีของประเทศไทย : มาตรการประชานิยมพักหนี้ แจกเงิน อาจไม่ได้ช่วยทำให้เศรษฐกิจเติบโตแบบยั่งยืน
รศ.ดร.อนุสรณ์ กล่าวอีกว่า กรณีของไทยมาตรการประชานิยมพักหนี้ แจกเงิน อาจไม่ได้ช่วยทำให้เศรษฐกิจเติบโตแบบยั่งยืน เพียงช่วยบรรเทาความเดือดร้อนทางเศรษฐกิจ บรรเทาปัญหาวิกฤติหนี้สิน ประเทศไทยจึงมีหนี้ครัวเรือนสูงเป็นอันดับสองในเอเชีย รองจากเกาหลีใต้ และอยู่ในอันดับที่ 12 ของโลก ขณะเดียวกัน คนไทยมีหนี้สาธารณะที่ต้องร่วมกันรับผิดชอบเฉลี่ยท่านละไม่ต่ำกว่า 1.7-1.8 แสนบาท รัฐบาลทำขาดดุลงบประมาณเพิ่มเติมอีกในปีงบประมาณ 68 และ 69 ชาวไทยแต่ละท่านมีภาระหนี้สินส่วนครัวเรือนรวมหนี้สาธารณะมากกว่า 4.2 แสนบาท ฉะนั้นการตั้งเป้าให้เศรษฐกิจขยายตัวได้เต็มศักยภาพที่ 5-6 เปอร์เซ็นต์ เป็นเรื่องสำคัญเพื่อให้เศรษฐกิจมีรายได้สูงขึ้น และต้องสร้างกลไกให้เกิดการกระจายรายได้มายังคนส่วนใหญ่อย่างทั่วถึง คือ ต้องปฏิรูปโครงสร้างการกระจายรายได้และลดความเหลื่อมล้ำอย่างแท้จริง การพักหนี้ เจรจาประนอมหนี้ หรือลดดอกเบี้ยเป็นเพียงแค่บรรเทาแต่ไม่ได้แก้ปัญหาในระยะยาว
ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจต้องแก้ด้วยการปฏิรูปเศรษฐกิจ มาตรการประชานิยมช่วยได้แค่บรรเทาปัญหาในระยะสั้นเท่านั้น การดำเนินการแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนอย่างยั่งยืนและเป็นระบบ ต้องมีการยกระดับมาตรฐานกระบวนการให้สินเชื่อและการปฏิบัติกับลูกหนี้อย่างเป็นธรรม (Responsible Lending) ครอบคลุมตลอดวงจรหนี้ของลูกหนี้
ชุดของนโยบายประชานิยมมักเชื่อมโยงกับการกระจายรายได้และลดความเหลื่อมล้ำเสมอ และมีองค์ประกอบสำคัญสองประการ คือ หนึ่งมองเจตจำนงประชาชนเหนือกว่าหลักการด้านอื่น ๆ สอง เจตจำนงของประชาชนควรสะท้อนผ่านความสัมพันธ์โดยตรงระหว่างประชาชนกับผู้นำทางการเมือง การพักหนี้ การแจกเงิน การขึ้นค่าแรงโดยยึดกรอบการบริหารนโยบายเศรษฐกิจมหภาคที่ดี ระมัดระวังในเรื่องวินัยการเงินการคลัง ย่อมไม่นำไปสู่ความไร้เสถียรภาพของเศรษฐกิจมหภาค วิกฤติหนี้สาธารณะ อัตราเงินเฟ้อพุ่งสูง เหมือนประชานิยมในลาตินอเมริกาในยุคฮวน เปรอง (Juan Domingo Peron) แห่งอาร์เจนตินา ค.ศ. 1946-1955 หรือ อัลแบร์โต ฟูจิโมริ (Alberto Fujimori) แห่งเปรู ค.ศ. 1990-2000 บรรเทาปัญหาหนี้สินและลดความเหลื่อมล้ำได้บ้าง วิกฤติหนี้สินและความเหลื่อมล้ำรุนแรง จะกลายเป็น “ระเบิดเวลา” ที่จะนำไปสู่ปัญหาทางเศรษฐกิจ การเมือง สังคม ในอนาคตของไทยได้ การบรรเทาปัญหาด้วยมาตรการระยะสั้นย่อมมีความจำเป็นไม่ต่างจากการแก้ปัญหาในเชิงโครงสร้างด้วยมาตรการระยะยาว
