ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก
บทบาท-ผลงาน

1 ปี หลังการอภิวัฒน์ : การเสนอความคิดเศรษฐกิจของปรีดี พนมยงค์ ในระบบรัฐสภา

20
มีนาคม
2566

“(คำชี้แจงเค้าโครงการเศรษฐกิจ) ตามหลักของข้าพเจ้านั้นเป็นลัทธิหลายอย่างที่ได้เลือกคัดเอาที่ดีมาปรับปรุงให้สมกับฐานะของประเทศสยาม แต่เหตุสำคัญอาศัยหลักโซเชียลลิสม์ไม่ใช่คอมมิวนิสม์”

นายปรีดี พนมยงค์,
รายงานการประชุมกรรมานุการพิจารณาเค้าโครงการเศรษฐกิจ ครั้งที่ 1,
12 มีนาคม พุทธศักราช 2475.

นายปรีดี พนมยงค์ ช่วง 1 ปีแรกของการอภิวัฒน์ พ.ศ. 2475 - 2476
นายปรีดี พนมยงค์ ช่วง 1 ปีแรกของการอภิวัฒน์ พ.ศ. 2475 - 2476

 

1 ปีหลังการอภิวัฒน์สยาม รัฐบาลแรกในระบอบรัฐธรรมนูญได้จัดการปกครองภายใต้ปฐมรัฐธรรมนูญคือ พระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว พ.ศ. 2475 ประกาศใช้ ณ วันที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2475 ให้มีสภาผู้แทนราษฎรระยะแรกประกอบด้วยสมาชิกที่ตั้งขึ้นจำนวน 70 นาย และมีการตั้งคณะกรรมการราษฎร 14 นาย สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเสนอให้ พระยามโนปกรณ์นิติธาดา เป็นประธานคณะกรรมการราษฎร สภาผู้แทนราษฎรตามระบอบใหม่นี้ได้ปกครองโดยยึดหลัก 6 ประการของคณะราษฎร และผู้แทนราษฎรต้องกล่าวคำปฏิญาณตามหลักนี้ตั้งแต่ในการประชุมสภาผู้แทนครั้งแรกเมื่อวันที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2475 ซึ่งหลักข้อที่ 3 คือ “จะต้องบำรุงความสมบูรณ์ของราษฎรในทางเศรษฐกิจ โดยรัฐบาลใหม่จะจัดหางานให้ราษฎรทำ จะวางโครงการเศรษฐกิจแห่งชาติ ไม่ปล่อยให้ราษฎรอดอยาก” จากเบื้องแรกในระบอบประชาธิปไตยจะเห็นได้ว่านโยบายเศรษฐกิจเป็นสิ่งที่คณะราษฎรให้ความสำคัญอย่างยิ่ง

บทความนี้จึงขอเสนอความคิดเศรษฐกิจของนายปรีดี พนมยงค์ ผู้นำฝ่ายพลเรือนและสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรชุดแรก นับตั้งแต่เดือนสิงหาคม พ.ศ. 2475 ถึงมีนาคม พ.ศ. 2475 (นับตามปฏิทินเก่า) ผ่านหลักฐานทางประวัติศาสตร์และอัตชีวประวัติ ได้แก่ คำชี้แจงเค้าโครงการเศรษฐกิจ, รายงานการประชุมสภาผู้แทนราษฎร และ รายงานการประชุมกรรมานุการพิจารณาเค้าโครงการเศรษฐกิจ ซึ่งแสดงให้เห็นทัศนะของนายปรีดี และรัฐบาลคณะราษฎรต่อการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจเพื่อประโยชน์แก่ราษฎรสยาม แม้ว่าภายหลังการเสนอเค้าโครงการเศรษฐกิจจะเกิดความขัดแย้งทางการเมืองจนมีการปิดสภาฯ และส่งผลให้นายปรีดีต้องถูกเนรเทศ หากในเวลาต่อมาได้เกิดการค้นคว้า ศึกษา อ่านใหม่รวมทั้งปรับปรุงเค้าโครงการเศรษฐกิจบางเรื่องให้เป็นนโยบายของรัฐบาล[1]

 

ก่อนการอภิวัฒน์สยาม : ต้นกำเนิดความรู้นิติศาสตร์และเศรษฐศาสตร์การเมืองของปรีดี พนมยงค์

ราวหนึ่งปีหลังจากเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2463 ที่นายปรีดีสอบไล่ได้เนติบัณฑิตแล้วก็ได้รับการคัดเลือกจากกระทรวงยุติธรรมให้ทุนไปศึกษาวิชากฎหมาย ณ ประเทศฝรั่งเศส โดยเริ่มต้นศึกษาภาษาฝรั่งเศสและความรู้ทั่วไปที่วิทยาลัยก็อง (Lycée de Caen) จนได้รับประกาศนียบัตรการศึกษาก่อนระดับอุดมศึกษา (le baccalauréat) และศึกษาพิเศษจากอาจารย์เลอบอนนัวส์ (Lebonnois) ผู้สอนวิชาประวัติศาสตร์และดำรงตำแหน่งเลขาธิการสถาบันครุศาสตร์ระหว่างประเทศ (L’institut pédagogique international) ซึ่งเป็นสถาบันสอนภาษาฝรั่งเศสสำหรับชาวต่างชาติ

 

ภาพจากซ้าย นายควง อภัยวงศ์ นายปรีดี พนมยงค์ และนายชม จารุวัฒน์ ขณะที่ศึกษา ณ ประเทศฝรั่งเศส
ภาพจากซ้าย นายควง อภัยวงศ์ นายปรีดี พนมยงค์ และนายชม จารุวัฒน์
ขณะที่ศึกษา ณ ประเทศฝรั่งเศส

 

ใน พ.ศ. 2464 นายปรีดีเข้าศึกษากฎหมายที่มหาวิทยาลัยก็อง (Université de Caen) ซึ่งเป็นปริญญาของรัฐชั้นที่ 1 และใช้เวลาเรียน 2 ปี มีวิชาที่ต้องเรียนในปีแรก ได้แก่ วิชาพงศาวดารกฎหมาย หรือวิชาประวัติศาสตร์กฎหมาย วิชากฎหมายโรมันว่าด้วยบุคคล ทรัพย์และมรดก และวิชาเศรษฐวิทยาโดยการสอบนั้นมีทั้งข้อเขียนและสอบปากเปล่า

1 ปีถัดมาเมื่อ พ.ศ. 2465 นายปรีดีเลื่อนชั้นสู่การเรียนปีที่ 2 และเรียนวิชาสำคัญทางกฎหมายมหาชนเพิ่มขึ้น อาทิ วิชากฎหมายโรมันว่าด้วยหนี้ กฎหมายลักษณะปกครองท้องที่หรือกฎหมายปกครอง กระทั่งเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2466 นายปรีดีก็สอบไล่ผ่านชั้นปีที่ 2 ด้วยเกียรตินิยมดีมาก (Mention Très bien) และได้รับรางวัลชมเชยจากการกล่าวปาฐกถาเรื่องตำรวจชาวนา แล้วสอบไล่ได้ปริญญารัฐเป็น “บาเชอลิเอร์” กฎหมาย (Bachelier en Droit)

ต่อมาจึงเข้าศึกษาในชั้นลิซองซิเอ (Licencié en droit) หรือปริญญาของรัฐชั้นที่ 2 โดยเรียนต่อเนื่องเป็นชั้นปีที่ 3 และต้องเรียนตัวบทเข้มข้นขึ้น อาทิ วิชากฎหมายพาณิชย์ วิชากฎหมายการคลัง เมื่อสอบผ่านปีที่ 3 นายปรีดีก็ได้รับปริญญา Licencié en droit หรือปริญญานิติศาสตรบัณฑิต

จากนั้นใน พ.ศ. 2467 นายปรีดีก็ย้ายจากเมืองก็อง (Caen) เข้ามาศึกษากฎหมายระดับปริญญาเอกในปารีส ตามหลักสูตรนี้ต้องเรียนเนื้อหา 2 ภาคการศึกษา โดยในภาคการศึกษาที่ 1 มีเรียน 4 วิชา ได้แก่ วิชาพงศาวดารกฎหมายอย่างพิศดาร วิชาแปลและวินิจฉัยกฎหมายโรมัน ส่วนอีก 2 วิชาคือ วิชากฎหมายโรมันอย่างพิสดารและวิชากฎหมายโรมันอย่างลึกซึ้ง และในภาคการศึกษาที่ 2 ได้ศึกษากฎหมายเปรียบเทียบในสาขาต่างๆ และภาคการศึกษาที่ 3 เริ่มต้นเขียนวิทยานิพนธ์

จนกระทั่ง พ.ศ. 2469 นายปรีดีก็สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาดุษฎีบัณฑิตของรัฐ ด้วยหัวข้อวิจัยเรื่อง Du sort des Sociétés de Personnes en cas de Décès d’un Associé : Étude de droit français et de droit comparé หรือสถานะของห้างหุ้นส่วนในกรณีผู้เป็นหุ้นส่วนคนหนึ่งถึงแก่ความตาย : ศึกษากฎหมายฝรั่งเศสและกฎหมายเปรียบเทียบ

ช่วงการเรียนยังประเทศฝรั่งเศสนี้เอง คือต้นกำเนิดความรู้ทางเศรษฐศาสตร์การเมืองของนายปรีดีที่สืบเนื่องมาจากพื้นฐานความสนใจปัญหาเศรษฐกิจโดยเฉพาะปัญหาชาวนาจากประสบการณ์ช่วยบิดาทำนาในวัยเยาว์ ณ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ผนวกกับบริบทหลังสงครามโลก ครั้งที่ 1 ทั้งสองเหตุการณ์จึงมีส่วนผลักดันให้นายปรีดีสนใจเรียนเศรษฐศาสตร์การเมืองและบ่มเพาะความรู้เกี่ยวกับเศรษฐกิจจนสอบผ่านได้รับประกาศนียบัตรการศึกษาชั้นสูงทางเศรษฐกิจการเมือง (Diplôme d’Études Supérieures d’Économie politique)

