Focus
- บทความเสนอ การคล้องช้างผ่านประวัติศาสตร์นิพนธ์ ตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา กรุงรัตนโกสินทร์ และภายหลังเหตุการณ์การเปลี่ยนแปลงปกครอง โดยการคล้องช้างจากภาพยนตร์ "พระเจ้าช้างเผือก" พ.ศ. 2483 ได้ตีความเรื่องการคล้องช้าง ในมุมมองแตกต่างไปจากเดิม

(๑) บทนำและความสำคัญ
คุณปรีดิวิชญ์ พนมยงค์ ทายาทรัฐบุรุษอาวุโส ปรีดี พนมยงค์ เคยบอกแก่ผู้เขียนว่า การคล้องช้างที่ปรากฏในภาพยนตร์เรื่อง “พระเจ้าช้างเผือก” นั้น “เป็นการไปคล้องจับช้างกันในป่าจริง ๆ” ซึ่งตอบข้อสงสัยของผู้เขียนที่มีเกี่ยวกับการคล้องช้างใน “พระเจ้าช้างเผือก” มานมนาน ว่าทำไมถึงดูสมจริงขนาดนั้น
เนื่องจากเป็นภาพยนตร์ที่คุ้นเคยเนื่องจากเคยใช้เป็นสื่อในการเรียนการสอนถ่ายทอดเรื่องยาก ๆ ที่ปกติอ่านจากตำรับตำราแล้วจะเข้าใจได้ยาก แต่ภาพยนตร์เรื่องนี้ช่วยได้มาก อย่างปัญหาที่ว่าการคล้องจับ “ช้างป่า” มาเป็น “ช้างบ้าน” ที่ปรากฏในหลักฐานทางประวัติศาสตร์เป็นอันมากนี้คนสมัยก่อนเขาทำได้อย่างไร ทำไมช้างถึงสำคัญมากจนถึงกับเป็นชนวนเหตุของสงครามให้ผู้คนต้องมาล้มตายเสียบ้านเสียเมืองกัน
เรื่องเล็ก ๆ ซึ่งดูเหมือนจะไม่มีความสลักสำคัญอันใดนี้แท้ที่จริงแล้วกลับมีคุณูปการอธิบายเรื่องยาก ๆ ให้เป็นเรื่องเข้าใจได้ เรื่องการคล้องช้างที่ปรากฏในเอกสารหลักฐานประวัติศาสตร์ไทยเป็นอันมากนี้ แท้ที่จริงแล้ว หากใครได้สัมผัสจะรับรู้ว่ามีลักษณะเป็น “ยาขม” และ “ยานอนหลับ” ชั้นดี (อ่านแล้วง่วงหงาวหาวนอนเป็นปกติ)
นอกจากนี้คุณปรีดิวิชญ์ ยังเคยถามผู้เขียนด้วยว่า นอกจากบทความเรื่อง “พงศาวดารกรุงศรีอยุธยาฉบับปรีดี พนมยงค์ & “อยุธยาใหม่” ในภาพยนตร์เรื่อง “พระเจ้าช้างเผือก” ที่เคยลงเผยแพร่ในเวบไซต์ของสถาบันปรีดี พนมยงค์[1] เมื่อไม่นานมานี้แล้ว ผู้เขียนจะเขียนเรื่องเกี่ยวกับภาพยนตร์เรื่องนี้ในแง่มุมอื่น ๆ ได้อีกหรือไม่ และบทความนี้ก็คือคำตอบของผู้เขียน
ดังที่หลายท่านที่เคยรับชมภาพยนตร์เรื่องนี้แล้ว ก็มักตั้งข้อสังเกตถึงความสมจริง (Real) การคล้องช้างที่ปรากฏใน “พระเจ้าช้างเผือก” ก็ค่อนข้างมีความสมจริงอย่างเหลือเชื่อ แถมยังเป็นการคล้องช้างได้ถูกต้องตามตำราหลักฐานสมัยอยุธยาอีกด้วย ทำให้คนที่ผ่านตาหลักฐานแวดล้อมเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างผู้เขียนหรือใครหลายคนอดรู้สึกตื่นตาตื่นใจไม่ได้กับฉากประกอบของเรื่อง
อนึ่ง เมื่อพูดถึงการคล้องช้างครั้งสุดท้ายในสยามประเทศไทย เรามักจะพูดถึงการคล้องช้างที่ลพบุรีเมื่อ พ.ศ. ๒๔๘๑ แต่หากนำเอาการคล้องช้างในภาพยนตร์เรื่อง “พระเจ้าช้างเผือก” ไปเทียบเคียงเข้ากับไทม์ไลน์ประวัติศาสตร์การคล้องช้างในสยามแล้ว จะพบว่าการคล้องช้างในภาพยนตร์เรื่องนี้ที่ทำเมื่อ พ.ศ. ๒๔๘๓ ต่างหากล่ะคือการคล้องช้างครั้งสุดท้ายอย่างแท้จริง อีกทั้งยังเป็นการคล้องช้างที่ปรากฏเป็นบันทึกในรูปแบบสื่อสมัยใหม่อย่างภาพยนตร์อีกด้วย
จากเดิมที่การคล้องช้างตลอดช่วงที่ผ่านมาในประวัติศาสตร์ไทยนั้นปรากฏในรูปแบบบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษรเท่านั้น ไม่เห็นภาพเคลื่อนไหว แถมตำราเก่ายังเต็มไปด้วยตัวอักษรและคำศัพท์โบราณอ่านยาก ต้องแปลไทยเป็นไทยอีก ไม่เพียงเท่านั้นตำราบางฉบับยังอยู่ในรูปบทประพันธ์ร้อยกรอง[2] ถึงจะเป็นที่ยกย่องในแง่ภาษาและวรรณคดี แต่ในแง่การสร้างความรู้แล้ว ความเจ้าบทเจ้ากลอนของผู้ประพันธ์กลับเป็นอุปสรรคและต้องแปลไทยเป็นไทยอีกเช่นกัน สภาพดังกล่าวทำให้เรื่องนี้เป็นยาขมไปอีกเรื่องหนึ่ง แต่อย่างที่บอกคือภาพยนตร์เรื่องนี้ช่วยได้ (ช่วยได้มากเสียด้วย)
อย่างไรก็ตาม จะเข้าใจความสำคัญของประเด็นนี้ได้จำเป็นต้องเข้าใจประวัติศาสตร์การคล้องช้างในสยามว่ามีความเปลี่ยนแปลงและเป็นมาอย่างไร จึงจะเข้าใจได้ว่าการคล้องช้างที่ปรากฏในภาพยนตร์เรื่องนี้นั้นทั้งทรงคุณค่าและมีความหมายสำคัญอย่างไร โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีการให้ความสำคัญแก่การคล้องช้างในฐานะภูมิปัญญาและ “มรดกทางวัฒนธรรม” (Cultural heritage) สำคัญที่ตกทอดมาจากบรรพชนกรุงศรีอยุธยา[3] ซึ่งนำไปสู่การฟื้นฟูและบูรณปฏิสังขรณ์เพนียดคล้องช้างกรุงเก่า[4]
ตลอดจนการมีปางช้างอยุธยาเพื่อบริการนักท่องเที่ยวได้นั่งบนกูบช้างชมโบราณสถานในอุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา ทำให้นักท่องเที่ยวได้มีโอกาสสัมผัสบรรยากาศการเที่ยวชมเมืองราวกับเป็นพระยานาหมื่นหรือเจ้านายในสมัยกรุงศรี สร้างสีสันให้แก่การท่องเที่ยวไทยและมรดกโลกอยุธยาได้ไม่น้อย และเพนียดคล้องช้าง อยุธยา ที่ปัจจุบันเหลือเพียงซากที่ไม่ได้ใช้การงานมาเนิ่นนาน ก็เป็นอีกหนึ่งจุดสนใจของนักท่องเที่ยวผู้ปรารถนาจะชมความยิ่งใหญ่แห่งอดีตกรุงศรีอยุธยาทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ ต่างแวะเวียนเยี่ยมชมกันเป็นประจำ
ทั้งนี้และทั้งนั้น เราก็ยังไม่ทราบว่าเรื่องราวของสถานที่แห่งนี้ไปมีส่วนเกี่ยวข้องเป็นแรงบันดาลใจหรือ “ฉากซ้อนฉาก” อย่างใดให้แก่ภาพยนตร์เรื่อง “พระเจ้าช้างเผือก” ภาพยนตร์ซึ่งอำนวยการสร้างโดยบุคคลสำคัญอย่างปรีดี พนมยงค์ สมัยเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เมื่อ พ.ศ. ๒๔๘๓ ออกฉายเมื่อ พ.ศ. ๒๔๘๔
บทความนี้จึงเริ่มต้นโดยการพาย้อนอดีตประวัติศาสตร์ของการคล้องช้างในอยุธยา ตามด้วยร่องรอยความทรงจำที่ปรากฏเป็นลายลักษณ์อักษรหรือ “มรดกทางประวัติศาสตร์นิพนธ์” (Historiographical heritage) ก่อนจะปิดท้ายด้วยการอภิปรายประเด็นเรื่องนัยความหมายและความสำคัญของภาพยนตร์เรื่อง “พระเจ้าช้างเผือก” ในฐานะบันทึกประวัติศาสตร์ความทรงจำที่สำคัญหนึ่งของการคล้องช้างในสังคมไทยสยามหลังการอภิวัฒน์ ๒๔๗๕
(๒) “การคล้องช้าง” สมัยอยุธยา (โดยย่อ)

ดังที่ทราบกันว่า การคล้องช้างเป็นสิ่งที่เฟื่องฟูมากในสมัยอยุธยา เป็นงานใหญ่งานหลวงที่เจ้านายชั้นพระมหากษัตริย์บางครั้งถึงกับต้องเสด็จพระราชดำเนินไปกระทำด้วยพระองค์เองหรือคอยควบคุมดูแลการปฏิบัติงานอย่างใกล้ชิด เพราะช้างเป็นสัตว์พาหนะสำคัญสำหรับยุคสมัยโน้น ใช้ประโยชน์ในด้านการคมนาคม, การขนส่ง (Logistic), การเกษตรกรรม (บางที่มีใช้ช้างไถนา เช่น หัวเมืองตะวันออกและเวียดนาม เป็นต้น), การพระราชพิธีที่มีการเสด็จพระราชดำเนินทางสถลมารค, เป็นของขวัญหรือเครื่องราชบรรณาการ, ใช้ในการศึกสงคราม เป็นต้น
ประโยชน์ของช้างที่เราทราบกันดีอย่างการใช้ในศึกสงครามนั้น เราทราบกันมาพอสมควรแล้ว ในที่นี้ขออนุญาตข้ามผ่านเลยไป เพราะไม่เห็นความจำเป็นที่ต้องกล่าวย้ำซ้ำเดิมอีก ไหน ๆ ก็จะเขียนเรื่องเฉพาะแล้วทั้งที จะเขียนซ้ำกับที่คนอื่นเคยเขียนมาแล้วไปทำไม และอันที่จริงนั่นไม่ใช่เหตุผลหลักของการคล้องจับช้างในสมัยอยุธยาแต่อย่างใดด้วยซ้ำ
เหตุผลหลักของการคล้องจับช้างในสมัยอยุธยา ซึ่งทำให้กิจกรรมการคล้องช้างยิ่งทวีความสำคัญขึ้นหลายเท่าทวีคูณ แท้ที่จริงแล้วคือ ช้างยังเป็น “สินค้าส่งออก” ที่สำคัญ (ที่สุดเลยก็ว่าได้) สำหรับสมัยอยุธยาต่างหาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสมัยสมเด็จพระนารายณ์ ถือเป็นยุคที่มีการคล้องจับช้างมากเป็นพิเศษ ดังปรากฏในหลักฐานบันทึกของบาทหลวงฝรั่งเศสที่เข้ามาในสมัยนี้ได้ระบุว่า ปีหนึ่ง ๆ สมเด็จพระนารายณ์คล้องจับช้างป่ามาฝึกจนเชื่องแล้วส่งออกไปขายต่างประเทศเป็นจำนวนกว่า ๓๐๐ เชือกต่อปี[5]
ทั้งนี้เพราะในช่วงพุทธศตวรรษที่ ๒๒-๒๓ (หรือก็คือคริสต์ศตวรรษที่ ๑๗-๑๘) เป็นช่วงที่บริษัท EIC ของอังกฤษ (British East India Company) ได้เมืองท่าเจนไนในชายฝั่งอินเดียใต้เป็นเป็นสถานีการค้า แล้วทำการค้าบุกเบิกกับรัฐต่าง ๆ ในอินเดียตอนในมาก[6] ทำให้ช้างจากดินแดนตะวันออกไกลเป็นที่ต้องการมาก เพื่อใช้ในการเดินทางคมนาคมขนส่งและการติดต่อกับอินเดียตอนใน และช้างจากสยามค่อนข้างใช้งานในอินเดียได้ดี EIC จึงสั่งนำเข้าช้างจากสยามเป็นอันมาก โดยจะรับซื้อผ่านทางเมืองท่ามะริด[7]
ดีมานด์ความต้องการช้างที่เกิดขึ้นที่ฝั่งมหาสมุทรอินเดียนี้เป็นเหตุปัจจัยสำคัญหนึ่งที่ทำให้ราชสำนักสมเด็จพระนารายณ์ต้องย้ายไปอยู่ประจำที่ลพบุรี เพราะลพบุรีตั้งอยู่ชายป่าเขาต่อแนวกับชัยภูมิและนครราชสีมา สะดวกแก่การคล้องจับช้างป่ามาฝึก ก่อนส่งออกไปขายต่างประเทศ นอกเหนือจากมีประเด็นที่ราชสำนักสมเด็จพระนารายณ์จำต้องลี้ภัยการเมืองภายในของอยุธยา รวมทั้งความขัดแย้งกับฮอลันดา ที่ทำให้การประทับอยู่ที่อยุธยาไม่ปลอดภัย
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าสมัยราชวงศ์บ้านพลูหลวงจะย้ายศูนย์กลางกลับมาที่อยุธยา ลพบุรีก็ยังคงเป็นหัวเมืองสำคัญที่มีกิจกรรมการคล้องช้างต่อมา ไม่เพียงเท่านั้น ในสมัยพระเจ้าเสือยังมีการขยายขอบข่ายการดำเนินงานคล้องช้างออกไปจากลพบุรีและอยุธยา โดยการเพิ่มนครสวรรค์กับนครนายกเข้าไปด้วย นอกเหนือจากหัวเมืองอื่น ๆ ทั่วราชอาณาจักรจะมีเจ้าเมืองและกรมการคอยจับช้างส่งมาเป็น “ส่วย” ให้แก่ส่วนกลาง
