Focus
- ในวาระ 93 ปี การอภิวัฒน์สยาม ผู้เขียนได้นำเสนอ ชีวิตของพระประศาสน์พิทยายุทธ (วัน ชูถิ่น) สมาชิกคณะราษฎรคนสำคัญอดีตนักเรียนทหารเยอรมัน ที่มีบทบาทสำคัญในวันการอภิวัฒน์ และบทบาทชีวิตในหลายบทบาท จนกระทั่งวาระสุดท้ายของชีวิต ผ่านหนังสือเก่าและบันทึกสำคัญ
ในปี พ.ศ. 2524 อรุณ เวชสุวรรณ ได้สัมภาษณ์นายปรีดี พนมยงค์ โดยสอบถามถึงหนังสือว่าด้วยการปฏิวัติที่ท่านเห็นควรแก่การอ่าน นายปรีดีได้แนะนำไว้สองเล่ม อันถือเป็นบันทึกชั้นต้นจากสอง “ทหารเสือคณะราษฎร” ได้แก่ เบื้องหลังการปฏิวัติ 2475 ของกุหลาบ สายประดิษฐ์ ซึ่งได้ถ่ายทอดเรื่องราวจากพระยาพหลพลพยุหเสนา (พจน์ พหลโยธิน) ผู้นำคณะราษฎร และ บันทึกของพระยาทรงสุรเดช ผู้บัญชาการวางแผนกำลังกลยุทธ์ในวันยึดอำนาจ[1]

เบื้องหลังการปฏิวัติ 2475 (พ.ศ.2490) โดย กุหลาบ สายประดิษฐ์

บันทึกพระยาทรงสุรเดช (พ.ศ.2490) โดย ป.แก้วมาตย์
ทหารเสืออีกหนึ่งท่านที่ควรกล่าวถึงในฐานะผู้ร่วมอุดมการณ์คือ พระประศาสน์พิทยายุทธ (วัน ชูถิ่น) อดีตนักเรียนทหารเยอรมัน ผู้มีบทบาทสำคัญในรุ่งอรุณวันที่ 24 มิถุนายน 2475 โดยเป็นผู้บัญชาการนำกำลังเข้าควบคุมตัวสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต ณ วังบางขุนพรหม อันเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญในการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พระประศาสน์ฯ ได้ทิ้งบันทึกเรื่องราวอันละเอียดลุ่มลึกไว้ในชื่อ แผนการปฏิวัตร ถ่ายทอดแก่จำรัส สุขุมวัฒนะ เพื่อจัดพิมพ์ในปี พ.ศ. 2491 ก่อนที่เจ้าตัวจะถึงแก่อนิจกรรมในอีกสองปีถัดมา บทความนี้จะพาผู้อ่านย้อนกลับไปทำความรู้จักบันทึกประวัติศาสตร์ชิ้นสำคัญอีกเล่มหนึ่ง ซึ่งสะท้อนความคิด ความกล้า และจิตวิญญาณของผู้ลงมือกระทำการในห้วงเปลี่ยนแปลงใหญ่ของประเทศสยามครั้งนั้น
พลตรี พระประศาสน์พิทยายุทธ (วัน ชูถิ่น)
ชีวประวัติและผลงาน
ภายในอนุสรณ์งานศพของพระประศาสน์พิทยายุทธ[2] ชีวประวัติของท่านได้รับการถ่ายทอดโดย พ.ท. หลวงรณสิทธิพิชัย หนึ่งในสมาชิกคณะราษฎรสายทหารบกคนสำคัญ ดังสรุปได้พอสังเขปดังนี้
พลตรี พระประศาสน์พิทยายุทธ เดิมชื่อ วัน ชูถิ่น เกิดเมื่อวันที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2437 ที่พระนคร เป็นบุตรของขุนสุภาไชย (เอื้อน) และนางวงษ์ เข้าศึกษาในโรงเรียนนายร้อยทหารบกตั้งแต่เยาว์วัย และด้วยความสามารถเป็นเลิศจึงได้รับทุนไปศึกษาวิชาทหารที่ประเทศเยอรมนีและสวิตเซอร์แลนด์ มีประสบการณ์ร่วมรบในสงครามโลกครั้งที่ 1 กับฝ่ายสัมพันธมิตร ได้รับเหรียญตราเกียรติยศจากทั้งราชอาณาจักรไทยและฝรั่งเศส
