“เราไม่ได้เสียใจที่ไม่มีชื่อ เพราะเมื่อรู้ข่าวว่าปฏิวัติแล้ว เราก็เดินทางไปร่วมกันทีหลัง และรู้สึกโล่งอกที่ทุกอย่างเป็นไปด้วยความเรียบร้อย ไม่เสียเลือดเนื้อ”
พลเรือโท ศรี ดาวราย
นอกเหนือจากรายนามผู้ก่อการ 2475 อย่างเป็นทางการจำนวนร้อยคนเศษ ทว่าประวัติศาสตร์ยังบันทึกอีกด้านหนึ่งของนายทหารเรือห้าคนที่มีส่วนร่วมแต่กลับ “ตกสำรวจ” ไปจากบัญชี นั่นคือ หลวงจำรัสจักราวุธ หลวงเจียรกลการ สวัสดิ์ จันทนี ทัศน์ กรานเลิศ และศรี ดาวราย ทั้งหมดเป็นส่วนหนึ่งของการเคลื่อนไหวสายทหารเรือซึ่งรับรู้แผนการและเตรียมกำลังสนับสนุน เพียงแต่ไม่ทันเข้าร่วมปฏิบัติการในวันลงมือจริงเพราะความกะทันหันของสถานการณ์ แม้ชื่อจะไม่ปรากฏในหลักฐานทางการ แต่ พลเรือโท ศรี ดาวราย ได้กล่าวยืนยันในภายหลังว่า เขาและสหายต่างภาคภูมิใจที่ได้มีส่วนร่วมในขบวนการซึ่งนำประชาธิปไตยมาสู่สังคมไทย
พลเรือโท ศรี ดาวราย ภาพหลักในอนุสรณ์งานศพ
พลเรือโท ศรี ดาวราย เกิดเมื่อวันที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2446 ณ คลองบางหลวงไหว้พระ ปัจจุบันอยู่ในเขตอำเภอเมือง จังหวัดปทุมธานี บิดาเป็นสามัญชน เดิมประกอบอาชีพเป็นช่าง ก่อนจะหันไปทำนาและค้าขาย ส่วนมารดาถึงแก่กรรมตั้งแต่เด็กชายมีอายุเพียงหนึ่งขวบ ภายหลังบิดาจึงส่งบุตรชายเข้ามาอยู่ในพระนคร อาศัยที่บ้านพระยาวรวาทฯ บริเวณท่าลงยาเก่า ปากคลองตลาด เนื่องจากพระยาวรวาทฯ ไม่มีบุตร จึงรับเลี้ยงดูเสมือนบุตรบุญธรรม ศรี ดาวราย เล่าถึงบ้านพระยาวรวาทฯ ว่าเป็นตึกสามชั้นของหม่อมหลวงเพ่ ตั้งอยู่ริมน้ำเจ้าพระยา มีท่าเรือสามท่า ได้แก่ ท่าวัดเลียบ ท่ากลาง และท่าลงยาเก่า ซึ่งในเวลาต่อมากลายเป็นที่ตั้งของกรมชลประทานเก่า เขายังเล่าถึงบิดาว่า แม้ค้าขายจนมีกำไรและสร้างเรือนได้ถึงห้าหลัง แต่ต่อมาได้รื้อถวายวัดทั้งหมด ก่อนจะปลูกเรือนใหม่ กระทั่งภายหลังล้มป่วย จึงเลิกค้าขาย
เส้นทางการศึกษาในวัยเยาว์เริ่มที่โรงเรียนครูง่อย ตั้งอยู่เยื้องโรงเรียนเสาวภา ย่านปากคลองตลาด ต่อมาได้ย้ายไปเรียนกับครูกุหลาบที่ท่ากลาง และเมื่อเริ่มอ่านออกเขียนได้จึงเข้าเรียนต่อที่โรงเรียนวัดราชบพิธ เดิมเขาตั้งใจจะเรียนที่โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัยเพราะใกล้บ้าน ทว่าค่าเล่าเรียนที่นั่นเดือนละสองบาทถือว่าแพง จึงเลือกเรียนที่วัดราชบพิธซึ่งเก็บเพียงบาทเดียว ในช่วงที่ศึกษาอยู่ที่นั่น เขาสอบได้ที่หนึ่งอย่างสม่ำเสมอ และได้รับเกียรติให้นั่งโต๊ะไม้โอ๊คพระราชทานของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเป็นรางวัล อย่างไรก็ดี โรงเรียนวัดราชบพิธเปิดสอนถึงเพียงชั้นมัธยมปีที่ 3 เมื่อสำเร็จแล้วจึงย้ายมาต่อมัธยมปีที่ 4 ที่โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย ซึ่งในขณะนั้นเก็บค่าเล่าเรียนเดือนละสี่บาท
เมื่อย้ายมาเรียนที่โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย ศรี ดาวราย แสดงความสามารถโดดเด่นในด้านกีฬาฟุตบอล จนได้รับการแต่งตั้งจากนอร์แมน ชัตตัน ครูชาวต่างประเทศให้เป็นหัวหน้าทีมกีฬา ความสำเร็จในสนามฟุตบอลประกอบกับผลการเรียนที่อยู่ในเกณฑ์ดี ทำให้เขามั่นใจว่าจะมีอนาคตที่ก้าวหน้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพระยาวรวาทฯ ซึ่งเป็นเลขานุการในกระทรวงธรรมการ ไม่มีบุตรและให้ความรักเอ็นดูเขาเสมือนลูกชาย ศรี ดาวราย เล่าว่าขณะนั้นตนคาดหวังว่าจะได้ทุนไปศึกษาต่อต่างประเทศในด้านพลศึกษา ซึ่งชัตตันก็สนับสนุนอย่างเต็มที่ อีกทั้งระหว่างเรียนในชั้นมัธยมปีที่ 5 และปีที่ 6 เขายังสอบได้ที่หนึ่งอยู่เสมอ อย่างไรก็ตาม ความหวังนี้ก็สิ้นสุดลงเมื่อพระยาวรวาทฯ ถึงแก่อนิจกรรมในปีที่เขามีอายุครบ 18 ปีพอดี ศรี ดาวราย จึงตัดสินใจเลือกเส้นทางชีวิตใหม่ ด้วยความคิดว่าโบราณเมื่อถึงวัยนี้ชายหนุ่มควรเข้ารับราชการทหาร เขาจึงชักชวนเพื่อนร่วมรุ่นเข้าสอบโรงเรียนนายเรือ และเมื่อวันที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2462 ก็ได้ก้าวเข้าสู่เส้นทางนักเรียนนายเรืออย่างจริงจัง
