ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก
บทบาท-ผลงาน

หลวงประดิษฐ์มนูธรรม กับ การสอบสวนกรณีแอบอ้างนามนายกรัฐมนตรีที่เชียงใหม่

20
กุมภาพันธ์
2565

ปลายธันวาคม พ.ศ. 2476 ปรากฏข่าวคราวแพร่จากหัวเมืองเหนือมายังกรุงเทพมหานครเรื่องที่ นายสิงห์แก้ว ณ เชียงใหม่ แถลงการณ์ว่ามีผู้แอบอ้างนามนายกรัฐมนตรีคือ พระยาพหลพลพยุหเสนา (พจน์ พหลโยธิน) เพื่อไปหลอกลวง เจ้าราชวงศ์ (น้อยลาวแก้ว ณ เชียงใหม่) ให้เกิดความเข้าใจผิด ซึ่งพอทางกระทรวงมหาดไทยได้รับทราบถึงเรื่องดังกล่าว  หลวงประดิษฐ์มนูธรรม หรือ นายปรีดี พนมยงค์ ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพินิจพิจารณาดูแล้ว จึงสั่งสอบสวนไปยังคณะกรมการจังหวัดเชียงใหม่  โดยมี พระยาอนุบาลพายัพกิจ (ปุ่น อาสนจินดา) ข้าหลวงประจำจังหวัดเชียงใหม่ขณะนั้น ดำเนินการสอบสวนเพื่อหาข้อเท็จจริง

 

พระยาอนุบาลพายัพกิจ (ปุ่น อาสนจินดา)
พระยาอนุบาลพายัพกิจ (ปุ่น อาสนจินดา)

 

พระยาอนุบาลพายัพกิจ (ปุ่น อาสนจินดา) รั้งตำแหน่งข้าหลวงประจำจังหวัดเชียงใหม่ในขณะนั้น (ปัจจุบันเทียบเท่าตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด) และอดีตปลัดมณฑลพายัพยุคก่อนเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475  ได้ดำเนินการสอบสวนข้อเท็จจริง โดยส่งหนังสือลับ ที่ ๑๐๖/๑๐๐๘๗ มายังกระทรวงมหาดไทย เมื่อปลายเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2476 (หากนับเทียบศักราชแบบปัจจุบันจะตรงกับปลายเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2477)  ความว่า

 

ศาลากลางจังหวัดเชียงใหม่
แผนกมหาดไทย                                   

วันที่  ๒๖ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๔๗๖

ข้าหลวงประจำจังหวัดเชียงใหม่ กราบเรียน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย

 

ตามหนังสือลับที่ ๔๖/๑๔๙๐๙ ลงวันที่ ๖ กุมภาพันธ์ ศกนี้ ให้ข้าพเจ้าจัดการสอบสวนความเท็จจริงเรื่องนายสิงห์แก้ว ณ เชียงใหม่แถลงการณ์ว่า มีผู้แอบอ้างนามนายกรัฐมนตรีไปหลอกลวงให้เจ้าราชวงศ์เข้าใจผิดว่าเป็นคนสนิทชิดเชื้อของนายกรัฐมนตรี ความหลายประการแจ้งในเรื่องราวนายสิงห์แก้ว ณ เชียงใหม่ซึ่งได้ส่งไปยังข้าพเจ้านั้น

ขอกราบเรียนว่า

  1.  นายสิงห์แก้ว ณ เชียงใหม่ซึ่งปรากฏชื่อในเรื่องราวนั้นมีตัวอยู่จริง แต่เวลานี้ต้องโทษแลไม่ได้เป็นผู้เขียนหนังสือไปยังนายกรัฐมนตรี
  2.  เรื่องเจ้าราชวงศ์ร้องขอส่วนแบ่งกำไรในการทำป่าไม้นี้ ก่อนที่เจ้าราชวงศ์จะได้จัดการในเรื่องนี้ ชั้นแรกเจ้าราชวงศ์[1]ได้พูดกับหลวงศรีประกาศ[2] ขอให้ช่วยทำคำร้องให้ หลวงศรีประกาศก็ได้จัดการทำคำร้องให้ไปยื่นทางกระทรวงเศรษฐการ แต่ไม่ได้ผล การร้องเรียนเวลานั้นไม่ได้ตกลงให้สินจ้างแก่หลวงศรีประกาศอย่างไร หลวงศรีประกาศทำให้โดยมิได้คิดเอาประโยชน์ตอบแทน