ภายหลังกลับมารับราชการในไทย วันที่ 17 สิงหาคม พ.ศ.2461 เจ้าฟ้ากรมหลวงหลวงพิษณุโลกประชานาถ ได้ทรงประทานนามสกุลว่า “ชูถิ่น” มีความเจริญก้าวหน้าด้านราชการเรื่อยมา ดำรงตำแหน่งสำคัญในกรมยุทธศึกษาทหารบก และโรงเรียนเสนาธิการทหารบก กระทั่งได้รับบรรดาศักดิ์เป็น “พระประศาสน์พิทยายุทธ” เมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2475
เพียงหนึ่งเดือนถัดมา วันที่ 24 มิถุนายน 2475 พระประศาสน์ฯ ปรากฏตัวในฐานะหนึ่งในสี่ทหารเสือ ผู้ใหญ่สายทหารบกของคณะราษฎรร่วมก่อกำนิดรัฐธรรมนูญ เปลี่ยนระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์เป็นประชาธิปไตย ท่านเป็นผู้บัญชาการที่มีบทบาทสูงในการวางแผนยุทธศาสตร์และควบคุมสถานการณ์ทางทหารช่วงวันปฏิวัติจนบรรลุผลสำเร็จโดยสงบ
หลังการปฏิวัติ ท่านได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี เป็นเจ้ากรมยุทธศึกษาทหารบก รองเสนาธิการทหารบก และผู้ช่วยปลัดกระทรวงกลาโหม อีกทั้งยังดำรงตำแหน่งทางการเมืองและได้รับแต่งตั้งเป็นอัครราชทูตพิเศษประจำเยอรมนีในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อวันที่ 7 ธันวาคม พ.ศ.2481 ก่อนที่กรุงเบอร์ลินจะถูกถล่มจนเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ในเวลาต่อมาอีก 7 ปี เมื่อปลายเดือนเมษายน พ.ศ. 2488 ส่งผลให้ท่านถูกทหารรัสเซียควบคุมตัวที่คุมขังที่มอสโคว์นานถึง 225 วัน กว่าจะได้รับอนุญาตกลับไทยช่วงต้น พ.ศ. 2489
ภายหลังกลับสู่ประเทศไทยเมื่อวันที่ 18 เมษายน พ.ศ.2489 ได้เข้ารับหน้าที่ในกระทรวงการต่างประเทศ ในตำแหน่งอัครราชทูตประจำกระทรวงเป็นระยะเวลาสั้น ๆ ก่อนที่จะโอนไปรับตำแหน่งอธิบดีกรมไปรษณีย์โทรเลขเมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ.2490 จนกระทั่งเกษียณราชการในวันที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2492 และถึงแก่อนิจกรรมด้วยอาการสงบในปลายปีเดียวกันเมื่อวันที่ 6 ธันวาคม สิริอายุ 55 ปี 6 เดือน

ปกอนุสรณ์งานศพพระประศาสน์พิทยายุทธ (วัน ชูถิ่น)
การศึกษาในทวีปยุโรป ระหว่างปี พ.ศ. 2454 ถึง 2462
