ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก
เกร็ดประวัติศาสตร์

ธรรมะประจำใจของท่านผู้หญิงพูนศุข พนมยงค์

1
มกราคม
2564

ธรรมะประจำใจ

ท่านผู้หญิงพูนศุขเป็นกุลธิดาที่ได้รับการอบรมมาอย่างดีในครอบครัว “บ้านป้อมเพชร์” ซึ่งมีความใกล้ชิดกับพุทธศาสนาอย่างแน่นแฟ้น บิดามารดาของท่านอบรมสั่งสอนให้ลูก ๆ ปฏิบัติตามหลักศีล 5 เป็นพื้นฐาน  ท่านผู้หญิงพูนศุขเลื่อมใส่ในคำสอนของพระภิกษุร่วมสมัยผู้ทรงภูมิรู้ภูมิธรรมอย่างน้อย 4 ท่าน

สมเด็จพระพุฒาจารย์ (อาส อาสภมหาเถระ) แต่เมื่อเป็นพระพิมลธรรม กับพระปาล และโยมมารดา

รูปแรก คือ สมเด็จพระพุฒาจารย์ (อาจ อาสภมหาเถระ) หรือที่คนทั่วไปรู้จักท่านในชื่อพระพิมลธรรม ผู้เป็นมหาปราชญ์ฝ่ายพุทธและพระวิปัสสนาจารย์ผู้มีชื่อเสียงแห่งยุคกึ่งพุทธกาล พระมหาเถราจารย์ท่านนี้ได้ ร่วมมือกับนายปรีดี พนมยงค์ ในการปฏิรูปการพระศาสนาให้ก้าวหน้าตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. 2484 ซึ่งอนุวัติการปกครองระบอบประชาธิปไตยมาใช้ในการปกครองคณะสงฆ์ซึ่งสอดคล้องกับหลักสามัคคีธรรมในพุทธศาสนา ในการนี้พระพิมลธรรม (อาจ) ได้ดำรงตำแหน่งเป็นสังฆมนตรีรูปแรกในพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ ฉบับคณะราษฎรดังกล่าว

ตอนที่ผู้สำเร็จราชการฯ ปรีดี พนมยงค์ ดำริจะตั้งสวนโมกข์อีกแห่งหนึ่งที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ก็ได้เสนอให้พระพิมลธรรมเป็นผู้รับผิดชอบจัดการในเรื่องนี้

สมเด็จพระพุฒาจารย์ท่านนี้ผูกพันสนิทสนมกับครอบครัวปรีดี-พูนศุข พนมยงค์ เป็นอย่างมาก เมื่อนายปาล พนมยงค์ บุตรชายคนโตของปรีดี-พูนศุข ถูกคุมขังจำด้วยข้อหากบฏสันติภาพนั้น สมเด็จพุฒาจารย์ขณะดำรงสมณศักดิ์พระพิมลธรรมได้กรุณาสอนวิปัสสนากรรมฐานแก่นายปาลภายในคุก และเมื่อนายปาลได้รับอิสรภาพในพ.ศ. 2500 ท่านก็ได้เป็นอุปัชฌาย์ในการอุปสมบทแก่พระภิกษุปาลด้วย

สมเด็จพระพุฒาจารย์เป็นพระมหาเถราจารย์ผู้มีความคิดเป็นประชาธิปไตย เป็นที่เคารพนับถืออย่างสูงในหมู่นักคิดทางสังคมนิยมประชาธิปไตยหัวก้าวหน้า ท่านเองสนิทสนมกับรัฐบุรุษอาวุโสปรีดี พนมยงค์ เป็นพิเศษ เห็นได้จากลิขิตที่ท่านมีถึงท่านรัฐบุรุษอาวุโส เมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2501 ความว่า

วัดมหาธาตุ
กรุงเทพฯ

27 สิงหาคม 2501

ขอเจริญพรแด่ ท่านปรีดี พนมยงค์ ที่นับถืออย่างยิ่ง

เนื่องแต่นายกุหลาบ สายประดิษฐ์พร้อมด้วยคณะจะได้เดินทางมาทัศนาจรที่เมืองจีนได้ไปลาอาตมภาพที่วัดให้รู้สึกคิดถึงท่านและท่านผู้หญิงจึงถือโอกาสเขียนหนังสือนี้มาพร้อมกับนายกุหลาบ