ต่อมาภรรยาหลวงศรีประกาศได้มาพูดจากับเจ้าราชวงศ์จะขอจัดการร้องเรียนในเรื่องนี้ให้ต่อไป ถ้าได้เงินจากรัฐบาลจะขอแบ่งตามส่วน ๑๐๐ ละ ๕๐ เจ้าราชวงศ์ไม่ยอมตกลง เป็นอันขาดตอนกันไปตอนหนึ่ง

เมื่อขาดตอนจากหลวงศรีประกาศแล้ว มีนางหมด ภรรยาหม่องบัว ชาติพะม่า บังคับอังกฤษ กับขุนศรีบุรีภิรมย์[3] กรมการพิเศษจังหวัดเชียงใหม่เข้าทำการติดต่อกับเจ้าราชวงศ์และค้นคว้าหาเรื่องราวแล้ว  เจ้าราชวงศ์จึงทำคำร้องยื่นไปทางนายกรัฐมนตรีอีก  ตอนนี้เจ้าราชวงศ์ตกลงให้สัญญากับนางหมดและขุนศรีบุรีภิรมย์ว่า ถ้าเป็นผลสำเร็จรัฐบาลจ่ายเงินให้จะแบ่งให้แก่นางหมดและขุนศรีบุรีภิรมย์ ๑๐๐ ละ ๓๐  

ต่อมาเมื่อก่อนเกิดการกบฏ ได้มีชายผู้หนึ่งไม่ปรากฏชื่อ ได้ไปพูดติดต่อกับเจ้าราชวงศ์ว่าเขาเป็นคนชอบพอกับนายกรัฐมนตรี  จะพูดอะไรพูดได้ รับจะช่วยเหลือ ถ้าเจ้าราชวงศ์ให้เปอร์เซ็นต์เท่ากับนางหมด และขุนศรีบุรีภิรมย์แล้วจึ่งจะช่วย แต่เจ้าราชวงศ์ยังไม่ตกลงด้วย ภายหลังกลับบอกเลิกไม่รับช่วยเหลือ เรื่องก็เลยระงับมาจนบัดนี้

อนึ่ง ชายที่ไม่ปรากฏชื่อนี้  ได้พยายามสืบสวนแล้ว ไม่ได้ความว่าเป็นผู้ใด มีสำนักหลักแหล่งอยู่ที่ไหน ส่วนผู้ที่ได้กล่าวนามมาแล้วในข้อ ๒ ถึง ๔  ไม่ปรากฏว่าได้แสดงตนเป็นคนสนิทชิดเชื้อกับนายกรัฐมนตรีแต่อย่างใดเลย ได้ส่งเรื่องราวของนายสิงห์แก้ว ณ เชียงใหม่มาพร้อมกับใบบอกด้วยแล้ว

ควรมิควรแล้วแต่จะโปรด
(ลงนาม) พระยาอนุบาลพายัพกิจ
ประทับตราประจำตำแหน่งมาเป็นสำคัญ

 

ด้าน นายสิงห์แก้ว ณ เชียงใหม่ จากเอกสารลับที่ได้มีการบันทึกว่าเป็นผู้แถลงการณ์เรื่องมีคนไปแอบอ้างนามนายกรัฐมนตรี แต่เมื่อ พระยาอนุบาลพายัพกิจ และคณะกรมการจังหวัดเชียงใหม่ได้ตามแกะรอยสืบหาข้อเท็จจริง ก็ค้นพบว่า นายสิงห์แก้ว กำลังต้องโทษอยู่ในคุก ย่อมไม่ได้เป็นผู้แถลงการณ์แน่ๆ น่าจะมีใครอื่นสักคนที่ไปเผยแพร่แถลงการณ์เอง แต่สวมรอยและอ้างตนเป็น นายสิงห์แก้ว

ส่วนเรื่องคนที่ไปแอบอ้างกับ เจ้าราชวงศ์ ว่าสนิทชอบพอกับนายกรัฐมนตรี เพื่อขอแบ่งปันผลกำไรในกิจการทำป่าไม้ ก็พอมีเค้ามูลว่าเป็นเรื่องจริง และ สืบได้ว่าเป็นชายคนหนึ่ง แต่ยังไม่ปรากฏชื่อและแหล่งพำนัก