ส่วนรายวิชาเศรษฐศาสตร์การเมืองที่นายปรีดีเคยเรียนอาทิ วิชาเศรษฐศาสตร์พิสดาร วิชาประวัติศาสตร์ลัทธิเศรษฐกิจ วิชากฎหมายและวิทยาศาสตร์การคลัง วิชากฎหมายและวิชาวิทยาศาสตร์การแรงงาน รวมทั้งวิชาที่เกี่ยวข้องกับระบบเศรษฐกิจสังคมนิยมและการจัดทำแผนเศรษฐกิจซึ่งทำให้นายปรีดีมีความรู้เกี่ยวกับระบบเศรษฐกิจการเมืองหลายรูปแบบ[2]

การศึกษานิติศาสตร์และเศรษฐศาสตร์การเมือง[3] ของนายปรีดีที่ไล่เรียงตามลำดับเวลาและรายวิชาที่เรียนข้างต้นแสดงให้เห็นว่าชุดความรู้นี้มีคุณูปการสำคัญทั้งต่อการอภิวัฒน์สยาม การเสนอนโยบายทางเศรษฐกิจการเมือง และการก่อตั้งมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมืองในเวลาต่อมา

 

หลักฐานประวัติศาสตร์ของการเสนอความคิดเศรษฐกิจของปรีดี พนมยงค์ ในระบบรัฐสภา

การแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจที่ตกค้างมาจากระบอบเก่าของคณะราษฎรเริ่มขึ้นตั้งแต่สองสัปดาห์แรกหลังการอภิวัฒน์ โดยในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2475 ได้ลดภาษีที่ดินสำหรับปลูกข้าวลง 50 เปอร์เซ็นต์ ยกเลิกการเก็บภาษีอากรบางประเภท ประกาศพระราชบัญญัติยกเลิกอากรนาเกลือ ประกาศพระราชบัญญัติยกเลิกภาษีสมพัตสร ปรับปรุงภาษีการธนาคารและประกันภัย ประกาศลดพิกัดเก็บเงินค่านา ลดภาษีโรงเรียนในที่ดิน ประกาศพระราชบัญญัติว่าด้วยการยึดทรัพย์สินของกสิกร การลดและเลิกอัตราเก็บเงินค่าสวน การออกพระราชบัญญัติห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา และพระราชบัญญัติสำนักงานจัดหางาน เป็นต้น แต่ยังไม่มีการจัดทำโครงการเศรษฐกิจตามหลักข้อที่ 3 ในหลัก 6 ประการ[4]

 

รายงานการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ครั้งที่ 20 (สมัยสามัญ). วันศุกร์ที่ 26 สิงหาคม พุทธศักราช 2475
รายงานการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ครั้งที่ 20 (สมัยสามัญ). วันศุกร์ที่ 26 สิงหาคม พุทธศักราช 2475

 

กระทั่งในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร เมื่อวันที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2475 มีนายบรรจง ศรีจรูญ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรตั้งกระทู้ถามเรื่อง รัฐบาลได้ทำอะไรเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจแห่งชาติว่า

 

“ตามที่เราได้ประกาศไว้ว่า เราจะพยายามฟื้นฟูเศรษฐกิจแห่งชาติและหางานให้ราษฎรได้มีงานทำนั้น บัดนี้เราได้ทำอะไรไว้แล้วบ้าง เพราะเท่าที่ประชุมกันนี้ส่วนมากเกี่ยวด้วยเรื่องกฎหมาย มองไม่เห็นว่ากฎหมายจะฟื้นฟูเศรษฐกิจแห่งชาติได้ จึ่งอยากขอให้ประธานคณะกรรมการราษฎรแถลงในที่ประชุมนี้”

 

พระยามโนปกรณ์นิติธาดา ประธานคณะกรรมการราษฎรจึงแถลงว่าไม่ได้ลืมคำประกาศที่ให้ไว้ว่าตั้งใจจะช่วยเหลือราษฎร และการออกกฎหมายก็คือการช่วยเหลือราษฎรด้วยอำนาจทางกฎหมาย เช่น การยกเลิกภาษีอากรต่างๆ ส่วนแนวคิดทางเศรษฐกิจที่กำลังเริ่มวางโครงการฯ ได้แก่ สหกรณ์และอุตสาหกรรม เช่น โรงทำน้ำตาล แต่ยังทำ reseach work ไม่เสร็จจึงมองว่าไม่ควรประกาศโครงการเศรษฐกิจที่ยังอยู่ระหว่างดำเนินการต่อราษฎร

 

สมาชิกคณะราษฎรสายพลเรือนโดยนายปรีดี พนมยงค์ นั่งแถวกลางคนที่ 6 (นับจากขวา)
สมาชิกคณะราษฎรสายพลเรือนโดยนายปรีดี พนมยงค์ นั่งแถวกลางคนที่ 6 (นับจากขวา)

 

การถกเถียงในรัฐสภาในระยะแรกของระบอบใหม่เป็นไปอย่างแหลมคม ไม่เพียงในแง่ของนโยบายแต่ในทางทฤษฎีเศรษฐกิจการเมืองก็มีการกล่าวถึงไว้ในสภาฯ อาทิ นายจรูญ สืบแสง หนึ่งในสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเสนอเรื่องเศรษฐกิจและการเมืองทางทฤษฎีไว้ว่า

 

“การกระทำของเราเมื่อคิดไปมี 2 ทาง ซึ่งเกี่ยวกับกฎหมายและเศรษฐกิจ คือเราอาจจะทำให้มีโปลิติกมากในทางเอเคโนมิก หรือทำให้มีเอโคโนมิกมากในทางโปลิติก แต่ในทางที่ถูกเราควรดำเนิรการให้มีเอโคโนมิกมากในทางโปลิติก ไม่ใช่ให้มีโปลิติกมากในทางเอโคโนมิก”

 

แม้ว่าสองเดือนแรกของรัฐบาลคณะราษฎรยังไม่มีโครงการเศรษฐกิจที่ประกาศใช้แต่มีการเสนอแผนเศรษฐกิจจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรชุดแรก อาทิ โครงการเศรษฐกิจของนายมังกร สามเสน ซึ่งมีอาชีพเดิมคือพ่อค้าโดยได้เสนอโครงการเศรษฐกิจที่เกี่ยวกับเศรษฐกิจในทางมหภาค ภาษีธนาคาร และโครงการที่เกี่ยวกับอุตสาหกรรมที่มีผลต่อพ่อค้า นายทุน รวมถึงชาวนา

นายมังกรเสนอให้มีการตั้งสภาบำรุงเศรษฐกิจแห่งชาติที่มีเสนาบดีทุกกระทรวงเป็นกรรมการ มีสมุหเทศาภิบาลทุกมณฑลเป็นกรรมการ ทั้งเสนอให้เชิญอธิบดีที่ดำเนินงานเกี่ยวกับเศรษฐกิจและพ่อค้าคนสำคัญเป็นกรรมการโดยให้ผู้ที่มีความรู้พิเศษในเรื่องการต่างประเทศ เศรษฐกิจ และการเงินเป็นกรรมการที่ปรึกษา โดยนายมังกรยังแนะนำให้คณะกรรมการราษฎรร่างพระราชบัญญัติสภาการเศรษฐกิจแห่งชาติ อัญเชิญพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 ทรงดำรงตำแหน่งนายกกิตติมศักดิ์ของสภาฯ นี้ด้วยเหตุผลว่าต้องการให้เป็นที่นิยมและเชื่อถือของคนทั่วไป

 

หลวงประดิษฐ์มนูธรรม (ปรีดี พนมยงค์) กล่าวเรื่องโครงการเศรษฐกิจในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ในวันศุกร์ที่ 26 สิงหาคม พุทธศักราช 2475
หลวงประดิษฐ์มนูธรรม (ปรีดี พนมยงค์) กล่าวเรื่องโครงการเศรษฐกิจในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ในวันศุกร์ที่ 26 สิงหาคม พุทธศักราช 2475

 

ข้อถกเถียงเรื่องโครงการเศรษฐกิจในรัฐบาลคณะราษฎรเริ่มจากการเสนอโครงการเศรษฐกิจของนายมังกรเป็นครั้งแรก โดยนายปรีดีได้แสดงทัศนะทางเศรษฐกิจของตนต่อโครงการเศรษฐกิจนี้ไว้เป็นครั้งแรกในรัฐสภาด้วยเช่นกันว่า

 

“ตามที่นายมังกร สามเสน ได้แถลงมานั้น ได้เคยทำความเข้าใจให้นายมังกรทราบแล้วว่า ในการที่จะดำเนิรโครงการณ์เศรษฐกิจก็ดี หรือกิจการใดอื่นๆ ก็ดีเป็นหน้าที่ของคณะกรรมการราษฎรจะดำเนิร เพราะฉะนั้นโครงการณ์เศรษฐกิจที่นายมังกรนำมาเสนอจึ่งขอตรวจดูก่อน อีกอย่างหนึ่งการที่จะตั้งสภาเศรษฐกิจแห่งชาตินี้ เป็นความประสงค์ที่ทางคณะกรรมการราษฎรคิดอยู่แล้ว แต่การที่จะตั้งขึ้นทันทีโดยวางทางการยังไม่สำเร็จก็จะดำเนิรไปไม่สะดวก เพราะฉะนั้นเมื่อถึงโอกาสสมควรที่ทางฝ่ายคณะกรรมการราษฎร และผู้ที่เริ่มก่อการในชั้นต้นมอบหมายให้เรื่องนี้ได้จัดการไปแล้ว ก็จะได้จัดตั้งสภาเศรษฐกิจขึ้นภายหลัง