วันที่อาตมภาพออกเดินทางจากประเทศไทยไปอเมริกา ได้เห็นท่านผู้หญิงไปส่งถึงท่าอากาศยานดอนเมือง อันเป็นภาพที่กระตุ้นเตือนให้นึกถึงภาระหน้าที่เป็นอันมาก ครั้นกลับมาถึงประเทศไทย ได้ทราบว่า ท่านผู้หญิงไม่อยู่ มาอยู่เสียเมืองจีนกับท่าน ซึ่งก็นับว่าเป็นการถูกต้อง และสมควรจักได้เป็นเพื่อนร่วมสุขร่วมทุกข์ตามวิสัย ได้ทราบว่า คุณปาลกลับเมืองไทยแล้ว แต่ยังมิได้พบกัน จึงไม่ทราบรายละเอียดเกี่ยวกับท่านและท่านผู้หญิง

อาตมภาพนึกถึงพระคุณอยู่เสมอ ใคร่ที่จะได้พบได้สนทนา แต่ก็ยังไม่มีโอกาส ประกอบด้วยเวลานี้อายุสังขารก็เจริญมากขึ้นตาม ๆ กัน ยังไม่มีทางอื่นใดที่จะสนองพระคุณ จึงขอฝากหนังสือธรรมมาเป็นส่วนธรรมบรรณาการ เพื่อที่จะได้อ่านใคร่ครวญพิจารณาในยามว่าง ถ้าสบอารมณ์ก็จักเป็นกัลยาณมิตรที่ดีที่สุด ยิ่งในยามวิปโยคเช่นนี้ ก็อาจจะเป็นคุณแก่ชีวิตจิตใจอย่างมาก หนังสือทำนองนี้อุบัติขึ้นจากการลงมือปฏิบัติธรรม หรือจะเรียกว่าเกิดจากภาคปฏิบัติ มิใช่เกิดจากภาคทฤษฎี จึงมีส่วนใกล้กับข้อเท็จจริงเป็นอันมาก ผู้ที่เจริญด้วยภูมิปัญญาเหมือนอย่างท่าน อาจเหมาะสมในเมื่อได้ใคร่ครวญพิจารณาโดยถูกส่วนแล้ว

แต่อย่างไรก็ดี ถ้ามีโอกาส ก็อาจที่จะซักถามนายกุหลาบได้อย่างสมประสงค์ เพราะเขามีความเข้าใจ โดยที่ได้ผ่านการปฏิบัติมาด้วยตนแล้ว หนังสือที่ฝากมอบมาพร้อมนี้ คือ

  1. วิปัสสนากถา
  2. ทางไปนิพพาน
  3. มรรค ผล นิพพาน
  4. อุดมธรรม
  5. คุณค่าทางสุขภาพของวิปัสสนากรรมฐาน

อาตมภาพกลับจากต่างประเทศถึงเมืองไทยแต่เมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม โดยสวัสดี มีคนไทยและคนต่างประเทศสนใจตามสมควร การไปต่างประเทศของอาตมภาพนั้น นับว่าเป็นผลสมความประสงค์ ประการหนึ่ง ซึ่งได้คอยเฝ้าหาโอกาสอยู่ตลอดมา และเชื่อว่าถ้าท่านยังมีตำแหน่งอยู่ที่เมืองไทยอย่างแต่ก่อน อาตมภาพคงได้ไปต่างประเทศนานแล้ว เพราะจำได้ว่า ครั้งหนึ่งที่อยุธยา ท่านได้พูดไว้ว่า อาตมภาพมีคุณสมบัติ “ควรไปดูกิจการในต่างประเทศ”

การไปต่างประเทศคราวที่แล้ว โดยตั้งความประสงค์ไว้ 4 ประการ คือ

ประการที่ 1 เพื่อเสนอความปรารถนาของขบวนการ เอม.อาร์.เอ. ซึ่งมีท่าน ดร.แฟรงค์ บุดแมน เป็นมูลฐาน เพราะเขาได้เพียรอาราธนามาหลายครั้งแล้ว

ประการที่ 2 เพื่ออาศัยขบวนการ เอม.อาร์.เอ. เป็นทางดำเนินการเผยแผ่พุทธธรรมแก่ชาวอเมริกาและยุโรปตามที่จะเป็นได้

ประการที่ 3 เพื่อพิจารณาหาลู่ทางที่จะส่งนักศึกษาภิกษุไทยไปศึกษาต่อในต่างประเทศนั้น ๆ เพื่อให้เกิดความรู้ความชำนาญในถิ่นฐานนั้น ๆ เพื่อใช้การได้ตามความมุ่งหมายในอนาคต

