ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก
เกร็ดประวัติศาสตร์

จากสงครามสู่สันติภาพ งานฉลองสันติภาพของประชาชนหลังสงครามโลกครั้งที่ 2

26
สิงหาคม
2565
ปรีดี​ พนม​ยงค์​ ผู้​สำเร็จ​ราชการ​แทน​พระองค์​ และหัวหน้า​ขบวนการ​เสรีไทยในประเทศ​ รับความเคารพ​จากขบวนสวนสนามเสรีไทย​ วันที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2488 เบื้องหลังมี ม.ร.ว.เสนีย์​ ปราโมช​ นายกรัฐมนตรี​ และหัวหน้า​เสรีไทย​สายอเมริกา​ พล.ต.อ. อดุล​ อดุล​เดช​จรัส​  พล.ท. ชิต มั่น​ศิลป์​ สินาดโยธา​รักษ์​ และ พล.ร.อ. สินธุ์​ กมล​นาวิน​ ร.น.
ปรีดี​ พนม​ยงค์​ ผู้​สำเร็จ​ราชการ​แทน​พระองค์​ และหัวหน้า​ขบวนการ​เสรีไทยในประเทศ​
รับความเคารพ​จากขบวนสวนสนามเสรีไทย​ วันที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2488
เบื้องหลังมี ม.ร.ว.เสนีย์​ ปราโมช​ นายกรัฐมนตรี​ และหัวหน้า​เสรีไทย​สายอเมริกา​
พล.ต.อ. อดุล​ อดุล​เดช​จรัส​  พล.ท. ชิต มั่น​ศิลป์​ สินาดโยธา​รักษ์​ และ พล.ร.อ. สินธุ์​ กมล​นาวิน​ ร.น.

 

เมื่อสงครามโลกครั้งที่ 2 สงบลง ปรีดี พนมยงค์ ในฐานะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ และหัวหน้า​​เสรีไทยในประเทศ​ ผู้มีนามแฝงว่า “รูธ” ในขบวนการเสรีไทย ได้รับโทรเลขฉบับสำคัญว่า “กระทรวงการต่างประเทศอังกฤษได้อนุญาตเมาน์ทแบทเตน แนะนําเป็นส่วนตัวมายัง “รูธ” ให้ประกาศโดยเร็วที่สุดที่จะเป็นได้ภายหลังญี่ปุ่นยอมจํานนในที่สุดแล้วนั้น บอกปฏิเสธการประกาศสงครามของไทยต่อบริเตนใหญ่และสหรัฐอเมริกา…”[1] อันเป็นหนึ่งในที่มาของการประกาศสันติภาพ ในวันที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2488 ต่อมาปรีดีได้เชิญ ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช กลับมาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีตั้งแต่กลางเดือนกันยายน พ.ศ. 2488

 

ใบปลิวที่เครื่องบินสัมพันธมิตรส่งข่าวให้คนไทยได้รับรู้ถึงชัยชนะของฝ่ายสัมพันธมิตรต่อญี่ปุ่น
ใบปลิวที่เครื่องบินสัมพันธมิตรส่งข่าวให้คนไทยได้รับรู้ถึงชัยชนะของฝ่ายสัมพันธมิตรต่อญี่ปุ่น

 

โทรเลขรัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศ สหรัฐอเมริกา ถึงเอกอัครรัฐทูตในสหราชอาณาจักร ลงวันที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2488
โทรเลขรัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศ สหรัฐอเมริกา ถึงเอกอัครรัฐทูตในสหราชอาณาจักร ลงวันที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2488

 

ประกาศสันติภาพในพระปรมาภิไธยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ลงวันที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2488
ประกาศสันติภาพในพระปรมาภิไธยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล
ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ลงวันที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2488

 