นอกเหนือจากชีวประวัติ ภายในอนุสรณ์งานศพเล่มเดียวกันนี้ พล.ท.พระศิลปศัสตราคม (ภักดิ์ เกษสำลี) และ พ.อ.หลวงสุรวุฒิสมรรถ (ชั้น ช่วงสุคันธ์) ยังได้ร่วมกันเรียบเรียงภาคประวัติส่วนของการศึกษาในทวีปยุโรป ระหว่างปี พ.ศ. 2454 ถึง 2462 ดังพอสรุปเกร็ดประวัติส่วนนี้ได้ดังต่อไปนี้
หลังสำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนนายร้อยทหารบกในปี พ.ศ. 2453 ด้วยวัยเพียง 16 ปี พระประศาสน์พิทยายุทธ (ขณะนั้นชื่อ “วัน”) ได้รับคัดเลือกให้ไปศึกษาต่อด้านวิชาทหารในยุโรป เนื่องจากเป็นผู้มีสติปัญญาเป็นเลิศ และมีลักษณะนิสัยเหมาะสมจะเป็นผู้นำในกองทัพ ท่านออกเดินทางตามเสด็จเรือพระที่นั่งจักรีในคณะสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ ไปจนถึงฮ่องกง และเดินทางต่อผ่านญี่ปุ่น ไซบีเรีย รัสเซีย จนถึงกรุงเบอร์ลิน ประเทศเยอรมนี จากนั้นศึกษาเบื้องต้นในระบบเยอรมัน ณ Berlin-Lichterfelde ก่อนย้ายไปประเทศสวิตเซอร์แลนด์ในปี พ.ศ.2457 เมื่อสงครามโลกครั้งที่ 1 ปะทุขึ้น ท่านได้เข้ารับการฝึกอย่างเข้มงวดในฐานะพลทหารของกองทัพบกสวิส ทั้งในโรงเรียนปืนกลหนัก โรงเรียนทหารราบ โรงเรียนนายสิบ และโรงเรียนนายทหารสนาม ได้รับคำชมเป็น “ทหารตัวอย่างของไทย” จากนายทหารผู้ใหญ่ ก่อนจะได้รับยศเทียบเท่าร้อยตรีในกองทัพสวิส แม้ยังไม่จบหลักสูตรเต็มรูปแบบ
เมื่อรัฐบาลไทยส่งทหารอาสาไปร่วมรบกับฝ่ายสัมพันธมิตร พระประศาสน์ฯ ได้ย้ายไปฝรั่งเศส ฝึกภาษาและเตรียมปฏิบัติภารกิจในหน่วยรบ ได้รับพระราชทานยศเป็นร้อยตรี และต่อมาเลื่อนเป็นร้อยโทขณะอยู่ในกองพันของกองทหารอาสา ปฏิบัติราชการจนกระทั่งสิ้นสุดสงครามในปี พ.ศ. 2462 ก่อนเดินทางกลับประเทศไทยพร้อมทหารอาสารุ่นที่สอง

ภาพหลักในอนุสรณ์งานศพ พระประศาสน์พิทยายุทธ
ถ่ายเมื่อดำรงตำแหน่งอัครราชทูตพิเศษ ประจำประเทศเยอรมัน
คนไทยผู้ได้เข้าพบ “ฮิตเลอร์” และลงชื่อในสมุดเยี่ยมเป็นคนสุดท้าย
ในยุคเรืองอำนาจของอดอล์ฟ ฮิตเลอร์ (Adolf Hitler) มีคนไทยไม่กี่คนที่ได้เข้าเฝ้าหรือพบปะกับผู้นำเยอรมันโดยตรง นอกจากภาพประวัติศาสตร์เมื่อพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 จับพระหัตถ์กับฮิตเลอร์ที่กรุงเบอร์ลินในต้นเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2477[3] แล้ว ยังมีอีกหนึ่งบุคคลสำคัญ คือ พลตรี พระประศาสน์พิทยายุทธ ซึ่งขณะดำรงตำแหน่งอัครราชทูตสยามประจำเยอรมนี