ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก
เกร็ดประวัติศาสตร์

ปราสาทเขาพระวิหารกับคำเตือนของ “ปรีดี พนมยงค์" เรื่องการได้ดินแดนมาด้วยการใช้กําลัง

8
พฤษภาคม
2568

Focus

  • ย้อนดูคำเตือนของปรีดี พนมยงค์ ว่าการได้ดินแดนมาด้วยการใช้กำลัง เช่น จากสงครามอินโดจีน แม้ดูเหมือนเป็นชัยชนะ แต่แท้จริงแล้วเป็นเพียงผลประโยชน์ชั่วคราวที่อาจนำไปสู่ความเสียหายระยะยาว ทั้งต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศและภาพลักษณ์ของชาติ โดยเฉพาะเมื่อกระแสชาตินิยมถูกปลุกเร้าจนกลายเป็นความคลั่งชาติ ซึ่งอาจนำประเทศเข้าสู่ความขัดแย้งซ้ำอีกครั้งในกรณีอย่างปราสาทพระวิหาร

 

 


ฯพณฯ ปรีดี พนมยงค์

 

 

1

“เป็นความจําเป็นและผลประโยชน์ของประเทศไทยและประชาชนชาวไทย ที่จะต้องอยู่ร่วมกับประเทศเพื่อนบ้านโดยสันติไม่ควรตกเป็นเหยื่อของสงครามเย็นและสงครามประสาท”

แนวความคิดของปรีดี พนมยงค์จากข้อความข้างต้นนี้ ได้แสดงให้เห็นถึงความเกี่ยวพันของสองเรื่องอย่างแนบแน่น ซึ่งเป็นสิ่งที่มีคุณค่าสูงสุดต่อประเทศไทย นั้นคือ การอยู่ร่วมกับประเทศเพื่อนบ้าน และการอยู่ร่วมกันอย่างสันติ

 


ปราสาทเขาพระวิหาร เพชรยอดมงกุฎแห่งอารยธรรมขอมเขมร
ที่มา: ศิลปวัฒนธรรม

 

แต่การที่ไทยจะดำรงรักษาสองสิ่งที่มีค่าสูงสุดนี้ไว้ได้ ไทยก็จำต้องตระหนักถึงผลเสีย หรือการตกเป็น “เหยื่อ” ของสงครามทุกรูปแบบ

รวมถึงการตกเป็นเหยื่อของสงครามอารมณ์แบบ “คลั่งชาติ” (chauvinism) ด้วย

 

2

ปรีดี พนมยงค์ (2443-2526) ผู้ได้รับการประกาศตั้งจากรัฐบาล (8 ธ.ค. 2488) ให้เป็น “รัฐบุรุษอาวุโส” มีหน้าที่ “รับปรึกษากิจราชการแผ่นดิน” และได้รับการประกาศยกย่องให้เป็น “บุคคลสําคัญของโลก” โดยองค์การยูเนสโกเมื่อปี 2543

ปรีดีเป็นบุคคลที่มีบทบาททางสังคมการเมืองไทยอย่างสําคัญในช่วง 15 ปี ระหว่างปี 2475-2490 โดยปรีดีเปรียบเสมือน “มันสมอง” ของคณะราษฎร ที่มุ่งก่อร่างสร้างประชาธิปไตย โดยเน้นการสร้างประชาธิปไตยของพลเรือนผู้เป็นเจ้าของอํานาจอธิปไตย ไม่ใช่ระบอบคณาธิปไตย หรือ อํามาตยาธิปไตย ที่นําโดยทหารที่ใช้กองทัพหนุนหลัง