ในสมัยสมเด็จพระเจ้าท้ายสระ ได้มีการปรับปรุงเส้นทางคมนาคมทางน้ำ ขุดคลองเชื่อมระหว่างแม่น้ำเจ้าพระยากับแม่น้ำท่าจีน และปรับเปลี่ยนเทคโนโลยีการต่อเรือจาก “เรือสำเภาจีน” มาเป็น “เรือกำปั่นตะวันตก” เพื่อให้การขนส่งช้างไปให้แก่อังกฤษซึ่งจะมารับซื้อที่เมืองท่ามะริด ดำเนินไปได้อย่างสะดวกรวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น[8] การคล้องช้างสร้างความมั่งคั่งรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจการค้าให้แก่ชนชั้นนำอยุธยามาจนกระทั่งเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ ๒ พ.ศ.๒๓๑๐
แต่หลังจากเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ ๒ พ.ศ. ๒๓๑๐ กรมคชบาลที่มีบทบาทหน้าที่หลักเกี่ยวกับการคล้องช้างก็ถูกยกเลิกไปโดยปริยาย เพนียดคล้องช้างที่ทุ่งทะเลหญ้า อยุธยา กลายเป็นสมรภูมิ และได้รับความเสียหาย ส่วนเพนียดคล้องช้างในหัวเมือง ทั้งที่ลพบุรีและนครนายก เมื่อไม่มีกรมคชบาลแล้ว ก็สลายตัวและเพนียดก็ร้างไปเช่นกัน[9]
สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ รู้จักเพนียดคล้องช้าง อยุธยา และมีความทรงจำต่อที่นี่เป็นแน่ เพราะเป็นที่แรกที่เปิดตัวของพระองค์ตามพระราชพงศาวดาร เมื่อคราวมารับศึกพม่า รบกับพม่าครั้งแรกเมื่อมาปกป้องกรุงศรีอยุธยา ก็คือการรบที่เพนียดคล้องช้างนี่แหละ อีกทั้งเพนียดคล้องช้างยังเป็นย่านที่อยู่ไม่ไกลจากค่ายโพธิ์สามต้นของสุกี้พระนายกอง ที่เมื่อสมเด็จพระเจ้าตากสินฯ นำทัพออกจากจันทบุรีมาที่อยุธยาต้องเข้าตีเพื่อปลดปล่อยอยุธยาจากพม่ามอญ
เมื่อสมเด็จพระเจ้าตากสินฯ สถาปนากรุงธนบุรีขึ้น ก็ทรงมีแนวคิดที่จะสร้างเพนียดขึ้นใหม่ ดังจะเห็นได้จากทรงให้รวบรวมบัญชีช้างทั่วราชอาณาจักร ให้สำรวจช้างป่า ช้างบ้าน ว่ามีเหลืออยู่เท่าใด และให้สืบหาหมอควาญช้างที่ยังรอดชีวิตจากสงครามเมื่อคราวเสียกรุง[10] แต่ยังไม่ทันที่จะได้สร้างเพนียดใหม่ขึ้น ก็มีการผลัดเปลี่ยนอำนาจเสียก่อน สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ ถูกโค่นล้มในการรัฐประหารเมื่อ พ.ศ. ๒๓๒๕
(๓) การฟื้นเพนียดคล้องช้าง อยุธยา เมื่อต้นรัตนโกสินทร์

เพนียดคล้องช้าง อยุธยา
ภาพถ่ายโดย กำพล จำปาพันธ์
เนื่องจากช้างยังเป็นยุทธปัจจัยสำคัญในการศึกสงครามและการคมนาคมขนส่งสำหรับสมัยนั้น การสร้างเพนียดขึ้นใหม่เป็นงานจำเป็นเร่งด่วนที่ชนชั้นนำต้นกรุงรัตนโกสินทร์ให้ความสำคัญมาตั้งแต่เมื่อแรกสถาปนากรุงเทพฯ เป็นเมืองหลวง ดังจะเห็นได้จากที่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกฯ ทรงให้มีการประชุมหมอควาญช้าง ตลอดจนผู้รู้ผู้เคยปฏิบัติงานในกรมคชบาลสมัยอยุธยาที่ยังรอดชีวิตอยู่ มาซักถามความรู้ แล้วจดบันทึกเอาไว้ เกิดเป็นตำราหลวงที่เรียกว่า “ตำราจับช้าง” ขึ้นมา ทำเสร็จตั้งแต่เมื่อปี พ.ศ. ๒๓๒๕ (ปีเดียวกับสถาปนากรุงเทพฯ)[11]
อนึ่ง การที่คนสมัยรัชกาลที่ ๑ สามารถทำสิ่งนี้ได้ตั้งแต่ปีแรกของการสถาปนากรุงเทพฯ เลยนั้น ก็เพราะว่ามีการเตรียมการที่จะทำอยู่ก่อนแล้วด้วยในสมัยสมเด็จพระเจ้าตากสินฯ ก็กลายเป็นว่าเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ “พระเจ้าตากคิด ร.๑ ทำ” นั่นเอง

เมื่อมีตำราวิชาการแล้ว ก็มีความรู้พร้อมแก่การตั้งกรมคชบาลและสร้างเพนียดขึ้นใหม่ โดยสถานที่ตั้งราชสำนักพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกฯ เห็นร่วมกันว่า กรุงเทพฯ ไม่เหมาะเพราะสมัยนั้นบริเวณนอกเมืองยังเป็นดินโคลนเลนทะเลตมเสียมาก จึงได้ให้กลับไปตั้งที่ทำการกรมคชบาลและเพนียดคล้องช้างอยู่ที่เดิมที่ทุ่งทะเลหญ้า ตอนเหนือของเกาะเมืองอยุธยา เพนียดคล้องช้างนับเป็นสถานที่แห่งแรกที่ได้รับการบูรณะฟื้นฟูขึ้นใหม่ภายหลังจากเกิดเหตุการณ์เสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ ๒ พ.ศ. ๒๓๑๐ เป็นต้นมา
นอกจากเพนียดคล้องช้างแล้วสถานที่ต่อมาที่ได้รับการบูรณปฏิสังขรณ์ในยุคเดียวกันคือ “วัดทอง” ช่างวังหน้าภายใต้การกำกับควบคุมของกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท (บุญมา) ได้รับหน้าที่บูรณะวัดนี้ขึ้นใหม่ เมื่อแล้วเสร็จทรงพระราชทานนามใหม่ว่า “วัดสุวรรณดาราราม” เหตุที่วัดนี้ได้รับการบูรณะในสมัยนั้นก็เข้าใจได้ เพราะเป็นวัดที่มีประวัติเกี่ยวข้องกับพระปฐมชนกต้นราชวงศ์จักรี เคยมีนิวาสสถานบ้านช่องอยู่ที่นั้นมาแต่เก่าก่อน
ในส่วนของการฟื้นกรมคชบาล พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกฯ รัชกาลที่ ๑ ยังได้ทรงแต่งตั้งพระองค์เจ้าชายอภัยทัต (พระองค์เสือ หรือ “กรมหลวงเทพพลภักดิ์” ในเวลาต่อมา) มาดำรงตำแหน่งเป็น “เจ้ากรมคชบาล” ที่ตั้งขึ้นใหม่ที่อยุธยานี้ ถือเป็นเจ้ากรมคชบาลคนแรกในสมัยรัตนโกสินทร์ คนอยุธยานิยมเรียกพระองค์ว่า “กรมหลวงหมอเฒ่า” (คำว่า “หมอเฒ่า” เป็นคำเรียกหมอช้างอาวุโสตามวัฒนธรรมคนจับช้าง) เมื่อสิ้นพระชนม์ได้มีการตั้งศาลกรมหลวงหมอเฒ่าให้ที่ข้างเพนียดด้านทิศเหนือ (สมัยนั้นยังไม่มีแนวคิดการสร้างอนุสาวรีย์)
“หม่อมไกรสร” หรือกรมหลวงรักษ์รณเรศ พระอนุชาของกรมหลวงเทพพลภักดิ์ ได้สืบต่อตำแหน่งเจ้ากรมคชบาลในสมัยรัชกาลที่ ๓ แต่ก็เพียงในนาม เพราะทรงสนใจและให้ความสำคัญกับงานโขนละครมากกว่า อีกทั้งยังเป็นที่รู้กันเกี่ยวกับเพศสถานะ (Gender) ของเจ้านายพระองค์นี้ ทรงนิยมชายรักชาย เลยไม่เป็นที่นิยมในหมู่คนจับช้าง เพราะการจับช้างเป็นงานอันตรายถือเป็นงานของลูกผู้ชายชาตรี
ประกอบกับช่วงนั้นสยามทำสงครามกับเวียดนามแย่งชิงกันเป็นใหญ่ในกัมพูชาที่เรียกว่า “อานาม-สยามยุทธ์” พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าฯ จึงโปรดให้กรมหลวงรักษ์รณเรศไปประทับอยู่ที่ฉะเชิงเทรา เพื่อเป็นแม่กองสร้างป้อมปราการและปรับปรุงเมืองเตรียมรับศึก เผื่อไว้หากเวียดนามยกทัพมา แต่ที่ฉะเชิงเทรา กรมหลวงรักษ์รณเรศมีเรื่องถูกฟ้องร้องว่าคิดการกบฏ ถูกจับกุมมาพิจารณาคดีความแล้วต้องโทษประหารชีวิตไป[12]
หลังจากสิ้นกรมหลวงรักษ์รณเรศ กรมคชบาลและเพนียดคล้องช้างแม้ไม่ถึงกับถูกยกเลิกไปแต่ราชสำนักก็ไม่ได้ให้ความสำคัญ จนกระทั่งถึงยุคสมเด็จฯ เจ้าฟ้ามหามาลา กรมพระยาบำราบปรปักษ์ ดำรงตำแหน่งเป็นเจ้ากรมคชบาล เดิมทีก็ทรงดำรงตำแหน่งนี้แต่เพียงในนามเช่นเดียวกับกรมหลวงรักษ์รณเรศ แต่ภายหลัง พ.ศ. ๒๔๐๙ (สมัยรัชกาลที่ ๔) เป็นต้นมา สมเด็จฯ กรมพระยาบำราบปรปักษ์ก็ได้ทรงเสด็จมาประทับอยู่ที่อยุธยาเป็นการถาวร ทั้งนี้สืบเนื่องจากเมื่อครั้งก่อนหน้าที่รัชกาลที่ ๔ จะเสด็จสวรรคต ทรงเคยรับสั่งต่อที่ประชุมขุนนางว่า:
“ในเวลาต่อไปถ้าเจ้านายทรงกรมเป็นกรมหมื่นสี่พระองค์ คือ กรมหมื่นพิฆเนศวรสุรสังกาศ กรมหมื่นบำราบปรปักษ์ กรมหมื่นวรจักรธรานุภาพ และกรมหมื่นอักษรสาสนโสภณ พระองค์ใดพระองค์หนึ่งจะได้เสด็จขึ้นเถลิงถวัลยราชสมบัติในกรุงเทพมหานครแล้ว จะมิได้ทรงรังเกียจเดียดฉันท์เลย”[13][xiii]
“กรมหมื่นบำราบปรปักษ์” คือเจ้านายองค์เดียวกับ “สมเด็จฯ กรมพระยาบำราบปรปักษ์” ตั้งแต่เมื่อทราบรับสั่งเช่นนั้น ก็ทรงไม่สบายพระทัย เนื่องจากเจ้านายที่อยู่ในเกณฑ์ที่ควรได้ราชสมบัติมากที่สุดเวลานั้นคือเจ้าฟ้าชายจุฬาลงกรณ์ (พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ รัชกาลที่ ๕ ในเวลาต่อมา) สมเด็จฯ กรมพระยาบำราบปรปักษ์จึงเสด็จออกจากกรุงเทพฯ มาอยู่อยุธยา เพื่อหลีกหนีการเมืองในราชสำนัก และในระหว่างประทับอยู่ที่เพนียดคล้องช้าง อยุธยา ก็ได้ทรงบูรณปฏิสังขรณ์วัดทะเลหญ้า ซึ่งเป็นวัดเก่าของกรมคชบาลสมัยอยุธยาแต่ร้างไป ขึ้นใหม่ใช้ชื่อว่า “วัดบรมวงศ์อิศรวรารามวรวิหาร” โดยให้เป็นวัดสำหรับถวายพระเกียรติแด่เจ้าฟ้าชายจุฬาลงกรณ์ เพื่อแสดงให้เห็นว่าทรงสนับสนุนเจ้าฟ้าชายจุฬาลงกรณ์ มิได้ปรารถนาราชสมบัติหรือแข่งบุญบารมีกับรัชกาลที่ ๕
อีกทั้งในระหว่างประทับอยู่ที่อยุธยา สมเด็จฯ กรมพระยาบำราบปรปักษ์ยังวางพระองค์เรียบง่ายอยู่กับคนจับช้าง แม้ไม่ถึงกับ “บรรทมกลางดิน เสวยกลางทราย” แต่ก็มีบุคลิกลักษณะเป็นกันเองกับลูกน้อง ไม่เจ้ายศเจ้าอย่าง ทำให้ชาวกรมช้างตลอดจนชาวเมืองพระนครศรีอยุธยาเคารพนับถือพระองค์เป็นอย่างมาก เกิดเป็นวัฒนธรรมใหม่ในองค์กรหลักของคนจับช้าง ที่แม้เป็นเจ้านายแต่เมื่อมาอยู่กับกรมนี้ก็ดูไม่ต่างจากสามัญชน จนทำให้เข้าใจกันไปว่ากรมนี้ไม่มีเจ้าไม่มีนาย เจ้ากรมเองยังฝึกขี่ช้างจับช้างร่วมกับเจ้าพนักงานราวกับเป็นเจ้าพนักงานคนหนึ่ง[14]