อีกข้อหนึ่งที่สมาชิกบางท่านได้เรียนถามประธานคณะกรรมการราษฎรถึงเรื่องที่ว่ามิได้คิดจะบำรุงการเศรษฐกิจนั้น ถ้าระลึกดูในชั้นต้นแล้ว เราได้แบ่งระยะเวลาของเราเป็น 3 ระยะคือ สมมติว่า เราได้อำนาจแล้ว เราจะพยายามวางหลักของเราก่อน…เราเพิ่งดำเนิรการมาได้เพียง 2 เดือน แต่เราก็ได้ทำกิจการไปแล้วหลายอย่างที่มองไม่เห็นก็มี ที่มองเห็นก็มี หากแต่สิ่งที่มองเห็นนั้นเกี่ยวกับกฎหมายจึ่งได้ทำไปก่อน ส่วนที่มองไม่เห็นและคิดทำอยู่เราก็ได้ปรึกษาสำหรับผู้ที่เริ่มก่อการและเป็นผู้ที่ได้เล่าเรียนการเศรษฐกิจด้วย เพื่อวางหลักหัวข้อ…”

 

นายปรีดีชี้แจงทั้งเรื่องโครงการเศรษฐกิจของนายมังกรและแผนการทำงานด้านเศรษฐกิจของรัฐบาลคณะราษฎรอย่างละเอียดโดยกล่าวถึงโครงการเศรษฐกิจที่คณะราษฎรกำลังคิดไว้ว่า

 

“หลักหัวข้อที่เราได้คิดวางแล้วก็คือ การสหกรณ์ ซึ่งไม่เหมือนกับสหกรณ์ดั่งที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ สหกรณ์ที่คิดใหม่ได้วางหลักไว้ครบรูป เป็นสหกรณ์ทั้งในการทำให้เกิดทรัพย์ หมายความว่า เราจะหาเครื่องมือช่วยเหลือทั้งในทางเทฆนิค ในทางการกสิกรรมด้วย และช่วยจนการเคลื่อนที่ หมายความว่าช่วยในการให้สินค้าจำหน่ายไป ตลอดจนการที่จะหาของรับประทานด้วย ซึ่งหมายความว่าเป็นสหกรณ์ที่จะหมุนรอบตัวโดยครบรูป และตั้งใจไว้ว่า ผู้ไม่มีงานทำก็จะหมุนลงไปอยู่ในสหกรณ์ซึ่งนับว่าเป็นความประสงค์ของเรา นอกจากนั้นเรายังจะเชื้อเชิญผู้มีความรู้ในทางเศรษฐกิจมาร่วมงานด้วย แต่การที่จะทำอะไรลงไปโดยลงทุนนั้นจะทำลงไปทันทีไม่ได้ เพราะหลักการเศรษฐกิจนั้นในชั้นต้นต้องรู้กำลังทุนของเราว่า ทุนที่จะบำรุงมีอยู่เท่าใด

ในเวลานี้แม้เราจะได้อำนาจมาเป็นขั้นต้นก็จริง แต่ต้องรู้กำลังงบประมาณก่อน ซึ่งเพิ่งทำเสร็จไปประมาณอาทิตย์กว่าเท่านั้นเอง นอกจากนี้ยังมีทางอื่นอีกที่เราจะต้องคิด และที่จะแสดงออกได้โดยทันทีในเวลานี้ไม่ได้ ถึงอย่างไรก็ตามก็อยู่ในความดำริของเราเหมือนกันในอันที่จะบำรุงเศรษฐกิจให้ดีที่สุดที่จะทำได้…”

 

และเปรียบเทียบการออกแบบสถาบันการเมืองภายหลังการอภิวัฒน์ของคณะราษฎรกับประเทศอื่นไว้ด้วยว่า

 

“...รู้สึกหนักอกที่รู้สึกว่ามีราษฎรส่วนมากเร่งรัดในกิจการที่จะให้สำเร็จลงไปในเร็ววัน ซึ่งจะว่าราษฎรเหล่านั้นเป็นผู้เข้าใจผิดก็ไม่ถนัดนัก บางทีจะเห็นคำประกาศแล้วนึกไปเสียว่า เมื่อรัฐบาลนี้ได้อำนาจมาแล้วจะบันดาลสิ่งที่เป็นอยู่ให้ดีขึ้นภายในเร็ววัน

แต่ถ้าจะเปรียบเทียบการเปลี่ยนแปลงการปกครองในเมืองอื่นแล้ว…ดั่งเช่นตัวอย่างโซเวียตเป็นต้น แต่ทั้งนี้มิใช่หมายความว่า เราเป็นโซเวียต เป็นแต่เล่าให้ฟังคือ เมื่อเปลี่ยนการปกครองแล้วต้องฆ่ากันตั้ง 7 ปี และกว่าจะได้วางโครงการ 5 ปี (Five Year’s Plan) สำเร็จก็ได้เริ่มคิดกันมาก่อนแล้วตั้ง 2 ปี จึ่งลงมือได้ สำหรับเราเพิ่งมีเวลาเพียง 2 เดือนเท่านั้น เพราะฉะนั้นขอให้สมาชิกได้เห็นอกด้วย”[5]

 

จากเสียงเรียกร้องของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรให้รัฐบาลกำหนดโครงการเศรษฐกิจขึ้น ทางรัฐบาลจึงมีมติมอบหมายให้นายปรีดีเป็นผู้ร่างโครงการเศรษฐกิจเสนอรัฐบาล[6] เมื่อนายปรีดีจัดทำคำชี้แจงเค้าโครงการเศรษฐกิจเสร็จจึงนำไปมอบแก่พระยามโนปกรณ์นิติธาดา ประธานคณะกรรมการราษฎรหรือนายกรัฐมนตรีในสมัยนั้นให้นำเสนอต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรี เพื่อพิจารณารับรองก่อนเข้าที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร

การประชุมเรื่องคำชี้แจงเค้าโครงการเศรษฐกิจของนายปรีดีมีขึ้นสองครั้ง ดังนี้

การประชุมเค้าโครงการเศรษฐกิจ ครั้งที่ 1 เมื่อพระยามโนปกรณ์นิติธาดาได้รับคำชี้แจงเค้าโครงการเศรษฐกิจของนายปรีดีราวเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2475 (นับตามปฏิทินเก่า) ก็เรียกประชุมคณะรัฐมนตรีบางคนอย่างไม่เป็นทางการและไม่ครบองค์ประชุมฯ หลังการหยั่งเสียงและถกเถียงแล้ว ปรากฏผลว่าพระยามโนปกรณ์นิติธาดา, พระยาศรีวิสารวาจา และพระยาราชวังสัน ไม่เห็นด้วยกับคำชี้แจงเค้าโครงการเศรษฐกิจของนายปรีดีจึงเก็บร่างฯ นี้ไว้ และเมื่อวันที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2475 (นับตามปฏิทินเก่า) คณะรัฐมนตรีจึงประชุมปรึกษากันเพื่อลงมติให้ตั้งกรรมาธิการพิจารณาคำชี้แจงเค้าโครงการเศรษฐกิจ โดยให้นายปรีดีเข้าชี้แจ้งและนำเสนอในวันที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2475 (นับตามปฏิทินเก่า)[7]

 

คำชี้แจงเค้าโครงการเศรษฐกิจฉบับที่นายปรีดี พนมยงค์ นำเสนอต่อคณะรัฐมนตรี ครั้งแรกจำนวน 200 ฉบับ
คำชี้แจงเค้าโครงการเศรษฐกิจฉบับที่นายปรีดี พนมยงค์ นำเสนอต่อคณะรัฐมนตรี ครั้งแรกจำนวน 200 ฉบับ

 

กรมเลขาธิการคณะรัฐมนตรี วังปารุสกวัน

วันที่ 9 มีนาคม พุทธศักราช 2475

เลขาธิการคณะรัฐมนตรี เรียน พระยามโนปกรณ์นิติธาดา

ด้วยคณะรัฐมนตรีได้ประชุมปรึกษาเมื่อวันที่ 9 มีนาคม ศกนี้ ลงมติให้ตั้งกรรมาธิการพิจารณาโครงการณ์เศรษฐกิจซึ่งหลวงประดิษฐ์มนูธรรมจะได้เป็นผู้เสนอ มีรายนามดั่งต่อไปนี้ คือ

  1. พระยามโนปกรณ์นิติธาดา
  2. พระยาศรีวิสารวาจา
  3. นายพลเรือโท พระยาราชวังสัน
  4. นายพันเอก พระยาทรงสุรเดช
  5. หลวงประดิษฐ์มนูธรรม
  6. หลวงเดชสหกรณ์
  7. นายประยูร ภมรมนตรี
  8. นายแนบ พหลโยธิน
  9. หม่อมเจ้าสกลวรรณกร วรวรรณ
  10. หลวงเดชาติวงศ์วรารักษ์
  11. หลวงคหกรรมบดี
  12. นายทวี บุณยเกตุ
  13. นายวิลาศ โอสถานนท์
  14. หลวงอรรถสารประสิทธิ์ เลขานุการ

กำหนดการประชุมครั้งแรก วันอาทิตย์ 12 มีนาคม ศกนี้ เวลา 8 นาฬิกา ณ วังปารุสกวัน

ขอแสดงความนับถืออย่างยิ่ง
(ลงนาม) หลวงเดชสหกรณ์
รั้งเลขาธิการคณะรัฐมนตรี”[8]

 

จากการที่พระยามโนปกรณ์นิติธาดาอุบเงียบคำชี้แจงเค้าโครงการเศรษฐกิจของนายปรีดีจนเกิดทั้งข่าวลือว่านายปรีดีเป็นคอมมิวนิสต์ และหนังสือพิมพ์กับทางการเริ่มหวาดระแวงสิ่งพิมพ์เกี่ยวกับลัทธิโซเชียลิสม์ด้วยการเหมารวมว่าคือแนวทางคอมมิวนิสต์ ทั้งที่ในข้อเท็จจริงแล้ว แนวทางคอมมิวนิสต์ แนวคิดโซเซียลิสม์ และแนวคิดเศรษฐศาสตร์การเมือง ในคำชี้แจงเค้าโครงการเศรษฐกิจของนายปรีดีนั้นเป็นแนวคิดและแนวทางที่มีความแตกต่างกันอยู่[9]