กระทั่งเมื่อวันที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2488 กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐอเมริกา ได้ออกแถลงการณ์มีใจความว่า การเจรจาระหว่างรัฐบาลอังกฤษและรัฐบาลสหรัฐอเมริกาเรื่องข้อตกลงระหว่างไทยกับอังกฤษนั้นเสร็จสิ้นลงแล้ว ในวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2488 ม.ร.ว.เสนีย์จึงเรียกประชุมคณะรัฐมนตรีเพื่อให้ เสริม วินิจฉัยกุล หนึ่งในคณะฯ[2] ที่เดินทางไปเซ็นความตกลงสมบูรณ์แบบกับอังกฤษ ณ ประเทศสิงคโปร์ ได้รายงานผลการเจรจาฯ และแจ้งกำหนดการเซ็นความตกลงสมบูรณ์แบบ 24 ข้อกับอังกฤษไว้ว่า

“วันที่ 1 มกราคม ขึ้นปีใหม่ (พ.ศ. 2489) ตอนเช้าจะได้เซ็นหัวข้อเจรจากันก่อนแล้วจะได้เซ็นความตกลงสมบูรณ์แบบ เวลา 16.00 น. ตอนบ่าย เป็นที่เข้าใจกันว่า เมื่อได้เซ็นความตกลงสมบูรณ์แบบแล้ว หัวข้อเจรจาจะเป็นอันตกไป ไม่มีผลผูกพัน หัวข้อเจรจาที่อังกฤษขอให้เซ็นกันในตอนเช้านั้น จะไม่นำออกเปิดเผย จะมีการนำออกเปิดเผยเฉพาะความตกลงสมบูรณ์แบบเท่านั้น…”

 

ความตกลงสมบูรณ์แบบ 24 ข้อ ระหว่างไทยกับอังกฤษ ประกาศในราชกิจจานุเบกษา ณ วันที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2489
ความตกลงสมบูรณ์แบบ 24 ข้อ ระหว่างไทยกับอังกฤษ
ประกาศในราชกิจจานุเบกษา ณ วันที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2489

 

เมื่อเสริมกล่าวรายงานฯ ต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเสร็จสิ้นก็เดินทางไปสิงคโปร์ในตอนเช้าของวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2489 ขณะที่ ม.ร.ว.เสนีย์ เล่าเรื่องภายหลังการเซ็นความตกลงสมบูรณ์แบบแล้วว่า

 

“บ่ายวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2489 เวลา 16.00 น. ข้าพเจ้าได้นัดประชุมผู้แทนหนังสือพิมพ์ทุกฉบับรวมทั้งผู้แทนสำนักข่าวต่างประเทศที่ทำเนียบนายกรัฐมนตรี…ตรงกับเวลาเปิดเผยสัญญาที่สิงคโปร์ตามที่นัดหมายกันไว้ ข้าพเจ้าได้ทำพิธีเปิดเผยความตกลงสมบูรณ์แบบต่อชาติไทย สัญญาที่เราได้อดทนเจรจากันมา 3 เดือนกว่า สัญญาซึ่งในที่สุดได้เซ็นกันไปโดยไม่มีข้อผูกมัดเป็นการเสื่อมเสียต่อเกียรติและเอกราชของไทย…”

 

ผลดีที่ไทยไม่ได้คาดหมายมาก่อนจากการเซ็นความตกลงสมบูรณ์แบบ[3] ครั้งนี้คือทางอังกฤษและอินเดียจะสนับสนุนให้ไทยเข้าเป็นสมาชิกองค์การสหประชาชาติ และข้อตกลงว่าอังกฤษกับไทยจะได้เปิดการสัมพันธ์ทางทูตต่อกันโดยเร็ว[4] ราวสัปดาห์ถัดมา รัฐบาลไทยก็ได้มีการประชุมเพื่อจัดงานฉลองสันติภาพและจะมีพิธีสวนสนามกองทหารอินเดียของอังกฤษซึ่งต้องการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์และพิธีกรรมว่าเคารพอำนาจอธิปไตยของไทย[5]

 

พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล เสด็จพระราชดำเนินตรวจแถวกองทหารฝ่ายสัมพันธมิตรในสงครามโลกครั้งที่ 2 พร้อมกับลอร์ด หลุยส์ เมานท์แบทเตน เมื่อวันที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2489
พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล เสด็จพระราชดำเนินตรวจแถวกองทหารฝ่ายสัมพันธมิตรในสงครามโลกครั้งที่ 2
พร้อมกับลอร์ด หลุยส์ เมานท์แบทเตน
เมื่อวันที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2489