โรงเรียนนายเรือในสมัยนั้นขึ้นชื่อว่าสอบยาก มีการสอบคัดเลือกปีละ 2 ครั้ง รุ่นที่ศรี ดาวราย เข้าสอบมีผู้สมัครประมาณ 160 คน แต่รับเพียง 40 คน เพื่อนจากสวนกุหลาบที่เข้าสอบพร้อมกัน 6 คน สอบได้ 4 คน ได้แก่ วิเชียร อัตนโถ แชน ปัจจุสานนท์ สนิท มหาคีตะ และศรี ดาวราย รุ่นเดียวกันยังมีผู้สอบได้ เช่น ทัศน์ กรานเลิศ, สวัสดิ์ จันทนี, กุหลาบ กาญจนสกุล, ผัน เปรมมณี, ซุ้ย นพคุณ และโสภณ ทิมกระจ่าง ทั้งหมด 40 คนถูกแบ่งออกเป็น 2 สาย คือ “พรรคนาวิน” 23 คน เน้นการเดินเรือ และ “พรรคกลิน” 17 คน เน้นวิชาช่างกล ศรี ดาวราย อยู่ในพรรคกลิน อย่างไรก็ตาม ระเบียบเข้มงวดทำให้ไม่ใช่ทุกคนจะเรียนจบ เพราะผู้ใดสอบตกต่ำกว่าร้อยละ 30 ในวิชาใดจะถูกให้ออก และหากสอบภาษาอังกฤษไม่ผ่านก็ต้องพ้นสภาพ บางคนแม้เรียนดีในปีแรก ๆ ก็ยังถูกไล่ออกในชั้นสูง ในที่สุดเมื่อต้น พ.ศ. 2468 ผู้ที่อยู่รอดจนสำเร็จการศึกษามีเพียง 11 คน แบ่งเป็นนาวิน 8 และกลิน 3 โดยศรี ดาวราย เป็นหนึ่งในผู้สำเร็จจากสายกลิน ซึ่งกลายเป็นพื้นฐานสำคัญต่อเส้นทางราชการในเวลาต่อมา
นายทหารเรือหนุ่ม
นายเรือโท ศรี ดาวราย ฉายภาพคู่ภริยา ม.ร.ว. อบลออ ดาวราย เมื่อ พ.ศ. 2472
เมื่อสำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนนายเรือใน พ.ศ. 2468 ศรี ดาวราย ได้รับการบรรจุเข้ารับราชการเป็นว่าที่เรือตรีเมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2469 และเพียงหนึ่งปีถัดมาก็ได้รับการเลื่อนขึ้นเป็นเรือตรีเต็มยศ ในระยะต้นของเส้นทางราชการ เขาได้รับมอบหมายให้ปฏิบัติหน้าที่นายช่างกลประจำเรือรบสำคัญของราชนาวีถึงสามลำในปี พ.ศ. 2470 ได้แก่ เรือหลวงพระร่วง เรือหลวงวิเทศกิจการ และเรือหลวงเสือทยานชล ตำแหน่งเหล่านี้ช่วยให้เขาสั่งสมประสบการณ์ด้านวิศวกรรมเรือทั้งในทางเทคนิคและการบังคับบัญชา ซึ่งกลายเป็นรากฐานสำคัญของความเชี่ยวชาญในภายหลัง
ต่อมาใน พ.ศ. 2472 ศรี ดาวราย ได้รับแต่งตั้งเป็นนายช่างกลประจำเรือพระที่นั่งมหาจักรี ซึ่งเป็นตำแหน่งที่มีเกียรติสูงยิ่ง พร้อมกันนั้นยังได้รับการเลื่อนยศขึ้นเป็นเรือโทเมื่อวันที่ 1 เมษายนปีเดียวกัน ก่อนหน้าการเปลี่ยนแปลงการปกครองเพียงสองเดือน เขายังได้รับมอบหมายให้ไปดำรงตำแหน่งนายช่างกลกองโรงเรียนชุมพลทหารเรือที่สมุทรปราการ บทบาทดังกล่าวทำให้เขามีสถานะทั้งในฐานะนายทหารปฏิบัติการในราชนาวี และในฐานะครูฝึกผู้ถ่ายทอดวิชาความรู้แก่กำลังพลรุ่นใหม่ การปฏิบัติหน้าที่ทั้งสองด้านนี้เปิดโอกาสให้เขามองเห็นโครงสร้างภายในของกองทัพอย่างใกล้ชิด ตลอดจนตระหนักถึงปัญหาความไม่เสมอภาคและความเหลื่อมล้ำทางสังคมในระบบราชการ ซึ่งต่อมากลายเป็นปัจจัยผลักดันให้ท่านเข้ามามีส่วนร่วมกับขบวนการเปลี่ยนแปลงการปกครองกับคณะราษฎร
ศรี ดาวราย ยังได้เล่าย้อนถึงช่วงชีวิตนักเรียนนายเรือว่า เมื่อแรกเข้าเรียนทุกคนจะได้รับชุดกลาสีและถูกส่งไปฝึกภาคสนามบนเรือพาลีรั้งทวีป ภายใต้การกำกับของกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ซึ่งทรงสอนด้วยพระองค์เอง ท่านเล่าว่า
“พอเข้าแล้วเขาก็ให้แต่งพลทหาร ไปอยู่ในเรือพาลีรั้งทวีป ของกรมหลวงชุมพร เขตอุดมศักดิ์ เขาก็ไปสอนการเรือ บางทีเช้าขึ้นมาก็ให้กวาดเรือ ล้างเรือ ถูพื้นทราย ล้างส้วมเรือ และงานกุลีอื่น ๆ… ในระหว่างนี้ กรมหลวงชุมพรฯ ท่านเห็นเข้าท่านก็เรียก ‘มานี่ไอ้ลูกชาย เตี่ยจะสอนให้’ เราก็เลยเรียกท่านว่าเสด็จเตี่ย”