ภายหลังรับทราบผลสอบสวนจากคณะกรมการจังหวัดเชียงใหม่ หลวงประดิษฐ์มนูธรรม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ก็ส่งหนังสือลับไปยังกรมเลขาธิการคณะรัฐมนตรี เมื่อต้นเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2477 เพื่อรายงานท่านนายกรัฐมนตรี

 

ลับที่ ล. ๓๑๑/๖๐๕๖
ศาลาว่าการกระทรวงมหาดไทยเลขานุการรัฐมนตรีฯ

วันที่ ๕ กรกฎาคม  พุทธศักราช    ๒๔๗๗

เรื่อง นายสิงห์แก้ว ณ เชียงใหม่แถลงการณ์ว่ามีผู้แอบอ้างนามนายกรัฐมนตรี

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เรียน นายกรัฐมนตรี

ตามหนังสือที่ ข. ๖๙๓๔/๒๔๗๖ ลงวันที่ ๓๐ ธันวาคม ศกก่อน นำส่งเรื่องราวของนายสิงห์แก้ว ณ เชียงใหม่แถลงการณ์ว่ามีผู้แอบอ้างนามนายกรัฐมนตรีไปหลอกลวงเจ้าราชวงศ์ให้เข้าใจผิดไป ให้กระทรวงมหาดไทยพิจารณาดำเนินการต่อไปนั้น

กระทรวงมหาดไทยได้สั่งสอบสวนไปยังคณะกรมการจังหวัดเชียงใหม่แล้ว ได้รับตอบชี้แจงว่าได้พยายามสืบสวนชายผู้แอบอ้างนามนายกรัฐมนตรีดังกล่าวแล้ว ไม่ปรากฏว่ามีสำนักหลักแหล่งอยู่แห่งใด ดังมีความแจ้งอยู่ในสำเนาหนังสือของคณะกรมการจังหวัดเชียงใหม่ซึ่งได้ส่งมาพร้อมด้วยหนังสือ

ควรมิควรแล้วแต่จะกรุณา
หลวงประดิษฐ์มนูธรรม

 

ลายเซ็นหลวงประดิษฐ์มนูธรรม สมัยดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย
ลายเซ็นหลวงประดิษฐ์มนูธรรม
สมัยดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย

 

ต่อมาทางกรมเลขาธิการคณะรัฐมนตรีได้มีหนังสือที่ ม.๓๑๑๔/๒๔๗๗  ตอบกลับมายังกระทรวงมหาดไทยว่านายกรัฐมนตรีรับทราบผลการสอบสวนเรียบร้อยแล้ว ซึ่งลงนามเลขาธิการคณะรัฐมนตรีขณะนั้นคือ หลวงธำรงนาวาสวัสดิ์ (ถวัลย์ ธารีสวัสดิ์)        

 

กรมเลขาธิการคณะรัฐมนตรี

วันที่ ๗ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๔๗๗

ตอบรับเรื่องนายสิงห์แก้ว ณ เชียงใหม่ แถลงการณ์ว่ามีผู้แอบอ้างนามนายกรัฐมนตรี

เลขาธิการคณะรัฐมนตรี เรียน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย

หนังสือเรียนนายกรัฐมนตรีที่ ล.๓๑๑/๖๐๕๖ ลงวันที่ ๕ เดือนนี้ รายงานการสอบสวนเรื่องราวของนายสิงห์แก้ว ณ เชียงใหม่ แถลงการณ์ว่า มีผู้แอบอ้างนามนายกรัฐมนตรีไปหลอกลวงเจ้าราชวงศ์ให้เข้าใจผิดนั้น ว่าได้พยายามสืบสวนชายผู้ที่แอบอ้างนามนายกรัฐมนตรีแล้ว  ไม่ปรากฏว่ามีสำนักหลักแหล่งอยู่แห่งใด พร้อมทั้งได้ส่งสำเนารายงานการสอบสวนมาด้วยนั้น ได้นำเสนอนายกรัฐมนตรีทราบแล้ว

ควรมิควรแล้วแต่จะโปรด
หลวงธำรงนาวาสวัสดิ์

 