แต่ขณะเดียวกันก็เป็นหน่วยงานที่เข้มแข็งและขยายใหญ่โตไปกว่ายุคก่อนหน้ามาก มีหนุ่มฉกรรจ์จากทั่วทุกภูมิภาคสนใจสมัครเข้าฝึกเป็นหมอช้างเพื่อจะได้ร่วมงานกับกรมคชบาลยุคนี้ เนื่องจากมีกิตติศัพท์ว่าเป็นกรมที่เจ้านายไม่ดุร้ายและดูแลเจ้าพนักงานเป็นอย่างดี (ถ้าภาษาทุกวันนี้ก็คงประมาณว่า เป็นกรมที่ “สวัสดิการดี-เจ้านายไม่ toxic” นั่นแหละ) แน่นอนว่าถึงแม้กรมคชบาลจะเป็นหน่วยงานแตกต่างจากหน่วยงานราชการอื่นในสมัยเดียวกันนั้น แต่ก็ยังห่างไกลจากการเป็นหน่วยงานตามระบอบประชาธิปไตย
การคล้องช้างที่เปิดให้ผู้คนจากทั่วสารทิศสามารถเข้ารับชมได้นี้ ทำให้อยุธยากลับฟื้นคืนชีวิตอีกครั้ง เศรษฐกิจการค้าของอยุธยากระเตื้องขึ้น ผู้คนชาวเมืองกรุงเก่ามีรายได้เสริมนอกเหนือจากรายได้ในอาชีพการงานปกติ เกิดตลาดย่านการค้าและสถานที่พักผ่อนรองรับราษฎรที่เดินทางมาชมงานคล้องช้าง ตลาดในอยุธยาเวลานั้นตลาดที่ใหญ่ที่สุดคือ “ตลาดหัวรอ” เพราะอยู่ตรงชุมทางตอนเหนือของเกาะเมืองก่อนจะแยกเข้าคลองบางขวดที่มุ่งตรงไปยังเพนียดคล้องช้างพอดี ตลาดหัวรอสมัยนั้นมีทั้งตลาดบกและตลาดน้ำ เป็นตลาดถาวรขายสินค้าตลอดทั้งวัน ในน้ำมีเรือนแพขายของต่าง ๆ บนบกมีห้องแถวร้านรวง แผงลอย บ่อนเบี้ย มีโรงลิเก โรงงิ้ว โรงภาพยนตร์ โรงเหล้า โรงยาฝิ่น โรงรับจำนำ โรงหญิงโสเภณี เป็นต้น[15]
ในแง่หนึ่งจึงไม่แปลกที่กรมคชบาลและการคล้องจับช้างยุคนี้จะอยู่ในความทรงจำของผู้คน เป็นที่พูดถึงกันอยู่ จนแม้แต่หลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง ๒๔๗๕ ไปแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับชาวกรุงเก่า เพราะการคล้องช้างที่เพนียดทำให้อยุธยากลับมาเป็นเมืองมีชีวิตชีวาอีกครั้งนับแต่การเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ ๒ พ.ศ. ๒๓๑๐ และก็ไม่แปลกอีกเช่นกันที่การคล้องช้างยุคนี้จะอยู่ในความทรงจำของคนกรุงเก่ารุ่นนายเสียง พนมยงค์ จนถึงปรีดี พนมยงค์
บริเวณวัดพนมยงค์กับทุ่งทะเลหญ้าอันเป็นที่ตั้งของเพนียดคล้องช้าง ซึ่งจะมีการจัดงานคล้องช้างเป็นประจำนั้นอยู่ไม่ไกลกันเท่าไรเลย สมัยนั้นนอกจากมหรสพอย่างลิเก งิ้ว แล้วคนกรุงเก่าจะมีมหรสพพิเศษที่สร้างความบันเทิง (แถมเสี่ยงภัยนิด ๆ) ในการรับชมกันได้มากก็คืองานคล้องช้างที่เพนียดกรุงเก่านั่นเอง
(๔) การคล้องช้างเปลี่ยนมาสู่การแสดงมหรสพในสมัยรัชกาลที่ ๕

กรมพระยาบำราบปรปักษ์
นอกจากวัฒนธรรมองค์กรที่มีการปรับเปลี่ยนไป ในสมัยรัชกาลที่ ๕ การคล้องช้างยุคสมเด็จฯ กรมพระยาบำราบปรปักษ์ เป็นเจ้ากรมคชบาล ยังมีการปรับเปลี่ยนวัตถุประสงค์ของการคล้องช้างที่เพนียดอยุธยา จากเดิมที่เป็นการคล้องจับเพื่อได้ช้างมาไว้ใช้ในงานราชการบ้านเมือง ไม่ว่าจะเป็นการศึกสงครามและการคมนาคมขนส่งทางบก ก็เปลี่ยนมาสู่การเป็นจัดงานแสดงมหรสพ เปิดให้ไพร่ราษฎรจากหัวเมืองต่าง ๆ ได้มารับชมการคล้องช้างที่จะจัดขึ้นเป็นประจำทุกปีที่เพนียดอยุธยา ทำให้สมัยนั้นเมื่อถึงฤดูคล้องช้าง ผู้คนต่างหลั่งไหลเดินทางไปอยุธยากันเป็นอันมาก เพื่อจะได้รับชมการคล้องช้างกันสักครั้งหนึ่งในชีวิต[16]
เมื่อวัตถุประสงค์เปลี่ยนไปเป็นการแสดงเพื่อความบันเทิง วิธีการคล้องช้างก็จึงเปลี่ยนไปด้วย เพื่อให้ควบคุมได้และอันตรายน้อยลง จึงใช้ “ช้างบ้าน” มาสมมติบทบาทเป็น “ช้างป่า” ส่วนหนึ่ง อีกส่วนหนึ่งเป็น “ช้างต่อ” เพราะหากเป็นการคล้องจับช้างป่าจริงอาจเกิดเหตุการณ์ช้างตกมันหรือหลุดออกจากโขลงเข้าทำร้ายผู้คนได้ ยกเว้นแต่การคล้องช้างเพื่อต้อนรับพระราชอาคันตุกะแขกบ้านแขกเมืองที่จะยังมีการต้อนโขลงช้างป่ามาเข้าเพนียด ก่อนจะล้อมจับเอาไป
ทั้งนี้การคล้องช้างสมัยรัชกาลที่ ๕ ยังมีการคล้องจับเพื่อต้อนรับราชอาคันตุกะ (แขกบ้านแขกเมือง) จากต่างประเทศโดยเฉพาะชาวยุโรป ได้เยี่ยมชม เพราะเป็นสิ่งมหัศจรรย์ที่ไม่มีในบ้านเมืองของพวกเขา เพื่อแสดงให้ชาวต่างประเทศเห็นความภูมิปัญญาความสามารถของชาวสยาม ท่ามกลางยุคล่าอาณานิคมของชาติตะวันตก เป็นการแสดงแสนยานุภาพของชาวประเทศสยามแบบหนึ่ง การคล้องช้างด้วยวัตถุประสงค์เช่นนี้จึงเป็นข้อยกเว้นที่จะต้องเป็นการคล้องจับช้างป่ากันจริง ๆ โดยต้อนมาจากทุ่งหลวง (บริเวณฝั่งตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยา ครอบคลุมตั้งแต่ทุ่งรังสิต เชียงราก บางไทร บางปะอิน วังน้อย หนองแค พิหารแดง บ้านนา นครนายก เป็นต้น) แต่ก็ยังคงเปิดให้ราษฎรได้เข้าชมด้วย แต่ให้อยู่ห่างจากโขลงช้าง ไม่ได้ให้ชมได้อย่างใกล้ชิดเหมือนการคล้องช้างบ้าน
สมัยรัชกาลที่ ๕ นอกจากการคล้องช้างตามปกติที่เพนียด ซึ่งทำเป็นประจำทุกปีแล้ว การคล้องช้างครั้งพิเศษสำคัญยังมี ๔ ครั้งด้วยกัน คือ พ.ศ. ๒๔๑๙, ๒๔๒๖, ๒๔๒๖, ๒๔๓๔ ครั้งสำคัญและเป็นที่จดจำของผู้คนมากคือครั้ง พ.ศ. ๒๔๓๔ เป็นการคล้องช้างเพื่อต้อนรับซาร์เรวิช (Tsesarevich) รัชทายาทพระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ ๒ แห่งจักรวรรดิรัสเซีย ช่วงนั้นสยามต้องการผูกมิตรกับรัสเซีย เพื่อหวังดึงเอาอำนาจของพระเจ้าซาร์แห่งรัสเซียมาคานกับอังกฤษและฝรั่งเศส[17]
วันแรกจับได้ช้างตัวโตลักษณะดี ตั้งชื่อว่า “พลายซาร์เรวิช” วันที่สอง พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ รัชกาลที่ ๕ ทรงตรัสถามซาร์เรวิชว่า จะประทานลูกช้างเล็ก ๆ ให้ไปดูเล่นบนเรือรบสักเชือกหนึ่ง จะโปรดหรือไม่ ซาร์เรวิชก็แสดงความยินดีจะรับเอาช้างน้อยนั้นกลับขึ้นเรือไปด้วย
ถึงแม้การคล้องช้างน้อยจะยากยิ่งกว่าการคล้องช้างตัวโตและปกติพวกเขาจะไม่ทำกัน แต่พวกกรมช้างก็จำต้องรับสนองพระราชโองการ เลือกได้ช้างน้อยตัวหนึ่งเพิ่งหย่านมสูงประมาณ ๒ ศอกเศษ แต่เมื่อจะเข้าคล้องจับ ช้างตัวแม่เหมือนจะรู้ ไม่ยอมห่างจากลูกของมัน แม้จะเอาช้างต่อเข้ารุมไล่ก็ไม่ได้ผล เอาเชือกบาศคล้องเท้าช้างตัวแม่ มันก็ดึงกัดเชือกขาด แล้วคาบเชือก พร้อมกับไล่ลูกของมันออกไปจากคอกพร้อมกับโขลงของมัน พอออกห่างจากช้างต่อไปได้แล้ว มันยังเหลียวหลังกลับมามองเหมือนเยาะเย้ย ทำเอาคนดูพากันสงสาร ถึงกับร้องไห้ บ้างก็หัวเราะขำ
ครั้นจะเอาช้างต่อเข้าไปไล่ช้างแม่ลูกมาอีก ราษฎรผู้ชมที่อยู่ตรงนั้นก็พากันร้องโห่กึกก้องขึ้น จนคนกรมคชบาลเองต้องแก้ไขสถานการณ์โดยให้คนไปทูลซาร์เรวิชให้ช่วยทูลขอให้รัชกาลที่ ๕ ทรงพระราชทานคืนลูกช้างเป็นบำเหน็จแก่แม่ช้าง จึงทรงพระกรุณาโปรดให้ปล่อยไป เป็นที่พอใจแก่ราษฎรที่อยู่ตรงนั้นกันถ้วนหน้า ก็เป็นอันว่าเจ้าช้างน้อยนั้นอดได้ขึ้นเรือไปรัสเซียกับซาร์เรวิช แต่ดีกว่าถ้าได้อยู่กับแม่มันดังเดิม สมกับที่แม่มันรักและหวงแหนถึงเพียงนั้น และคงดูไม่ดีไม่งามจนกระทบพระเกียรติยศเป็นแน่ หากครั้งนั้นยังขืนดึงดันจะพรากลูกไปจากแม่ช้างทั้งอย่างนั้น
(๕) การคล้องช้างที่ลพบุรี พ.ศ. ๒๔๘๑ & ภาพจำที่ถูกบิดเบือน
นับตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๓๔ เป็นต้นมา ก็ไม่ปรากฏการจัดงานคล้องช้างอีกเลย จนกระทั่ง พ.ศ. ๒๔๘๑ เป็นระยะเวลาห่างกันกว่า ๔๗ ปี และเป็นเวลาหลังจากอภิวัฒน์เปลี่ยนแปลงการปกครองไปเพียง ๖ ปี แต่แนวคิดที่จะจัดงานคล้องช้างขึ้นอีกคงมีมาก่อนหน้านั้นแล้ว และใช้เวลาเตรียมการกว่า ๑ ปี คือเตรียมตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๘๐
สถานที่ที่จัดงานคล้องช้างคราวนี้ไม่ใช่ที่อยุธยา จัดที่เขาสำมะลึง-เขามอ จังหวัดลพบุรี มีขนาดกว้าง ๑๐๐ เมตร ยาว ๕๐ เมตร ซึ่งเป็นพื้นที่กว้างใหญ่กว่าเพนียดอยุธยาถึงราว ๑๐ เท่า บริเวณที่ตั้งเพนียดเป็นแอ่งระหว่างภูเขาสองลูกบรรจบกัน ทำให้สามารถใช้บริเวณสันเขาเป็นที่ชมที่ปลอดภัยแก่ราษฎร เพราะต่อให้มีช้างตกมันหรือแตกโขลงก็ไม่สามารถจะปีนเขาขึ้นไปทำร้ายคนได้ สถานที่ตั้งเพนียดนี้ได้ทำตามคำแนะนำและสำรวจหาของหมื่นหาญอาษา หมอควาญช้างจากบ้านปะคำ อำเภอนางรอง จังหวัดบุรีรัมย์ (ปัจจุบันแยกเป็นอำเภอปะคำ จังหวัดบุรีรัมย์)
หน่วยงานที่ปฏิบัติหน้าที่ก็ไม่ใช่กรมคชบาลซึ่งถูกยกเลิกไปแล้ว เป็นกระทรวงกลาโหม แม้ว่าทีมผู้จัดงานคล้องช้างครั้งนี้จะมีเจตนาดีที่ต้องการฟื้นฟูและอนุรักษ์การคล้องช้างตามแบบที่เคยมีในสมัยสมเด็จพระนารายณ์ การจัดที่ลพบุรีก็จึงมีความเหมาะสมจากประวัติศาสตร์ของเมืองลพบุรีที่ได้ชื่อเป็น “เมืองพระนารายณ์”[18]
โดยในการคล้องช้าง เหล่าหมอควาญช้างได้ต้อนช้างป่ามาจาก “ดงจัญไรชุมพวง” ดงนี้อยู่ที่ไหน ยังเป็นประเด็นปริศนาท้าทายให้ถกเถียงกันอยู่เสมอ เพราะเอกสารไม่ได้ให้รายละเอียดคือที่ใดแน่ ส่วนมากเชื่อว่าอยู่ที่อุทัยธานี อารีย์ ทองแก้ว เสนอว่าคือ “แดนต่อแดนจังหวัดบุรีรัมย์กับจังหวัดสุรินทร์”[19] แต่ทั้งอุทัยธานีกับบุรีรัมย์-สุรินทร์ ล้วนแต่มีระยะทางไกลเกินไป ไม่น่าที่จะต้อนโขลงช้างมาเข้าเพนียดที่สร้างเตรียมไว้ที่ลพบุรีได้ ธงชัย ลิขิตพรสวรรค์ เสนอความเป็นไปได้ว่าน่าจะเป็นชัยภูมิ ซึ่งอยู่ต่อแดนกับลพบุรี[20]