เส้นทางความคิดและพฤติกรรมทางการเมืองของปรีดี ปรากฏความแตกต่างอย่างเด่นชัดกับผู้นําประเทศที่เป็นทหาร คือ จอมพล ป.พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรี ซึ่งดํารงตําแหน่งทั้ง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และผู้บัญชาการทหารบก ด้วยนั้น ได้มีเมื่อจอมพล ป. ก้าวเข้าสู่นโยบายการสร้าง “มหาอาณาจักรไทย” โดยการใช้ทุกวิธีการเพื่อ "เอาดินแดน” จากประเทศลาวและกัมพูชาอาณานิคมฝรั่งเศส

 

3

“สงครามอินโดจีน” ที่พัฒนาจากการ “ปลุกเร้าอารมณ์” ของคนไทยในประเทศ ในช่วงปี 2482-2483 หรือตั้งแต่ปีแรกของการขึ้นดํารงตําแหน่งนายกรัฐมนตรีของจอมพล ป. พิบูลสงครามได้ยกระดับเป็นการ “ปะทุ” ทางอารมณ์ของคนไทยหลากกลุ่มที่แสดงตนเดินขบวนสนับสนุนรัฐบาล ที่จอมพล ป. ผู้นําฝ่ายทหารได้แปลความว่า การกระทําดังกล่าวมีความหมายเป็น “มติมหาชน” และในที่สุดได้ยกระดับเป็นการ “ปะทะ” ด้วยกําลังอาวุธของสามเหล่าทัพไทยกับกองกําลังเจ้า อาณานิคมฝรั่งเศส

“สงครามยึดเอาดินแดนอินโดจีน” ครั้งนี้ เป็นสงครามที่ฝ่ายไทยสามารถขยายพื้นที่การครอบครองดินแดนสําเร็จด้วยกําลังทหารในปี 2484 โดยเข้าครอบครองแขวงไชยบุรี และแขวงจําปาสักในลาว จังหวัดเสียมเรียบและจังหวัดพระตะบองในกัมพูชา

การเข้าครอบครองดินแดนกัมพูชาด้วยกําลังทหารในครั้งนี้ คือที่มาของการปรากฏตัวอย่างเป็นรูปธรรมแห่งปัญหาคดีเขาพระวิหาร ที่ปัญหานี้ถูกทิ้งค้างไว้จากเกือบ 4 ทศวรรษก่อน หรือกล่าวได้ว่า ทั้งฝรั่งเศสกับไทย ต่างไม่เคยรับรู้กันว่าปราสาทเขาพระวิหาร “เป็นปัญหา” ในยุคสมัยล่าอาณานิคมแต่อย่างใด การเข้าครอบครองดินแดนกัมพูชาครั้งนี้ ได้ส่งผลมาเป็นคดีเขาพระวิหาร และเป็นคําพิพากษาของศาลโลกในปี 2505 แต่ประเด็นปัญหาเกี่ยวเนื่องถูกทิ้งค้างไว้อีกเกือบ 5 ทศวรรษต่อมา ซึ่งได้กลายเป็นปมปัญหาปราสาทเขาพระวิหารมรดกโลกในปัจจุบัน

การเข้าครอบครองดินแดนของลาวและกัมพูชาดังกล่าว เป็นชัยชนะด้วยความช่วยเหลืออย่างสําคัญของกองทัพประเทศญี่ปุ่น ประเทศผู้ซึ่งกําลังเตรียมแผนการใหญ่ที่มุ่งให้รัฐบาลทหารไทยสนับสนุนตนในการทํา “สงครามมหาเอเชียบูรพา” หรือสงครามโลกครั้งที่ 2 ในซีกเอเชีย อันเป็นสงครามที่คู่ขนานไปกับการการทําสงครามของฮิตเลอร์ แห่งเยอรมัน และมุสโสลินี แห่งอิตาลี ในซีกโลกตะวันตก