ประสบการณ์ดังกล่าวสะท้อนทั้งความเข้มงวดของการฝึก และความผูกพันระหว่างนายทหารหนุ่มกับเสด็จเตี่ยในฐานะครูผู้ประสิทธิ์ประสาทวิชา
อย่างไรก็ดี ความไม่เสมอภาคทางสังคมปรากฏชัดในระหว่างที่เขาเป็นนักเรียนนายเรือ แม้จะสอบได้ลำดับสูงอยู่เสมอ ได้ที่สามสองครั้ง ที่สองสองครั้ง และที่หนึ่งสองครั้ง และเมื่อสำเร็จการศึกษาก็สอบได้เป็นลำดับหนึ่งของชั้นโทด้วยคะแนนระหว่าง 75–90% ซึ่งตามปกติควรได้รับทุนไปศึกษาต่อต่างประเทศ แต่ในความเป็นจริงกลับถูกกันสิทธิ์ไว้ให้บุตรเจ้านายและลูกนายพล ศรี ดาวราย เล่าด้วยความขมขื่นว่า
“พวกผมเป็นลูกชาวนาพ่อค้าเขาไม่ให้ไป แต่ลูกนายพลและลูกเจ้านาย ไม่เคยเรียนที่โรงเรียนนายเรือ แต่ก็ได้ทุนของกองทัพเรือไป แทนโควต้าของพวกผม แถมพวกผมยังต้องไปส่ง เมื่อนักเรียนทุนพวกนั้นลงเรือไปต่างประเทศด้วย”
ยิ่งไปกว่านั้น บุตรขุนนางที่ได้รับทุนไปเรียนต่อที่เดนมาร์กยังสอบตกและกลับมาล้มเหลวในการศึกษา ไม่อาจสำเร็จเป็นนายทหารเรือได้
ศรี ดาวราย สะท้อนด้วยว่า ปัญหาการเล่นพรรคเล่นพวกและการอุปถัมภ์ในระบบราชการมีมาอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 6 ที่ทรงโปรดปรานและพระราชทานสิทธิพิเศษแก่ข้าราชบริพารอย่างเจ้าพระยารามราฆพ หรือมหาดเล็กผู้ใกล้ชิด ซึ่งสร้างความไม่พอใจในหมู่เจ้านายบางส่วน และเมื่อรวมกับการเลือกปฏิบัติในกองทัพเรือ ยิ่งทำให้ระบบราชการเต็มไปด้วยความไม่ชอบธรรม สิ่งเหล่านี้เป็นประสบการณ์ตรงที่ก่อตัวเป็นความไม่พอใจ และกลายเป็นหนึ่งในเงื่อนไขทางสังคมที่จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475
ก่อนการเปลี่ยนแปลงการปกครอง
บทสัมภาษณ์ในมติชนรายวัน เมื่อวันชาติ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2528
ประเทศไทยเผชิญวิกฤตเศรษฐกิจโลก (Great Depression) ส่งผลให้รัฐบาลต้องตัดงบประมาณและปลดข้าราชการจำนวนมาก โดยเฉพาะนายทหารหนุ่มชั้นผู้น้อยที่ไร้เส้นสาย ขณะที่เจ้านายและผู้ใกล้ชิดราชสำนักกลับไม่ถูกแตะต้อง ความเหลื่อมล้ำเช่นนี้ก่อให้เกิดความไม่พอใจอย่างกว้างขวางในกองทัพ ศรี ดาวราย ซึ่งขณะนั้นเป็นนายเรือโท มองเห็นความไม่เป็นธรรมชัดเจน ยิ่งเมื่อเทียบกับประสบการณ์ส่วนตัวที่เคยสอบได้ที่หนึ่งเพื่อไปศึกษาต่อต่างประเทศ แต่กลับถูกกันสิทธิ์ให้บุตรเจ้านาย สิ่งเหล่านี้สะสมเป็นความขัดข้องใจต่อระบอบเดิม และยิ่งตอกย้ำเมื่อระบบการเลื่อนยศทหารเข้มงวดขึ้น จากนายเรือตรีสู่นายเรือโท หรือนายเรือโทสู่นายเรือเอก ต้องผ่านการคัดเลือกหลายครั้งกว่าจะก้าวหน้าได้ ต่างจากผู้ที่สมัครเป็นมหาดเล็กซึ่งได้รับอภิสิทธิ์ไม่ถูกกระทบ ศรี ดาวราย สะท้อนความไม่พอใจในบรรยากาศดังกล่าวว่า “สมัยนั้นเขาพากันไปสมัครเป็นมหาดเล็ก ผมไม่เอา ถือว่าได้ที่หนึ่ง เขาไม่เอาออกเลย ขี้เกียจ ไม่อยากเป็นขี้ข้าใคร”
บรรยากาศแห่งความเหลื่อมล้ำนี้ค่อย ๆ หล่อหลอมเข้ากับกระแสแนวคิดใหม่จากต่างประเทศ เมื่อเรือเอกสินธุ์ กมลนาวิน สมาชิกคณะราษฎรผู้กลับจากการศึกษาต่างประเทศเริ่มเผยแพร่ความคิดทางการเมือง เขาใช้กีฬาเป็นสื่อกลางในการสร้างความสนิทสนมกับนายทหารหนุ่ม ทั้งฟุตบอล บิลเลียด สนุกเกอร์ และวงสุรา ก่อนจะเปิดประเด็นว่าประเทศไทยจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลง ศรี ดาวราย เป็นหนึ่งในผู้ที่ได้รับการชักชวนและในที่สุดก็ตอบรับ ด้วยความเชื่อว่าระบบเดิมไร้ความชอบธรรม ไม่สามารถแก้ไขปัญหาความทุกข์ยากของประชาชนได้ ความสนิทสนมที่เกิดขึ้นจากการคลุกคลีอย่างไม่ถือตัวของสินธุ์ กมลนาวิน ทำให้บรรดาทหารเรือจำนวนหนึ่งเริ่มเห็นพ้องกับแนวทางการปฏิวัติ และร่วมกันก่อตัวเป็นเครือข่ายเคลื่อนไหวซึ่งจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงการปกครองในที่สุด
การชักชวนเข้าสู่คณะราษฎร