แม้จะประสบความสำเร็จ แต่ก็เป็นการคล้องช้างครั้งที่ถูกนำเอาไปสร้างภาพจำบิดเบือนเป็นอันมาก บิดเบือนข้อแรกเลย คือหาว่าเป็นการคล้องช้างสมัยจอมพล ป. พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี ทั้ง ๆ ที่การจัดงานเกิดขึ้นเมื่อวันที่ ๑๐-๒๑ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๘๑ จอมพล ป. พิบูลสงคราม เวลานั้นยังดำรงตำแหน่งเป็นพันเอกหลวงพิบูลสงคราม (แปลก ขีตะสังคะ) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมอยู่ ยังไม่ได้เป็นนายกรัฐมนตรี เป็นนายกรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๖ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๘๑ นายกรัฐมนตรีสมัยนั้นคือพระยาพหลพลพยุหเสนา (พจน์ พหลโยธิน) ต่างหาก
บิดเบือนข้อที่สอง คือจอมพล ป. พิบูลสงคราม ไม่ได้เป็นผู้ริเริ่มและควบคุมดูแลการคล้องช้างครั้งนี้ หัวเรี่ยวหัวแรงสำคัญที่เป็นผู้ริเริ่มและดำเนินการมาตั้งแต่ต้นคือ พันตรีหลวงไววิธีทัพ (พล เสนีวงศ์ ณ อยุธยา) รองหัวหน้าแผนกที่ ๑ กรมจเรทหารบก ซึ่งขณะนั้นประจำการอยู่ที่ลพบุรี
ส่วนบทบาทที่แท้จริงของจอมพล ป. พิบูลสงคราม นั้นในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้อนุมัติเงินงบประมาณ ๑๐,๐๐๐ บาท ให้แก่กรมจเรทหารบก จังหวัดลพบุรี แต่ก็ไม่เพียงพอ ต้องระดมบริจาคจากประชาชนเพิ่มเติมอีก ซึ่งก็ได้รับการสนับสนุนจากพ่อค้าคหบดีตลอดจนประชาชนทั่วไป
อุปสรรคสำคัญก็คือการขาดแคลนหมอช้างและช้างต่อสำหรับใช้งาน แต่ต่อมาเมื่อรัฐบาลพระยาพหลพลพยุหเสนา (พจน์ พหลโยธิน) ได้ประกาศขอความร่วมมือจากประชาชน ก็ได้รับความสนับสนุน มีผู้นำเอาช้างต่อพร้อมหมอควาญช้างไปส่งให้กองอำนวยการคล้องช้างที่ลพบุรี ดังรายการต่อไปนี้:
(๑) ขุนพานิชอำนวยการ คหบดี และข้าหลวงประจำจังหวัดสุรินทร์ นำช้างมาให้ ๔๑ เชือก
(๒) หมื่นหาญอาษา บ้านปะคำ อำเภอนางรอง จังหวัดบุรีรัมย์ นำช้างมาให้ ๒๕ เชือก
(๓) ข้าหลวงประจำจังหวัดเพชรบูรณ์ นำมาให้ ๑๑ เชือก และยังจะจัดหามาให้เพิ่มเติมต่อไป
(๔) หลวงณรงค์รักษาเขตต์ กับข้าหลวงประจำจังหวัดนครราชสีมา คหบดี นำมาให้ ๖ เชือก และยังจะจัดหามาให้เพิ่มเติมภายหลังอีก
(๕) ครูบาสอน ชาวบุรีรัมย์ นำมาให้ ๒ เชือก
รวมจำนวนช้างต่อที่จัดหามาได้เท่าที่ทราบจำนวนแน่ชัดคือ ๘๕ เชือก พร้อมหมอควาญและเครื่องไม้เครื่องมือสำหรับคล้องช้าง ขณะเดียวกันก็ยังรออีกกว่า ๑๔-๑๕ จังหวัด ในเขตภาคกลางและอีสาน ที่จะส่งช้างต่อ หมอควาญ และเครื่องไม้เครื่องมือมาให้เพิ่มเติมอีก ประมาณคร่าว ๆ เมื่อถึงวันงานจริง น่าจะมีช้างต่อเข้าร่วมเป็นจำนวน ๑๐๐-๑๒๐ เชือก โดยจัดงานเป็นเวลากว่า ๑๒ วัน ๑๒ คืน มีราษฎรเข้าชมกว่า ๒ หมื่นคน นับเป็นการจัดงานคล้องช้างที่อลังการยิ่งกว่าครั้งใด ๆ ที่เคยทำมา
เช่นเดียวกับการคล้องช้างที่อยุธยา การคล้องช้างที่ลพบุรีเมื่อ พ.ศ. ๒๔๘๑ ก็ส่งผลทำให้เกิดความคึกคัก เศรษฐกิจการค้าภายในตัวเมืองลพบุรี เกิดการกระเตื้องขึ้น สร้างรายได้แก่ชาวลพบุรีและหัวเมืองใกล้เคียง ผู้คนออกร้านค้าขายต่าง ๆ ทั้งในบริเวณข้างเพนียด เส้นทางระหว่างไปเพนียด และในตลาดขนส่งของตัวเมืองลพบุรี มีการจัดแสดงโขน ลิเก งิ้ว การร่ายรำ ตลอดจนละครเวทีเล่าประวัติศาสตร์และตำนานของเมืองลพบุรี ให้ผู้คนได้รับชมช่วงหัวค่ำหลังจากชมการคล้องช้างแล้วอีกด้วย
แต่อย่างไรก็ตาม การคล้องช้างครั้ง พ.ศ. ๒๔๘๑ ก็ไม่ใช่ครั้งสุดท้าย เพราะหากนำเอาการคล้องช้างที่ทำโดยปรีดี พนมยงค์ และกระทรวงการคลัง ในภาพยนตร์เรื่อง “พระเจ้าช้างเผือก” เมื่อ พ.ศ. ๒๔๘๓ ไปรวมเข้าด้วยกับประวัติศาสตร์การคล้องช้างแล้ว การคล้องช้างใน “พระเจ้าช้างเผือก” ต่างหากที่ควรถือเป็นการคล้องช้างครั้งสุดท้ายที่ดำเนินการจัดทำโดยหน่วยงานราชการส่วนกลางอย่างแท้จริง
(๖) การคล้องช้างในฐานะ “มรดกทางประวัติศาสตร์นิพนธ์” และ “การเมืองของความทรงจำ”
ประเด็นต่อมาที่ต้องเคลียร์ก็คือที่มาของการสร้างภาพจำบิดเบือนเกี่ยวกับการคล้องช้างสมัยรัฐบาลคณะราษฎรภายใต้การนำของพระยาพหลพลพยุหเสนา (พจน์ พหลโยธิน) เมื่อ พ.ศ. ๒๔๘๑ เกิดขึ้นมาได้จากตรงไหน อย่างไร และทำไม? แม้ว่าเราอาจจะพอคาดเดาได้ไม่ยากว่า เมื่อเป็นผลงานของคณะราษฎร ก็ย่อมเป็นเรื่องปกติที่จะถูกนำเอาไปเป็นประเด็นการเมือง เมื่อกลุ่มการเมืองซึ่งเป็นปฏิปักษ์ต่อคณะราษฎร เป็นใหญ่ในทางสังคมการเมืองเรื่อยมานับตั้งแต่การรัฐประหาร พ.ศ. ๒๔๙๐ เป็นต้นมา
ประกอบกับพระยาพหลพลพยุหเสนา (พจน์ พหลโยธิน) กับพันตรีหลวงไววิธีทัพ (พล เสนีวงศ์ ณ อยุธยา) ผู้ซึ่งเป็น “ตัวจริง” ของการคล้องช้างครั้งดังกล่าวนี้ ต่างก็มีบุคลิกแบบ “ไม่เคลม” ผลงานตัวเอง เมื่อพ้นภาระหน้าที่ในตำแหน่งแล้วก็จากไปอย่างเงียบ ๆ และเมื่อจอมพล ป. พิบูลสงคราม ขึ้นสู่อำนาจเป็นนายกรัฐมนตรีได้ยาวนานและ ๒ สมัย คนก็จดจำแต่จอมพล ป. พิบูลสงคราม มากกว่าคนอื่น
แต่อย่างไรก็ตาม สำหรับเราในชั้นหลังมานี้ ก็ยังจำเป็นจะต้องทราบในระดับรายละเอียดอยู่ด้วยเหมือนกัน เกี่ยวกับที่มา-ที่ไปของเรื่องนี้ ไม่งั้นสืบไปภายหน้าจะสามารถทำการ “รื้อถอน” ได้ตรงจุดต่อไปได้อย่างไร
ทั้งนี้แม้ว่าเหตุการณ์สำคัญ (ใด ๆ ก็ตาม) จะผ่านพ้นไปในแง่มิติเวลาไปแล้วก็จริง แต่บางเรื่องก็ยังคงเป็นความทรงจำของผู้คนที่ยังไม่เพียงไม่เลือนหาย หากแต่ยังสามารถรับรู้และเข้าใจไปในทางที่ทั้งถูกต้องตรงตามเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นจริงและทั้งบิดเบี้ยวไปจากข้อเท็จจริงของเหตุการณ์
เมื่อการคล้องช้างจบสิ้นลงไปแล้ว สิ่งหนึ่งที่หลงเหลืออยู่และเป็นหลักฐานให้แก่ความทรงจำรำลึกก็คืองานเขียนทางประวัติศาสตร์ เมื่อนับดูคร่าว ๆ แล้ว ผู้เขียนพบว่า การคล้องช้างนับเป็นเหตุการณ์ที่มีงานเขียนประวัติศาสตร์เป็นจำนวนมากเหมือนกัน แม้ว่าจะยังไม่มีงานวิจัยหรือวิทยานิพนธ์ โดยมากยังอยู่ในรูปเอกสารทางการและงานสารคดีประวัติศาสตร์
อาจเรียกสิ่งนี้ตามภาษาของนักศึกษาประวัติศาสตร์ได้ว่า “มรดกทางประวัติศาสตร์นิพนธ์” (Historiographical heritage) ของการคล้องช้างในสังคมไทยสยามก็ได้ สำหรับในที่นี้ ผู้เขียนจะขออภิปรายถึงเพียง ๔ ชิ้นที่เป็นหลักหมายของแต่ละแนวทางดังต่อไปนี้:
(๖.๑) ฮ. ไพรยวัล (เฮง ไพรยวัล) กับ “ตำนานการจับช้าง”
“ฮ. ไพรยวัล” เป็นนามปากกาของ “เฮง ไพรยวัล” ผู้ประพันธ์ผลงานเรื่อง “ตำนานการจับช้าง” ตีพิมพ์ครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. ๒๔๘๑[21] โดยในกระบวนการจัดทำหนังสือเล่มนี้ เริ่มต้นไม่นานหลังจากที่รัฐบาลพระยาพหลพลพยุหเสนา (พจน์ พหลโยธิน) ได้ประกาศว่าจะมีการจัดงานคล้องช้างขึ้นอีกครั้งที่ลพบุรี นับจากที่งานนี้หายไปไม่ได้จัดอีกเลย นับแต่ครั้ง พ.ศ. ๒๔๓๔ เฮงมีวัตถุประสงค์ในการเขียนงานชิ้นนี้ขึ้นก็เพื่อหวังให้เป็นคู่มือของประชาชนได้รับชมการคล้องช้างที่จะจัดขึ้นที่ลพบุรีเมื่อวันที่ ๑๐-๒๑ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๘๑ ได้อย่างมีอรรถรสและความรู้
เฮงกับเหม เวชกร ได้เดินทางไปสำรวจเยี่ยมชมเพนียดคล้องช้างที่อยุธยา ตั้งแต่เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๘๐ ได้พบคนเฒ่าคนแก่ที่เคยเห็นงานคล้องช้างสมัยรัชกาลที่ ๕ ซึ่งยังมีชีวิตอยู่เพียงไม่กี่คน และไปได้ต้นฉบับหนังสือสมุดไทยมาจากคุณยายท่านหนึ่ง ตกลงกันว่า เหม เวชกร จะเป็นคนวาดภาพประกอบให้ แต่เมื่อถึงเวลาก็ไม่ได้ให้เหมวาด เพราะใกล้วันงานคล้องช้างที่ลพบุรีแล้ว เฮงเลยวาดเอง
“ตำนานการจับช้าง” ของเฮง ไพรยวัล ให้ข้อมูลถูกต้องและถือเป็นเอกสารชั้นต้นอีกชิ้นเกี่ยวกับการคล้องช้าง พ.ศ. ๒๔๘๑ ตั้งแต่การระบุถึงการเตรียมการจัดงานกันข้ามปีตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๘๐ และยังระบุไว้ด้วยว่า เป็นการจัดงานคล้องช้างในสมัยรัฐบาลภายใต้การนำของพระยาพหลพลพยุหเสนา (พจน์ พหลโยธิน) ไม่ใช่สมัยจอมพล ป. พิบูลสงคราม เหมือนอย่างที่เข้าใจผิดหรือพยายามบิดเบือนกันภายหลัง
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้การเรียบเรียงเล่ม “ตำนานการจับช้าง” ของเฮง ไพรยวัล จะมีวัตถุประสงค์หลักคือการเป็นคู่มือแก่ประชาชนในการรับชมการคล้องช้างที่ลพบุรีเมื่อ พ.ศ. ๒๔๘๑ ได้อย่างมีอรรถรสและมีพื้นความรู้เกี่ยวข้อง แต่เนื่องจากเนื้อหาหลักเป็นการเล่าถึงการคล้องช้างสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์ จึงแฝงไว้ด้วยการยกย่องบทบาทของสถาบันชั้นสูงในระบอบเก่า
แม้ว่าการคล้องช้างที่ลพบุรีเมื่อวันที่ ๑๐-๒๑ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๘๑ จะผ่านพ้นไปแล้ว เฮงก็ไม่ได้นำผลงานชิ้นนี้มา “ปัดฝุ่น” ปรับปรุงแก้ไข หรือเขียนงานชิ้นใหม่เพื่อเล่าเรื่องการคล้องช้างครั้ง พ.ศ. ๒๔๘๑ เป็นการเฉพาะเพิ่มเติมแต่อย่างใด อย่างไรก็ตาม ปัญญาชนนักเขียนคนสำคัญที่ได้รับประโยชน์จากงานของเฮงไปเต็ม ๆ คือสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ซึ่งได้ทรงพระนิพนธ์ผลงานชิ้นสำคัญกระทำความ “อุดช่องโหว่” ที่ปรากฏในงานของเฮงในกาลต่อมา