ข่าวคราวเรื่องปรากฏคนชื่อ นายสิงห์แก้ว ณ เชียงใหม่  ออกแถลงการณ์ว่ามีผู้แอบอ้างนามนายกรัฐมนตรีแล้วไปหลอกลวง เจ้าราชวงศ์ โดยในท้ายสุดเป็นการที่บุคคลอื่นแอบอ้างชื่อนายสิงห์แก้วอีกที เพราะ นายสิงห์แก้ว ตัวจริงต้องโทษอยู่ในคุก

ปัญหาอันเกิดขึ้นในจังหวัดหัวเมืองฝ่ายเหนือซึ่งเกี่ยวโยงกับบุคคลในตระกูลเจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่นั้น นับเป็นสิ่งที่รัฐบาลคณะราษฎรให้ความเอาใจใส่ แม้สถานะและอำนาจของกลุ่มเจ้าผู้ครองนครฝ่ายเหนือกำลังลดน้อยถอยลงภายหลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475  ทางรัฐบาลที่กรุงเทพมหานครเองก็พยายามสานสัมพันธไมตรีให้แนบแน่น มิปรารถนาให้เกิดความเข้าใจผิดจนกลายเป็นข้อขัดแย้งใหญ่โต

บทบาทของกระทรวงมหาดไทยในยุค หลวงประดิษฐ์มนูธรรม หรือ นายปรีดี พนมยงค์ รั้งตำแหน่งรัฐมนตรี จึงแสดงออกท่าทีถึงความจริงจัง ในการบำบัดทุกข์ บำรุงสุขในกับราษฎรไทย และมุ่งสอบสวนเหตุการณ์ที่เป็นข่าวเพื่อป้องกันมิให้เกิดความขุ่นเคือง กระทั่งท้ายที่สุดสามารถสืบพบเค้ามูลพร้อมไขคดีได้กระจ่างชัดเจน

 

เอกสารอ้างอิง

  • หจช.สร. 0201.5/13 ผู้ร้ายแอบอ้างนามนายกรัฐมนตรีเพื่อทำการทุจจริต (พ.ศ. 2477)
  • ปิยเดช อัครโพธิวงศ์. ประวัติศาสตร์เชิงสถาปัตยกรรมคุ้มเจ้าบุรีรัตน์ (มหาอินทร์). เชียงใหม่ : ภทระ พรีเพรส, 2562
  • “พระราชทานบรรดาศักดิ์.” ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 40 (30 มีนาคม 2466). หน้า 4619-4620
  • “พระราชทานยศ.” ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 41 (30 พฤศจิกายน 2467). หน้า 2719-2741

 

[1] เจ้าราชวงศ์ เป็นราชบุตรองค์เดียวของ เจ้าอินทวโรรสสุริยวงษ์ อดีตเจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่ องค์ที่ 8  ที่จริง ตามกฎเกณฑ์การสืบทอดตำแหน่งเจ้าผู้ครองนคร ครั้น เจ้าอินทวโรรสฯ ถึงแก่พิราลัยลงเมื่อต้นทศวรรษ 2450 อันตรงกับสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 เจ้าน้อยลาวแก้ว ในฐานะทายาทจะต้องได้ขึ้นเป็นเจ้าผู้ครองนครองค์ต่อไป แต่เนื่องจากอายุยังเยาว์วัย พระราชชายาเจ้าดารารัศมี จึงเลือก เจ้าอุปราชแก้ว ให้รับหน้าที่เจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่แทนในนาม “เจ้าแก้วนวรัฐ”  และต่อมาปลายทศวรรษ 2460 ได้แต่งตั้ง เจ้าน้อยลาวแก้ว ให้ครองบรรดาศักดิ์ “เจ้าราชวงศ์”

[2] หลวงศรีประกาศ (ฉันท์ วิชยาภัย) คือ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรคนแรกสุดของเชียงใหม่

[3] ขุนศรีบุรีภิรมย์ (พุก โค้สีเส็ง) เคยเป็นขุนนางเดิมมาแต่ยุคสมบูรณาญาสิทธิราชย์ พอหลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง ก็ได้ดำรงตำแหน่ง “กรมการพิเศษ” อันหมายถึง กรมการเมืองกิตติมศักดิ์ ทำหน้าที่ให้คำปรึกษาด้านบริหารราชการแก่ข้าหลวงประจำจังหวัด