ดร.โภคิน พลกุล
ที่มา มติชน
วันสันติภาพสากล
พูดเรื่องวันสันติภาพว่ามีความสำคัญอย่างไร ถ้าเราดูโลกและดูเมืองไทยด้วย จะเห็นภาพว่ามีด้วยกัน ๓ วันที่เกี่ยวข้องกับวันสันติภาพวันแรกเรียกว่าเป็นวันสันติภาพสากลหรือ The International Day of Peace หรือเรียกว่าวัน Peace Day เหมือนกัน ซึ่งตรงกับวันที่ ๒๑ กันยายน ของทุกปี เพื่ออุทิศให้แก่สันติภาพและการปราศจากสงคราม มีการจัดขึ้นครั้งแรกก็คือในปี ๒๕๒๔ ในวันอังคารที่ ๓ ของเดือนกันยายนซึ่งคือวันเปิดการประชุมสามัญประจำปีของสหประชาชาติอีก ๒๐ ปีต่อมา คือในปี ๒๕๔๔ ที่ประชุมสหประชาชาติมีมติให้วันที่ ๒๑ กันยายน เป็นวันสันติภาพสากล
สหประชาชาติกำหนดจุดมุ่งหมายของวันสันติภาพสากลไว้ ๖ ประการ หนึ่ง อยากให้มีการเคารพชีวิตและศักดิ์ศรีของบุคคล สอง ต้องไม่ใช้ความรุนแรงทุกรูปแบบ โดยเฉพาะกับเด็กและผู้หญิง สาม อยากให้มนุษย์ทุกคนแบ่งปันกันอย่างมีน้ำใจ เพื่อขจัดการแบ่งแยก ความอยุติธรรมและการกดขี่ทั้งหลายทั้งในทางการเมืองและเศรษฐกิจ สี่ รับฟังเพื่อให้เกิดการเข้าใจต่อกัน คือให้คนฟังซึ่งกันและกัน และก็เคารพเสรีภาพในการแสดงออก ห้า การสร้างความสมานฉันท์ เคารพต่อหลักการประชาธิปไตยให้โอกาสทุกฝ่ายมีส่วนร่วมอย่างเท่าเทียมกัน และ หก การรักษาสมดุลของผืนโลก รับผิดชอบและเคารพต่อทุกชีวิต เราจะเห็นว่าหลัก ๖ ประการของสหประชาชาตินั้น ก็เพื่อให้มนุษย์เราอยู่ด้วยกันอย่างเกื้อกูลกัน และไม่ใช่ต่อมนุษย์อย่างเดียว แต่ให้ดูถึงสิ่งแวดล้อมที่เราต้องรักษาสมดุลด้วย ก็เป็นหลักที่ดีที่เราต้องดำเนินการกันต่อไป
และในช่วงนั้นเอง สหประชาชาติได้กำหนดให้ ค.ศ. ๒๐๐๑-๒๐๑๐ เป็นทศวรรษแห่งสันติภาพ จะเห็นว่าที่เราทะเลาะเบาะแว้งรุกราน ฆ่าฟันกันนั้น เพราะเรามีอคติ มีความหลง ความเชื่อบางอย่าง ถ้าเราละวางสิ่งเรานี้ได้เราก็จะสามารถเดินไปในเส้นทางสันติภาพได้ ในปีพ.ศ.๒๕๕๐ มีความฝันของสหประชาชาติก็คือ สันติภาพคือเป้าหมายสูงสุดของสหประชาชาติถามว่าสหประชาชาติคือใคร ก็คือพวกเราทุกคน ประเทศทุกประเทศ เพราะฉะนั้นคำขวัญสูงสุดของเราก็คือว่าสันติภาพคือเป้าหมายของพวกเราทุกคน เดินร่วมกัน เดินบนเส้นทางเดียวกัน
วันสันติภาพโลก