ความเหลื่อมล้ำไม่ว่าจะเป็นความเหลื่อมล้ำในโอกาส (Inequality of Opportunity) หรือความเหลื่อมล้ำของผลลัพธ์ (Inequality of Outcome) ก็ตาม จะกดดันให้อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจลดลงในระยะปานกลางและระยะยาว ศักยภาพและประสิทธิภาพของระบบเศรษฐกิจถดถอยลง เป็นผลลบต่อเสถียรภาพของระบอบประชาธิปไตยและความมั่นคงทางการเมืองและสังคม หากพรรคการเมืองใดต้องการวางเป้าหมายต้องการให้ประเทศไทยมีระบบรัฐสวัสดิการแบบยุโรปเหนือย่อมทำได้แต่เป็นเรื่องที่อาจไม่สามารถเกิดขึ้นได้ในอนาคตอันใกล้และไม่ใช่เรื่องง่ายอย่างแน่นอน ประเทศรัฐสวัสดิการมักเป็นประเทศที่มีระบบราชการหรือระบบรัฐการที่ใหญ่ Bigger Government ไม่ใช่ Smaller Government ประเทศรัฐสวัสดิการต้องมีระบบราชการและระบบการเมืองที่โปร่งใสมีประสิทธิภาพ ไม่เช่นนั้นแล้วจะกลายเป็นรัฐสวัสดิการที่ล้มเหลวหรือประสบปัญหาความยั่งยืนทางการเงินการคลัง เกิดวิกฤติทางการคลังนำไปสู่การลดขนาดของระบบราชการและลดสวัสดิการของรัฐในที่สุด ปรากฏการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นในบางประเทศในยุโรปใต้และฝรั่งเศส
การเดินหน้าระบบรัฐสวัสดิการเต็มรูปแบบในไทย
การเดินหน้าระบบรัฐสวัสดิการเต็มรูปแบบในไทย เรื่องแรกที่ต้องตอบให้ได้ คือ ระบบราชการไทยเป็นอย่างไร กรณีไทยต้องปรับเปลี่ยนระบบราชการให้โปร่งใสมีประสิทธิภาพก่อน คือ ต้องปฏิรูประบบราชการครั้งใหญ่พร้อมกับการกระจายอำนาจการจัดระบบสวัสดิการให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เรื่องที่สองคือต้องปฏิรูปรายได้ภาครัฐและเพิ่มภาษี ประเทศแถบสแกนดิเนเวียที่เป็นประเทศรัฐสวัสดิการเต็มรูปแบบจะมีสัดส่วนรายได้ภาษีอยู่ที่ระดับ 42-48.9 เปอร์เซ็นต์ ของ GDP อย่างเดนมาร์ก มีสัดส่วนรายได้ภาษีต่อจีดีพีอยู่ที่ 48.9 เปอร์เซ็นต์ สวีเดนอยู่ที่ 48.2 เปอร์เซ็นต์ โดยประเทศพัฒนาใน OECD มีสัดส่วนรายได้ภาษีต่อจีดีพีเฉลี่ยอยู่ที่ 35 เปอร์เซ็นต์ สหรัฐอเมริกาที่ใช้แนวคิดปัจเจกนิยมเสรี (Liberal Individualism) กับ แนวคิดสังคมนิยมประชาธิปไตย (Social Democracy) ผสมกันในจัดระบบสวัสดิการโดยรัฐ ขึ้นอยู่กับว่า พรรคแดโมแครตหรือพรรครีพับรีกัน พรรคไหนเป็นรัฐบาล มีสัดส่วนรายได้ภาษีต่อจีดีพีเฉลี่ยอยู่ที่ 28-30 เปอร์เซ็นต์ ส่วนไทยมีสัดส่วนรายได้ภาษีต่อจีดีพีเพียงแค่ 14 เปอร์เซ็นต์ เท่านั้น จึงยังห่างไกลต่อการมีฐานะทางการคลังที่สามารถสนับสนุนรัฐสวัสดิการแบบเต็มรูปแบบอย่างสแกนดิเนเวียได้