ศรี ดาวราย เล่าย้อนว่า เมื่อรัชกาลที่ 7 เสด็จประพาสอินโดจีน เขาประจำการอยู่บนเรือพระที่นั่งมหาจักรีในตำแหน่งนายช่างกล ส่วนหลวงสินธุฯ ซึ่งเพิ่งกลับจากการศึกษาต่างประเทศ ได้รับแต่งตั้งเป็นนายธงประจำพระยาราชวังสัน ผู้เป็นพี่ชาย ในห้วงเวลานั้น สินธุ์ได้เอ่ยกับเขาว่า “บ้านเมืองท่าจะไม่ไหว” แม้ยังมิได้ชวนก่อการโดยตรง แต่ก็ชี้ให้เห็นถึงความล้มเหลวของรัฐบาลในการแก้ไขวิกฤตเศรษฐกิจ เปรียบเทียบกับต่างประเทศที่สามารถเปลี่ยนรัฐบาลได้สำเร็จ
บุคคลสำคัญในการเปลี่ยนแปลงการปกครอง
กลางปี พ.ศ. 2474 ศรี ดาวราย ถูกเชิญโดยหลวงสินธุฯ และหมอสงวน รุจิราภา ไปรับประทานอาหารค่ำที่ภัตตาคารกี่จันเหลา ย่านราชวงศ์ ที่นั่นเขาได้รับการเปิดเผยเป็นครั้งแรกถึงแผนการเปลี่ยนแปลงการปกครอง เขาเล่าว่าถามกลับไปด้วยความกังวลว่า “เขาเลือกคนนี่เขาจะเอาแน่หรือไม่ อย่าให้เป็นแบบ ร.ศ. 130” ภายหลังกลับมาปรึกษาภรรยาและได้รับการสนับสนุน เขาจึงตัดสินใจเข้าร่วม หมอสงวนย้ำด้วยคำพูดหนักแน่นว่า หากตกลงแล้วต้องปกปิดเป็นความลับ หากแพร่งพรายจะถึงขั้นถูกกำจัดทิ้ง เขายอมรับเงื่อนไขดังกล่าวและประกาศตัวร่วมขบวนการ จากนั้นจึงได้พบกับพระยาพหลพลพยุหเสนาและหลวงพิบูลสงครามที่ร้านแป๊ะม้อ ราชวงศ์ ซึ่งเป็นสถานที่สังสรรค์ของพวกนักฟุตบอลและนักเรียนเรือ ศรี ดาวราย ยังได้ชักชวนเรือเอกทิพย์ ประสานสุข เข้ามาร่วมด้วย
“ศรี ดาวราย ผู้ถูกจารึกในประวัติศาสตร์” บทความในหนังสือพิมพ์ ปีใหม่ พ.ศ. 2504
การขยายเครือข่ายและบทบาทที่โรงเรียนชุมพล
ในเดือนเมษายน พ.ศ. 2475 ศรี ดาวราย ได้รับคำสั่งให้ย้ายไปเป็นครูที่โรงเรียนชุมพลทหารเรือ สมุทรปราการ ซึ่งเป็นสถานศึกษาของนักเรียนจ่าทหารเรือ ที่นั่นเขาได้ชักชวนเรือเอกสวัสดิ์ จันทนี ต้นตอร์ปิโดของโรงเรียนเข้าร่วม สวัสดิ์ตอบรับและช่วยพาไปพบหลวงสินธุฯ และหลวงพิบูล ฯ ตกลงแบ่งหน้าที่กัน โดยศรี ดาวราย จะเป็นผู้ชักชวนทหารช่าง ขณะที่สวัสดิ์รับผิดชอบสายปากเรือ
ศรี ดาวราย เล่าว่า ขณะสอนนักเรียนพันจ่า เขามักกล่าวแทรกว่ารัฐบาลไร้ประสิทธิภาพ ปล่อยให้ประชาชนยากจนลำบาก และเมื่อศิษย์ถามว่าจะให้ทำอย่างไร เขาก็เตือนว่า “ถ้าแกคิดจะทำอะไรอย่าเพิ่งทำกันเองไม่ได้นะ ให้ฟังครูพูดก่อนนะ ผมก็มีกำลังในมือพอสมควร” ซึ่งสะท้อนว่าขณะนั้นเขามีกำลังอยู่ในมือพอสมควร นอกจากนี้ ยังมีนายทหารสายช่างกลคนสำคัญอีกคนคือหลวงเจียรกลการ (เจียร เจียรกุล) ซึ่งเข้าร่วมคณะราษฎรโดยการชักชวนของหลวงสินธุฯ เช่นกัน แต่เนื่องจากต่างฝ่ายต่างปิดบังไว้เพื่อความปลอดภัย กว่าศรี ดาวราย จะรู้ว่าหลวงเจียรอยู่ฝ่ายเดียวกันก็เป็นช่วงใกล้การยึดอำนาจแล้ว
โดยสรุปแล้ว เมื่อสถานการณ์ทั้งการเมืองและเศรษฐกิจสุกงอมก่อนวันเปลี่ยนแปลงการปกครอง ศรี ดาวราย ได้กลายเป็นหนึ่งในเครือข่ายสำคัญของคณะราษฎรสายทหารเรือ แม้ภายหลังชื่อของท่านจะไม่ปรากฏในบัญชีผู้ก่อการอย่างเป็นทางการ แต่บทบาทที่เขาปฏิบัติกลับมีความหมายอย่างยิ่ง ทั้งการชักชวนนายทหารรุ่นใหม่เข้าสมทบ การวางฐานกำลังในโรงเรียนชุมพลทหารเรือ และการประสานกับผู้นำสายกลางของคณะราษฎร เช่น พระยาพหลพลพยุหเสนาและหลวงพิบูลสงคราม
เรือโท ศรี ดาวราย กับปฏิวัติ 2475
การอธิบายบทบาทของศรี ดาวราย ต่อการปฏิวัติ 24 มิถุนายน 2475 จำเป็นต้องมองเห็นภาพกว้างของกองทัพเรือไทยในห้วงเวลานั้นเสียก่อน กล่าวคือ ใน พ.ศ. 2474 กระทรวงทหารเรือถูกควบรวมเข้าไว้ในกระทรวงกลาโหม มีกำลังรบในสังกัดกองเรือรบหลายประเภท ได้แก่ กองเรือปืนซึ่งมีเรือหลวงประจำการหกลำ เช่น รัตนโกสินทร์ สุโขทัย พาลีรั้งทวีป สุครีพครองเมือง สุริยมณฑล และเจ้าพระยา กองเรือตอร์ปิโดซึ่งมีเจ็ดลำ รวมถึงเรือรบหลวงเสือทยานชล เสือคำรณสินธุ์ พระร่วง และเรือตอร์ปิโดหมายเลข 1–4 ส่วนกองเรือช่วยรบประกอบด้วยอีกหกลำ เช่น วิเทศกิจการ เจนทะเล หาญทะเล ลิ่วทะเล ผีเสื้อน้ำ และพระยม นอกจากนี้ยังมีหมวดเรือยามฝั่งสี่ลำ และกำลังทางบกที่สำคัญคือกองพันพาหนะทหารเรือ ซึ่งมีสี่กองร้อย อันเป็นหน่วยที่จะถูกนำมาใช้สนับสนุนการปฏิบัติการบนบกโดยตรง