ประการที่ 4 เพื่อปลูกสร้างมิตรกับระหว่างหัวหน้าศาสนาต่าง ๆ ในโลก โดยมีความมุ่งหมายที่จะให้นักสอนศาสนาทุกศาสนา ร่วมมือกัน เป็นมิตรกัน ช่วยกัน เผยแผ่ศาสนธรรมของแต่ละศาสนา ไปสู่พื้นน้ำใจประชาชนทั่วโลก

การไปครั้งนี้ นับว่าได้ผลสมความมุ่งหมาย ทั้ง 4 ประการ ซึ่งจะได้พิจารณาดำเนินการเป็นขั้น ๆ ในโอกาสต่อไป แม้เพื่อประโยชน์ดังกล่าวแล้ว ทางเมืองจีนนี้อาตมภาพก็ได้ดำริไว้ว่าจักพยายามให้ได้มาดูลู่ทางสักครั้งหนึ่งเป็นอย่างน้อย สุดแท้แต่จะได้โอกาสเมื่อไร

หวังว่า ท่านผู้หญิงก็คงเป็นสุขสบายดี อาตมภาพขอส่งความระลึกมาพร้อมหนังสือนี้ และขอตั้งกุศลจิตอธิษฐาน ขออานุภาพคุณพระศรีรัตนตรัย และบุญกุศลที่อาตมภาพได้บำเพ็ญไว้ จงตามอภิบาลรักษาท่านและท่านผู้หญิงให้ปราศจากภัยพิบัติอุปสรรคอันตราย จงเจริญยิ่งด้วยจตุรพิธพร และมีใจยินดีอยู่ในพระธรรมของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตลอดกาลทุกเมื่อเทอญ

 

มีความยินดีและขออนุโมทนาเป็นพิเศษโดยยิ่ง

พระพิมลธรรม

ภารกิจสุดท้ายที่สมเด็จพระพุฒาจารย์ได้บำเพ็ญแก่ครอบครัวปรีดี-พูนศุข พนมยงค์ ก่อนที่ท่านจะถึงกาลมรณภาพ คือ การนั่งรถเข็นไปเป็นประธานพิธีเปิดอนุสรณ์สถานปรีดี พนมยงค์ ณ บ้านเกิด ที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2529

 

รูปที่สอง คือ ท่านพุทธทาสภิกขุ ผู้ที่นายปรีดี พนมยงค์ให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก ถึงกับเคยนิมนต์ท่านมาสนทนาธรรมด้วยที่บ้านของผู้สำเร็จราชการทำเนียบท่าช้างหลายครั้งในปี พ.ศ. 2485 ทั้งที่เวลานั้นเป็นช่วงที่สงครามกำลังร้อนระอุ แต่หัวหน้าเสรีไทยผู้มีภารกิจกอบกู้บ้านเมืองเต็มมือ ก็ยังให้ความใส่ใจในการปฏิรูปการพระศาสนา ถึงกับขอให้ท่านพุทธทาสช่วยเปิดสวนโมกข์อีกแห่งที่อยุธยา แต่ไม่สำเร็จ เพราะนายปรีดีประสบมรสุมการเมือง หลังสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2

ส่วนตัวของท่านผู้หญิงเองเคยตามผู้สำเร็จราชการปรีดี พนมยงค์ ไปฟังธรรมของท่านพุทธทาสเป็นครั้งแรกในคราวที่ท่านมาเทศนาอบรมผู้พิพากษาที่มหามกุฏราชวิทยลัยในกรุงเทพฯ เมื่อ พ.ศ. 2486

เมื่อครอบครัวปรีดี-พูนศุข พนมยงค์ ย้ายจากจีนไปพำนักที่ฝรั่งเศส ท่านพุทธทาสก็ยังเคยส่งหนังสือธรรมะไปให้ ต่อมาเมื่อสิ้นนายปรีดีแล้วท่านผู้หญิงได้เดินทางกลับคืนสู่เมืองไทย จึงได้มีโอกาสไปกราบนมัสการพระผู้เป็นกัลยาณมิตรเก่าที่วัดธารน้ำไหล สวนโมกขพลาราม อำเภอไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี โดยเฉพาะเมื่อวันที่ 2 มกราคม พ.ศ. 2536 ท่านพุทธทาสได้แสดงสัมโมทนียกถาเรื่อง “นิพพาน คือความไม่มีอารมณ์” เนื่องในวาระอายุ 81 ปี ของท่านผู้หญิงพูนศุข พนมยงค์

 