 

กองทหารของอังกฤษได้จัดพิธีสวนสนามฯ และกราบบังคมทูลเชิญพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล เสด็จพระราชดำเนินมาทรงเป็นองค์ประธานในพิธีฯ ณ อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย โดยมี ลอร์ด หลุยส์ เมานท์แบทเตน หรือ เอิร์ล เมานท์แบทเตนแห่งพม่า ผู้บัญชาการทหารสูงสุดสัมพันธมิตรภาคเอเชียอาคเนย์เดินทางมาร่วมในพิธีสวนสนามฯ ในวันที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2489[6] ด้วย และช่วงเวลาเดียวกัน ในวันที่ 18-20 มกราคม พ.ศ. 2489 รัฐบาลไทยก็จัดงานฉลองสันติภาพขึ้นทั้งในพระนครและต่างจังหวัดเป็นทั้งงานแสดงความยินดีต่อสันติภาพ ทั้งกระตุ้นให้ราษฎรไทยมีความสามัคคีและสนใจเรื่องสันติภาพไม่ว่าจะด้านความหมายหรือในมิติของเอกราชสมบูรณ์

 

งานฉลองสันติภาพในพระนคร : การฉลองสันติภาพของประชาชน

หลายคนอาจจะคุ้นเคยกับงานฉลองรัฐธรรมนูญและงานฉลองวันชาติแต่ งานฉลองสันติภาพ กลับไม่ค่อยมีการกล่าวถึงนัก[7] ซึ่งงานฉลองสันติภาพนี้เกิดขึ้นหลังจากที่เสริม วินิจฉัยกุล รายงานผลการเจรจาความตกลงสมบูรณ์แบบกับอังกฤษว่าเป็นผลสำเร็จแล้วในคราวประชุมคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2488 ต่อมาคณะรัฐมนตรีในสมัยของรัฐบาล ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช จึงเห็นสมควรว่าให้มีงานฉลองสันติภาพและมีมติแต่งตั้งกรรมาธิการพิจารณา​ดำเนินงานฉลองสันติภาพขึ้น โดยมีการประชุมฯ ครั้งที่ 1 เมื่อวันที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2489 ณ ห้องประชุมกระทรวงมหาดไทย ผู้เข้าร่วมประชุมฯ ครั้งแรกมีจำนวน 19 คน ซึ่งมอบให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานฯ ร่วมด้วยพระยาชาติเดชอุดม  พันเอกจิตร โยธี  พลเอกหลวงสถิตยุทธการ  พระเรี่ยมวิรัชชพากย์  ม.ล.ปิ่น มาลากุล และพระยาจินดารักษ์ เป็นต้น[8]

 

การรัฐพิธีฉลองสันติภาพ พ.ศ. 2489 ที่มาของภาพ : หอจดหมายเหตุแห่งชาติ ท่าวาสุกรี
การรัฐพิธีฉลองสันติภาพ พ.ศ. 2489
ที่มา : หอจดหมายเหตุแห่งชาติ ท่าวาสุกรี

 

ทีแรกในการประชุมฯ เสนอให้จัดงานฉลองวันสันติภาพช่วงวันที่ 8-10 มกราคม พ.ศ. 2489 แต่ได้เปลี่ยนเป็นวันที่ 18-20 มกราคม พ.ศ. 2489 ในที่สุด[9] รูปแบบงานแบ่งออกเป็น 3 ส่วนสำคัญได้แก่ หนึ่ง รัฐพิธีฉลองสันติภาพ เป็นกำหนดการรัฐพิธีฉลองสันติภาพแห่งประเทศไทย และสมโภชพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากรไปพร้อมกัน คือในวันที่ 18 มกราคม เวลา 15.30 น. เจริญพระพุทธมนต์ที่พระอุโบสถวัดพระศรีรัตนฯ และวันที่ 19 มกราคม เวลา 10.30 น. มีการเลี้ยงพระและเวียนเทียนเพื่อสมโภชพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร[10] สอง พิธีสวนสนามกองทหารอินเดียของอังกฤษ ณ อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย และสาม คืองานฉลองสันติภาพในรูปแบบของงานมหรสพที่ประชาชนได้มีส่วนร่วมและเกิดการตื่นตัวเรื่องสันติภาพขึ้น