วันที่สอง ภาษาไทยเรียกว่าวันสันติภาพโลก ก็คือตรงกับวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๖ หรือวันวิสาขบูชา ซึ่งเป็นวันประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพานของพระพุทธเจ้า ถือเป็นวันสันติภาพอีกวันหนึ่งของโลกแม้เรามีวันที่ ๒๑ กันยายนแล้ว ทั้งนี้ก็เพราะว่าศรีลังกาได้นำเสนอเรื่องนี้ที่สหประชาชาติ และที่ประชุมใหญ่สหประชาชาติได้มีมติเอกฉันท์ เมื่อวันที่ ๑๕ ธันวาคม ๒๕๔๒ ตามข้อเสนอของศรีลังกาด้วยเหตุผลที่ว่าพระพุทธเจ้าเป็นมหาบุรุษ ผู้ให้ความเมตตาต่อมวลมนุษย์ เปิดโอกาสให้ทุกศาสนาสามารถเข้ามาศึกษาพุทธศาสนา เพื่อสืบหาข้อเท็จจริงได้ โดยไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนมานับถือศาสนาพุทธ และทรงสั่งสอนทุกคนโดยใช้ปัญญาธิคุณโดยไม่คิดค่าตอบแทน
ผมได้อ่านข้อความบางประการของคุณประภัสสร เสวิกุล ศิลปินแห่งชาติผู้ล่วงลับ[1] บอกไว้อย่างนี้ว่า ความขัดแย้งทั้งหลายที่เกิดขึ้นทั้งในอดีตและปัจจุบันมีสาเหตุประการสำคัญมาจากมนุษย์ยังนิยมชมชอบกับความคิดเรื่องอำนาจนิยมมากกว่าปัญญานิยม การเลิกแล้วต่อกันและการอาฆาตมาดร้าย สิ่งต่างๆ ดังกล่าวย่อมพัฒนาไปสู่ความรุนแรงและสลด สันติภาพที่แท้จริงนั่นคือสันติภาพที่อยู่ในใจของผู้ใฝ่สันติ และสันติภาพที่ถาวรคือสันติภาพของผู้รู้จักการให้อภัย ผู้หมกมุ่นในความเคียดแค้นและการแก้แค้น
พระพุทธศาสนามีความหมายอย่างไร ผมคิดว่าพวกเราชาวพุทธนั้นน่าจะเข้าใจกันดี เด่นๆ ย้ำว่าศาสนาพุทธนั้นไม่ได้เน้นแค่เรื่องคำสอน แต่เน้นเรื่องการปฏิบัติ พระพุทธเจ้าตรัสว่าแม้เราเข้าใจแต่ไม่ปฏิบัติก็ไม่มีความหมายอะไรเลย คุณเข้าใจคุณต้องปฏิบัติ และท่านบอกว่าพุทธะอยู่ที่ตัวเรา แต่ทำไมเราหาไม่เจอ ที่เราหาไม่เจอก็เพราะว่ามันมีกิเลส ตัณหาและอคติครอบงำอยู่ คุณละกิเลส ตัณหา ละอคติเท่าไร คุณก็จะหาพุทธะเจอในตัวของคุณเอง มันเหมือนถ้าคุณเอาฟองน้ำลบสีดำลบฝุ่นออก คุณก็จะเห็นสีขาว แต่เราเอาฝุ่นเอาสีดำใส่ในตัวทุกวันก็จะไม่มีวันได้เห็นสีขาว ผมยังคิดว่าสหประชาชาตินั้นทำถูกต้องแล้วที่ยกย่องพระพุทธเจ้า ยกย่องวันวิสาขบูชาให้เป็นวันอีกวันหนึ่งของวันสันติภาพ
วันสันติภาพไทย
ทีนี้มาถึงวันสันติภาพไทย จริงๆ แล้ววันนี้เป็นวันที่น่าสนใจที่สุดของคนไทย ไม่แพ้วันที่พระนเรศวรไปกู้เอกราช ไม่แพ้การที่พระเจ้าตากทรงประกาศเอกราช แต่คนไทยส่วนใหญ่ไม่รู้จัก ถึงเป็นนักศึกษาในมหาวิทยาลัยก็ไม่รู้จัก เพราะหน่วยงานที่รับผิดชอบเรื่องการเรียนการสอนไม่สนใจกับเรื่องนี้ ที่จริงเป็นสิ่งที่ผมคิดว่าเราต้องมาดูกันว่าทำไมเกิดขึ้นและจะช่วยผลักดันให้คนไทยได้รับรู้วันสำคัญอีกวันหนึ่งซึ่งมีความหมายมากได้อย่างไร