ต่อมาเมื่อนายพลโตโจ ผู้นํารัฐบาลทหารแห่งญี่ปุ่น ต้องการ “กระชับมิตรภาพ” เพื่อการทําสงครามร่วมกันกับรัฐบาลทหารไทยของจอมพล ป. ฝ่ายญี่ปุ่นซึ่งกําลังยึดครองดินแดนมาเลเซียและพม่าอาณานิคมของอังกฤษ จึงยกดินแดนของประเทศอื่นที่ตนยึดครองอยู่ให้แก่ไทยเพิ่มอีกในกลางปี 2486 คือดินแดน 4 รัฐของมาเลเซีย และสองเขตเมือง คือเมืองพาน และเชียงตุง ในรัฐฉาน

 


แผนที่ "มหาอาณาจักรไทย" สมัยจอมพล ป. พิบูลสงคราม ที่ได้ดินแดนบางส่วนจากประเทศลาวและกัมพูชาอาณานิคมฝรั่งเศส อันเป็นผลจากสงครามอินโดจีนปี 2484

 


แผนที่ "มหาอาณาจักรไทย" สมัยจอมพล ป. พิบูลสงคราม ที่ได้ดินแดนบางส่วนจากประเทศลาวอาณานิคมฝรั่งเศส อันเป็นผลจากสงครามอินโดจีนปี 2484

 

ในระยะเพียงสองปีครึ่ง รัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม ก็ขยายดินแดนได้ด้วยกําลังไปในเขตประเทศเพื่อนบ้านทุกประเทศ ทั้งใน ลาว กัมพูชา พม่า และมาเลเซีย กลายเป็น “มหาอาณาจักรไทย” ยุคใหม่

 

4

“นักรัฐศาสตร์ นักการทูต นักการทหาร ย่อมรู้ก่อนที่จะก่อสถานะสงครามขึ้นแล้วว่า การทําสงครามนั้นมิใช่กีฬาธรรมดา หากเอาชาติเป็นเดิมพันในการนั้น ถ้าชนะสงครามก็ได้ประโยชน์เฉพาะหน้าบางประการ ถ้าหากแพ้สงครามก็ทําให้ชาติเสียหายหลายประการ แม้ไม่ต้องเสียดินแดนให้ฝ่ายชนะสงคราม แต่ก็ต้องชําระค่าเสียหายสงคราม ซึ่งเรียกตามกฎหมายระหว่างประเทศว่า ‘ค่าปฏิกรรมสงคราม’ ” (ปรีดี “อนาคตของเมืองไทยกับสถานการณ์ของประเทศเพื่อนบ้าน” 2518)

ไทยเข้าสู่ระเบียบโลกยุคใหม่ในสมัยพระจอมเกล้าฯ รัชกาลที่ 4 และสามารถยกระดับตนเองสู่การเป็นประเทศที่มีสถานะเกือบเท่าเทียมในฝ่ายพันธมิตรโลกตะวันตก และได้รับประโยชน์จากการร่วมชนะสงครามโลกครั้งที่ 1 ทั้งนี้เป็นผลจากการใช้นโยบาย Wait and See ที่รั้งรอดูสถานการณ์ของโลกหลายปีจนมั่นใจแล้วจึงตัดสินใจ

แต่ยุคจอมพล ป. พิบูลสงคราม ได้กลายเป็นว่า ไทยเป็นฝ่ายดําเนินการเริ่มรุกเพื่อนบ้านด้วยกําลัง และได้ครอบครองดินแดนของเพื่อนบ้าน ซึ่งก็คือคําอธิบายของปรีดีที่ว่า “ชนะสงครามก็ได้ประโยชน์เฉพาะหน้าบางประการ” แต่หาได้เป็นประโยชน์ถาวรต่อประเทศไทยแต่ประการใด

 


นายพลตรี หลวงพิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ผู้บัญชาการทหารบก กับการกล่าวต้อนรับนักศึกษา มธก. ที่เดินขบวนมาสนับสนุนการเรียกร้องดินแดน ณ กระทรวงกลาโหม
ที่มา หนังสืออนุสรณ์ครบรอบ 100 ปี ฯพณฯ จอมพล ป. พิบูลสงคราม 14 กรกฎาคม 2540