 

หนังสือพิมพ์ศรีกรุง ฉบับ 10 มีนาคม พ.ศ. 2475 ลงข่าวห้ามจำหน่ายหนังสือลัทธิโซเชียลิสม์ฯ ของ นายสงวน ตุลารักษ์
หนังสือพิมพ์ศรีกรุง ฉบับ 10 มีนาคม พ.ศ. 2475 ลงข่าวห้ามจำหน่ายหนังสือลัทธิโซเชียลิสม์ฯ ของ นายสงวน ตุลารักษ์

 

ความระแวงของทางการต่อแนวทางคอมมิวนิสต์ ภายหลังการเสนอคำชี้แจงเค้าโครงการเศรษฐกิจของนายปรีดีปรากฏครั้งแรกจากกรณีที่นายสงวน ตุลารักษ์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้แปลหนังสือขายดีของอังกฤษ เรื่อง ลัทธิโซเชียลิสม์ หมายความว่าอะไร ของ เจ. ดับลิว. นีสซอว์ ออกจำหน่ายราคาเล่มละ 5 สตางค์ และขายดีในตลาดหนังสือ ในบทความของนายสงวนเสนอว่าลัทธิโซเชียลิสม์เป็นลัทธิหนึ่งในการปกครองแบบรัฐธรรมนูญ ซึ่งระยะแรกไม่ได้มีคำสั่งห้ามขาย

 

นายสงวน ตุลารักษ์ มอบภาพให้นายปรีดี พนมยงค์ ในฐานะคุณพี่เมื่อ พ.ศ. 2470
นายสงวน ตุลารักษ์ มอบภาพให้นายปรีดี พนมยงค์ ในฐานะคุณพี่เมื่อ พ.ศ. 2470

 

แต่ต่อมาปรากฏว่า ม.จ.สุรวุฒิ เทวกุล ผู้บังคับกองตำรวจ จังหวัดสมุทรสาคร มีคำสั่งห้ามร้านหนังสือไม่ให้จำหน่ายหนังสือเล่มนี้อีก ส่งผลให้นายสงวนทำรายงานขึ้นกราบเรียนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยและอธิบดีกรมตำรวจขอให้ไต่สวนและระงับคำสั่งนั้นเสียเพราะตนได้รับความเสียหาย โดยนายสงวนชี้แจงเหตุผลว่า “หนังสือนั้นเปนเรื่องปรุงแต่งความรู้ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 13 เท่านั้น หาได้ผิดกฎหมายไม่”[10] เรียกได้ว่า ข่าวลือเกี่ยวกับคำชี้แจงเค้าโครงการเศรษฐกิจของนายปรีดีเริ่มส่งผลต่อทางการและนายสงวน ผู้ที่ถูกทางการมองว่าเป็นลูกศิษย์ของนายปรีดี[11] นับจากนี้เกมการเมืองเรื่องเค้าโครงการเศรษฐกิจจึงได้เปิดฉากขึ้น

ในวันเดียวกันกับที่หนังสือพิมพ์ศรีกรุงลงข่าวนี้ก็ได้มีการประชุมสภาผู้แทนราษฎรขึ้น โดยนายจรูญ สืบแสง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ได้กล่าวต่อที่ประชุมฯ ถึงเรื่องการเร่งรัดให้มีโครงการเศรษฐกิจและสะท้อนความไม่ลงรอยทางหลักการในเบื้องต้น

 

“...ในเรื่องทางเศรษฐกิจนั้น นายบรรจง ศรีจรูญ ได้เคยถามคณะรัฐมนตรีมาครั้งหนึ่งเมื่อประมาณ 6 เดือนมาแล้ว และตัวข้าพเจ้าก็เคยพูดว่าการที่เราจะดำเนิรนโยบายในทางเศรษฐกิจและในทางโปลิติกนั้น มีอยู่ 2 ทาง…ฉะนั้นจึ่งใคร่ถามว่า คณะรัฐบาลจะรับรองได้ไหมว่าจะรีบทำเรื่องนี้ให้ทันเวลาที่จะดำเนิรการในปีหน้า ถ้าและไม่รับรองที่จะทำแล้ว จะได้ขอให้มี Vote of Confidence เรียงบุคคลไป…

เท่าที่ทราบมามีว่า นโยบายในทางเศรษฐกิจนี้ไม่ลงรอยกันเพราะต่างคนต่างเห็นชอบไปคนละทาง และบางคนก็มี Prejudice ในบางคน หรือไม่อย่างนั้นก็มี Prejudice ในทางนโยบาย เช่นนโยบายของหลวงประดิษฐ์ฯ มีบางคนเข้าใจไปว่าเป็นนโยบายทาง Communist หรือ Socialist แต่เราต้องคิดว่านโยบายจะเป็นไปในทางใดก็ตาม ถ้าจะเป็นไปในทางที่จะให้ราษฎรได้รับประโยชน์แล้ว ก็ควรจะเสียสละได้แม้ชีวิต…”

 

และนายปรีดีได้กล่าวตอบเรื่องนโยบายเศรษฐกิจทิ้งท้ายว่า เรื่องนโยบายเศรษฐกิจได้ตกลงกันจะประชุมฯ ในวันอาทิตย์ที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2475 (นับตามปฏิทินเก่า) โดยขอให้มีการประชุมฯ เสียก่อน[12]

การประชุมเค้าโครงการเศรษฐกิจ ครั้งที่ 2 แต่เป็นการประชุมกรรมานุการพิจารณาเค้าโครงการเศรษฐกิจอย่างเป็นทางการ ครั้งที่ 1 ในวันอาทิตย์ที่ 12 มีนาคม พุทธศักราช 2475 (นับตามปฏิทินเก่า) โดยเปิดการประชุมเวลา 8.20 น. มีผู้เข้าประชุมคือ กรรมาธิการพิจารณาโครงการเศรษฐกิจจำนวน 14 ราย ตามที่ตั้งขึ้น ในการประชุมฯ ครั้งที่ 1 จากเอกสารคำชี้แจงเค้าโครงการเศรษฐกิจประกอบการประชุมฯ นายปรีดีได้แถลงที่มาและข้อควรระลึกแสดงทัศนะของนายปรีดีไว้ ซึ่งมักจะถูกมองข้ามและไม่มีผู้อ่านมากนักจึงขอนำเสนออย่างละเอียดตามต้นฉบับดังนี้

 

ข้อที่ควรระลึกในการอ่านคำชี้แจงนี้ ในเค้าโครงการเศรษฐกิจฉบับที่นายปรีดี พนมยงค์ นำเสนอต่อคณะรัฐมนตรี
ข้อที่ควรระลึกในการอ่านคำชี้แจงนี้ ในเค้าโครงการเศรษฐกิจฉบับที่นายปรีดี พนมยงค์ นำเสนอต่อคณะรัฐมนตรี

 

“ข้อที่ควรระลึกในการอ่านคำชี้แจงนี้

การแบ่งการเศรษฐกิจออกเป็นสหกรณ์

การคิดที่จะบำรุงความสุขสมบูรณ์ของราษฎรนี้ ข้าพเจ้าได้เพ่งเล็งถึงสภาพอันแท้จริง ตลอดจนนิสสัยใจคอของราษฎรส่วนมากว่า การที่จะส่งเสริมให้ราษฎรได้มีความสุขสมบูรณ์นั้น ก็มีอยู่ทางเดียว ซึ่งรัฐบาลจะต้องเป็นผู้จัดการเศรษฐกิจเสียเอง โดยแบ่งการเศรษฐกิจนั้นออกเป็นสหกรณ์ต่างๆ

ความคิดที่ข้าพเจ้าได้มีอยู่เช่นนี้ ไม่ใช่เป็นด้วยข้าพเจ้าได้มีอุปาทานผูกมั่นอยู่ในลัทธิใดๆ ข้าพเจ้าได้หยิบเอาส่วนที่ดีของลัทธิต่างๆ ที่เห็นว่าเหมาะสมแก่ประเทศสยามแล้ว จึงได้ปรับปรุงยกขึ้นเป็นเค้าโครงการ

เหตุแห่งความลำเอียง

แต่มีข้อควรระลึกว่า การจัดบำรุงความสุขสมบูรณ์ของราษฎรในทางเศรษฐกิจนั้น ย่อมมีลัทธิอยู่มากมายหลายอย่าง แต่ผู้ที่นิยมนับถือในลัทธิต่างๆ ยังมิอาจที่จะทำความตกลงกันได้ ทั้งนี้ศาสตราจารย์เดสชองป์ส์แห่งมหาวิทยาลัยกรุงปารีสได้กล่าวไว้ว่ามี อยู่ 3 ประการ

ไม่รู้โดยไม่ตั้งใจ

1. เพราะบุคคลทุกคนยังไม่รู้ลัทธิต่างๆ การไม่รู้นี้เป็นโดยไม่ตั้งใจ เช่น ผู้ที่ไม่ได้ศึกษาหรืออ่านตำราที่แท้จริงของลัทธิต่างๆ บุคคลผู้นั้นก็มิอาจที่จะทำความตกลงอย่างไรได้

ไม่รู้โดยตั้งใจ

2. เพราะตั้งใจจะไม่รู้ เช่น บุคคลที่ได้ยินได้ฟังคำโพนทนาตลาดว่า ลัทธิหนึ่งนิยมให้ฆ่าฟันกัน ริบทรัพย์ของผู้มั่งมีเอามาแบ่งให้แก่คนจนเท่าๆ กัน เอาผู้หญิงเป็นของกลาง แล้วก็หลงเชื่อตามคำตลาดและมีอุปาทานยึดมั่นในคำชั่วร้าย และไม่ค้นคว้าและสืบต่อไปให้ทราบความว่า ลัทธินั้นได้ยุยงให้คนฆ่าฟันกันจริงหรือ ริบทรัพย์เอามาแบ่งให้เท่าๆ กันจริงหรือ เอาผู้หญิงมาเป็นของกลางจริงหรือ