ได้เข้าพบฮิตเลอร์ครั้งแรกเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2482 ณ ทำเนียบไรช์คันซ์เลอรี (Reich Chancellery) อาคารโอ่อ่าที่เพิ่งสร้างเสร็จใหม่ในกรุงเบอร์ลิน และยังมีหลักฐานแสดงถึงการมาเยือนครั้งสุดท้ายโดยปรากฏลายเซ็น “Prasat Chuthin Des Königlichen Thai Gesandte” ซึ่งถอดความได้ว่า “ประศาสน์ ชูถิ่น ผู้แทน (ทูต) แห่งราชอาณาจักรไทย” ในบรรทัดสุดท้ายของสมุดเยี่ยม ณ สถานที่เดียวกันนี้ เมื่อวันที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2488 (อ้างอิงจากสารคดี Inside Hitler’s Reich Chancellery – Myth and Truth, นาทีที่ 28[4])

ลายเซ็นพระประศาสน์พิทยายุทธในสมุดเยี่ยม Reich Chancellery
เมื่อวันที่ 20 เมษายน พ.ศ.2488

ห้องทำงานของฮิตเลอร์ ใน Reich Chancellery ที่พระประศาสน์ฯ เคยเข้าพบกับ “ฟือเรอร์”
เมื่อต้นปี พ.ศ.2482
ภายหลังการพบปะครั้งนั้น พระประศาสน์ฯ ยังคงปฏิบัติหน้าที่ในกรุงเบอร์ลินตลอดช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 จนกระทั่งเยอรมนีล่มสลายและฮิตเลอร์ฆ่าตัวตายในบังเกอร์ใต้ทำเนียบท่านผู้นำเมื่อปลายเดือนเมษายน พ.ศ. 2488 พระประศาสน์ฯ จึงถูกกองทัพโซเวียตควบคุมตัวและส่งไปคุมขังที่กรุงมอสโกนานถึง 225 วัน ก่อนจะได้รับการปล่อยตัวและเดินทางกลับถึงประเทศไทยกลางเดือนเมษายน พ.ศ. 2489
บันทึกประวัติศาสตร์สองเล่มของพระประศาสน์พิทยายุทธ
ภายหลังกลับสู่ประเทศไทยหลังสงครามโลกครั้งที่สอง พระประศาสน์พิทยายุทธได้ฝากบันทึกชีวิตอันเปี่ยมด้วยสีสันทางประวัติศาสตร์ไว้ถึงสองเล่ม เล่มแรกคือ “225 วันในคุกรัสเซีย” ตีพิมพ์เมื่อ พ.ศ. 2490[5] บอกเล่าเหตุการณ์ตั้งแต่วันที่ท่านเริ่มปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งเอกอัครราชทูตสยามประจำกรุงเบอร์ลินในรัฐบาลหลวงพิบูลสงคราม นับแต่ดำรงตำแหน่งช่วงปลายปี พ.ศ. 2481 การเข้าพบอดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ณ ทำเนียบท่านผู้นำในปีถัดมา การเผชิญสงครามในกรุงเบอร์ลินช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 จนถึงวันที่ถูกกองทหารรัสเซียควบคุมตัวไปจำคุกอีกถึง 225 วัน โดยหนังสือเล่มนี้ เสลา เรขะรุจิ ผู้มีนามทางวรรณกรรมว่า “ไทยน้อย” เป็นผู้เรียบเรียงให้ และต่อมาได้มีการจัดพิมพ์ซ้ำอีกครั้งในงานอนุสรณ์ศพภริยาของพระประศาสน์ฯ เมื่อ พ.ศ. 2491[6]

ปกหนังสือ 225 วัน ในคุกรัสเซีย พิมพ์เป็นอนุสรณ์งานศพภริยาพระประศาสน์ฯ