(๖.๒) สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ กับ “นิทานโบราณคดี”
ในพระนิพนธ์เล่ม “นิทานโบราณคดี” ของสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ มีนิทานอยู่ ๒ เรื่องคือ “นิทานที่ ๒๐ เรื่องจับช้าง (ภาคต้น)” กับ “นิทานที่ ๒๑ เรื่องจับช้าง (ภาคปลาย)”[22] ทรงพระนิพนธ์งานทั้งสองชิ้นนี้ขณะเสด็จไปประทับที่ปีนัง หลังจากเกิดเหตุการณ์อภิวัฒน์เปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. ๒๔๗๕ ตีพิมพ์ครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. ๒๔๘๕
ถึงแม้ว่าสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพจะทรงระบุว่าวัตถุประสงค์ของการที่ทรงมีพระนิพนธ์ชิ้นนี้ออกมา แค่เพราะจะตอบข้อซักถามและข้อสงสัยต่าง ๆ ของธิดา โดยเฉพาะข้อซักถามของหม่อมเจ้าหญิงพูนพิศมัย ดิศกุล แต่การเล่าเรื่องความสำเร็จในทางการปกครองของชนชั้นนำสยามสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์ในช่วงเวลาอย่างนั้น ก็เหมือนพยายามจะทรงพระ “เคลม” อะไรบางอย่าง การเลี่ยงไปใช้คำว่า “นิทาน” ไม่ใช้ “พงศาวดาร” หรือ “ประวัติศาสตร์” ทั้งที่เรื่องที่เล่าในนั้นไม่ใช่นิทาน อีกทั้งหากทรงประสงค์จะแค่ตอบคำถามของธิดา ก็ไม่เห็นจำเป็นต้องเขียนไปส่งตีพิมพ์เป็นหนังสือ ล้วนแต่บ่งบอกถึงวัตถุประสงค์แท้จริงอยู่โดยนัย
จากความสำเร็จของการคล้องช้างที่ลพบุรีเมื่อ พ.ศ. ๒๔๘๑ เป็นที่ชื่นชมแก่ราษฎรที่ไปรับชม รวมถึงที่ได้ยินได้ฟังกันมาแบบปากต่อปากเป็นอันมาก ทำให้ชนชั้นนำสยามส่วนหนึ่งอดที่จะนำเอาการคล้องช้างครั้งนี้ไปเปรียบเทียบกับการคล้องช้างเมื่อสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์ไม่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสมัยรัชกาลที่ ๕ พ.ศ. ๒๔๓๔ ที่เป็นการคล้องช้างเพื่อจัดงานต้อนรับซาร์เรวิชดังที่กล่าวถึงข้างต้นนั้นแล้ว
จากนิทานเรื่อง “จับช้าง” สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพได้เน้นเล่าเรื่องการจับช้างสมัยรัชกาลที่ ๕ โดยไม่เพียงแต่มุ่งเน้นประเด็นรูปแบบวิธีการและการจัดการของกรมคชบาลเหมือนอย่างเล่ม “ตำนานการจับช้าง” ของเฮง ไพรยวัล เท่านั้น สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพในพระนิพนธ์ชิ้นนี้ยังเน้นแสดงให้เห็นบทบาทของเจ้านายในยุคสมบูรณาญาสิทธิราชย์อย่างมีนัยสำคัญ ทั้ง ๆ ที่การคล้องช้างเป็นงานของไพร่มากกว่าเจ้า และการคล้องช้างที่ลพบุรีเมื่อ พ.ศ. ๒๔๘๑ ก็ได้แสดงให้เห็นเป็นรูปธรรมแล้วว่าในยุครัฐบาลสามัญชนอย่างคณะราษฎร ก็สามารถจัดงานใหญ่เป็นที่น่าอัศจรรย์อย่างการคล้องช้างได้
อย่างไรก็ตาม พระนิพนธ์ชิ้นนี้ของสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ กลายเป็นงานที่ถูกอ้างอิงเป็นหลักสำหรับผู้ที่ต้องการศึกษาประวัติศาสตร์การคล้องช้างมาจนถึงทุกวันนี้ แต่เนื้อหาจงใจเล่าแต่เฉพาะการคล้องช้างสมัยรัชกาลที่ ๕ ไม่ได้เล่ามาถึงการคล้องช้างสมัยพระยาพหลพลพยุหเสนา (พจน์ พหลโยธิน) แต่มีนัยถึงการ “เคลม” ว่าการคล้องช้างสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์จัดได้ใหญ่โตกว่าสมัยคณะราษฎร ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องมุมมองไม่ใช่ข้อเท็จจริงแต่อย่างใด
(๖.๓) ชาลี เอี่ยมกระสินธุ์ กับ “สยามดึกดำบรรพ์”
ชาลี เอี่ยมกระสินธุ์ ดูเหมือนจะเป็นนักเขียนคนแรกๆ ที่รื้อฟื้นการคล้องช้างที่ลพบุรีเมื่อ พ.ศ. ๒๔๘๑ มีระยะห่างจากพระนิพนธ์ของสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพมาเป็นเวลากว่า ๓๙ ปี เรื่อง “การคล้องช้างครั้งสุดท้ายที่ลพบุรี” ของชาลี ตีพิมพ์ครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. ๒๕๒๐ คาดว่าศึกษาและเขียนอยู่ในช่วงหลังเหตุการณ์ ๑๔ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๑๖ ไม่นาน[23] แต่งานของเขาก็ได้รับอิทธิพลทางความคิดจากขบวนการนักศึกษาประชาชนหลัง ๑๔ ตุลา’ มาเพียงน้อยนิด
แม้ว่างานชิ้นนี้จะมีการอ้างอิงเอกสารประกาศของทางการเมื่อ พ.ศ. ๒๔๘๑ แต่ทว่างานชิ้นนี้กลับเป็นที่มาของความเข้าใจคลาดเคลื่อนที่ว่า การคล้องช้างที่ลพบุรีเมื่อ พ.ศ. ๒๔๘๑ เกิดขึ้นในสมัยจอมพล ป. พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี ไม่ได้ให้ข้อมูลว่าเป็นยุคพระยาพหลพลพยุหเสนา (พจน์ พหลโยธิน) เป็นนายกรัฐมนตรี อาจเพราะดูเอกสารแล้วเทียบ พ.ศ. เอาเท่านั้น ไม่ได้ดูลำดับเวลาว่าจอมพล ป. พิบูลสงคราม เข้ารับตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรีเดือนไหน แม้ว่าเอกสารชั้นต้นผู้ลงนามจะเป็นจอมพล ป. พิบูลสงคราม แต่เป็นประกาศในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม
งานชิ้นนี้จึงเป็นอีกชิ้นที่บ่งชี้ว่าในการศึกษาประวัติศาสตร์นั้น แม้จะอ้างอิงหลักฐานชั้นต้น แต่ก็ไม่เสมอไปที่จะนำเสนอได้สอดคล้องตรงตามข้อเท็จจริง (ยังไม่นับปัญหาในเชิงปรัชญาประวัติศาสตร์ที่ว่า “หลักฐานชั้นต้น” (Primary sources) ยังไม่ควรถูกตีค่าว่าเท่ากับ “ข้อเท็จจริง” (fact) โดยทันทีทันใด การตรวจสอบด้วยหลักฐานแวดล้อมอื่น ๆ ยังเป็นสิ่งจำเป็นต้องกระทำสืบเนื่องต่อไป นักศึกษาประวัติศาสตร์ไม่ควรเชื่ออะไรง่าย ๆ แม้แต่กับหลักฐานชั้นต้น)
หนำซ้ำตอนหลังชาลี ยังเขียนงานอีกชิ้น แสดงความคิดเห็นคล้อยตามสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ในแง่ที่มีการยกย่องให้การคล้องช้างสมัยรัชกาลที่ ๕ ยิ่งใหญ่และสำคัญเหนือกว่าการคล้องช้างสมัยรัฐบาลคณะราษฎรเมื่อ พ.ศ. ๒๔๘๑[24] อีกด้วย ทั้งที่การคล้องช้างทั้งสองครั้งนี้มีบริบทที่แตกต่างกัน ชาลีตามรอยสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพแม้กระทั่งการตั้งชื่อผลงานหนังสือของตัวเอง เช่น ชอบใช้คำว่า “โบราณ” “ดึกดำบรรพ์” ทั้งที่เนื้อเรื่องกล่าวถึงเหตุการณ์ย้อนหลังไปจากยุคของเขาแค่ไม่กี่สิบปี
(๖.๔) อารีย์ ทองแก้ว กับ “ช้าง” กูย (กวย) และสุรินทร์
งานเรื่อง “ช้าง” ของอารีย์ ทองแก้ว นับเป็นงานศึกษาประวัติศาสตร์การคล้องช้างอย่างเป็นวิชาการครั้งแรก ๆ แต่กว่าจะมีงานชิ้นนี้ออกมาก็ปี พ.ศ. ๒๕๓๕ ล่วงมาแล้ว[25] โดยวัตถุประสงค์เพื่อใช้เป็นตำราเรียนสำหรับนักศึกษาภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ สถาบันราชภัฏสุรินทร์ (ปัจจุบันเป็น “มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์” แต่ภาควิชาประวัติศาสตร์ที่นี่ถูกยุบไปนานแล้ว)
อารีย์นำเสนอแง่มุมว่าการคล้องช้างที่ลพบุรีเมื่อ พ.ศ. ๒๔๘๑ ไม่ใช่การคล้องช้างครั้งสุดท้าย เพราะยังมีทำกันในท้องถิ่นแถบอีสานใต้ ผลงานชิ้นนี้ยังมีจุดเด่นตรงที่การยกย่องกลุ่มชาติพันธุ์กูย (กวย) (กลุ่มเดียวกับที่คนไทยชอบเรียกว่า “ส่วย” แต่พวกเขาไม่ได้เรียกตัวเองแบบนั้น และไม่ชอบที่คนอื่นเรียกพวกเขาแบบนั้นด้วย ถือเป็นการเหยียดชาติพันธุ์แบบหนึ่ง เช่นเดียวกับที่ไทยไปเรียกเขมรว่า “ขอม” เรียกคนจีนว่า “เจ๊ก” เรียกคนมุสลิมว่า “แขก” เรียกชาวยุโรปว่า “ฝรั่ง” เป็นต้น)
แต่จากประวัติศาสตร์การคล้องช้าง เราก็จะเห็นได้ว่า มิใช่มีแต่เฉพาะคนกูย (กวย) เท่านั้นที่ชำนาญการจับช้าง คนกลุ่มอื่นในทั่วทุกภูมิภาคแต่ก่อนก็มีคนชำนาญจับช้างทั้งนั้น โดยเฉพาะที่อยุธยา ซึ่งเป็นที่ตั้งของกรมคชบาลและมีเพนียดคล้องช้าง รวมถึงที่ลพบุรีกับนครนายก ก็มีเพนียดคล้องช้าง แต่ปัจจุบันร้างไปแล้ว
สิ่งที่กลุ่มชาติพันธุ์กูย (กวย) ควรค่าแก่การยกย่องอย่างแท้จริงคือการเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่ยังคงรักษาวัฒนธรรมการเลี้ยงช้างบ้านต่างหาก ส่วนการจัดงานประจำปีแสดงที่เรียกว่า “งานช้างสุรินทร์” ที่เริ่มดำเนินการจัดกันขึ้นเมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๔ เป็นต้นมา ซึ่งเป็นความร่วมมือกันระหว่างจังหวัดสุรินทร์กับองค์การส่งเสริมการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (อ.ส.ท.) นั้น ไม่อาจถือเป็นการคล้องช้างตามขนบเดิมได้
มีหลายอย่างที่กรมคชบาลในอดีตไม่เคยทำและไม่สามารถฝึกช้างให้ทำได้ แต่คนกูยสุรินทร์ทำได้ เช่น การแบ่งทีมให้ช้างมาแข่งขันเตะฟุตบอล ฯลฯ เช่นเดียวกันการแสดงช้างในงานมรดกโลกอยุธยาที่จัดเป็นประจำทุกปีที่อยุธยา ก็ไม่สามารถจะเทียบได้กับการคล้องจับช้างป่าอย่างเมื่อ พ.ศ. ๒๔๘๑ หรืออย่างใน “พระเจ้าช้างเผือก” ได้
แน่นอนว่าทั้งงานช้างสุรินทร์และงานมรดกโลกอยุธยา ยังคงเป็นการแสดงช้างที่สำคัญและน่าเที่ยวชม โดยที่ไม่จำเป็นต้องอ้างเป็นการคล้องช้างอย่างโบราณให้เข้าใจผิดเพี้ยนกันไปไกลแต่อย่างใดเลย
(๗) การคล้องช้างหายไปได้อย่างไรและทำไม?