 

5

ในการรณรงค์เรียกร้องดินแดนจากลาวและกัมพูชาปี 2483 นิสิตนักศึกษาของสองสถาบันอุดมศึกษาที่มีอยู่ในขณะนั้น คือ นิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และนักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (ขณะนั้นชื่อ มหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง ม.ธ.ก.) ต่างก็ตกอยู่ในกระแสการ “ปลุกเร้า” อารมณ์ “รักชาติ” กันอย่างถ้วนหน้า และนัดแนะกันที่จะเดินขบวนจากมหาวิทยาลัยของตนเอง คือจากจุฬาฯ และธรรมศาสตร์ มายังกระทรวงกลาโหม เพื่อสนับสนุนให้รัฐบาลดําเนินนโยบาย “เรียกร้องดินแดน”

ปรีดี พนมยงค์ ซึ่งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ในฐานะเป็นผู้ประศาสน์การ หรือผู้บริหารสูงสุดแห่งธรรมศาสตร์ เมื่อทราบข่าวเดินขบวนนี้ในช่วงเช้า ปรีดีก็รีบเดินทางมาพบนักศึกษาของตนที่ท่าพระจันทร์ และชี้แจงกับนักศึกษาว่า “ไม่ได้มาห้ามไม่ให้เดิน การเดินหรือไม่เดินเป็นเรื่องที่พวกคุณจะวินิจฉัย แต่ขอให้คิดให้ดี”

ปรีดีให้คําอธิบายแก่นักศึกษาธรรมศาสตร์โดยให้เข้าใจสถานการณ์ของประเทศฝรั่งเศสในขณะนั้นว่าตกอยู่ในสภาพแพ้สงคราม กล่าวคือ ฝรั่งเศสแพ้ตั้งแต่สองสัปดาห์แรกของการสงคราม ประเทศถูกยึดครองไปโดยกําลังของกองทัพเยอรมัน รัฐบาลฝรั่งเศสเดิมนั้นต้องกลายเป็นรัฐบาลพลัดถิ่น ด้วยเหตุนี้ สถานการณ์ในอาณานิคมอินโดจีน กําลังของฝ่ายฝรั่งเศสย่อมอยู่ในสถานะที่อ่อนแอ ทั้งยังมีกองทัพญี่ปุ่นกดดันอยู่ในเขตทะเลของอ่าวตังเกี๋ย

ปรีดีสรุปว่า การเรียกร้องดินแดนนี้เชื่อว่าฝ่ายไทยได้แน่ “เพราะฝรั่งเศสกําลังแย่” แต่ปรีดีเห็นว่า เป็น “การที่เราจะไปซ้ําเติมคนที่กําลังแพ้ ไม่ใช่วิสัยที่ดี”

แต่ปรีดีก็ทํานายให้เห็นผลในอนาคตด้วยว่า “ดินแดนที่ได้คืนมาจะต้องกลับคืนไป” และในช่วงชีวิตของนักศึกษา “จะต้องได้เห็นอย่างแน่นอน”

คําเตือนของปรีดี เรื่อง “ผลประโยชน์เฉพาะหน้า” หรือ “ผลประโยชน์ชั่วคราว” ของการได้ดินแดนมาด้วยการใช้กําลัง สามารถยับยั้งการเดินขบวนของนักศึกษาธรรมศาสตร์ได้เพียงไม่กี่ชั่วโมง แต่ในบ่ายวันนั้น นักศึกษาธรรมศาสตร์ก็เดินขบวนอย่างเป็นระเบียบจากท่าพระจันทร์ไปยังกระทรวงกลาโหมที่อยู่อีกฟากหนึ่งของสนามหลวง ไปสู่ “อ้อมกอด” ของจอมพล ป. พิบูลสงคราม ที่คอยต้อนรับ ส่วนนิสิตจุฬาฯ ได้เดินขบวนจากสามย่านมายังกระทรวงกลาโหมแล้วตั้งแต่ภาคเช้า