(ซ้ายสุด) ท่านปัญญานันทภิกขุในงานฌาปนกิจท่านปรีดี พนมยงค์

รูปที่สาม คือ พระพรหมมังคลาจารย์ (ท่านปัญญานันทภิกขุ) ผู้เป็นกัลยาณมิตรทางธรรมของครอบครัวปรีดี-พูนศุข พนมยงค์ มาช้านานกว่า 60 ปี ทันทีที่ทราบว่าจะมีพิธีฌาปนกิจสรีระท่านรัฐบุรุษอาวุโส ปรีดี พนมยงค์ ณ สุสานแปร์ลาแชส กรุงปารีส เมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2526 ท่านปัญญานันทภิกขุ ขณะที่ยังปฏิบัติสังฆกิจอยู่ในอังกฤษก็รีบขอวีซ่าข้ามไปฝรั่งเศส เพื่อประกอบพันธกิจแห่งกัลยาณมิตรแท้ นั่นคือเป็นประธานในพิธีฌาปนกิจบุคคลสำคัญแห่งประวัติศาสตร์ดังกล่าว

ก่อนละสังขาร 6 วัน ท่านผู้หญิงพูนศุขได้ไปนมัสการท่านปัญญานันทภิกขุที่วัดชลประทานฯ พร้อมร่วมทำบุญสร้างพระอุโบสถกลางน้ำของพระอารามในมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย อำเภอวังน้อย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา และหนังสือธรรมะเล่มสุดท้ายที่ท่านอ่านคือ รักลูกให้ถูกทาง ลิขิตโดยท่านปัญญานันทภิกขุ ทั้งยังได้แนะนำให้พ่อ-แม่หลายคนอ่านหนังสือธรรมะเล่มนี้

 

ท่านผู้หญิงพูนศุข พนมยงค์ กราบนมัสการสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ป.อ. ปยุตฺโต) ณ วัดพระพิเรนทร์ เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2537

รูปที่สี่ คือ สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ป. อ. ปยุตฺโต) ท่านผู้หญิงพูนศุขเลื่อมใสในปฏิปทาและภูมิธรรมของพระเถราจารย์ท่านนี้มาก มูลนิธิปรีดี พนมยงค์ ได้อาราธนาท่านเมื่อครั้งดำรงสมณศักดิ์ที่พระราชวรมุนีมาเป็นองค์ปฐมปาฐกของปาฐกถาปรีดี พนมยงค์ เรื่อง “ลุอิสรภาพด้วยอนิจจัง” เนื่องในโอกาสอัญเชิญอัฐิ ฯพณฯ รัฐบุรุษอาวุโสปรีดี พนมยงค์ กลับคืนสู่ประเทศไทย วันที่ 10 พฤษภาคม 2529 ณ หอศิลปวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

เมื่อครั้งอายุ 80 ปี ท่านได้ขออนุญาตจัดพิมพ์ ธรรมนูญชีวิต ของท่าน ป. อ. ปยุตฺโต เผยแพร่

เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2538 มูลนิธิปรีดี พนมยงค์ ได้อาราธนาท่านเมื่อครั้งดำรงสมณศักดิ์ที่พระธรรมปิฎก มาทำพิธีเปิดสถาบันปรีดี พนมยงค์ ซอยทองหล่อ

และในพิธีเชิดชูเกียรติ 100 ปี รัฐบุรุษอาวุโส ปรีดี พนมยงค์ บุคคลสำคัญของโลก ซึ่งจัดขึ้น ณ รัฐสภา เมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม 2543 ท่านผู้หญิงก็ได้เลือกท่าน ป. อ. ปยุตฺโต เป็นผู้แสดงปาฐกถาธรรมในวาระสำคัญดังกล่าว โดยแสดงผ่านภาพวิดีทัศน์

ครั้นในวันที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2550 อันเป็นวันพิธีไว้อาลัยของท่านผู้หญิงพูนศุข พนมยงค์ ท่านได้แสดง “ธรรมาลัย” (ผ่านภาพวิดีทัศน์) ณ สถาบันปรีดี พนมยงค์ ตามเจตน์จำนงของท่านผู้วายชนม์ ซึ่งเคยปรารภไว้ก่อนหน้านี้

นอกจากพระเถราจารย์ทั้ง 4 รูป ข้างต้นแล้ว ท่านผู้หญิงพูนศุข ยังสนใจสดับธรรมจากพระสุปฏิปันโนท่านอื่น เช่น ในช่วงที่ยังแข็งแรงอยู่ท่านได้เดินทางไปนมัสการและสนทนาธรรมกับหลวงปูฝั้น อาจาโร มหาเถระที่วัดป่าอุดมสมพร จังหวัดสกลนคร เมื่อปี พ.ศ. 2519