ในปีถัดมา พระประศาสน์ฯ ได้บันทึกเรื่องราวอันเป็นภารกิจสำคัญยิ่งในชีวิต นั่นคือการเข้าร่วมก่อการเปลี่ยนแปลงการปกครอง 24 มิถุนายน 2475 โดยใช้ชื่อว่า “แผนการปฏิวัตร”[7] ซึ่งครั้งนี้ได้ จำรัส สุขุมวัฒนะ มาร่วมเรียบเรียงในรูปแบบ Historical Novel หนังสือเล่มนี้แสดงให้เห็นอุดมการณ์ประชาธิปไตยของพระประศาสน์ฯ อย่างลึกซึ้ง โดยเฉพาะฉากสำคัญเมื่อท่านรับหน้าที่เป็นหัวหน้าคณะผู้เดินทางไปอัญเชิญกรมพระนครสวรรค์วรพินิจ ณ วังบางขุนพรหมในช่วงเช้าของวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ.2475 หนังสือเล่มนี้จัดลำดับเนื้อหาเป็น 10 บท ตั้งแต่ช่วงความคิดริเริ่มไปจนถึงการประกาศใช้รัฐธรรมนูญ โดยแทรกข้อความสำคัญของนักคิดตะวันตกเป็นภาษาอังกฤษในแต่ละบท ทำให้บันทึกเล่มนี้ไม่เพียงเป็นพงศาวดารแห่งอุดมการณ์ แต่ยังสะท้อนความเชื่อมั่นต่อระบอบประชาธิปไตยของผู้นำคณะราษฎรคนสำคัญอย่างชัดเจน
แผนการปฏิวัตร (พ.ศ.2491)
หนังสือเล่มนี้แบ่งเนื้อหาออกเป็น 10 บท ได้แก่ 1. สาเหตุแห่งการปฏิวัตร, 2. หัวใจแห่งการปฏิวัตร, 3. ไฟสุมขอน, 4. มหันตราย, 5. ความคิดประหลาด, 6. การเตรียมการ, 7. รุ่งอรุณ 24 มิถุนายน 2475, 8. นองเลือดหรือไม่, 9. ทหารเสือ และ 10. รัฐธรรมนูญ ซึ่งสามารถจัดแบ่งออกเป็น 3 หมวดสำคัญ ได้แก่ หมวดแรก (บทที่ 1–4) ว่าด้วยอุดมการณ์ประชาธิปไตยของพระประศาสน์ฯ ความคิด ความเชื่อ และแรงบันดาลใจในการเปลี่ยนแปลงการปกครอง หมวดที่สอง (บทที่ 5–6) ว่าด้วยการวางแผน วางยุทธศาสตร์ และการเตรียมการอย่างรอบคอบก่อนวันปฏิบัติการ และหมวดสุดท้าย (บทที่ 7–10) เป็นบันทึกเหตุการณ์ของวันเปลี่ยนแปลงการปกครองอย่างละเอียด จนถึงการประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับถาวรของประเทศ

ปกหนังสือ “แผนการปฏิวัตร”
พิมพ์จำหน่าย พ.ศ. 2491
อุดมการณ์ประชาธิปไตยของผู้เล่า (บทที่ 1-4) พระประศาสน์ฯ เห็นว่าการปฏิวัติไม่ใช่การกบฏเพื่อยึดอำนาจไว้กับตน หากแต่เป็นการคืนอำนาจให้แก่ราษฎรผู้เป็นเจ้าของอำนาจโดยธรรมชาติ โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อสร้างประชาธิปไตยที่แท้จริงบนพื้นฐานของเสรีภาพ ความเสมอภาค และความยุติธรรม แรงบันดาลใจของพระประศาสน์ฯ มาจากประสบการณ์ศึกษาและทำงานในยุโรป โดยเฉพาะในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ซึ่งเป็นต้นแบบของรัฐประชาธิปไตยที่บริสุทธิ์ ที่ประชาชนมีจิตสำนึกทางการเมืองอย่างแท้จริง และนักการเมืองดำรงตนด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ความฝันของพระประศาสน์ฯ คือการเห็นชาติไทยเจริญรุ่งเรืองดั่งอารยประเทศ และยืนหยัดอยู่ได้ด้วยอำนาจของประชาชน หาใช่ด้วยระบบเจ้านาย ขุนนาง หรือลัทธิสอพลอที่บั่นทอนศักดิ์ศรีของคนไทยมาเนิ่นนาน แม้จะต้องเสี่ยงภัยถึงชีวิต พระประศาสน์ฯ และผู้ร่วมอุดมการณ์อีกไม่กี่คนก็ยังมุ่งมั่นวางแผนและลงมือกระทำด้วยความตั้งใจแน่วแน่ว่าจะเปลี่ยนการปกครองให้สำเร็จโดยสงบ ไม่ให้เลือดตกยางออก และให้ราษฎรไทยมีสิทธิปกครองตนเองในที่สุด
ระยะตระเตรียมแผนการ (บทที 5-6) พระประศาสน์ฯ เล่าถึง "ความคิดประหลาด" ที่แล่นเข้าสู่จิตใจอย่างฉับพลัน เสมือนเป็นวโรกาสจากพระผู้เป็นเจ้าที่ประทานแผนการปฏิวัติให้สำเร็จโดยไม่เสียเลือดเนื้อ ความคิดนั้นเริ่มจากความปรารถนาอย่างบริสุทธิ์ที่จะรับใช้ชาติด้วยอุดมคติ และได้เกิดแรงบันดาลใจขึ้นทันทีว่าจะใช้ตำแหน่งอำนวยการโรงเรียนนายทหารเสนาธิการ ขอเข้าตรวจดูอาวุธแผนใหม่ของกรมทหารม้ารักษาพระองค์ โดยอาศัยเหตุผลด้านวิชาการทางการทหาร ซึ่งเป็นการเปิดโอกาสให้พระประศาสน์ฯ ได้ศึกษาทั้งคลังกระสุน เส้นทางหนี ที่ตั้งอาวุธ รวมถึงบุคลากร เพื่อวางแผนปฏิบัติการยึดอำนาจอย่างละเอียดลึกซึ้ง ความประทับใจที่ได้เห็นอาวุธยุทโธปกรณ์ โดยเฉพาะรถเกราะและรถยนต์หุ้มเกราะ ทำให้พระประศาสน์ฯ วางแผนใช้รถเหล่านี้ในการเคลื่อนกำลังเพื่อการยึดสถานที่สำคัญ รวมถึงการควบคุมบุคคลสำคัญในช่วงเช้ามืดของวันที่ 24 มิถุนายน โดยมีเจ้าคุณพหลฯ เป็นผู้ตัดกุญแจคลังกระสุน และเจ้าคุณทรงฯ เป็นผู้บัญชาการประสานงาน ขณะเดียวกัน พระประศาสน์ฯ ตรวจดูอย่างถี่ถ้วนถึงที่ตั้งของคลังอาวุธ โรงรถ ที่พักนายทหาร และบ้านของพระองค์เจ้าภาณุพันธุ์ฯ เพื่อจัดระบบการเคลื่อนกำลังอย่างมีประสิทธิภาพ โดยตนเองจะเป็นผู้จัดการควบคุมการนำรถและกำลังออกมาอย่างเฉียบพลัน ใช้เวลาครึ่งชั่วโมงให้สำเร็จ และสุดท้ายยังเตรียมการที่จะไปรับนักเรียนนายร้อยรุ่น 74 ซึ่งเป็นลูกศิษย์ของตน ณ พระบรมรูปทรงม้า เพื่อร่วมสร้างประชาธิปไตยอันเป็นลัทธิใหม่ของชาติไทย ทั้งหมดนี้ พระประศาสน์ฯ ถือว่าเป็นหน้าที่สูงสุดของคนไทยทุกคนที่ต้องทำให้ประชาธิปไตยเกิดขึ้นด้วยมือของตนเอง