ตอนสงครามโลกครั้งที่ ๒ ฝ่ายอักษะเข้ามารุกรานประเทศไทย เมื่อวันที่ ๘ ธันวาคม ๒๔๘๔ รัฐบาลในสมัยนั้นคือรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม ในที่สุดก็ได้ร่วมมือกับกองทัพญี่ปุ่น และที่สำคัญก็คือไปประกาศสงครามกับฝ่ายอเมริกาและบริเตนใหญ่ นั่นก็คืออังกฤษหรือสหราชอาณาจักร เราเรียกรวมๆ ว่าฝ่ายสัมพันธมิตรคนไทยที่เห็นว่าการรุกรานของญี่ปุ่นและการไปประกาศสงครามกับฝ่ายสัมพันธมิตรนั้นเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง เห็นว่าการรุกรานของญี่ปุ่นทำให้กระทบกระเทือนต่อสันติภาพของภูมิภาคนี้ทั้งหมด จึงได้ร่วมกันก่อตั้งขบวนการเสรีไทยขึ้น ซึ่งมีท่านปรีดี พนมยงค์เป็นหัวหน้า ท่านดำเนินการทุกอย่างเพื่อต่อต้านการดำเนินการของญี่ปุ่นในประเทศไทย ฉะนั้น แม้โดยหลักแล้ว เมื่อญี่ปุ่นแพ้สงคราม ประเทศไทยซึ่งไปประกาศสงครามร่วมกับญี่ปุ่น ต้องตกเป็นประเทศผู้แพ้สงครามอย่างไรก็ดีก่อนจะตกเป็นประเทศผู้แพ้สงคราม ได้มีการดำเนินการของพี่น้องชาวเสรีไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งลูกศิษย์ชาวธรรมศาสตร์ที่เป็นกำลังหลักของท่านปรีดี ก็ติดต่อกับลอร์ดหลุยส์ เมานท์แบทเทนผู้เป็นเสมือนแม่ทัพใหญ่ของฝ่ายอังกฤษในภูมิภาคนี้ เป็นประจำทำให้อังกฤษเห็นถึงความจริงใจ และอเมริกาได้เห็นถึงความจริงใจของประเทศไทยที่ไม่ต้องการสงคราม จึงเกิดการประกาศสันติภาพขึ้น
สรุปคือ ประกาศว่าสงครามที่เคยประกาศกับสัมพันธมิตรอเมริกากับอังกฤษ โดยรัฐบาลจอมพล ป. นั้น เป็นโมฆะ อังกฤษ อเมริกา และสมาชิกอื่น ยอมรับว่าสงครามที่ประเทศไทยประกาศกับพวกเขาเป็นโมฆะ เป็นประเทศเดียวในโลกที่ประกาศสงครามแล้วเป็นโมฆะ เพราะไม่ใช่ความประสงค์ของคนไทย แต่ประเทศเหล่านั้นเขาเชื่อเพราะว่ามีขบวนการเสรีไทย ซึ่งทำให้เห็นว่าไม่ปรารถนาสิ่งนี้ในประกาศบอกไว้ว่า “การประกาศสงครามต่อสหรัฐอเมริกาและบริเตนใหญ่ เมื่อวันที่ ๒๕ มกราคม ๒๔๘๕ เป็นโมฆะ เนื่องจากเป็นการกระทำขัดต่อเจตจำนงของประชาชนและรัฐธรรมนูญ โดยประชาชนชาวไทยทั้งในและนอกประเทศได้ร่วมกันแสดงเจตจำนงไม่ยอมรับการประกาศสงครามดังกล่าว ด้วยการจัดตั้งขบวนการเสรีไทยให้ช่วยเหลือฝ่ายสัมพันธมิตรในการต่อสู้กับกองทัพญี่ปุ่นที่ยึดครองประเทศไทยตั้งแต่วันที่ ๘ ธันวาคม ๒๔๘๔” ลองนึกภาพว่าถ้าไม่มีคำประกาศสันติภาพโดยท่านปรีดี และไม่ได้รับการยอมรับจากฝ่ายสัมพันธมิตร ประเทศไทยจะมีสภาพอย่างไร ต้องเป็นผู้แพ้สงครามอาจจะต้องเสียค่าปฏิกรรมสงคราม อาจจะถูกยึดครอง ถูกแบ่งดินแดนสารพัดวิธีที่เขาจะต้องเอาคืนจากการที่เราไปกระทำเช่นนั้น