ในบริบทเช่นนี้ คณะราษฎรสายทหารเรือได้ก่อตัวขึ้นภายใต้การนำของนาวาตรีหลวงสินธุสงครามชัย (สินธุ์ กมลนาวิน) โดยชักชวนนายทหารสัญญาบัตรจากกรมกองต่าง ๆ เข้าร่วมอย่างเป็นระบบ รายชื่อผู้ก่อการทางการมีทั้งหมด 18 นาย กระจายอยู่ตามกองเสนารักษ์ กรมเสนาธิการทหารเรือ กองพันพาหนะ กรมอู่ กรมสรรพาวุธ โรงเรียนชุมพล ตลอดจนหน่วยประจำเรือและกองเรือกล ตัวอย่างเช่น ร้อยเอกสงวน รุจิราภา หลวงศุภชลาศัย หลวงนิเทศกลกิจ ร้อยเอกทิพย์ ประสานสุข ร้อยเอกสวัสดิ์ จันทนี หลวงเจียรกลการ ร้อยโทศรี ดาวราย และหลวงธำรงนาวาสวัสดิ์
อย่างไรก็ดี ศรี ดาวราย ได้ให้สัมภาษณ์ภายหลังว่า นอกจากรายชื่อทางการแล้ว ยังมี “ผู้ก่อการนอกรายชื่อ” อีกห้านายซึ่งรับรู้และเข้าร่วมในเชิงอุดมการณ์ ได้แก่ ร้อยเอกหลวงจำรัสจักราวุธ ร้อยเอกหลวงเจียรกลการ ร้อยเอกสวัสดิ์ จันทนี ร้อยโททัศน์ กรานเลิศ และตัวเขาเอง เหตุที่ทั้งห้าคนนี้ไม่ปรากฏชื่อก็เพราะการวางแผนเดิมกำหนดจะลงมือในวันที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2475 แต่เมื่อฝ่ายทัพบกยังไม่พร้อมจึงเลื่อนออกไปเป็นวันที่ 24 มิถุนายน การตัดสินใจครั้งหลังเป็นไปอย่างกระชั้นชิด ทำให้กลุ่มที่สมุทรปราการและบางนาไม่ได้รับแจ้งทันเวลา ศรี ดาวราย เล่าว่า “เราไม่ได้เสียใจที่ไม่มีชื่อ เพราะเมื่อรู้ข่าวว่าปฏิวัติแล้ว เราก็เดินทางไปร่วมกันทีหลัง และรู้สึกโล่งอกที่ทุกอย่างเป็นไปด้วยความเรียบร้อย ไม่เสียเลือดเนื้อ”
เช้าวันที่ 24 มิถุนายน ข่าวการยึดอำนาจจากพระนครแพร่ถึงสมุทรปราการโดยนาวาตรีหลวงวุฒิวารีรณ ผู้บังคับการโรงเรียนชุมพล ศรี ดาวราย ในฐานะครูฝึกที่นั่นจึงได้รับคำสั่งให้เตรียมพร้อม เขาเล่าว่าได้บอกนักเรียนจ่าให้อยู่ใกล้อาวุธ เตรียมการหากสถานการณ์ลุกลาม และขณะเดียวกันก็ถูกหลวงวุฒิวารีรณสอบถามอย่างกดดันถึงความสัมพันธ์กับหลวงสินธุฯ เขาตอบเพียงว่าเป็นการเยี่ยมเยียนตามประสาศิษย์เก่า แม้ในใจตระหนักดีว่าหากการยึดอำนาจล้มเหลวย่อมหนีไม่พ้นโทษทัณฑ์
ในบ่ายวันเดียวกัน เขาได้เดินโดยสารรถไฟจากปากน้ำเข้าพระนครเพื่อตรวจสอบสถานการณ์ และพบว่าพระที่นั่งอนันตสมาคมถูกยึดไว้เรียบร้อย มีกำลังพร้อมปืนกลตั้งประจำการทั่วพื้นที่ เขาจึงเอ่ยด้วยความโล่งใจว่า “เห็นทีจะชนะ ไม่ติดคุกแน่” และได้ร่วมปฏิบัติหน้าที่ยืนยามอยู่เวรตลอดคืน รุ่งเช้าได้พบหลวงสินธุฯ ซึ่งอธิบายว่าการตัดสินใจลงมือเป็นไปอย่างรวดเร็วเกินกว่าจะส่งเรือไปแจ้งข่าวยังสมุทรปราการได้ทัน
การยึดอำนาจในครั้งนั้นผ่านไปโดยราบรื่น หลังเหตุการณ์ เรือโท ศรี ดาวราย ขอย้ายจากโรงเรียนชุมพลเข้ามาประจำที่วังบางขุนพรหม และต่อมาเมื่อเลื่อนยศเป็นนายเรือเอกใน พ.ศ. 2476 ก็ได้เข้าศึกษาในโรงเรียนนายทหารเรือสำหรับผู้ก่อการสายทหารเรือโดยเฉพาะ ระยะแรกพระยาพหลพลพยุหเสนายังได้จัดการเลี้ยงพบปะผู้ก่อการเดือนละครั้งที่วังปารุสกวัน แต่ก็ยุติลงหลังเกิดอุบัติเหตุที่นายทหารบางคนเมาแล้วขับรถจนเสียชีวิต การจัดเลี้ยงรวมกลุ่มของผู้ก่อการจึงค่อย ๆ สลายตัวไป
ศรี ดาวราย ได้สะท้อนภายหลังว่า นายทหารเรือส่วนใหญ่พอใจกับการเปลี่ยนแปลง เพราะเชื่อว่าหลักหกประการของคณะราษฎรจะช่วยปรับปรุงบ้านเมือง ยุติการเล่นพรรคเล่นพวกและระบบอุปถัมภ์ อย่างไรก็ดี สถานการณ์กลับซับซ้อนกว่านั้น เพราะมิได้มีเพียงคณะราษฎรที่คิดเปลี่ยนแปลง หากฝ่ายพระองค์เจ้าบวรเดชเองก็มีกระแสข่าวว่าจะตั้งตนเป็นประธานาธิบดีแทนสถาบันพระมหากษัตริย์ แม้ไม่ปรากฏหลักฐานชัดเจน แต่ก็สะท้อนให้เห็นถึงบรรยากาศแห่งความไม่มั่นคงและการสั่นคลอนของการเมืองไทยในช่วงเวลานั้นได้อย่างชัดเจน