ส่วนสำคัญที่สุดของหนังสือเล่มนี้คือบทที่ 8 ซึ่งพระประศาสน์ต้องทำหน้าที่ตามคำบัญชาของพระยาทรงสุรเดชที่ว่า “พระประสาสน์ ฯ ไปจับกรมพระนครสวรรค์ พระยาสีหราชเดโช และพระยาเสนาสงคราม” แน่นอนว่า ปฏิบัติการครั้งสำคัญที่เล่าโดยหัวหน้าผู้ควบคุมกองกำลังไปในครั้งนั้นย่อมหมายถึงหลักฐานประวัติศาสตร์ชิ้นสำคัญระดับชั้นต้นสุดของเหตุการณ์เปลี่ยนแปลงการปกครอง ซึ่งเต็มไปด้วยความเข้มข้น สุดระทึกใจ และจบลงด้วยดีภายหลังการเจรจา เมื่อกรมพระนครสวรรค์ฯ ตรัสว่าจะเสด็จไปด้วย แต่ขอขึ้นไปแต่งตัวก่อน พระประศาสน์ฯ ทูลปฏิเสธด้วยความระแวงว่าอาจเป็นกลอุบาย พระองค์จึงเปลี่ยนตรัสถามถึงรถที่ใช้ แต่เมื่อทราบว่าไม่มีรถดีกว่ารถบรรทุกกระบะ ก็ทรงยอมเสด็จไปด้วย พร้อมตรัสขอพาพระชายาไปด้วย พระประศาสน์ฯ เห็นว่าไม่เป็นปัญหาจึงอนุญาต แล้วปิดท้ายบทนี้ด้วยย่อหน้าที่ว่า
“สมเด็จกรมพระนครสวรรค์ฯ ผู้ทรงอานาจอันศักดิ์สิทธิ์ ในเครื่องฉลองพระองค์เพียงกางเกงจีน กับเสื้อกุยเฮงพร้อมด้วยพระชายาก็ยินดีเสด็จขึ้นรถกะบะไปกับพวกเรา ข้าพเจ้าดีใจเป็นล้นพ้น สั่งทหารขึ้นรถเป็นการด่วน ขบวนรถของเราก็พากันแล่นออกจากวังตรงไปยังวัดโพธิ์ ซึ่งเป็นทางที่จะไปบ้านพระยาสีหราชเดโชชัย นายทหารเสือแห่งประเทศไทยในครั้งนั้น”

หน่วยรถรบทหารบกของคณะราษฎร ถ่ายหน้าวังปารุสกวัน เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ.2475
ปัจฉิมบท
หนังสือ แผนการปฏิวัตร ของพระประศาสน์พิทยายุทธ คือหนึ่งในบันทึกประวัติศาสตร์ที่ทรงคุณค่ายิ่ง ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าสองเล่มที่อาจารย์ปรีดี พนมยงค์เคยแนะนำไว้ในฐานะหลักฐานชั้นต้น และยังควรค่าแก่การเปรียบเคียงกับบันทึกของหลวงศุภชลาศัย (บุง) ผู้เป็นอีกหนึ่งในคณะผู้ก่อการ 2475 ซึ่งได้เข้าเฝ้าพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ณ พระราชวังไกลกังวล หัวหิน ในวันที่ 25 มิถุนายน 2475 เพื่อทูลเชิญเสด็จกลับพระนคร[8] ขณะที่พระประศาสน์ฯ ได้เผชิญหน้ากับสมเด็จฯ กรมพระนครสวรรค์ฯ ณ วังบางขุนพรหม ในรุ่งอรุณแห่งวันยึดอำนาจ บันทึกทั้งสองจึงเป็นพยานร่วมสมัยของผู้ลงมือกระทำการ ณ สองห้วงเวลาที่มีนัยสำคัญต่อชะตากรรมของแผ่นดิน อันผนึกอยู่ในกระแสธารประวัติศาสตร์เดียวกัน
บันทึกของพระประศาสน์ฯ ฉบับนี้ ยังโดดเด่นด้วยทัศนคติอันลึกซึ้งต่ออุดมการณ์ประชาธิปไตย ถ่ายทอดด้วยสำนวนอันเปี่ยมชีวิตชีวา แม้จะเป็นงานรำลึกอดีต หากกลับให้ความรู้สึกร่วมสมัยและมีความหมายต่อผู้อ่านทุกยุคทุกสมัย สมดังคำในคำนำของสำนักพิมพ์ที่กล่าวไว้ว่า