ท่านผู้หญิงพูนศุข ตามปกติตื่นนอนตอนตีสอง (สองนาฬิกา) เพื่อเปิดวิทยุฟังพระบรรยายธรรม ฟังข่าว วันอาทิตย์ดูรายการโทรทัศน์ที่มีการบรรยายธรรมโดยนักเทศน์ศาสนาคริสต์บ้าง ศาสนาอิสลามบ้าง (ที่ท่านสนใจศาสนาอิสลาม เพราะบรรพบุรุษสายหนึ่งของท่านสืบเชื้อสายมาจากสุลต่านสุไลมาน)

ด้วยการที่ท่านผู้หญิงพูนศุขเป็นศาสนิกผู้ประพฤติปฏิบัติธรรมนี่เอง ธรรมะจึงคุ้มครองท่านให้ล่วงพ้นมรสุมชีวิตทางการเมืองมาได้ จนปรากฏเกียรติคุณเป็นที่ยอมรับแก่ชนทั่วไป สมกับพุทธภาษิตที่ท่านและรัฐบุรุษอาวุโสปรีดี พนมยงค์ ยึดถือเสมอมาว่า “ธรรมย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรม” และ “ผลของการที่ก่อสร้างไว้ดีแล้วย่อมไม่สูญหาย”

ผลของการที่ก่อสร้างไว้ดีแล้วย่อมไม่สูญหาย

ท่านผู้หญิงพูนศุขได้รับบำเหน็จแห่งความดีที่ท่านก่อสร้างไว้ กล่าวคือ ภายในประเทศ ท่านได้รับการยกย่องเชิดชูเกียรติและเข็มเกียรติยศจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ประจำปี 2541 “ในฐานะภริยาผู้เป็นคู่ชีวิตร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมาของท่านผู้ประศาสน์การ ได้กระทำไปโดยท่านผู้หญิงพูนศุข พนมยงค์ ได้มีจิตสำนึกในเรื่องประชาธิปไตย และการรับใช้ชาติอย่างแท้จริงและมั่นคง”

นอกจากนี้ เมื่อวันที่ 3 มิถุนายน 2543 ท่านยังได้เป็นศิษย์เซนต์โยเซฟตัวอย่าง สาขาการเมืองด้วยคุณสมบัติเป็นผู้ดำเนินชีวิตอย่างคุณภาพและศีลธรรม เป็นพลเมืองที่ดีของประเทศชาติ และเป็นผู้มีความรับผิดชอบต่อสังคมส่วนรวม ฯลฯ

ส่วนในระหว่างประเทศนั้น เมื่อวันที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2538 ฯพณฯ เล ดึก อันห์ ประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม ได้มอบเหรียญมิตรภาพแด่ท่านผู้หญิงพูนศุข พนมยงค์ “ที่ได้สร้างคุณูปการมากมายต่อภารกิจกอบกู้เอกราชของประเทศเวียดนาม”

ต่อมาในวันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2541 ฯพณฯ คำไต สีพันดอน ประธานประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ได้มอบเหรียญชัยมิตรภาพแด่ท่านผู้หญิงพูนศุข พนมยงค์ “ในฐานะภริยาท่านปรีดี พนมยงค์ เพื่อจารึกผลงาน คุณงามความดีของท่านปรีดี พนมยงค์ ที่ให้ความช่วยหลือการปฏิวัติลาวในระยะหนึ่งที่ขบวนการต่อสู้ของประชาชนลาวอยู่ในสภาพคับขัน”

นอกจากนี้ เมื่อวันที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2548 ในโอกาสวันสตรีสากล องค์การสหประชาชาติ ณ กรุงเทพมหานคร ได้มอบรางวัลสตรีดีเด่นในพระพุทธศาสนาแห่งโลก ประจำปี 2548 แด่ท่านผู้หญิงพูนศุข พนมยงค์

 

ที่มา: ปรับแก้เล็กน้อยจาก สันติสุข โสภณสิริ, “สตรีในประวัติศาสตร์การอภิวัฒน์ไทย พูนศุข พนมยงค์” ใน หวนอาลัย (กรุงเทพฯ: ลลิตา สุดา ศุขปรีดา ดุษฎี วาณี, 2551), น. 34-42.