ภายใต้ระบอบใหม่
หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองได้เพียงหนึ่งปี ประเทศไทยก็เผชิญกับความท้าทายครั้งสำคัญจาก “กบฏบวรเดช” เมื่อวันที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2476 พระองค์เจ้าบวรเดชนำกำลังทหารจากนครราชสีมามายึดดอนเมืองและเรียกร้องให้รัฐบาลพ้นอำนาจ รัฐบาลตอบโต้ด้วยคำสั่งให้กองทัพเรือใช้ปืนใหญ่ยิงถล่มดอนเมือง แต่ศรี ดาวราย และนายทหารเรือเห็นว่าการกระทำนั้นขัดต่อหลักมนุษยธรรม เพราะไม่ได้อพยพประชาชนออกมาก่อน อีกทั้งยังละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศ กองทัพเรือจึงปฏิเสธการปฏิบัติตามคำสั่ง ถือเป็นการยืนหยัดในจริยธรรมทหารที่สำคัญ
ในสถานการณ์ตึงเครียดดังกล่าว ศรี ดาวราย ขณะนั้นเป็นนายเรือเอก ได้รับคำสั่งให้นำเรือหลวงสุโขทัยออกประจำการที่สงขลา พร้อมเรือหลวงเจ้าพระยา ทำหน้าที่ถวายอารักขาแด่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณีที่เสด็จแปรพระราชฐานจากหัวหินไปประทับที่สงขลา เขาเฝ้าปฏิบัติหน้าที่อยู่ราวสองเดือน จนรัฐบาลมีคำสั่งให้กลับกรุงเทพฯ หากไม่กลับจะถือว่ากบฏ เหตุการณ์ครั้งนั้นสะท้อนถึงความสัมพันธ์อันซับซ้อนระหว่างราชนาวีกับการเมืองไทย ที่ต้องรักษาสมดุลระหว่างความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์กับการตัดสินใจทางการเมืองของรัฐบาลใหม่
“หนึ่งในคณะราษฎร์ นอกประวัติศาสตร์”
ศึกษาต่อประเทศอังกฤษและสงครามโลก
หลังผ่านวิกฤตการณ์บวรเดช เส้นทางราชการของนายเรือเอกศรี ดาวราย ยังคงดำเนินต่อไป เขาได้รับทุนไปศึกษาด้านวิศวกรรมเรือที่ประเทศอังกฤษ ระหว่างเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2479 ถึงมีนาคม พ.ศ. 2482 การศึกษาครั้งนี้เป็นประสบการณ์สำคัญที่ทำให้เขาได้สัมผัสความรู้ด้านเทคนิคสมัยใหม่ ซึ่งภายหลังเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนากรมอู่ทหารเรือและการต่อเรือของกองทัพไทย
เมื่อกลับสู่ประเทศไทยในห้วงเวลาที่โลกกำลังเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่สอง เขาได้รับการเลื่อนยศเป็นนาวาตรีใน พ.ศ. 2483 และนาวาโทใน พ.ศ. 2485 ก่อนจะขึ้นเป็นนาวาเอกใน พ.ศ. 2487 ระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง กองทัพเรือไทยเผชิญสถานการณ์ซับซ้อน ทั้งในสงครามอินโดจีนและการเข้าร่วมกับญี่ปุ่น ศรี ดาวราย เล่าว่าในกรณีพิพาทอินโดจีน ปรีดี พนมยงค์ในฐานะผู้สำเร็จราชการเสนอให้ฟ้องศาลโลก แต่จอมพล ป. พิบูลสงครามกลับเลือกใช้กำลังทหาร ซึ่งสะท้อนความแตกแยกในผู้นำประเทศ
ศรี ดาวราย ยืนยันว่า ทหารเรือส่วนใหญ่เอนเอียงไปสนับสนุนฝ่ายปรีดี โดยนายทหารหลายคน เช่น หลวงสังวรยุทธกิจ และทองหล่อ ขำหิรัญ ได้เข้าร่วมขบวนการเสรีไทยอย่างจริงจัง แม้ตัวเขาเองจะมิได้เป็นแกนหลัก แต่ก็เป็นส่วนหนึ่งของกองทัพเรือที่แสดงจุดยืนสนับสนุนแนวทางดังกล่าว ความทรงจำนี้ตอกย้ำว่าในช่วงสงครามโลก กองทัพเรือมีท่าทีแตกต่างจากกองทัพบกและมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับฝ่ายปรีดี
หลังสงครามและความเปลี่ยนแปลงทางการเมือง
สิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่สอง ประเทศไทยก้าวเข้าสู่ความขัดแย้งการเมืองใหม่ จอมพล ป. พิบูลสงครามถูกจับในข้อหาอาชญากรสงครามกลางเดือนตุลาคม พ.ศ. 2488 และกลับคืนสู่อิสรภาพปลายเดือนมีนาคม พ.ศ. 2489 ขณะที่ปรีดี พนมยงค์ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรี นาวาเอกศรี ดาวราย และนายทหารเรือจำนวนหนึ่งยืนอยู่ข้างปรีดี ด้วยความเชื่อในความเป็นธรรมและหลักนิติรัฐ