ประโยชน์ส่วนตน

3. เพราะเหตุประโยชน์ส่วนตน กล่าวคือบุคคลที่แม้จะรู้ลัทธิต่างๆ ว่ามีส่วนดีอย่างไร ก็แกล้งทำเป็นไม่รู้ ไม่ยอมที่จะดำเนินตาม เพราะเหตุที่ตนมีประโยชน์ส่วนตัวที่จะป้องกันไม่ให้ใช้ลัทธิต่างๆ นั้น เช่น ลัทธิโซเชียลลิสม์ ที่ประสงค์ให้รัฐบาลเป็นผู้ประกอบการอุตสาหกรรมเสียเอง เพื่อประโยชน์ของราษฎรเสียทั้งหมดดั่งนี้ ผู้ที่ประกอบอุตสาหกรรมก็ต้องไม่นิยมลัทธิโซเซียลลิสม์เพราะเกรงไปว่า ประโยชน์ตนที่มีอยู่ในอุตสาหกรรมนั้นจะต้องถูกริบ หรือบุคคลที่เกลียดชังรัฐบาลด้วยเหตุส่วนตัว แม้จะรู้ลัทธิต่างๆ และจะเห็นว่าลัทธินั้นดีก็ตาม แต่เมื่อรัฐบาลเป็นผู้ดำเนินตามลัทธินั้น ตนเองได้ตั้งใจเป็นปรปักษ์กับรัฐบาล ก็แสร้งทำเป็นถือลัทธิหนึ่ง บุคคลจำพวกนี้จัดเป็นพวกอุบาทว์กาลีโลก เพราะเหตุที่ตนมุ่งแต่ประโยชน์ส่วนตนเป็นใหญ่ หาได้มุ่งถึงประโยชน์ของราษฎรโดยทั่วไปไม่

ทิฏฐิมานะ

สำหรับประเทศสยามที่ข้าพเจ้าเคยสังเกตมา ยังเห็นว่ามีอีกเหตุหนึ่ง คือทิฏฐิมานะ ข้าพเจ้าเคยอ่านคำบรรยายของท่านนักปราชญ์ในสยามบางท่าน ซึ่งอธิบายกล่าวภัยใน ลัทธิหนึ่ง ข้าพเจ้าได้ถามท่านผู้นั้นว่าท่านได้อ่านหนังสือจากหนังสือปรปักษ์ของลัทธินั้นหรือคำเล่าลือ ได้ความว่าท่านได้ยินคำเล่าลือ ข้าพเจ้าจึงแนะนำให้อ่านหนังสือของผู้ที่เป็นกลาง ท่านอ่านแล้ว และเห็นจริงว่าที่ท่านได้บรรยายมาแล้วเป็นคำเท็จ แต่เพื่อที่จะสงวนชื่อเสียงส่วนตนของท่าน ท่านก็มีทิฏฐิมานะแสร้งบรรยายอยู่ตามเดิม ทั้งๆ รับกับข้าพเจ้าว่าท่านผิด แต่ท่านต้องทำโดยมานะ ท่านนักปราชญ์เหล่านี้เป็นพวกอุบาทว์กาลีโลก เช่นเดียวกับพวกที่นึกถึงประโยชน์ส่วนตนเป็นใหญ่

ตั้งใจเป็นกลาง

ฉะนั้นผู้อ่านคำชี้แจงของข้าพเจ้า ขอได้โปรดตั้งใจเป็นกลาง หลีกเลี่ยงจากเหตุชั่วร้ายดังกล่าวข้างต้นนี้ และวินิจฉัยว่า เค้าโครงการที่ข้าพเจ้าคิดอยู่นี้ จะช่วยราษฎรได้ตามที่คณะราษฎรได้ประกาศไว้นั้นได้หรือไม่ เมื่อติดขัดสงสัยประการใดก็ขอได้โปรดถามมายังข้าพเจ้าและเมื่อได้ยินผู้ที่แย้งด้วยเหตุใดแล้ว ก็ขอได้โปรดถามผู้แย้งว่าเหตุผลนั้น เป็นของเขาเองหรือเป็นเหตุผลที่เขาได้ยินจากปากตลาดอย่างใด พร้อมทั้งสอบถามถึงเอกสารอันเป็นหลักฐานใดๆ ซึ่งผู้แย้งได้อ่านหรือได้พบ แล้วโปรดแจ้งมายังข้าพเจ้าด้วย

การอ่านคำชี้แจงนี้ ไม่ใช่ต้องการว่าผู้มีปริญญาจึงจะวินิจฉัยได้ แม้ผู้ไม่ได้ปริญญา ถ้าค้นคว้าสืบสวนจริง ไม่เชื่อแต่ข่าวเล่าลือก็วินิจฉัยได้ดีกว่าผู้ที่ไม่ค้นคว้าสืบความจริง”[13]

 

การประชุมกรรมานุการพิจารณาเค้าโครงการเศรษฐกิจ ในวันอาทิตย์ที่ 12 มีนาคม พุทธศักราช 2475 (นับตามปฏิทินเก่า)

การประชุมกรรมานุการพิจารณาเค้าโครงการเศรษฐกิจ ครั้งที่ 1 ประกอบด้วยกรรมาธิการพิจารณาโครงการเศรษฐกิจของนายปรีดี จำนวน 14 ราย ได้แก่ พระยามโนปกรณ์นิติธาดา, พระยาศรีวิสารวาจา, นายพลเรือโท พระยาราชวังสัน, นายพันเอก พระยาทรงสุรเดช, หลวงประดิษฐ์มนูธรรม, หลวงเดชสหกรณ์, นายประยูร ภมรมนตรี, นายแนบ พหลโยธิน, หม่อมเจ้าสกลวรรณกร วรวรรณ, หลวงเดชาติวงศ์วรารักษ์, หลวงคหกรรมบดี, นายทวี บุณยเกตุ, นายวิลาศ โอสถานนท์ และหลวงอรรถสารประสิทธิ์ เป็นเลขานุการ

นายปรีดีเปิดการประชุมด้วยการแถลงว่า

 

“ก่อนที่จะมาชี้แจงในที่นี้ได้ประชุมผู้เริ่มก่อการครั้งหนึ่งแล้ว และทำเรื่องขึ้นเสนอรัฐมนตรี รัฐมนตรีจึงตั้งกรรมานุการชุดนี้ให้พิจารณา การโต้เถียงนั้นอาจใช้ถ้อยคำรุนแรงไปบ้างเมื่อเป็นคำแสลงโดยบังเอิญต้องขออภัย

หัวข้อสำคัญในการประชุมวันนี้ เนื่องจากหลัก 6 ประการที่ได้ประกาศไว้ในข้อ 3 มีใจความอยู่ 3 ประการ ในการบำรุงความสุขสมบูรณ์ของราษฎรในทางเศรษฐกิจคือ จะจัดมิให้ราษฎรอดอยาก จะหางานให้ราษฎรทุกคนทำ จะวางโครงการเศรษฐกิจแห่งชาติ ในการจัดการไม่ให้ราษฎรอดอยากนั้น ต้องจัดให้มีความเป็นอยู่พอควร หางานให้ราษฎรทำ เหมือนกับพวกเราที่อยากทำงาน ข้อความละเอียดมีอยู่ในหนังสือนี้แล้ว (คำชี้แจงเค้าโครงการเศรษฐกิจ—ผู้เขียน)

แต่เราไม่ทำโครมครามทีเดียวจะทำตามกำลังของเรา ข้อความที่เป็นตัวเลขบางตอนจะถือเคร่งครัดไม่ได้ เป็นการอุปมาพอเค้าเท่านั้น โครงการนี้ไม่ใช่หลักคอมมิวนิสม์ เรามีทั้งแคปิตัลลิสม์ และโซเชียลิสม์รวมกัน ถ้าหากพวกคอมมิวนิสม์มาอ่านจะติเตียนมากว่ายังรับรองพวกมั่งมีให้มีอยู่ ความนี้กล่าวแล้วว่าตัวเลขนั้นเป็นการอุปมาเท่านั้น หน้าที่ของเราในที่นี้ก็คือ จะรับโปลิซีนี้หรือไม่ เมื่อรับแล้วจึงเรียกผู้ชำนาญมาทำการพิจารณาให้ละเอียดในภายหลัง”

 

ในการประชุมฯ พิจารณาเกี่ยวกับคำชี้แจงเค้าโครงการเศรษฐกิจของนายปรีดีครั้งนี้ มีการถกถามเรื่องสำคัญ 3 ประการ ได้แก่ แนวคิดและทฤษฎีการเมืองของเค้าโครงการเศรษฐกิจ, การปฏิรูปกรรมสิทธิ์ในที่ดิน และการสหกรณ์ ซึ่งผู้เขียนจะนำเสนอความคิดของนายปรีดีในสองประการแรก เพราะเป็นข้อกล่าวหาหลักว่านายปรีดีเป็นคอมมิวนิสต์รวมทั้งปรากฏในพระบรมราชวินิจฉัยฯ เวลาต่อมา

 

ประการที่ 1 แนวคิดและทฤษฎีการเมืองของเค้าโครงการเศรษฐกิจ

 

นายพลเรือโท พระยาราชวังสัน
นายพลเรือโท พระยาราชวังสัน

 

นายปรีดีเสนอว่า แนวคิดและทฤษฎีการเมืองของเค้าโครงการเศรษฐกิจนั้น “ไม่ใช่หลักคอมมิวนิสม์ เรามีทั้งแคปิตัลลิสม์ และโซเชียลิสม์รวมกัน…ไม่ถือหลักอะไรโดยเฉพาะ อะไรดีก็เลือกเอามา” โดยตอบข้อซักถามของพระยาราชวังสันว่า