ดังที่จะเห็นได้ว่า การคล้องช้างได้เปลี่ยนแปลงจากการคล้องจับเพื่อเศรษฐกิจการค้าเป็นหลักในสมัยอยุธยา มาสู่การใช้งานด้านศึกสงครามเป็นหลักในสมัยต้นรัตนโกสินทร์ มาสู่การแสดงมหรสพและการต้อนรับพระราชอาคันตุกะแขกบ้านแขกเมืองในสมัยรัชกาลที่ ๕ มาสู่การแสดงในเชิงอนุรักษ์และฟื้นฟูศิลปวัฒนธรรมในสมัยรัฐบาลพระยาพหลพลพยุหเสนา (พจน์ พหลโยธิน) เมื่อการคล้องช้างในครั้งหลัง ๆ มา เป็นการคล้องด้วยวัตถุประสงค์เพื่อการอนุรักษ์และสืบสานศิลปวัฒนธรรมประเพณี นั่นก็หมายความว่า ช้างได้เริ่มหมดบทบาทดั้งเดิมที่เป็นเหตุผลในการคล้องจับพวกมันมาใช้งาน
นับตั้งแต่สยามเริ่มมีเทคโนโลยีขนส่งทางไกลอย่างรถไฟ ก็ได้เริ่มทำให้การคมนาคมขนส่งทางบกด้วยช้างไม่เป็นที่ต้องการ เมื่อพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ รัชกาลที่ ๔ ทรงส่งช้างไปมอบเป็นของขวัญให้แก่ประธานาธิบดีอับราฮัม ลินคอล์น ก็ได้รับการปฏิเสธและปธน.ลินคอล์นได้มีจดหมายตอบกลับมาว่า อเมริกามีรถไฟสำหรับการขนส่งทางบกมีประสิทธิภาพดีอยู่แล้ว ไม่มีความจำเป็นต้องใช้ช้างจากสยาม แถมช้างเมื่อไปถึงอเมริกายังทนอากาศหนาวของบ้านเมืองเขาไม่ได้ จะเจ็บป่วยล้มตายไปอีก[26] หรืออย่างกรณีช้างสยามที่ถูกส่งไปฝรั่งเศสในช่วงเดียวกัน ก็กลับพบชะตากรรมที่เลวร้ายยิ่งกว่าอเมริกาอีก คือไปจบชีวิตที่ร้านสตู ในช่วงที่มีวิกฤติเศรษฐกิจ ชาวเมืองปารีสเผชิญความอดอยากขาดแคลนอาหาร จึงยิงช้างพระราชทานจาก ร.๔ นี้ไปทำเป็นสตูกิน[27]
ในสยามเอง ไม่นานหลังจากสร้างทางรถไฟในสมัยรัชกาลที่ ๕ สยามก็มีข่าวใหญ่หนึ่งปรากฏในหนังสือพิมพ์ Le Petit Journal ของฝรั่งเศส ฉบับวันที่ ๙ สิงหาคม ค.ศ. ๑๙๐๘ (พ.ศ. ๒๔๔๘) เป็นข่าวรถไฟชนช้างที่บริเวณทุ่งเชียงราก (สมัยนั้นยังเป็นส่วนหนึ่งของแขวงบางปะอิน) โดยที่รถไฟชนช้างครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรก เป็นครั้งที่ ๒ ครั้งแรกเกิดขึ้นที่ลพบุรีเมื่อ ๑ ปีก่อนหน้า (พ.ศ. ๒๔๔๗) หลังจากนั้นทางการจึงได้ขับต้อนโขลงช้างจากท้องทุ่งบริเวณฝั่งตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยาขึ้นเขาใหญ่ดงพญาไฟไป เพื่อให้พ้นเส้นทางรถไฟ
นอกจากรถไฟแล้ว ที่เป็นคู่แข่งและมามีบทบาทแทนที่ช้างยังได้แก่ รถยนต์ ซึ่งนอกจากแทนที่ช้างในการคมนาคมขนส่งของราษฎรสามัญชนแล้ว รถยนต์ยังเข้าไปแทนที่ช้างแม้แต่ในการพระราชพิธี รัชกาลที่ ๕ ทรงสั่งนำเข้ารถเมอร์ซิเดส เบนส์ มาใช้ในการพระราชพิธีเสด็จทางสถลมารคแทนที่ช้าง[28] หลังจากนั้นเป็นต้นมา ในสังคมไทยสยามรถยนต์ก็เลยกลายเป็นเครื่องแสดงเกียรติยศความมั่งคั่งและอำนาจแทนช้าง
ตามมาด้วยสาเหตุปัจจัยสำคัญ เช่น ป่าไม้ถูกทำลาย ช้างป่าเหลือน้อยลง ช้างทุ่งหมดไป เหลือแต่ช้างที่ต้องอาศัยอยู่ในป่าลึก มีจำนวนลดน้อยลงกว่าแต่ก่อนมาก ทำให้การคล้องจับช้างประเภทนี้มีอันตรายมากขึ้นไปอีก อย่างไรก็ตาม “ช้างบ้าน” หรือ “ช้างเลี้ยง” ยังคงมีอยู่ต่อมา ไม่ได้หมดสิ้นประโยชน์ไปเสียทีเดียว แต่ก็เหลือเพียงการใช้ช้างในฐานะการแสดงแบบงานช้างสุรินทร์ หรือแบบงานมรดกโลกอยุธยา หรืออย่างการใช้ช้างบริการนักท่องเที่ยวตามปางช้างและศูนย์อนุรักษ์ทั้งหลาย หรืออย่างการใช้ช้างขนลากไม้ซุง ซึ่งยังมีอยู่บางแห่งในอุตสาหกรรมป่าไม้
ทั้งหมดนี้ลำพังช้างบ้านที่ถูกฝึกมาอย่างดีแล้ว ก็เพียงพอต่อการใช้งาน จึงไม่มีความจำเป็นที่ต้องไปเสี่ยงอันตรายกับการจับช้างป่ามาฝึกอีกต่อไป อีกทั้งในปัจจุบันช้างป่าถือเป็น “สัตว์อนุรักษ์” อยู่ในสถานะเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์ มีกฎหมายคุ้มครอง การคล้องจับพวกมันมาฝึกใช้แรงงานเหมือนอย่างในอดีตทำไม่ได้และไม่ควรทำอีกต่อไปแล้ว ทีนี้การคล้องช้างก็เหลือแต่ความทรงจำทั้งในรูปบันทึกประวัติศาสตร์ที่เป็นลายลักษณ์อักษรและภาพเคลื่อนไหวจากแผ่นฟิล์ม (ก่อนจะถึงยุคโซเชียลมีเดีย ซึ่งมีแพลตฟอร์มอย่างยูทูบในปัจจุบัน)
ที่สำคัญต้องกล่าวไว้ในที่นี้ด้วยว่า แม้การคล้องช้างจะเคยทำกันมากในช่วงก่อนอภิวัฒน์ ๒๔๗๕ แต่ทว่าตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๕ เป็นต้นมาแล้ว ที่มีการนำเข้าเทคโนโลยีใหม่ (เช่น รถไฟและรถยนต์) มาทำหน้าที่แทนช้าง ส่งผลทำให้ช้างหมดบทบาทหน้าที่เดิม ความจำเป็นที่จะต้องคล้องจับพวกมันมาใช้แรงงานเริ่มลดน้อยลงจนกระทั่งเหลืออยู่ไม่กี่อย่าง การคล้องช้างไม่ใช่สูญหายไปเพราะการอภิวัฒน์ ๒๔๗๕ ตรงข้ามหลังการอภิวัฒน์ยังพบความพยายามที่จะฟื้นฟูและอนุรักษ์ไว้เป็น “มรดกทางวัฒนธรรม” สืบต่อมา
(๘) การคล้องช้างใน “พระเจ้าช้างเผือก” & นัยความหมายและความสำคัญทางประวัติศาสตร์
จะเห็นได้ว่า การคล้องช้างใน “พระเจ้าช้างเผือก” อยู่ในแนวเดียวกับการคล้องช้างที่ลพบุรีเมื่อ พ.ศ. ๒๔๘๑ ในแง่ที่แสดงให้เห็นบทบาทสามัญชน เหตุผลในการคล้องจับไม่ใช่เพื่อความมั่งคั่งของชนชั้นนำ หรือเพื่อเกียรติยศแสดงบุญบารมีของสถาบันชั้นสูงในฐานะที่ “สัตว์วิเศษ” คู่บุญบารมี หากแต่คล้องจับพวกมันมาเพื่อใช้ประโยชน์แก่กิจการบ้านเมืองเพื่อส่วนรวม
ถึงแม้จะเป็นภาพยนตร์ แต่การคล้องช้างที่ปรากฏในภาพยนตร์เรื่องมีความสมจริงอย่างเหลือเชื่อ ตรงตามตำราคล้องช้างค่อนข้างมาก ทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้ถือได้ว่าเป็นบันทึกประวัติศาสตร์การคล้องช้างที่หาชมไม่ได้อีกแล้ว ที่สำคัญตำราที่ว่าภาพยนตร์ทำได้สมจริงอย่างมากนี้ยังเป็นตำราการคล้องช้างสมัยอยุธยาอีกด้วย เพราะเป็นการไปตั้งเพนียดในป่าเพื่อจับช้างในป่าโดยตรง ไม่ได้เป็นไล่ช้างมาเข้าจับที่เพนียดเหมือนอย่างการคล้องช้างในสมัยรัตนโกสินทร์จนถึงครั้ง พ.ศ. ๒๔๘๑
“พระเจ้าช้างเผือก” ได้นำเอาการคล้องช้างกลับไปปรากฏแก่สายตาชาวต่างประเทศอีกครั้งในรูปแบบสื่อภาพยนตร์ นับแต่ที่มีการจัดแสดงในลักษณะมหรสพต้อนรับราชอาคันตุกะสมัยรัชกาลที่ ๕ การคล้องช้างนั้นเป็นงานอันตรายใหญ่หลวงและลงทุนมาก แม้แต่ปัจจุบันที่มีการถ่ายทำภาพยนตร์มีเทคโนโลยีสูงแล้ว ก็ยังถ่ายทำการคล้องช้างได้ยากลำบาก ส่วนใหญ่จะใช้วิธีถ่ายให้เห็นแต่โขลงช้างพอเป็นน้ำจิ้มแล้วก็ตัดภาพไปฉากอื่น
แต่ใน “พระเจ้าช้างเผือก” เราจะเห็นการคล้องช้างตั้งแต่ขั้นตอนแรกเริ่มเดินทางด้วยช้างต่อไปยังเขตป่าเขา การเลือกทำเลสร้างเพนียดขึ้นกลางป่า การตัดไม้ทำเสาตะลุง การไล่ต้อนโขลงช้างป่ามาเข้าเพนียด การโยนทาม-วางเชือกบาศก์สำหรับคล้องจับช้าง จนถึงการฝึกช้างให้เชื่องจนสามารถนำไปใช้งานได้
นักแสดงในเรื่องก็มีการฝึกหัดขี่ช้างมาจริง ๆ ตัวละครเอกอย่าง “พระเจ้าจักรา” กับ “พระเจ้าหงสา” ก็ขี่ช้างบังคับช้างเข้าฉากด้วยตนเองจริง ๆ ทำให้การแสดงดูสมจริงอย่างเหลือเชื่อ แต่เรามักไม่ค่อยเห็นเป็นความสมจริง เพราะเคยชินแต่ภาพจำที่ถูกสร้างในภาพยนตร์รุ่นหลัง ๆ ที่ฉากบางฉากถูกสร้างอย่าง “อลังเว่อ” ได้ด้วยการใช้เทคนิควิทยาการช่วยได้แล้ว
จากความสมจริงที่ว่านี้ ทำให้ชาวบ้านป่าแดง จังหวัดแพร่ ซึ่งเป็นฉากในภาพยนตร์ เมื่อต้องการหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่าพวกเขาอยู่ที่นั่นมานานก่อนมีกฎหมายป่าสงวนแห่งชาติ ก็จึงสามารถใช้ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นหลักฐานในการยืนยันกับทางการว่าพวกเขาอยู่ที่นั่นมานานแล้ว ไม่ได้เพิ่งมาบุกรุกป่าอย่างที่ถูกกล่าวหา[29]