อย่างไรก็ตาม หลังรัฐประหาร 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2490 โดยกลุ่มทหารบก ศรี ดาวราย เล่าว่าปรีดีได้หนีมาพึ่งพากองทัพเรือ โดยได้รับความช่วยเหลือจากพลเรือเอก หลวงสินธุสงครามชัย ก่อนจะลี้ภัยไปต่างประเทศ การเลือกข้างของทหารเรือในเหตุการณ์นี้ทำให้พวกเขาถูกเพ่งเล็ง ในเวลาต่อมาเมื่ออาจารย์ปรีดีพยายามกลับมาชิงอำนาจคืนภายใต้ชื่อ “ขบวนการประชาธิปไตย” หรือที่ถูกขนานนามโดยฝ่ายรัฐว่า “กบฏวังหลวง” (พ.ศ. 2492) ต่อเนื่องมาถึงการจับกุมจอมพล ป. พิบูลสงครามเป็นตัวประกันต่อรองใน “กบฏแมนฮัตตัน” (พ.ศ. 2494) ซึ่งเมื่อฝ่ายก่อการปราชัย ส่งผลให้แสนยานุภาพของกองทัพเรือที่เคยมีพอ ๆ กับกองทัพบกต้องถูกลดทอนลองอย่างรุนแรงนับจากนั้นมา
ช่วงปลายราชการ
แม้กองทัพเรือจะเผชิญวิกฤตหลังแมนฮัตตันเมื่อกลางปี พ.ศ. 2494 แต่ศรี ดาวราย ยังคงก้าวหน้าในราชการต่อไป จนในที่สุดได้รับการแต่งตั้งเป็นเจ้ากรมอู่ทหารเรือเมื่อ พ.ศ. 2501 ผลงานที่โดดเด่นคือการต่อเรือหลวงสัตหีบให้กองทัพใช้ในราชการ ถือเป็นสัญลักษณ์แห่งความเชี่ยวชาญด้านวิศวกรรมเรือของเขา
ฉายภาพร่วมกับ จอมพล ป. พิบูลสงคราม
เมื่อก้าวเข้าสู่ปลายทศวรรษ 2500 ศรี ดาวราย ได้เลื่อนยศขึ้นเป็นพลเรือตรีใน พ.ศ. 2498 และต่อมาเมื่อเข้าสู่ยุคจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ท่านได้เลื่อนชั้นเป็นพลเรือโทใน พ.ศ. 2502 ซึ่งนับเป็นเกียรติยศอย่างสูงในสายวิศวกรรมของราชนาวี ก่อนหน้านั้น เขาได้รับมอบหมายไปศึกษาดูงานและฝึกงานเพิ่มเติมที่ประเทศสหรัฐอเมริกา ระหว่างเดือนตุลาคม พ.ศ. 2500 ถึงเดือนมกราคม พ.ศ. 2501 เพื่อเสริมสร้างองค์ความรู้ด้านช่างกลเรือสมัยใหม่ หลังจากกลับมา เขาได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเจ้ากรมอู่ทหารเรือเมื่อวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2501
ในตำแหน่งผู้นำกรมอู่ทหารเรือ ท่านมีบทบาทสำคัญในการวางรากฐานการพัฒนาอุตสาหกรรมต่อเรือของกองทัพไทย ผลงานที่โดดเด่นคือการสร้างเรือหลวงสัตหีบ ซึ่งถือเป็นหลักหมุดสำคัญของราชนาวีในยุคหลังสงครามโลก ด้วยความรู้ความสามารถทางเทคนิคและความเป็นผู้นำ เขายังได้รับโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้เป็น “ช่างกลใหญ่ของกองทัพเรือ” ก่อนที่จะเกษียณราชการในตำแหน่งสำรองราชการสังกัดกองบัญชาการทหารเรือเมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2506 เส้นทางจากนักเรียนนายเรือช่างกลจนถึงพลเรือโทสะท้อนถึงความมุ่งมั่นและการอุทิศตนเพื่อราชนาวีอย่างเต็มเปี่ยม
ขณะดำรงตำแหน่งเจ้ากรมอู่ทหารเรือ
ชีวิตทางการเมืองยามปัจฉิมวัย
แม้จะเกษียณจากราชการทหาร แต่ศรี ดาวราย ยังคงมีบทบาทในทางการเมือง โดยเฉพาะในยุคของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ และจอมพลถนอม กิตติขจร ภายหลังรัฐประหารเมื่อวันที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2500 เขาได้รับแต่งตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรประเภทที่ 2 ต่อมาเมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2502 ได้เป็นสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ และเมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2511 และ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2514 ได้รับแต่งตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาสองวาระ รวมเวลาทั้งสิ้น 14 ปี