ดังนั้น ตั้งแต่วันที่มีการประกาศในวันที่ ๑๖ สิงหาคม ๒๔๘๘จึงเป็นวันสำคัญของพวกเรา ซึ่งได้การจัดงานรำลึกโดยภาคเอกชนภาคประชาชนเรื่อยมา แต่ก็ต้องขอขอบคุณท่านนายกฯชวน หลีกภัยที่ในปี พ.ศ. ๒๕๓๘ คณะรัฐมนตรีได้กำหนดให้วันที่ ๑๖ สิงหาคมของทุกปีเป็นวันสันติภาพไทย ที่ไม่ใช่วันหยุดราชการ แต่หลังจากการจัดงานในวาระครบ ๕๐ ปี ในปีนั้น การจัดงานโดยภาครัฐก็ ค่อยๆ จางหายไป จะเหลือแต่เฉพาะผู้ที่สนใจและภาคประชาชน ก็ต้องขอขอบคุณมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ที่ท่านอธิการบดีกล่าวว่าวัน สันติภาพไทยเป็นวันสำคัญของมหาวิทยาลัย
ในวาระครบรอบ ๕๐ ปี ของวันสันติภาพไทย ๑๖ สิงหาคม ๒๕๓๘ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ เสด็จมาหอประชุมใหญ่ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และมีพระราชดำรัสว่า “สันติภาพมิได้ หมายความถึงการสงบนิ่งไม่ได้กระทำการใดเลย หากเป็นการปฏิบัติกัน ด้วยความรัก ความเมตตาต่อเพื่อนมนุษย์ สรรพสัตว์ และสิ่งแวดล้อม ทั้งมวล ภารกิจสันติภาพจึงเป็นภารกิจที่ยิ่งใหญ่ของมนุษยชาติ ซึ่งจะบรรลุผลสำเร็จได้ไม่ใช่ด้วยการเรียกร้องที่จะได้รับ หากอยู่ที่การลงมือเสียสละเพื่อประโยชน์สุขของมหาชน”
เราตระหนัก เราเข้าใจสิ่งเหล่านี้ แต่เหตุการณ์ที่เกิดต่อมาคือ เหตุการณ์ที่น่าเศร้าเสียใจ และผมคิดว่าพวกเราต้องเอาเป็นบทเรียน กล่าวคือ ผู้ที่เรียกร้องสันติภาพกลายเป็นกบฏในสายตาและการกระทำ ของเผด็จการ ที่ประเทศไทยตกเป็นผู้แพ้สงครามนั้น จอมพล ป. และ พวกก็ถูกฝั่งสัมพันธมิตรเรียกร้องให้ส่งตัวไปดำเนินคดีตามข้อตกลง ของสงคราม ซึ่งก็มีศาลอยู่ ๒ ที่ คือที่โตเกียว ญี่ปุ่น กับที่นูเรมเบิร์ก เยอรมนี ซึ่งเป็นเมืองเกิดของฮิตเลอร์ ปรากฏว่ารัฐสภาไทยในขณะ นั้นก็ออกกฎหมายว่าด้วยอาชญากรสงคราม ก็มีข้อความที่บอกว่า “การกระทำอันอาจเป็นอาชญากรสงครามในมนุษยชาติ ก็ให้รวมไปถึง การกระทำที่เกิดขึ้นก่อนบังคับใช้กฎหมาย” ก็มีการเถียงกันในสภาว่ากฎหมายนี้จะขัดรัฐธรรมนูญรึเปล่า ในที่สุดกฎหมายก็ผ่านออกมาไทยก็อ้างว่าจะดำเนินคดีกับอาชญากรสงครามของเราเอง ไม่ต้องส่งตัวไปที่โตเกียว ก็ดำเนินคดี ส่งให้ศาลฎีกาพิจารณา ศาลฎีกาก็ตัดสินว่ากฎหมายอาญาที่ย้อนหลังเป็นผลร้ายแก่บุคคลนั้นขัดต่อรัฐธรรมนูญจอมพล ป. และพวกได้รับการปล่อยตัวทั้งหมด และก็เป็นที่มาของการยึดอำนาจในปี ๒๔๙๐ และปี ๒๔๙๔