 

พระยาราชวังสัน : ตามหนังสือโครงการที่ข้าพเจ้าได้อ่านนั้นเป็นหนังสือ ideal ข้าพเจ้าก็นิยมหลักนี้ แต่การทำนั้นอีกอย่างหนึ่ง ซึ่งต้องวิเคราะห์ detail เป็นเรื่องๆ ไป หลักการเก่าซึ่งรัฐบาลเก่าทำหรือที่ชุดนี้ทำก็ดี แม้เขาจะไม่ระบุชื่อ แต่ความจริงแบบโซเชียลิสม์ที่จริงหลักการก็ควรเป็นเช่นนั้น เพราะแคปิตัลลิสม์เป็นชาวต่างประเทศส่วนมาก ในปริ๊นซิเปิลข้าพเจ้าไม่คัดค้าน แต่ยังขาดรายละเอียดคือวิธีปฏิบัติ

หลวงประดิษฐ์มนูธรรม (ปรีดี พนมยงค์) : ตามหลักของข้าพเจ้านั้น เป็นลัทธิหลายอย่างที่ได้เลือกคัดเอาที่ดีมาปรับปรุงให้สมกับฐานะของประเทศสยาม แต่เหตุสำคัญอาศัยหลักโซเชียลลิสม์ไม่ใช่คอมมิวนิสม์ คือถือว่ามนุษย์ที่เกิดมาย่อมต้องเป็นเจ้าหนี้และลูกหนี้ต่อกัน เช่นคนจนนั้น เพราะฝูงชนทำให้จนก็ได้ คนเคยทอผ้าด้วยฝีมือครั้นมีเครื่องจักรแข่งขัน คนที่ทอด้วยมือต้องล้มเลิก หรือคนที่รวยเวลานี้ ไม่ใช่รวยเพราะแรงงานของตนเลย เช่น ผู้ที่มีที่ดินมากคนหนึ่งในกรุงเทพฯ ซึ่งเดิมมีราคาน้อย ภายหลังที่ดินมีราคาแพง สร้างตึกสูงๆ ดังนี้ ราคาที่ดินแพงเนื่องจากฝูงชนไม่ใช่เพราะการกระทำของคนนั้น ฉะนั้นจึงถือว่ามนุษย์ต่างมีหนี้ตามธรรมจริยาต่อกัน จึงต้องร่วมประกันภัยต่อหน้า และร่วมกันในการประกอบเศรษฐกิจ…

ม.จ.สกลวรรณากร วรวรรณ : คนที่มีที่ดินรวยๆ มีไม่กี่คน

หลวงประดิษฐ์มนูธรรม (ปรีดี พนมยงค์) : คนของเราเวลานี้เปรียบเหมือนเด็ก รัฐบาลต้องนำโดยบังคับในทางตรงหรือในทางอ้อม ให้ขะมักเขม้นประกอบการเศรษฐกิจ ถ้าเราทำตามแบบเก่า การเปลี่ยนแปลงการปกครองคราวนี้ไม่มีประโยชน์ เพราะเราไม่ทำสาระสำคัญ คือแก้ความฝืดเคืองของราษฎร แบบที่เราต้องเดินนั้น ต้องเดินอย่างอาศัยหลักวิชา อาศัยแผน อาศัยโครงการ วิธีโซเชียลิสม์เป็นวิธีวิทยาศาสตร์โดยแท้ รับรองความเห็นหม่อมเจ้าสกลฯ ว่าการเปลี่ยนแปลงการปกครองนี้ไม่ใช่ coup d’etat แต่เป็น revolution ในทางเศรษฐกิจ ไม่มีในทางการปกครอง ซึ่งเปลี่ยนจากพระเจ้าแผ่นดินองค์เดียวมาเป็นหลายองค์เท่านั้น

พระยาราชวังสัน : โครงการของหลวงประดิษฐ์มนูธรรมไม่เป็นลัทธิอันใดอันหนึ่งแน่ อยากทราบว่าถือหลักอะไร

หลวงประดิษฐ์มนูธรรม (ปรีดี พนมยงค์) : ไม่ถือหลักอะไรโดยเฉพาะ อะไรดีก็เลือกเอามา

พระยาราชวังสัน : การพูดถึงโซเชียลิสม์ทั้งหมดนั้นอาจยาวเกินไป แต่ขอแบ่งพูดย่อๆ ได้ว่าเป็นสเตตโซเชียลิสม์อยู่หนึ่งกับคอมมูนิสต์อีกอย่างหนึ่ง แต่ข้าพเจ้าอยากรับรองลัทธิของชาร์ลจี๊ดคือ เดินแบบโคออเปราตีฟต่างๆ

หลวงประดิษฐ์มนูธรรม (ปรีดี พนมยงค์) : ยังมีรายละเอียดเรื่องนัชชันนั่ลแบงก์และอื่นๆ อีกมาก แต่ต้องรับโปลิซีเสียก่อน โปลิซีของข้าพเจ้านั้นเดินแบบโซเชียลิสม์ผสมลิเบรัล”[14]

 

ประการที่ 2 การปฏิรูปกรรมสิทธิ์ในที่ดิน

 

ม.จ.สกลวรรณากร วรวรรณ
ม.จ.สกลวรรณากร วรวรรณ

 

แนวคิดของนายปรีดีเรื่องการปฏิรูปกรรมสิทธิในที่ดินนี้ มาจากประสบการณ์ส่วนตัวที่นายปรีดีพบปัญหาชาวนาในวัยเยาว์ที่บ้านเกิดจังหวัดพระนครศรีอยุธยาและชี้แจงว่าหัวใจของการปฏิรูปที่ดินต้องเคารพกรรมสิทธิ์ของเอกชนเป็นสำคัญ

 

“ม.จ.สกลวรรณากร วรวรรณ : ตามโครงการดูเหมือนผู้เสนออาศัยหลัก surplus value คนทำที่ดินไม่ได้ค่าของที่ดินเต็มที่ แต่เห็นว่าชาวนาได้ค่าที่ดินเต็มที่แล้ว และเรื่องคนไทยยากจนนั้น หมอซิมเมอแมนได้สำรวจกล่าวว่าความเป็นอยู่ของเมืองไทยนั้นดีกว่าชาวอินเดียและจีนตั้งสองเท่า และ surplus value ทางภาคอุดรนั้นตกแก่คนพื้นเมืองเป็นส่วนมาก

หลวงประดิษฐ์มนูธรรม (ปรีดี พนมยงค์) : ในเรื่องที่ดินนี้ การอธิบายข้าพเจ้าไม่ได้อาศัยหลัก surplus value ของคาร์ล มาร์กซ เลย แต่อาศัยหลักว่าแรงงานของคนไทยเสียไปปีหนึ่งมากๆ จะทำอย่างไรจึงจะใช้แรงงานให้เป็นประโยชน์…

ม.จ.สกลวรรณากร วรวรรณ : อยากให้เดินแบบ compromise คือร่วมกับพวก capitalist

หลวงประดิษฐ์มนูธรรม (ปรีดี พนมยงค์) : หลักโครงการของข้าพเจ้านี้ ไม่ขัดกับ capitalist เดินคู่กันไปแท้ๆ เราต้องการอาศัยทุนของพวกมั่งมีในนี้ และต่างประเทศ

ม.จ.สกลวรรณากร วรวรรณ : ตามรูปที่อ่านนั้น ไม่เป็นแนวทางพอ ต้องแสดงไปเป็นลำดับ

หลวงประดิษฐ์มนูธรรม (ปรีดี พนมยงค์) : ในโครงการเสนอเพื่อให้รับรองโปลิซีเท่านั้น เมื่อรับรองโปลิซีแล้ว การที่จะดำเนินต่อไปนั้นต้องเรียกผู้ชำนาญมาภายหลัง…

ม.จ. สกลวรรณากร วรวรรณ : พริมิตีฟนั้นแล้วแต่ความเคยชิน หากว่าเคยอยู่อย่างไรก็ชินอย่างนั้น ไม่รู้สึกลำบาก จึงอยากให้เคารพในกรรมสิทธิ์ของบุคคลให้มาก

หลวงประดิษฐ์มนูธรรม (ปรีดี พนมยงค์) : โครงการนี้เราต้องเคารพกรรมสิทธิ์ของเอกชนเหมือนกัน เช่นที่ที่เป็นบ้านอยู่เราไม่เข้าเกี่ยวข้อง เว้นแต่ที่จำเป็น การที่ต้องรวมนี้ก็เพราะที่ดินของเจ้าของต่างๆ มีเป็นหย่อมๆ ไม่สะดวกแก่การควบคุมและทางวิทยาศาสตร์จึงต้องรวมให้เป็นผืนเดียวกัน

ม.จ.สกลวรรณากร วรวรรณ : เราเข้าใจเอาเองว่าที่ดินนั้นมีเป็นหย่อมๆ ยกตัวอย่างเมืองสุพรรณไม่แน่ว่าของใครมีเท่าใดเพราะยังไม่ได้สำรวจ ปัญหาสำคัญในเรื่องนี้จึงมีวิธีการที่จะรวมที่ดิน

หลวงประดิษฐ์มนูธรรม (ปรีดี พนมยงค์) : ปัญหาเรื่องรายละเอียดเอาไว้ที่หลัง แต่พฤติการณ์มีอยู่แน่ชัดว่า ที่ดินในเมืองไทยมีอยู่เป็นหย่อมๆ การรวมกันได้ผลดีในทางวิทยาศาสตร์ เราจะทำอย่างไรจึงจะให้รวมกันได้…

ม.จ.สกลวรรณากร วรวรรณ : การรวมที่ดินและรวมแรงเพื่อการกสิกรรมนั้นเห็นด้วย…หลักนี้ไม่มีใครคัดค้าน และตามที่ถือว่าที่ดินทั้งหมดเป็นของพระเจ้าแผ่นดินนั้น ใช้ได้ดีในเมืองไทยในการรวมที่ดิน