การเดินขบวนสนับสนุนรัฐบาลให้กระทําการเรียกร้องดินแดนอย่างแข็งขัน ของนิสิตจุฬาฯ และนักศึกษาธรรมศาสตร์ กล่าวได้ว่าเป็นหลักหมายแห่งชัยชนะของนโยบายเรียกร้องดินแดนโดยใช้กําลัง ซึ่งได้รับการโห่ร้องต้อนรับด้วยการสนับสนุนจากกลไกภาครัฐ ที่เหนือกว่านโยบายการใช้กฎหมายและการอยู่ร่วมอย่างสันติกับประเทศเพื่อนบ้าน

ทว่าอีกเพียง 4 ปีถัดมาสถานการณ์ก็พลิกผัน ฝ่ายอักษะปราชัยในทุกสมรภูมิ และถูกยึดครองประเทศโดยกองทัพฝ่ายสัมพันธมิตร แต่ไทยสามารถสร้างสถานภาพที่กํากวมของการ “ไม่แพ้สงคราม” อันเป็นผลจากขบวนการเสรีไทย คําประกาศสันติภาพ และการสนับสนุนอย่างเข้มแข็งของมหาอํานาจใหม่ของโลกคือ สหรัฐอเมริกา

การได้ดินแดนของประเทศเพื่อนบ้านด้วยการใช้กําลังนั้น ทําให้ไทยต้องรีบประกาศคืนดินแดนในพม่าและมาเลเซียให้กับอังกฤษทันทีเมื่อประกาศสันติภาพ 16 สิงหาคม 2488 และต่อมาต้องคืนดินแดนของลาวและกัมพูชาให้กับฝรั่งเศสอย่างไม่มีเงื่อนไข ให้กลับคืนสู่ “สถานะเดิม” (status quo) ไปยังปีก่อนที่จะมีการทำสงครามเพื่อดินแดนของรัฐบาลไทย ทั้งนี้เพื่อแลกกับการที่ไทยจะได้รับการยอมรับให้กลับคืนสู่การเป็นสมาชิกของประชาคมโลก ที่มีองค์การเพื่อจัดระเบียบโลกใหม่ในนามองค์การสหประชาชาติ

คำเตือนของปรีดีต่อเรื่อง “ดินแดนที่ได้คืนมาจะต้องกลับคืนไป” อันเป็นการได้ดินแดนมาจากการใช้กำลังแบบ “ผลประโยชน์เฉพาะหน้า” หรือ “ผลประโยชน์ชั่วคราว” ได้แสดงข้อจริงให้เห็นเร็วกว่าที่ปรีดีคาดการณ์ไว้อย่างมาก

ดังนั้น สถานการณ์ “ทวงคืนปราสาทพระวิหาร” ที่ปรากฏในสังคมไทย ก็ดูจะมีลักษณะคล้ายคลึงบางประการกับการเรียกร้องดินแดนเพื่อนบ้านเมื่อปี 2483-2484 และจุดจบก็น่าจะไม่แตกต่างกันมากนัก หากมีการใช้กำลัง

แต่ผลนั้นอาจจะสะเทือนต่อเอกราชและเกียรติศักดิ์ของชาติไทยมากยิ่งกว่าครั้งเรียกร้องดินแดนในอดีต

และในครั้งนี้ ไทยเราอาจจะไม่โชคดีเหมือนครั้งยุติสงครามโลกครั้งที่ 2 คือไม่มีใครหรือปัจจัยอื่นใดมาช่วยให้ไทยรอดพ้นจากการตกเป็นผู้ปราชัยของประชาคมโลกได้

 