ประกาศราชการกําหนดการงานฉลองสันติภาพ ระหว่างวันที่ 18-20 มกราคม พุทธศักราช 2489 ได้แจ้งที่มาและรายละเอียดไว้ว่า

“โดยที่ประเทศไทยต้องตกเข้าอยู่ในสถานะสงครามมาแล้วนั้น บัดนี้ สถานะสงครามได้ยุติลงแล้วและประเทศไทยได้คืนสู่สันติภาพ อีกทั้งยังคงดํารงไว้ซึ่งความมีเอกราชอธิปไตยสมบูรณ์ดุจกาลก่อน ทางการจึงจัดให้มีงานฉลองสันติภาพ…”[11]

ภาพรวมของงานฉลองสันติภาพในพระนครวันที่ 18-20 มกราคม พ.ศ. 2489 เน้นการจัดงานรื่นเริง มีมหรสพ และแข่งกีฬา มีการประดับธงตามสถานที่ราชการและบ้านของราษฎร มีวิทยุกระจายเสียงจัดรายการพิเศษภาคเช้า และภาคกลางคืนโดยเฉพาะรายการกระจายเสียงช่วงกลางคืนของวันที่ 19 มกราคม เวลา 20.15 น. ที่พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดลจะทรงมีพระราชดํารัสทางวิทยุถึงประชาชน และในวันที่ 20 มกราคม นอกจากจะมีตลาดนัดที่วังสราญรมย์และฝั่งธนบุรีแล้ว ยังมีการเดินขบวนฉลองสันติภาพของประชาชนไทย-จีนอีกด้วย

ในกำหนดการฯ ที่ระบุว่ามีคนจีนร่วมเดินขบวนฉลองสันติภาพและประกาศให้วัด สุเหร่า หรืออารามศาสนาอื่นๆ สวดมนต์ตามพิธีกรรมของแต่ละศาสนาได้ น่าจะเป็นกุศโลบายหลังสงครามที่รวบรวมคนทุกเชื้อชาติ ทุกศาสนาให้เป็นเอกภาพเพื่อสร้างภาพลักษณ์ของความสามัคคี และสร้างความเป็นไทยที่มีความหลากหลายมากยิ่งขึ้นกว่ารัฐบาลก่อน

มหรสพในงานฉลองสันติภาพจัดขึ้นโดยหน่วยงานของรัฐเป็นหลัก เช่น กรมศิลปากร สํานักนายกรัฐมนตรี สํานักพระราชวัง เทศบาลนครกรุงเทพฯ และเทศบาลนครธนบุรี ร่วมกับสมาคมและสโมสรของพ่อค้า ประชาชนหลายเชื้อชาติมีทั้งคณะละคร คณะลิเก และสํานักสื่อข่าวสารอเมริกัน แม้เวลาเตรียมตัวจะมีเพียงสองสัปดาห์แต่งานกลับออกมายิ่งใหญ่และดึงดูดใจ ผู้เขียนจึงขอชวนเชิญทุกคนร่วมเที่ยวชมงานฉลองสันติภาพผ่านตัวอักษรตั้งแต่ช่วงเช้าของวันที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2489 จากสนามหลวงถึงสวนลุมพินีในงานฉลองสันติภาพพร้อมกัน ณ บัดนี้

งานฉลองสันติภาพมีสถานที่จัดงานหลักอยู่ 3 แห่ง ได้แก่ บริเวณสนามหลวง บริเวณพระบรมรูปทรงม้า และบริเวณสวนลุมพินี ซึ่งคล้ายกันกับรูปแบบการจัดงานฉลองรัฐธรรมนูญ จุดเด่นของงานในวันแรก คือ กรมศิลปากรจัดให้มีการแสดงของคณะเสมาทอง-คณะเทพศิลป์-คณะเสมาไทย ขึ้น ณ หอประชุมศิลปากร ส่วนในเวลาบ่ายมีการแสดงของคณะราตรีสุขเกษม และคณะจันทโรภาส ขณะที่สนามหลวงได้จัดแข่งขันกีฬา อาทิ ขี่จักรยาน 2 ล้อ และ 3 ล้อ รอบสนามหลวง