ประเทศไทยเคยมีสัดส่วนการจัดเก็บรายได้อยู่ที่ระดับ 18 เปอร์เซ็นต์ ในปี พ.ศ. 2539 ก่อนวิกฤตการณ์เศรษฐกิจ พ.ศ. 2540 การจัดเก็บภาษีเพิ่มด้วยการเพิ่มอัตราภาษีในระยะหนึ่งถึงสองปีข้างหน้าอาจไม่เหมาะสมเนื่องจากเศรษฐกิจไทยเพิ่งอยู่ในระยะแรกของการฟื้นตัว ต้องดำเนินมาตรการให้เศรษฐกิจขยายตัวเพิ่มขึ้นมาก ๆ เต็มศักยภาพเพื่อเก็บภาษีได้เพิ่มโดยไม่ต้องเพิ่มอัตราภาษี ส่วนการขยายฐานภาษีนั้นควรเดินหน้าจัดเก็บภาษีมรดกและภาษีที่ดินให้มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น ส่วนการจะก่อหนี้มาเพื่อจ่ายสวัสดิการสังคมเพิ่มควรต้องทำอย่างระมัดระวัง เนื่องจากขณะนี้ยอดหนี้สาธารณะคงค้างทั้งหมดเทียบกับ GDP ขยับเข้าใกล้ 70 เปอร์เซ็นต์ ตามลำดับ กองทุนประกันสังคมถูกออกแบบไว้อย่างดีเพื่อให้เกิดการจ่ายสมทบแบบมีส่วนร่วมจากสามฝ่ายลูกจ้าง นายจ้าง และรัฐบาล จึงเป็น “กองทุน” ของสาธารณชนโดยโครงสร้างเงินสมทบ และทำให้ประชาชนมีวัฒนธรรมการออมที่เข้มแข็งอีกด้วย
รศ.ดร.อนุสรณ์ ยังชี้ว่า กองทุนประกันสังคมเป็นเสาหลักของระบบสวัสดิการสำหรับผู้ใช้แรงงาน การบริหารกองทุนให้มีประสิทธิภาพ มีความคล่องตัว โปร่งใส มีธรรมาภิบาลสำคัญต่อคุณภาพชีวิตของผู้ใช้แรงงาน เสถียรภาพของผู้ประกอบการ และความมั่นคงทางสังคมและเศรษฐกิจของรัฐ การปฏิรูปประกันสังคมสู่องค์กรของรัฐที่ไม่ใช่ราชการ เป็นองค์กรที่บริหารงานได้แบบแบงก์ชาติ กลต. (สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์) หรือ กบข. (กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ) ควรถูกนำมาศึกษาพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง การพัฒนา “กองทุนประกันสังคม” ให้เป็น “องค์กรของรัฐ” ที่ไม่ใช่ส่วนราชการอาจจำเป็นสำหรับอนาคตของสังคมไทย รัฐบาลต้องมอบความเป็นอิสระให้กับ ผู้เชี่ยวชาญทางด้านประกันสังคม ในการบริหารกองทุนประกันสังคมและปกป้องจากการแทรกแซงของกลุ่มผลประโยชน์ทางการเมือง เพื่อให้เกิดความมั่นคงและเสถียรภาพต่อกองทุน และเปิดให้มีส่วนร่วมจากผู้แทนผู้ประกันตนและนายจ้างที่มาจากการเลือกตั้ง ในการกำกับดูแลนโยบายได้อย่างเหมาะสม