หลวงประดิษฐ์มนูธรรม (ปรีดี พนมยงค์) : หลักนี้วิเศษจริง แสดงว่าที่ดินเป็นของรัฐ

ม.จ.สกลวรรณากร วรวรรณ : นโยบายเรื่องที่ดินนั้น ควรแยกออกจากนโยบายอื่นๆ …

พระยามโนปกรณ์นิติธาดา : นโยบายแรกนั้น คือที่ดินกสิกรรมใช่ไหม…

หลวงประดิษฐ์มนูธรรม (ปรีดี พนมยงค์) : มีทั้งรัฐบาลจัดทำเองและเอกชนจัดทำ ไม่ใช่รัฐบาลจัดทำเองทั้งหมด เช่นการสัมปทานต่างๆ มีเหมืองแร่เป็นต้น ยังคงให้เอกชนจัดทำ และเรื่องวิตกว่าเจ้าของที่ดินจะไม่พอใจนั้น ไม่น่าวิตกอย่างใด การออกกฎหมายบังคับซื้อนั้นเพื่อป้องกันคนเกเรและหน่วงไม่ขายหรือเกี่ยงเอาราคาแพงๆ เท่านั้น

ม.จ.สกลวรรณากร วรวรรณ : บัดนี้ข้าพเจ้าเห็นด้วยให้รวมที่ดินนอกเมืองเป็นที่กสิกรรม และยังเห็นต่อไปว่า ควรรวมที่ในเมืองเป็นหัตถกรรมและที่อยู่ด้วย ควรจัดวางโปรแกรมไว้ว่าที่ใดเป็นที่หัตถกรรมและที่ใดที่เป็นที่กสิกรรม การมีที่ดินเป็นหย่อมๆ ข้าพเจ้าเห็นเป็นภัยควรรวมเอามาทั้งหมด แปลนจึงจะครบรูปเรียบร้อย”[15]

 

จากการประชุมฯ ครั้งนี้พบว่าผู้เข้าร่วมประชุมฯ มีความเห็นแตกเป็นสองทางคือ ฝ่ายหนึ่งสนับสนุนและฝ่ายหนึ่งคัดค้านคำชี้แจงเค้าโครงการเศรษฐกิจของนายปรีดี โดยผู้ที่คัดค้านได้แก่ พระยาทรงสุรเดช, พระยาศรีวิสารวาจา, พระยาราชวังสัน และนายประยูร ภมรมนตรี[16]

สัปดาห์ถัดมาในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร วันศุกร์ที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2475 (นับตามปฏิทินเก่า) พระยานิติศาสตร์ไพศาลได้สอบถามถึงเรื่องโครงการเศรษฐกิจและคำชี้แจงเค้าโครงการเศรษฐกิจของนายปรีดี โดยพระยาราชวังสันหนึ่งในกรรมานุการฯ ที่เข้าร่วมการประชุมฯ พิจารณาเค้าโครงการเศรษฐกิจกล่าวตอบว่ากำลังอยู่ระหว่างการพิจารณาและจะมีการนำเสนอต่อคณะรัฐมนตรีอีกครั้ง[17]

 

นายปรีดี พนมยงค์ ตอนออกเดินทางไปฝรั่งเศสเมื่อ พ.ศ. 2476 หลังเหตุการณ์เสนอเค้าโครงการเศรษฐกิจ
นายปรีดี พนมยงค์ ตอนออกเดินทางไปฝรั่งเศสเมื่อ พ.ศ. 2476
หลังเหตุการณ์เสนอเค้าโครงการเศรษฐกิจ

 

เค้าโครงการเศรษฐกิจ หรือ สมุดปกเหลือง และ พระบรมราชวินิจฉัย หรือ สมุดปกขาว จัดพิมพ์ในทศวรรษ 2490
เค้าโครงการเศรษฐกิจ หรือ สมุดปกเหลือง และ พระบรมราชวินิจฉัย หรือ สมุดปกขาว
จัดพิมพ์ในทศวรรษ 2490

 

จากหลักฐานประวัติศาสตร์และข้อถกเถียงข้างต้นแสดงให้เห็นแนวคิดของนายปรีดีในการจัดทำ เค้าโครงการเศรษฐกิจ หรือ สมุดปกเหลือง ด้วยถ้อยแถลงของนายปรีดีเป็นหลัก และแสดงถึงเจตนารมณ์ในการจัดทำอยู่บนพื้นฐานของแนวการปกครองระบอบใหม่และประโยชน์เพื่อประชาชนที่แตกต่างจากโครงการเศรษฐกิจของระบอบเดิมหลายประการ โดยนายปรีดีเริ่มต้นร่างคำชี้แจงเค้าโครงการเศรษฐกิจขึ้นจากเสียงเรียกร้องในสภาฯ และการมอบหมายของรัฐบาลคณะราษฎร ข้อสังเกตประการหนึ่งคือ นายปรีดีย้ำในการประชุมคณะกรรมานุการฯ หลายหนว่าจะมีการเชิญผู้ชำนาญการมาปรับปรุงคำชี้แจงเค้าโครงการเศรษฐกิจหลังจากรับนโยบายแล้ว

หากหลังการประชุมกรรมานุการพิจารณาเค้าโครงการเศรษฐกิจ ได้เพียงไม่นานและยังไม่ทันพิจารณาหรือดำเนินการอย่างใด ทางพระยามโนปกรณ์นิติธาดาก็ออกพระราชกฤษฎีกาปิดสภาฯ ในวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2476 ซึ่งถือเป็นการรัฐประหารครั้งแรกโดยพระราชกฤษฎีกา ส่งผลให้นายปรีดีต้องถูกเนรเทศไปยังประเทศฝรั่งเศส ต่อมาคำชี้แจงเค้าโครงการเศรษฐกิจฉบับนี้กลับได้รับการตีพิมพ์ซ้ำหลายครั้งจากความสนใจของผู้จัดพิมพ์ ผู้อ่าน และจัดพิมพ์เนื่องในวาระสำคัญนับตั้งแต่ทศวรรษ 2490-2550 เป็นต้นมา

 

ภาพประกอบ: สถาบันปรีดี พนมยงค์ หอสมุดแห่งชาติ คลังสารสนเทศบัญญัติ เว็บไซต์ปรีดี-พูนศุข และ The 101 World

หมายเหตุ : คงอักขรวิธีสะกดตามเอกสารชั้นต้น

บรรณานุกรม

เอกสารชั้นต้น :

  • รายงานการประชุมกรรมานุการพิจารณาเค้าโครงการเศรษฐกิจ ครั้งที่ 1, วันอาทิตย์ที่ 12 มีนาคม พุทธศักราช 2475.
  • สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร. รายงานการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ครั้งที่ 20 (สมัยสามัญ). วันศุกร์ที่ 26 สิงหาคม พุทธศักราช 2475 ณ พระที่นั่งอนันตสมาคม. หน้า 169-179.
  • สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร. รายงานการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ครั้งที่ 55 (สมัยสามัญ). วันศุกร์ที่ 10 มีนาคม พุทธศักราช 2475 ณ พระที่นั่งอนันตสมาคม. หน้า 829-834.
  • สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร. รายงานการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ครั้งที่ 57 (สมัยสามัญ). วันศุกร์ที่ 17 มีนาคม พุทธศักราช 2475 ณ พระที่นั่งอนันตสมาคม. หน้า 889-890.
  • หอจดหมายเหตุแห่งชาติ. (2)สร0201.22 กล่อง 1 ปึกที่ 2. เอกสารสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี เรื่อง หนังสือเค้าโครงการเศรษฐกิจของหลวงประดิษฐมนูธรรม (9 มีนาคม 2475-เมษายน 2476)

หนังสือพิมพ์ :

  • ศรีกรุง 10 มีนาคม 2475

หนังสือภาษาอังกฤษ :

  • Yuangrat Wedel and Paul Wedel, Radical thought, Thai mind : a history of revolutionary ideology in a traditional society Revised Edition (USA: Will County, Ill., 2019), pp. 79-99.

หนังสือภาษาไทย :

  • กนกศักดิ์ แก้วเทพ, สำนักเศรษฐศาสตร์การเมือง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2549).
  • กองบรรณาธิการ, วันปรีดี พนมยงค์ 11 พฤษภาคม 2540 (กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2540).
  • เจมส์ ซี. อินแกรม, การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจในประเทศไทย 1850-1970, แปลโดย ชูศรี มณีพฤกษ์ และเฉลิมพจน์ เอี่ยมกมลา (กรุงเทพฯ: มูลนิธิโครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์, 2552).
  • เดือน บุนนาค, ท่านปรีดี รัฐบุรุษอาวุโส ผู้วางแผนเศรษฐกิจไทยคนแรก พิมพ์ครั้งที่ 3 (กรุงเทพฯ: สายธาร, 2552).
  • ฉัตรทิพย์ นาถสุภา, ประสบการณ์และความเห็นบางประการของรัฐบุรุษอาวุโส ปรีดี พนมยงค์ พิมพ์ครั้งที่ 2 (กรุงเทพฯ: คณะกรรมการดำเนินงานฉลอง 100 ปี ชาตกาล นายปรีดี พนมยงค์ รัฐบุรุษอาวุโส, 2542).
  • ทิพวรรณ เจียมธีรสกุล, ปฐมทรรศน์ทางการเมืองของปรีดี พนมยงค์ พิมพ์ครั้งที่ 2 ฉบับสมบูรณ์ (กรุงเทพฯ: มูลนิธิปรีดี พนมยงค์, 2544).
  • ธำรงศักดิ์ เพชรเลิศอนันต์, 2475 และ 1 ปีหลังการปฏิวัติ. (กรุงเทพฯ: มูลนิธิโครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์, 2543).
  • นครินทร์ เมฆไตรรัตน์, ความคิด ความรู้ และอำนาจการเมืองในการปฏิวัติสยาม 2475 (กรุงเทพฯ: สถาบันสยามศึกษา สมาคมสังคมศาสตร์แห่งประเทศไทย, 2533).
  • ปรีดี พนมยงค์, ชีวประวัติย่อของนายปรีดี พนมยงค์ พิมพ์ครั้งที่ 2 (กรุงเทพฯ: มูลนิธิปรีดี พนมยงค์, 2535).
  • ปรีดี พนมยงค์, เค้าโครงการเศรษฐกิจ หลวงประดิษฐ์มนูธรรม (ปรีดี พนมยงค์), (กรุงเทพฯ: สุขภาพใจ, 2552).
  • ผาสุก พงษ์ไพจิตร และคริส เบเคอร์, เศรษฐกิจการเมืองไทยสมัยกรุงเทพฯ พิมพ์ครั้งที่ 2 (กรุงเทพฯ: ซิลค์เวอร์มบุคส์, 2542).
  • ษัษฐรัมย์ ธรรมบุษดี, รัฐสวัสดิการเพื่อความสุขสมบูรณ์ของราษฎร (กรุงเทพฯ: สถาบันปรีดี พนมยงค์, 2564).
  • ไมตรี เด่นอุดม, โลกพระศรีอารย์ของปรีดี พนมยงค์ พิมพ์ครั้งที่ 2 (กรุงเทพฯ: สุขภาพใจ, 2553).
  • สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล, ประวัติศาสตร์ที่เพิ่งสร้าง (กรุงเทพฯ: 6 ตุลารำลึก, 2544).
  • ไสว สุทธิพิทักษ์, ดร. ปรีดี พนมยงค์ พิมพ์ครั้งที่ 2 (กรุงเทพฯ: บพิธการพิมพ์, 2526).