นับเป็นคุณูปการสำคัญและเป็นหมุดหมายยิ่งกว่าการได้ขึ้นทะเบียนเป็น “มรดกความทรงจำโลก” (Memory of the World) เสียอีก เพราะเป็นประโยชน์ต่อชาวบ้านในการต่อสู้เพื่อสิทธิชุมชนอย่างที่ไม่เคยมีภาพยนตร์เรื่องไหนเคยประสบความสำเร็จหรือทำได้มาก่อน สิ่งนี้จะเกิดขึ้นไม่ได้ ถ้าภาพยนตร์เรื่องนี้ขาดความสมจริง เพราะถ้าไม่มีความสมจริงดังที่กล่าวมาแล้ว ก็ไม่สามารถจะใช้เป็นหลักฐานบันทึกประวัติศาสตร์ได้เช่นนั้น
(๙) “ช้างเผือก” กับ “ราษฎร” ตามการตีความใหม่ของปรีดี พนมยงค์

การที่ชาวบ้านป่าแดง จังหวัดแพร่ ซึ่งเคยเป็นสถานที่ถ่ายทำฉากคล้องช้างและฉากชนช้างใน “พระเจ้าช้างเผือก” สามารถนำเอาภาพยนตร์เรื่องนี้ไปใช้เป็นหลักฐานต่อสู้เพื่อสิทธิชุมชน ยังเป็นไปโดยสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของภาพยนตร์ตามเนื้อเรื่องอีกด้วย เพราะ “ราษฎร” เป็นเหตุผลของตัวเอก (อย่างพระเจ้าจักรา) และการดำเนินเรื่องทั้งหมด พระเจ้าจักราไม่ได้รบเพื่อช้าง หากแต่เอาช้างไปรบเพื่อราษฎร นี่คือแก่นหลักของเรื่อง
เหตุผลการจับช้างใน “พระเจ้าช้างเผือก” ยังเป็นเหตุผลใหม่ที่แตกต่างไปจากเดิม ที่เป็นการดำเนินงานเพื่อแสดงพระเกียรติยศและบุญบารมีของสถาบันชั้นสูงภายใต้ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ที่พระเจ้าจักราไปจับช้างป่ามาฝึกก็เพื่อใช้งานรับใช้ราษฎร ราษฎรเป็นอำนาจอธิปไตยสูงสุดตามหลักคิดและการนำเสนอ แม้แต่ “ช้างเผือก” และ “พระเจ้าช้างเผือก” ก็ถูกนำเสนอภาพใหม่ในฐานะผู้รับใช้ราษฎร
“ช้างเผือก” แต่เดิมเป็นสื่อแสดงบุญบารมีของสถาบันชั้นสูงก็เพราะ (๑) มีความเชื่อกันว่า ช้างเผือกเป็นอนาคตพระพุทธเจ้า เนื่องจากในคืนวันที่เจ้าชายสิทธัตถะจะมีประสูติกาลนั้น พระนางสิริมหามายา พุทธมารดา ได้ทรงมีพระสุบินนิมิตว่ามีช้างเผือกลอยมาแต่ภูเขาทองภูเขาเงินมาหาพระนาง (๒) “ช้างปัจจัยนาเคนทร์” คู่บุญพระเวสสันดร ที่บันดาลฝนตกต้องตามฤดูกาล ก็ว่าเป็นช้างเผือก (๓) “ช้างเอราวัณ” ช้างทรงของพระอินทร์ ก็มีสีกายขาวเผือกคือเป็นช้างเผือกด้วยเหมือนกัน (๕) ช้างทรงของพระเจ้าทุฏฐคามินีอภัย กษัตริย์ศรีลังการาชวงศ์สิงหล ที่นับถือพุทธเถรวาท ได้รบชนะสงครามใหญ่ต่อพระเจ้าเอฬารราชแห่งราชวงศ์โจฬะที่นับถือศาสนาพราหมณ์ ทำให้พุทธศาสนาเป็นใหญ่เหนือเกาะศรีลังกา ก็ว่าเป็นช้างเผือก (๖) “ช้างแก้ว” คู่บุญบารมีของพญาจักรพรรดิราช ถึงไม่มีตำรากล่าวว่าเป็นช้างสีใด คนก็เชื่อว่าเป็นช้างเผือกอีก
เมื่อรวมเข้าด้วยกันทั้งหมดข้างต้นนี้แล้ว ช้างเผือกก็เลยเกิดเป็น “สัตว์มงคล” คู่บุญบารมีของประมุขชนชั้นนำ ไม่เฉพาะไทย หากแต่ทั่วทั้งบ้านเมืองที่นับถือพุทธผสมพราหมณ์ ในอุษาคเนย์นอกจากสยามแล้วก็มีเช่น อินเดีย, ศรีลังกา, พม่า, มอญ, ลาว, เขมร เป็นต้น บ้านเมืองใดไม่มีจะก่อสงครามไปแย่งชิงเพื่อนำเอาช้างชนิดนี้มาไว้อยู่กับตน ตามธรรมเนียมเก่าไม่ถือว่าผิด แต่ในยุคสมัยใหม่ถือว่าไม่ถูกต้อง
แต่เหตุผลเหล่านั้นเป็น “เหตุผลในอดีต” ไม่ใช่ “เหตุผลในปัจจุบัน” ประวัติศาสตร์เป็นเรื่องของปัจจุบันด้วย แม้จะนำเสนอเรื่องราวในอดีต ไม่มีราษฎรหรือประชาชนอยู่ในเหตุผลของช้างเผือก แต่ใน “พระเจ้าช้างเผือก” พระเจ้าจักราเสด็จไปคล้องช้างก็เพื่อเอาช้างมาใช้งานในศึกสงครามป้องกันเหตุเพทภัยที่จะเกิดแก่ราษฎร
“พระเจ้าช้างเผือก” เป็นคติยกย่องสูงสุดเทิดพระเกียรติแก่สถาบันกษัตริย์ตามความคิดทางจารีตนิยมแบบอยุธยา ส่วน “มหาราช” นั้นไม่ใช่ เป็นคติแบบตะวันตกและไม่ใช่คติยกย่องสำหรับตะวันตกอีกด้วย จะเห็นได้ต่อมาว่า ปรีดี พนมยงค์ ยืนยันหลักคิดนี้อยู่จนถึงช่วงสุดท้ายของชีวิต เมื่อทราบเรื่องที่รัฐบาลไทยสมัยเมื่อ พ.ศ. ๒๕๒๕ ประกาศให้ใช้ “มหาราช” เป็นพระราชสมัญญานามของพระมหากษัตริย์ที่มีวีรกรรมโดดเด่น ก็ได้เคยแสดงความคิดเห็นโต้แย้งไว้ในงานเขียนที่ตีพิมพ์ในชื่อ “มหาราชและรัตนโกสินทร์” เป็นต้น[30]
(๑๐) บทสรุปและส่งท้าย
การคล้องช้างที่เคยทำให้อยุธยา “บ้านเกิด” ของรัฐบุรุษอาวุโส ปรีดี พนมยงค์ ได้กลับฟื้นคืนชีวิตชีวาอีกครั้งนับแต่เกิดเหตุการณ์เสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ ๒ พ.ศ. ๒๓๑๐ ได้มาปรากฏอีกครั้งบนแผ่นฟิล์มภาพยนตร์เรื่อง “พระเจ้าช้างเผือก” และเป็นการนำเสนอต่อชาวต่างประเทศอีกครั้ง โดยที่ครั้งนี้ชาวต่างประเทศได้มีโอกาสรับชมที่ประเทศของพวกเขาเอง ไม่ต้องเดินทางไกลมายังอยุธยากรุงเก่าเหมือนเมื่อครั้งสมัยรัชกาลที่ ๕ และสมัยพระยาพหลพลพยุหเสนา (พจน์ พหลโยธิน) เป็นนายกรัฐมนตรี
ทั้งการคล้องช้างที่ลพบุรีเมื่อ พ.ศ. ๒๔๘๑ และการคล้องช้างในการถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง “พระเจ้าช้างเผือก” เมื่อ พ.ศ. ๒๔๘๓ ต่างเป็นสิ่งยืนยันว่ารัฐบาลสามัญชนภายใต้คณะราษฎร ก็สามารถทำสิ่งน่าอัศจรรย์อย่างการจับสัตว์ใหญ่เช่นช้างได้ แถมยังทำได้อลังการงานสร้างกว่าที่เคยทำในยุคสมบูรณาญาสิทธิราชย์อีกด้วย
อีกทั้งการคล้องช้างอย่างสมจริงที่ปรากฏใน “พระเจ้าช้างเผือก” เป็นอีกแง่มุมหนึ่งที่สะท้อนว่าการที่ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้รับการยกย่องจากองค์การยูเนสโกให้เป็น “มรดกความทรงจำแห่งโลก” (Memory of the world) นับเป็นสิ่งเหมาะสมและคู่ควรแล้วเป็นอย่างยิ่ง โดยก่อนหน้านี้ ความสมจริงของภาพยนตร์เรื่องนี้ยังเคยช่วยชาวบ้านในการนำเอาไปเป็นหลักฐานสำหรับต่อสู้เพื่อสิทธิชุมชนกันมาแล้ว สิ่งนี้สำคัญและเป็นคุณูปการของสื่อภาพยนตร์ที่ยังไม่มีเรื่องไหนเคยทำได้มาก่อน
นอกจากนี้ “พระเจ้าช้างเผือก” ยังเป็นสื่อที่ได้เก็บงำและบันทึกภูมิปัญญาสำคัญอันเป็น “มรดกทางวัฒนธรรม” ของสังคมไทยสยามในอดีต การคล้องช้างนั้นเป็นเรื่องของสังคมไพร่และบทบาทสามัญชน แต่ถูกอธิบายบิดเบือนไปเป็นของชนชั้นนำ การบิดเบือนที่ว่านี้เกิดขึ้นในระดับ “ประวัติศาสตร์นิพนธ์” (Historiography) ไม่ใช่ตัวประวัติศาสตร์การคล้องช้างที่เป็นจริง ในอนาคตงานศึกษาที่จำเป็นต้องมี ไม่ใช่งานที่จะมาเล่าแค่เทคนิควิธีการในจับช้างเท่านั้น ไม่ใช่แม้แต่งานอธิบายศัพท์ที่ใช้ในตำราจับช้างแต่โบราณ หากแต่จะต้องเป็นงานที่ชี้ให้เห็นอุดมการณ์เบื้องหลังความรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์การคล้องช้างนั้นด้วย
ประวัติศาสตร์นิพนธ์ว่าด้วยการคล้องช้างที่ผ่านมา ไม่ได้นำเสนอข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ หากแต่เป็นการนำเสนออุดมการณ์ทางการเมืองเบื้องหลัง ซึ่งอุดมการณ์หลักที่นำเสนอยังคงเป็นอุดมการณ์แบบกษัตริย์นิยม (Royalism) มีพระนิพนธ์ของสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพเป็นต้นแบบ ถึงแม้จะมีงานสารคดีประวัติศาสตร์ออกมาอยู่เรื่อย ๆ แต่ยังไม่ถือเป็นงานศึกษาทางวิชาการอย่างมีระเบียบวิธีวิทยา (Methodology) ทำให้งานเขียนเหล่านี้กลายเป็นเพียงงาน “ผลิตซ้ำ” องค์ความรู้เดิมที่เกี่ยวข้อง ไม่ได้สร้างความรู้ใหม่ที่จะก่อให้เกิดความเข้าใจต่อเหตุการณ์และเรื่องราวต่าง ๆ ได้มากพอตามสมควร
หมายเหตุ :
- คงอักขรและการสะกดตามหลักฐานชั้นต้น และต้นฉบับของนักเขียน
[1] กำพล จำปาพันธ์. “พงศาวดารกรุงศรีอยุธยาฉบับปรีดี พนมยงค์ & “อยุธยาใหม่” ในภาพยนตร์เรื่อง “พระเจ้าช้างเผือก”” https://pridi.or.th/th/content/2025/04/2422 (เผยแพร่เมื่อวันที่ 24 เมษายน 2568).
[2] ตัวอย่างเช่นที่กรมศิลปากรรวบรวมไว้ใน คำฉันท์ดุษฎีสังเวย คำฉันท์กล่อมช้างครั้งกรุงเก่า และคำฉันท์คชกรรมประยูร. กรุงเทพฯ: กรมศิลปากร, ๒๕๔๕.
[3] ฉวีวรรณ มาเจริญ (บก.). ภูมิปัญญาไทยว่าด้วยเรื่องตำราคชลักษณ์. กรุงเทพฯ: กลุ่มเผยแพร่และประชาสัมพันธ์ สำนักงานเลขานุการกรมศิลปากร, 2546.