“ในหนังสือเล่มนี้ผู้เล่าคือ คุณพระประศาสน์พิทยายุทธิ์ และผู้เขียนคือ คุณจำรัส สุขุมวัฒนะ ได้ทำให้หนังสือมีค่ายิ่งในทางประวัติศาสตร์ของชาติ ในแง่ความรู้ จึงยากที่จะหาหนังสือเล่มใดทัดเทียมได้ เพราะ facts คือความจริงต่าง ๆ ออกมาจากผู้วางแผนการปฏิวัตรนั้นเอง แต่อย่างไรก็ดี Style ในการเขียน อันคุณจำรัส สุขุมวัฒนะ เป็นผู้จัดขึ้นนั้น นับว่าได้สร้างรสนิยมในทางหนังสือเป็นอย่างดี สมความประสงค์ของท่านที่จะให้อ่านได้อย่าง Historical Novel ในส่วนผู้จัดพิมพ์ รู้สึกว่าได้รับงานอันมีค่าชิ้นหนึ่งมาจัดทำให้สำเร็จลง อันจะเป็นคุณประโยชน์แก่บุคคลทุกคนที่ได้อ่านหนังสือนี้”
[1] นริศ จรัสจรรยาวงศ์, หนังสือปฏิวัติ 2475 ที่ปรีดี พนมยงค์ แนะนำให้อ่าน ดู https://www.the101.world/recommended-thai-revolution-1932-books-pridi/
[2] ประชุมพงศาวดาร ภาคที่ 31 จดหมายเหตุเรื่องมิชชันนารีอเมริกันเข้ามาประเทศไทย, พิมพ์ในงานพระราชทานเพลิงศพ พลตรี พระประศาสน์พิทยายุทธ (วัน ชูถิ่น) ณ เมรุวัดมกุฏกษัตริยาราม วันที่ 30 ธันวามคม พ.ศ.2493, (การพิมพ์ไทยสามัคคี)
[3] จดหมายเหตุ เสด็จพระราชดำเนินประพาสยุโรป พ.ศ.2476-2477 ของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว, ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระบรมราชานุญาตให้พิมพ์เป็นอนุสรณ์เนื่องในงานพระราชทานเพลิงศพ พลตรี ปชา สิริวรสาร ณ เมรุวัดเทพศิรินทราวาส 12 พฤศจิกายน 2526, (กรุงสยามการพิมพ์), หน้า 203.
[4] INSIDE HITLER'S REICH CHANCELLERY - MYTH AND TRUTH ABOUT THE NEW REICH CHANCELLERY ดู https://www.youtube.com/watch?v=FGQM0zU9Ayc
[5] ไทยน้อย (เสลา เรขะรุจิ), 225 วันในคุกรัสเซีย, พ.ศ.2490, (โรงพิมพ์ไทยเขษม).
[6] 225 วันในคุกรัสเซีย ของ พลตรี พระประศาสน์พิทยายุทธ พิมพ์แจกเป็นที่ระลึก ในงานพระราชทานเพลิงศพ นางประศาสน์พิทยายุทธ (เนาว์ ชูถิ่น) จ.จ. ณ เมรุวัดมกุฏกษัตริยาราม วันที่ 3 พฤศจิกายน 2491, (โรงพิมพ์ธนาคารออมสิน).
[7] จำรัส สุขุมวัฒนะ, เล่าโดย พล.ต. พระประศาสน์พิทยายุทธ์, แผนการปฏิวัตร, พ.ศ.2491, (โรงพิมพ์สารเสรี).
[8] นริศ จรัสจรรยาวงศ์, “ตาบุง” หลวงศุภชลาศัย กับบันทึกระทึกปฏิวัติ 2475, ศิลปวัฒนธรรม เมษายน พ.ศ.2568 ลำดับที่ 546 ปีที่ 46, หน้า 66-105.