บทความในหนังสือและวารสาร :

  • ชัยอนันต์ สมุทวณิช, “แนะนำและวิจารณ์หนังสือ ท่านปรีดี รัฐบุรุษอาวุโส ผู้วางแผนเศรษฐกิจไทยคนแรก,” พัฒนบริหารศาสตร์, 9:4, (ตุลาคม 2512), น. 752-764.
  • ปรีชา อารยะ, “เค้าโครงการเศรษฐกิจของนายปรีดี พนมยงค์,” สังคมศาสตร์ปริทัศน์, 8:1, (มิถุนายน-สิงหาคม 2513), น. 752-764.
  • ฉัตรทิพย์ นาถสุภา, “การแสวงหาระบบเศรษฐกิจใหม่หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองของไทย,” สังคมศาสตร์, 16:2, (เมษายน-มิถุนายน 2522), น. 1-12.

วิทยานิพนธ์ :

  • ชวลิต วายุภักตร์, “การปฏิรูปเศรษฐกิจในประเทศไทย พ.ศ. 2475-2485,” (วิทยานิพนธ์เศรษฐศาสตร์มหาบัณฑิต บัณฑิตวิทยาลัย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ, 2519).
  • ศรัญญู เทพสงเคราะห์, “กระบวนการกำหนดนโยบายที่ดินในประเทศไทยระหว่าง พ.ศ. 2475-2500,” (ศิลปศาสตรมหาบัณฑิต ภาควิชาประวัติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2553).

สื่ออิเล็กทรอนิกส์ :

 

[1] โปรดดูเพิ่มเติม อิสริยา นิติทัณฑ์ประภาศ บุญญะศิริ. มอง “เค้าโครงการเศรษฐกิจ” ในปัจจุบัน. (7 พฤษภาคม 2563)., อนุสรณ์ ธรรมใจ. (2 กรกฎาคม 2563). [สรุปประเด็นเสวนา] ‘อนุสรณ์ ธรรมใจ’ ชู โมเดล ‘สมุดปกเหลือง’ แก้พิษเศรษฐกิจ ชี้ ‘ปรีดี’ คือ มันสมองชาติ., เขมภัทร ทฤษฎิคุณ. (15 มิถุนายน 2563). มโนทัศน์ทางเศรษฐกิจของปรีดี พนมยงค์., ษัษฐรัมย์ ธรรมบุษดี, รัฐสวัสดิการเพื่อความสุขสมบูรณ์ของราษฎร (กรุงเทพฯ: สถาบันปรีดี พนมยงค์, 2564), สฤณี อาชวานันทกุล. (20 มิถุนายน 2560). เค้าโครงการเศรษฐกิจของปรีดี พนมยงค์ ในสายธารความคิดเศรษฐศาสตร์. , ชัยอนันต์ สมุทวณิช, “แนะนำและวิจารณ์หนังสือ ท่านปรีดี รัฐบุรุษอาวุโส ผู้วางแผนเศรษฐกิจไทยคนแรก,” พัฒนบริหารศาสตร์, 9:4, (ตุลาคม 2512), น. 752-764., ปรีชา อารยะ, “เค้าโครงการเศรษฐกิจของนายปรีดี พนมยงค์,” สังคมศาสตร์ปริทัศน์, 8:1, (มิถุนายน-สิงหาคม 2513), น. 752-764., สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล, ประวัติศาสตร์ที่เพิ่งสร้าง (กรุงเทพฯ: 6 ตุลารำลึก, 2544) และ Yuangrat Wedel and Paul Wedel, Radical thought, Thai mind : a history of revolutionary ideology in a traditional society Revised Edition (USA: Will County, Ill., 2019), pp. 79-99.

 

[2] ปรีดี พนมยงค์, ชีวประวัติย่อของนายปรีดี พนมยงค์ พิมพ์ครั้งที่ 2 (กรุงเทพฯ: มูลนิธิปรีดี พนมยงค์, 2535), น. 4-7. และฐาปนันท์ นิพิฏฐกุล. (11 พฤษภาคม 2560). ปรีดี พนมยงค์ รัตนบุรุษสยาม.

[3] หากสนใจสำนักเศรษฐศาสตร์การเมืองในไทยติดตามได้ที่วารสารเศรษฐศาสตร์การเมือง และ ใน กนกศักดิ์ แก้วเทพ, สำนักเศรษฐศาสตร์การเมือง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2549)

[4] ทิพวรรณ เจียมธีรสกุล, ปฐมทรรศน์ทางการเมืองของปรีดี พนมยงค์ พิมพ์ครั้งที่ 2 ฉบับสมบูรณ์ (กรุงเทพฯ: มูลนิธิปรีดี พนมยงค์, 2544), น. 316-317.

[5] สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร. รายงานการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ครั้งที่ 20 (สมัยสามัญ). วันศุกร์ที่ 26 สิงหาคม พุทธศักราช 2475 ณ พระที่นั่งอนันตสมาคม. น. 169-179.

[6] ปรีดี พนมยงค์, ชีวประวัติย่อของนายปรีดี พนมยงค์ พิมพ์ครั้งที่ 2 (กรุงเทพฯ: มูลนิธิปรีดี พนมยงค์, 2535), น. 19.

[7] ทิพวรรณ เจียมธีรสกุล, ปฐมทรรศน์ทางการเมืองของปรีดี พนมยงค์ พิมพ์ครั้งที่ 2 ฉบับสมบูรณ์ (กรุงเทพฯ: มูลนิธิปรีดี พนมยงค์, 2544), น. 317.

[8] หอจดหมายเหตุแห่งชาติ. (2) สร0201.22 กล่อง 1 ปึกที่ 2. เอกสารสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี เรื่อง หนังสือเค้าโครงการเศรษฐกิจของหลวงประดิษฐมนูธรรม (9 มีนาคม 2475 - เมษายน 2476)

[9] ทิพวรรณ เจียมธีรสกุล, ปฐมทรรศน์ทางการเมืองของปรีดี พนมยงค์ พิมพ์ครั้งที่ 2 ฉบับสมบูรณ์ (กรุงเทพฯ: มูลนิธิปรีดี พนมยงค์, 2544), น. 318.

[10] ศรีกรุง, 10 มีนาคม 2475, น. 1.

[11] พระยามโนปกรณ์นิติธาดา เคยกล่าวถึงนายสงวนว่า เป็นโมคลา สารีบุตรของนายปรีดี และนายปรีดี ตอบกลับว่า “ว่าที่จริงนั้นสงวนกับซิมนั้นเป็นลูกศิษย์ใต้เท้าขอให้ไปเปิดดูทะเบียนที่โรงเรียนกฎหมาย จะเห็นได้ว่าสงวนสอบไล่ได้ในปี 2460 เวลานั้นผมยังไม่ได้สอน และใต้เท้าเป็นครูสอนกฎหมายมฤดก” ใน รายงานการประชุมกรรมานุการพิจารณาเค้าโครงการเศรษฐกิจ ครั้งที่ 1, วันอาทิตย์ที่ 12 มีนาคม พุทธศักราช 2475.

[12] สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร. รายงานการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ครั้งที่ 55 (สมัยสามัญ). วันศุกร์ที่ 10 มีนาคม พุทธศักราช 2475 ณ พระที่นั่งอนันตสมาคม. น. 830-834.

[13] ปรีดี พนมยงค์, เค้าโครงการเศรษฐกิจ หลวงประดิษฐ์มนูธรรม (ปรีดี พนมยงค์), (กรุงเทพฯ: สุขภาพใจ, 2552), น. 21-24.

[14] เรื่องเดียวกัน, น. 145-152.

[15] เรื่องเดียวกัน, น.152-154.

[16] ทิพวรรณ เจียมธีรสกุล, ปฐมทรรศน์ทางการเมืองของปรีดี พนมยงค์ พิมพ์ครั้งที่ 2 ฉบับสมบูรณ์ (กรุงเทพฯ: มูลนิธิปรีดี พนมยงค์, 2544), น. 320.

[17] สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร. รายงานการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ครั้งที่ 57 (สมัยสามัญ). วันศุกร์ที่ 17 มีนาคม พุทธศักราช 2475 ณ พระที่นั่งอนันตสมาคม. น. 889-890.