6

คําถามต่อเพื่อนร่วมชาติที่พึงแสวงหาคําตอบร่วมกัน คือ

คําถามข้อแรก เมื่อศาลโลกของสหประชาชาติ พิพากษาให้ปราสาทพระวิหารตกเป็นของกัมพูชา ซึ่งคําพิพากษานี้ “เป็นอันเสร็จเด็ดขาด ไม่มีทางจะอุทธรณ์ได้” ตามที่จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ระบุไว้ในคําปราศรัยคดีปราสาทพระวิหาร เมื่อ 4 กรกฎาคม 2505

แต่สถานการณ์ในปัจจุบัน การรณรงค์ในประเด็น “ทวงคืนปราสาทพระวิหาร” เท่ากับเป็นการปฏิเสธคําพิพากษาของศาลโลกหรือไม่? และจะยกระดับไปสู่การปลุกเร้าและปะทุทางอารมณ์ของคนในประเทศ และปะทะกับเพื่อนบ้านกัมพูชาด้วยกําลังหรือไม่?

คําถามข้อที่สอง หากเสียงปืนนัดแรกดังขึ้น ณ บริเวณเขาพระวิหาร ไม่ว่าจะมาจากฝ่ายไหน หรือจาก “มือที่สาม” ก็ตาม ข้อเท็จจริงที่พึงคํานึงคือ ไทยจะกลายเป็นชาติแรกในหน้าประวัติศาสตร์โลกยุคสหประชาชาติที่ละเมิดล่วงล้ําขัดขืนอํานาจของศาลโลก ซึ่งถือว่าเป็นองค์การที่เกิดขึ้นมาเพื่อหาทางแก้ไขปัญหาระหว่างประเทศด้วยวิธีการสันติ แทนการทําสงครามระหว่างกันนั้น ท่านคิดว่าประเทศมหาอํานาจและสมาชิกอื่นในองค์การสหประชาชาติจะดําเนินการอย่างไรต่อประเทศไทย เพื่อที่จะรักษาระเบียบโลกของสหประชาชาตินี้ไว้

ทั้งยังต้องรําลึกด้วยว่า ภาพลักษณ์ของไทยในเวทีประชาคมโลกนั้น ไทยจะกลายเป็น “หมาป่า” ที่หาทางจะขย้ํา “ลูกแกะ” กัมพูชา ด้วยหรือเปล่า?

คําถามข้อที่สาม หากท่านเป็นผู้สนับสนุนการใช้รัฐธรรมนูญฉบับปี 2550 นี้ มาตรา 82 เกี่ยวกับนโยบายด้านการต่างประเทศ ได้ระบุว่า “รัฐต้องส่งเสริมสัมพันธไมตรีและความร่วมมือกับนานาประเทศ ตลอดจนต้องปฏิบัติตามสนธิสัญญา ... รวมทั้งตามพันธกรณีที่ได้กระทําไว้กับนานาประเทศและองค์การระหว่างประเทศ

ดังนั้น การรณรงค์เพื่อให้รัฐบาลนี้หรือรัฐบาลในอนาคตแสดงการ "ทวงคืนปราสาทพระวิหาร” คือการสนับสนุนให้รัฐบาลกระทําผิดต่อรัฐธรรมนูญในมาตรานี้หรือไม่?

หากท่านเป็นผู้ไม่สนับสนุนการใช้รัฐธรรมนูญฉบับปี 2550 โปรดกลับไปอ่านคําถามข้อที่หนึ่งและข้อที่สองอีกครั้งหนึ่ง

 

 

หมายเหตุ :

  • ตัวเน้นโดยผู้เขียน
  • พิมพ์ครั้งแรกใน มติชน 5 สิงหาคม 2551 : 6.

บรรณานุกรม :

  • ธำรงศักดิ์ เพชรเลิศอนันต์, ปราสาทเขาพระวิหารกับคำเตือนของ “ปรีดี พนมยงค์” เรื่องการได้ดินแดนมาด้วยการใช้กำลัง (กรุงเทพฯ : มูลนิธิโครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์, 2551), หน้า 3-14.