ท่านอาจารย์ปรีดีผลักดันให้มีรัฐธรรมนูญ ๒๔๘๙ หลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ เพราะเห็นว่ารัฐธรรมนูญ ๒๔๗๕ นั้น ใช้มาสิบกว่าปีแล้วตั้งแต่เปลี่ยนแปลงการปกครองน่าที่จะปรับปรุงใหม่ แต่รัฐธรรมนูญปี ๘๙ ใช้ประมาณได้ปีเศษ ก็ถูกยึดอำนาจในปี ๒๔๙๐ ต่อมาปี ๒๔๙๕ เกิด “กบฏสันติภาพ” ที่แปลกคือ กบฏส่วนใหญ่จะใช้กำลังอาวุธ ใช้ความก้าวร้าว ใช้การยุยงปลุกปั่นให้ต่อต้านอำนาจรัฐ แต่กบฏสันติภาพที่เรียกร้องให้เกิดสันติภาพ เรียกร้องให้มีประชาธิปไตยผมอยากจะเรียนว่าในวันที่ ๑๐ พฤศจิกายน ๒๔๙๕ รัฐบาลจอมพลป. ได้จับกุมบุคคลต่างๆ จำนวนร้อยกว่าคนที่เรียกร้องประชาธิปไตยเรียกร้องสันติภาพ นักหนังสือพิมพ์ นักเขียนที่มีชื่อเสียง นักศึกษา หรือแม้แต่พระภิกษุ ที่ไม่เห็นด้วยกับระบอบเผด็จการ
อยากจะเอ่ยชื่อหลายท่าน ท่านแรกคือคุณกุหลาบ สายประดิษฐ์ซึ่งธรรมศาสตร์มีหอประชุมศรีบูรพาเป็นเกียรติแด่ท่านแล้ว “ศรีบูรพา”คือนามปากกาของท่าน และวาทะที่ชาวธรรมศาสตร์ทุกคนต้องจำก็คือวาทะที่เก็บความมาจากข้อเขียนของคุณกุหลาบที่บอกว่า “ฉันรักธรรมศาสตร์ เพราะธรรมศาสตร์สอนให้ฉันรักประชาชน” อนึ่ง ในปี ๒๕๔๘ คุณกุหลาบ สายประดิษฐ์ ได้รับการยกย่องจากองค์การยูเนสโกให้เป็นบุคคลสำคัญของโลกอีกด้วย
ถัดมาคือคุณอารีย์ ลีวีระ บรรณาธิการหนังสือพิมพ์ สยามนิกรซึ่งก็ถูกยิงตาย คุณสุภา ศิริมานนท์ บรรณาธิการนิตยสาร อักษรสาส์น คุณอุทธรณ์ พลกุล เป็นบรรณาธิการหนังสือพิมพ์ ข่าวภาพ คุณบุศย์ สิมะเสถียร บรรณาธิการหนังสือพิมพ์ ไทย คุณมารุต บุนนาค ประธานสโมสรนักศึกษา คุณลิ่วละล่อง บุนนาค ผู้นำนักศึกษา คุณสุวัฒน์ วรดิลก ซึ่งต่อมาเป็นศิลปินแห่งชาติ (เจ้าของนามปากกา“รพีพร”) คุณฟัก ณ สงขลา ทนายความมีชื่อ คุณเปลื้อง วรรณศรีซึ่งหลายท่านนั้นไม่ได้มีอะไรเลย นอกจากขอให้มีสันติภาพ ขอให้มีประชาธิปไตย
และที่สำคัญ มีการจับกุมท่านผู้หญิงพูนศุข พนมยงค์ ด้วยเวลานั้นท่านอาจารย์ปรีดีไปอยู่ต่างประเทศแล้ว คงไม่รู้จะรังแกใครก็เลยเอาภรรยาแล้วกัน ถูกคุมขังอยู่ได้ ๘๔ วัน ต้องปล่อยตัว เพราะไม่มีหลักฐานดำเนินคดีว่ากระทำผิดอะไร คุณปาล พนมยงค์ บุตรชายท่านก็โดน คุณสุพจน์ ด่านตระกูล ก็โดน อัยการสั่งฟ้องอย่างน้อย ๕๔ คนศาลจำคุกเป็นบางราย ๒๐ ปีขึ้นไป แต่ลดโทษให้เหลือ ๑๓ ปี ๔ เดือนต่อมาในปี ๒๕๐๐ กึ่งพุทธกาล จึงมีการนิรโทษกรรม หลายท่านก็ได้ออกมา
ผมคิดว่าเป็นบทเรียนสันติภาพที่นำประเทศไปสู่หายนะ แม้โชคดีที่ท่านอาจารย์ปรีดีมากอบกู้ประเทศในช่วงสงครามไว้ได้ แต่หลังจากนั้นไม่นานเผด็จการทหารก็กลับมาครองอำนาจอีก ผมก็