[4] “เพนียด” เป็นคำภาษาเขมร หมายถึง คอก หรือที่ล้อม ใช้สำหรับคอกช้าง หรือที่ล้อมจับช้างเท่านั้น ไม่พบใช้คำนี้ในกรณีอื่น ด้วยเหตุที่ “เพนียด” เป็นคำภาษาเขมร จึงทำให้เชื่อกันว่า เพนียดแรกที่วัดซอง มีมาตั้งแต่ครั้งอยุธยาตอนต้นนั้น สร้างโดยชาวเขมรที่ถูกกวาดต้อนเข้ามาในสมัยสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ ๒ (เจ้าสามพระยา) แต่จะเป็นเช่นนั้นจริงหรือ? ในเมื่อก็พบร่องรอยการจับช้างในภาคกลางและภาคอีสานมาตั้งแต่ก่อนสมัยอยุธยาหลายร้อยปี โดยเฉพาะยุคที่เรียกกันว่า “ทวารวดี” (ในภาคกลาง) และ “ศรีโคตรบูรณ์” (ในอีสาน)
[5] นิโกลาส์ แชรแวส. ประวัติศาสตร์ธรรมชาติและการเมืองแห่งราชอาณาจักรสยาม (ในแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์มหาราช). แปลโดย สันต์ ท.โกมลบุตร, (นนทบุรี: ศรีปัญญา, ๒๕๕๐), หน้า ๒๒๔.
[6] ดูบทบาทของบริษัท EIC ต่ออินเดียและการค้าโลกสากลก่อนคริสต์ศตวรรษที่ ๑๙ ใน Antony Wild. The East India Company: Trade and Conquest from 1600. New York: Lyons Press, 2000; Philip J. Stern. The Company-State: Corporate Sovereignty and the Early Modern Foundations of the British Empire in India. Oxford University Press, 2012.
[7] Dhiravat na Pombejra. “Crown Trade and Court Politics in Ayutthaya during the Reign of King Narai (1656-88)” in J. Kathirithamby-Wells & John Villiers (eds.), The Southeast Asian Port and Polity. (Singapore: NUS., 1990), 135-138.
[8] กำพล จำปาพันธ์. พระเจ้าท้ายสระฉบับพรหม (ไม่) ลิขิต: การเมืองการค้าอยุธยาก่อนเสียกรุงฯ. (กรุงเทพฯ: มติชน, 2566), หน้า ๘๔-๙๑.
[9] ดูรายละเอียดใน รายงานการขุดแต่งบูรณปฏิสังขรณ์โบราณสถานเพนียดคล้องช้าง ตำบลสวนพริก อำเภอพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา. พระนครศรีอยุธยา: อุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา กรมศิลปากร, ๒๕๕๑.
[10] ดู “บัญชีช้างหลวง” สมัยกรุงธนบุรีใน พระราชพงศาวดารกรุงธนบุรีฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม) จดหมายรายวันทัพ อภินิหารบรรพบุรุษ และเอกสารอื่น ๆ. นนทบุรี: ศรีปัญญา, ๒๕๕๑.
[11] ตำราหลวงนี้มีหลายฉบับ เพราะซักถามความรู้จากหลายคน ปัจจุบันตำราเหล่านี้จัดเก็บรักษาอยู่ที่ห้องเอกสารโบราณ หอสมุดแห่งชาติ (หสช.) เป็นตำราสมุดไทย เขียนด้วยดินสอและหรดาล อักษรไทย และมีอักษรบาลี เลขที่ ๑๔ หมวดสัตวศาสตร์ จ.ศ. ๑๑๔๔ (พ.ศ. ๒๓๒๕) บางฉบับตัวอักษรเลือนอ่านไม่ได้แล้ว ฉบับที่ยังสมบูรณ์เคยมีการรวบรวมตีพิมพ์เผยแพร่ไว้ในเล่ม ตำราจับช้างฉบับรัชกาลที่ ๑. กรุงเทพฯ: รุ่งศิลป์การพิมพ์, ๒๕๔๕.
[12] “พระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์รัชกาลที่ ๓ ฉบับเจ้าพระยาทิพากรวงศ์” ได้เล่าถึงการสอบสวนกรมหลวงรักษ์รณเรศไว้ตอนหนึ่งว่า “จึ่งให้ตระลาการค้นหาความอื่นต่อไปได้ความว่า กรมหลวงรักษรณเรศรชำระคดีของราษฎรมิได้เป็นยุติธรรม ด้วยพวกละครรับสินบนทั้งฝ่ายโจทก์ฝ่ายจำเลย แล้วก็คงหักเอาชนะจงได้ แล้วเป็นคนมักใหญ่ใฝ่สูง จนชั้นแต่ลอยกระทงก็ไปลอยกรุงเก่าบ้าง เมืองนครเขื่อนขันธ์บ้าง เอาธรรมเนียมที่ในหลวงทรงลอย เจ้าพวกละครห่มแพรสีทับทิมใส่แหวนเพชรแทนหม่อมห้าม เกลี้ยกล่อมขุนนางและกองรามัญไว้เป็นพวกพ้องก็มาก ที่ผู้ใดไม่ฝากตัวก็พยาบาทไว้ ตั้งแต่เล่นละครเข้าแล้ว ก็ไม่ได้บรรทมข้างในด้วยหม่อมห้ามเลย บรรทมอยู่แต่ที่เก๋งข้างท้องพระโรงพวกละคร จึ่งรับสั่งให้เอาพวกละครมาแยกย้ายกันไถ่ถาม ได้ความสมกันว่าเป็นสวาทไม่ถึงชำเรา แต่เอามือเจ้าละครและมือท่านกำคุยหฐานด้วยกันทั้งสองฝ่าย ไว้ให้สัมภวะธาตุเคลื่อนพร้อมกัน เป็นแต่เท่านั้น”
[13] ธนกฤต ก้องเวหา. ““เจ้านาย” ที่ ร.4 ยินดีให้เป็นกษัตริย์ต่อจากพระองค์ มิได้เจาะจงแค่ “เจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์” https://www.silpa-mag.com/history/article_134177 (เผยแพร่เมื่อวันที่ ๑๖ มีนาคม ๒๕๖๘).
[14] แม้แต่สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ในเล่ม “นิทานโบราณคดี” เมื่อทรงพระนิพนธ์เล่าถึงสมเด็จฯ กรมพระยาบำราบปรปักษ์ ที่เพนียดคล้องช้าง อยุธยา ตอนหนึ่งว่า เมื่อครั้งมีการจัดงานคล้องช้างให้รัชกาลที่ ๕ กับพระราชอาคันตุกะ ได้ทรงทอดพระเนตร สมเด็จฯ กรมพระยาบำราบปรปักษ์ ไม่ได้เสด็จไปประทับร่วมกับพระบรมวงศานุวงศ์ เสด็จไปทำหน้าที่กำกับดูแลเจ้าพนักงานอยู่ “วันหนึ่งท่านเสด็จประทับอยู่ที่บันไดนั้น ทหารมหาดเล็กตั้งแถวยืนพักอยู่ข้างหลัง ทหารคนหนึ่งยืนอยู่แถวหลังคนแถวหน้าบัง แลไม่เห็นกรมสมเด็จฯ แลข้ามไปเห็นขุนพิชัยกุญชร (แจ้ง) ขี่คอช้างต่อเข้ามาเฝ้า ออกปากพูดกับเพื่อนทหารว่า “แหม อ้ายตาหมอช้างคนนั้นช่างหัวล้านนี่กระไร” กรมสมเด็จฯ ได้ยินหันมาตรัสว่า “เออ กรมช้างละ หัวล้านกันทั้งนั้นแหละ” ทหารคนที่พูดตกใจจนแทบสลบ เพื่อนทหารที่ยืนอยู่ใกล้ ๆ กันก็เต็มกลั้นหัวเราะ ด้วยเกรงพระบารมี เรื่องที่เล่านี้เห็นจะจริง”
[15] เกื้อกูล ยืนยงอนันต์. ความเปลี่ยนแปลงภายในเกาะเมืองพระนครศรีอยุธยา ระหว่าง พ.ศ. ๒๔๓๘-๒๕๐๐. (กรุงเทพฯ: สถาบันไทยคดีศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, ๒๕๒๙), หน้า ๓๗-๓๘.
[16] สามารถชมภาพถ่ายเก่าที่แสดงให้เห็นบรรยากาศของผู้คนที่หลั่งไหลไปชมงานคล้องช้างที่อยุธยา ตลอดจนภาพการคล้องช้างสมัยรัชกาลที่ ๕ ได้ใน ธงชัย ลิขิตพรสวรรค์ และอเนก นาวิกมูล. (บก.). สมุดภาพกรุงเก่า จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ก่อนพุทธศักราช 2500. พระนครศรีอยุธยา: สำนักงานจังหวัดพระนครศรีอยุธยา, ๒๕๖๓.
[17] ดูรายละเอียดใน ฉลอง สุนทราวาณิชย์. รุสเซีย-ไทย สมัยรัชกาลที่ ๕-๖. กรุงเทพฯ: สร้างสรรค์, ๒๕๒๖.
[18] ดูรายละเอียดใน ธงชัย ลิขิตพรสวรรค์. “การคล้องช้างที่ลพบุรี พ.ศ. ๒๔๘๑” ใน วรรณา นาวิกมูล (บก.). สรรพศาสตร์ สรรพศิลป์ ถิ่นลพบุรี. ลพบุรี: มหาวิทยาลัยราชภัฏเทพสตรี, ๒๕๕๙.
[19] อารีย์ ทองแก้ว. ช้าง. (สุรินทร์: ภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ สถาบันราชภัฏสุรินทร์, ๒๕๓๕), หน้า ๑๐๐.
[20] ธงชัย ลิขิตพรสวรรค์ เสนอประเด็นนี้ไว้ในงานเสวนาวิชาการ “เล่าเรื่องผ่านเหรียญ สมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช” ในหัวข้อเรื่อง “การคล้องช้างที่ลพบุรี พ.ศ. 2481และภาพเก่าเมือง ลพบุรี-อยุธยา” ณ มหาวิทยาลัย
[21] ฮ. ไพรยวัล. ตำนานการจับช้าง. พระนคร: โรงพิมพ์หว่าเชียง, ๒๔๘๑.
[22] ดูทั้งสองเรื่องนี้ใน สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ. นิทานโบราณคดี. กรุงเทพฯ: ดอกหญ้า, ๒๕๕๙.
[23] ดูบทความนี้ใน ชาลี เอี่ยมกระสินธุ์. สยามดึกดำบรรพ์. (กรุงเทพฯ: ต้นอ้อ แกรมมี่, ๒๕๓๙), หน้า ๗๑-๑๐๔.
[24] ดูงานชิ้นนี้ใน ชาลี เอี่ยมกระสินธุ์. แลหลังบางกอก. กรุงเทพฯ: ดอกหญ้า, ๒๕๕๕; ซึ่งที่จริงโดยเนื้อเรื่องที่เป็นเรื่องอยุธยา ไม่น่าจะเข้ากับชื่อเล่มที่ระบุเป็นเรื่องบางกอก แต่งานของชาลีหลายชิ้นก็แบบนี้ มักจะมีความ “ไม่ตรงปก” ปรากฏอยู่หลายแห่งด้วยกัน แต่เป็นงานที่เป็นที่นิยมในหมู่ผู้อ่านกันมาก (เห็นได้จากจำนวนครั้งที่ตีพิมพ์จำหน่าย)
[25] อารีย์ ทองแก้ว. ช้าง, บทที่ ๗.
[26] เรื่องนี้ ส.ธรรมยศ (นามปากกาของแสน ธรรมยศ) เคยนำเสนอและอภิปรายไว้ใน ส.ธรรมยศ. Rex Siamen Sium หรือพระเจ้ากรุงสยาม. กรุงเทพฯ : มติชน, 2547.
[27] เรื่องนี้ผู้เขียนเคยอภิปรายไว้ใน กำพล จำปาพันธ์. “เจาะลึก ‘ช้างสยาม’ เดินทางไปต่างแดน จากสมัยอยุธยาถึงรัตนโกสินทร์” https://www.thepeople.co/history/nostalgia/51907 (เผยแพร่เมื่อวันที่ ๕ กรกฎาคม ๒๕๖๖).
[28] บทบาทเทคโนโลยีรถยนต์ที่มีต่อการเปลี่ยนแปลงทางสังคมวัฒนธรรมไทยสยามนั้น ยังมีผู้ศึกษาไม่มาก ส่วนใหญ่เขียนโดยวิศวกรยานยนต์ ซึ่งไม่มีความรู้เรื่องวิธีวิทยาทางประวัติศาสตร์ ขณะที่ “ประวัติศาสตร์เทคโนโลยี” ยังคงเป็นสิ่งที่ถูกละเลยไม่ได้รับความสนใจจากนักศึกษาประวัติศาสตร์ไทย ก็เลยยังไม่มีงานประวัติศาสตร์เกี่ยวข้องที่เป็นชิ้นเป็นอันตามที่สมควร อย่างไรก็ตามที่พอจะหาอ่านได้บ้างก็มีเช่น สุภัทร ทิสาพงศ์ (บก.). ยานยนต์: ฉบับประวัติศาสตร์ยานยนต์ไทย. กรุงเทพฯ: สมาคมส่งเสริมสวัสดิภาพจราจร, 2520; Steve Van Beek. Royal Automobile Stables of Siam. Bangkok: C. Haartman, 1994.
[29] ดูเรื่องราวการต่อสู้ของชาวบ้านป่าแดง จังหวัดแพร่ ซึ่งนำเอาฉากของภาพยนตร์เรื่องพระเจ้าช้างเผือกนี้ไปเป็นหลักฐานต่อสู้เพื่อสิทธิชุมชนของตนเองใน ไม่ระบุนามผู้เขียน. “ตามรอย ๘๐ ปีหนังไทย ‘พระเจ้าช้างเผือก’ ที่ตำบลป่าแดง จ.แพร่” https://web.codi.or.th/20210429-23660/ (เผยแพร่เมื่อวันที่ ๒๙ เมษายน ๒๕๖๔).
[30] ดูรายละเอียดใน ปรีดี พนมยงค์. มหาราชและรัตนโกสินทร์. กรุงเทพฯ: โครงการปรีดี พนมยงค์ กับสังคมไทย, ๒๕๒๕.