อย่างไรก็ดี ศรี ดาวราย สะท้อนความอึดอัดต่อระบบสภาแต่งตั้ง เขาเล่าว่า “ที่ผมเป็นสมาชิกอยู่ตั้ง ๑๔ ปี ไม่ใช่เห็นด้วยกับเขา ผมว่ามันไม่น่าจะมีแล้วสภาแต่งตั้ง เมื่อตอนลงมติผมก็ลงมติค้านเขา แต่แพ้เสียงส่วนใหญ่ ผมเลยไม่ออกความเห็นอะไรอีกในเรื่องนี้... ถ้าสภาเขามีบันทึกไว้ ก็คงจะมีเรื่องที่ผมค้าน” ประโยคนี้เผยให้เห็นความตรงไปตรงมาของเขาในฐานะอดีตผู้ก่อการคณะราษฎร แม้จะอยู่ในระบบเผด็จการสภาที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง แต่เขายังพยายามยืนยันจุดยืนในทางประชาธิปไตย ทั้งยังเคยสำทับไว้ว่า “ผมว่านายกรัฐมนตรีควรมาจากการเลือกตั้ง” (ดูภาพประกอบ)
“ผมว่านายกรัฐมนตรีควรมาจากการเลือกตั้ง” พล.ร.ท. ศรี ดาวราย
ความสงบสุขในบั้นปลายชีวิต กับอนุสรณ์งานศพชั้นดี
บั้นปลายชีวิตของพลเรือโท ศรี ดาวราย เปี่ยมไปด้วยความสงบสุขและมั่นคง ท่านได้รับการยกย่องว่าเป็นทั้งข้าราชการผู้เพียบพร้อมและ “Family Man” ที่ผูกพันกับครอบครัว ทายาทเล่าว่า “คุณพ่อเป็นพ่อบ้านที่ดี ประหยัด ไม่ชอบเที่ยวเตร่ แต่กับเพื่อนสนิทมิตรสหายกลับยินดีเลี้ยงดูโดยไม่เสียดายเงินทอง โชคดีที่ทำงานใกล้บ้าน คุณพ่อจึงกลับมารับประทานอาหารกลางวันที่บ้าน และรีบกลับไปทำงานได้ตรงเวลาเสมอ ตอนเย็นก็มักกลับมาดื่มเหล้า รับประทานอาหารกับครอบครัว และเปิดบ้านต้อนรับเพื่อน ๆ ที่แวะเวียนมานั่งสนทนาเป็นประจำ”
พล.ร.ท. ศรี ดาวราย กับเคล็ดลับการมีชีวิตยืนยาว
ท่านสมรสกับหม่อมราชวงศ์อบลออ สุบรรณ (พ.ศ. 2450–2538) กุลสตรีผู้สมบูรณ์พร้อม ทั้งด้านการบ้านการเรือน การอบรมบุตรหลาน และการทำอาหาร ซึ่งอนุสรณ์งานศพของเธอยังบรรจุสูตรอาหารชั้นเลิศที่เป็นที่ตามหาของนักสะสม การสมรสเมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2472 ครั้งนั้น เป็นการเชื่อมโยงสายสกุลสามัญชนเข้ากับตระกูลผู้ดีเก่า สะท้อนให้เห็นว่าชีวิตของศรี ดาวราย ก้าวข้ามจากโลกชาวนาและพ่อค้าในวัยเยาว์ มาสู่โลกของชนชั้นสูงในวัยผู้ใหญ่ ทั้งสองมีบุตรธิดารวม 9 คน หลาน 24 คน และเหลนอีก 10 คน ซึ่งสืบสกุลดาวรายต่อมาและมีบทบาทในสังคมไทยรุ่นหลัง ชีวิตครอบครัวที่มั่นคงนี้เองคือรากฐานสำคัญที่ทำให้ท่านสามารถทุ่มเทกำลังให้แก่ราชการและการเมืองได้อย่างเต็มที่
ปกอนุสรณ์งานศพ ม.ร.ว.อบลออ ดาวราย (สุบรรณ)
“เริ่มต้นชีวิตครอบครัว 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2472”
พลเรือโท ศรี ดาวราย ถึงแก่อนิจกรรมเมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2535 สิริอายุ 89 ปี 1 เดือน 29 วัน อนุสรณ์งานศพของท่านถือเป็นหนังสือที่มีคุณค่าแก่การศึกษาการเปลี่ยนแปลงการปกครองและการเมืองไทยสมัยใหม่ ภายในเล่มมีทั้งประวัติชีวิต บทสัมภาษณ์ และข่าวสารจากสื่อต่าง ๆ โดยเฉพาะบทสัมภาษณ์ของคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เมื่อ พ.ศ. 2526 และของอาจารย์สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ เมื่อ พ.ศ. 2534 สองชุดนี้เป็นหลักฐานสำคัญที่สะท้อนภาพนายทหารอาวุโสผู้ผ่านเหตุการณ์ทางการเมืองสำคัญ ตั้งแต่การเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 กบฏบวรเดช และสงครามโลกครั้งที่สอง จนถึงยุคสฤษดิ์–ถนอม–ประภาส เนื้อหาไม่เพียงเล่าลำดับเหตุการณ์ แต่ยังถ่ายทอดอารมณ์ ความทรงจำ และมุมมองวิพากษ์ของผู้ร่วมสมัย ทำให้งานอนุสรณ์เล่มนี้เป็นหลักฐานประวัติศาสตร์ที่ควรค่าแก่การศึกษาและการสืบค้นต่อไป
ปกอนุสรณ์งานศพ พล.ร.ท. ศรี ดาวราย
จดหมายขออนุญาตสัมภาษณ์ จาก มหาวิทยาลัยจุฬาลงกรณ์
บรรณานุกรม
- ๘๙ ปี พล.ร.ท. ศรี ดาวราย งานพระราชทานเพลิงศพ พลเรือโท ศรี ดาวราย ม.ว.ม., ป.ช. ณ ฌาปนสถานกองทัพเรือ วัดเครือวัลย์วรวิหาร วันพฤหัสบดีที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2536.
- งานพระราชทานเพลิงศพ ม.ร.ว. อบลออ ดาราย เป็นกรณีพิเศษ ณ เมรุวัดมกุฏกษัตริยาราม กรุงเทพมหานคร วันพฤหัสบดีที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2538.
- นริศ จรัสจรรยาวงศ์, ๒๔๗๕ ราษฎรพลิกแผ่นดิน, พ.ศ. 2564, สำนักพิมพ์มติชน.