แปลกใจว่าทำไมมหาอำนาจซึ่งพูดคุยกับท่านปรีดีอย่างใกล้ชิด จึงยอมให้เผด็จการมาครองอำนาจได้ ก็เข้าใจได้ว่าเกิดสงครามเย็นในยุโรปในเวลานั้นนโยบายก็คือคบกับใครก็ได้ ถ้าเผด็จการสามารถควบคุมประเทศของตัวเองได้ ต่อต้านคอมมิวนิสต์ได้ เพราะไม่ได้คิดจะคบกับความยุติธรรม ไม่ได้คิดจะคบกับหลักประชาธิปไตย หรือผู้รักในสันติภาพ นี้ก็เป็นนโยบายของอเมริกาในช่วงนั้น ทำให้จอมพล ป. และพวกก็อยู่เป็นสุขดี ในขณะที่คนที่กอบกู้ประเทศไม่มีแผ่นดินอยู่ ท่านปรีดีเองก็ต้องจากแผ่นดินประเทศไทยซึ่งท่านรักและเสียสละทุกอย่างได้เห็นท่านกลับมาอีกครั้งหนึ่งเพียงเถ้าอัฐิ และพี่น้องเสรีไทยที่ต่อสู้จำนวนมากได้ถูกฆ่า ถูกคุมขัง ถูกศาลสั่งจำคุก
สิ่งที่ท่านทิ้งเป็นมรดกให้เราก็คือว่าจิตใจอันกล้าหาญ รักในสันติภาพ มีประชาธิปไตย มีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ มีเสียสละ ที่สำคัญก็คือการต่อสู้ด้วยปัญญาและสันติวิธี ดังนั้น วันสันติภาพทั้งหลายไม่ว่าจะเป็นวันสันติภาพสากล สันติภาพโลก หรือสันติภาพไทยผมว่าเราต้องดูแบบอย่างและต้องตระหนักให้ชัดเจนว่าเราต้องอยู่ร่วมกันอย่างสันติ ตระหนักแล้วเราต้องมีการปฏิบัติกันอย่างจริงจัง ณ บัดนี้
คุณกุหลาบ สายประดิษฐ์ เมื่อคราวเผชิญคดีกบฏสันติภาพ
(ภาพจาก sriburapha.net)
หมายเหตุ:
- บทความนี้ ปรับปรุงจากสุนทรพจน์ที่แสดงในวาระ ๗๒ ปี วันสันติภาพไทย ณ สวนประวัติศาสตร์ธรรมศาสตร์กับการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ เมื่อวันพุธที่ ๑๖ สิงหาคม ๒๕๖๐.
- รองศาสตราจารย์ ดร.โภคิน พลกุล อดีตรองประธานมูลนิธิปรีดี พนมยงค์.
บรรณานุกรม :
- กษิดิศ อนันทนาธร, เรื่อง “วันแห่งสันติภาพ”, 73 ปี วันสันติภาพไทย: ผู้ปิดทองใต้ฐานพระ (กรุงเทพฯ : สยามปริทัศน์, ๒๕๖๑), น. 39-49
[1] ขอเล่าเป็นเกร็ดว่าตอนผมจบจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ สอบเข้าทำงานที่กระทรวงการต่างประเทศ กฎหมายก็สอบ รัฐศาสตร์ทั่ว ๆ ไปก็สอบ แล้วไปทำงานทั่ว ๆ ไปที่องค์การระหว่างประเทศ เชื่อไหมว่านั่งอยู่ด้วยกันกับคุณประภัสสร เขานั่งอยู่ข้างหลังผมตอนนั้นที่เข้าไปเขาเพิ่งเปลี่ยนเป็น “ซีสาม” ซึ่งเขาเป็นนักคิดนักเขียนมาตั้งแต่เวลานั้น ก็ได้มีโอกาสพูดคุยกันบ้าง พอดีผมทำงานได้ ๙ เดือน ผมได้ทุนไปเรียนต่อที่ฝรั่งเศส จากนั้นวิถีชีวิตก็แทบจะไม่ได้เจอกันอีก ได้เจอกันอีกครั้งสองครั้งจนกระทั่งคุณประภัสสรได้สิ้นไป - โภคิน.