 

ปรีดี พนมยงค์ ขณะถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องพระเจ้าช้างเผือก
ปรีดี พนมยงค์ ขณะถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องพระเจ้าช้างเผือก

 

ไฮไลต์มหรสพในวันนี้ คือ สมาคมและสโมสรต่างๆ ทั้งของไทย เช่น ราชตฤณมัยสมาคม แพทย์สมาคม ของจีน และของอิสลาม เช่น สมาคมสนธิอิสลาม ฯลฯ ต่างยกขบวนกันมาเต็มที่ในการฉายภาพยนตร์ ลําตัด ประกวดรําวง มีสตริงแบนด์ และลีลาศ หากกำหนดการสำคัญคือ สมาคมสันติภาพได้ฉายภาพยนตร์เรื่องพระเจ้าช้างเผือกที่สร้างและประพันธ์บทภาพยนตร์โดยปรีดี พนมยงค์[12] ณ โรงหนังเทียนกัวเทียน และเชิญทหารต่างประเทศเข้าร่วมรับชมด้วย นอกจากนั้นยังมีการประกวดคำขวัญสันติภาพ และฉายภาพยนตร์ข่าวสงครามที่สนามด้านหน้าวัดบวรนิเวศวิหาร

ไม่ไกลจากสนามหลวง ณ สโมสรราษฎรสราญรมย์[13] ภายในสมาคมจะมีจําอวด การแสดงเบ็ดเตล็ด และการแข่งขันลีลาศ ส่วนภายนอกจะมีลิเกทั้ง 3 วัน ที่น่าสังเกตคือภายใต้ความรื่นเริงและความสนุกสนานตามแบบไทย ได้มีการให้ความรู้เรื่องสงครามและสันติภาพ รวมทั้งการโฆษณา อาทิ มีการจัดฉายภาพยนตร์ของสำนักสื่อข่าวอเมริกันจำนวน 2 จอ และจัดฉายภาพยนตร์ของสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ซึ่งไม่ค่อยมีการนำมาเผยแพร่ในงานสาธารณะรวมอยู่ด้วย

งานฉลองสันติภาพวันที่สอง 19 มกราคม พ.ศ. 2489 นอกจากรัฐพิธีฯ แล้ว รูปแบบของมหรสพจะคล้ายกับวันแรกที่แตกต่างออกไปคือ มีเทศบาลนครธนบุรีมาร่วมจัดตลาดนัดที่เชิงสะพานพระพุทธยอดฟ้า และวงเวียนใหญ่ กับมีการแสดงของคณะเจตสิงห์ คณะปัญญาพล คณะวิจิตรเกษม และคณะสุปรีดีที่เพิ่มเติมเข้ามารวมทั้งมีกีฬาที่ไม่ว่าจัดแข่งในยุคสมัยใดก็สนุกทุกครั้ง นั่นคือการแข่งชักเย่อระหว่างอําเภอ ณ บริเวณท้องสนามหลวง

และในวันสุดท้ายของงานฉลองสันติภาพ 20 มกราคม พ.ศ. 2489 มีกำหนดการสำคัญคือเวลา 14.00 น. ที่ประชาชนไทย-จีนร่วมเดินขบวนฉลองสันติภาพจากถนนเจริญกรุงไปหยุดที่สถานีรถไฟหัวลําโพง และกรมศิลปากรยังได้จัดให้มีการแสดงของคณะแหลมทอง คณะลูกไทย และคณะศิวารมย์ ส่วนตอนบ่ายมีการแสดงของคณะจิตรวัฒนาซึ่งไม่ซ้ำกับวันอื่นๆ

อนึ่ง วันนี้ในเวลา 21.00 น. ทางสํานักนายกรัฐมนตรีกับสํานักพระราชวังได้ร่วมกันจัดให้มีงานสโมสรสันนิบาตเป็นการภายในพระราชฐานโดยเชิญพระบรมวงศานุวงศ์ รัฐมนตรี และข้าราชการตั้งแต่ชั้นพิเศษ พันเอก นาวาเอก นายพันตํารวจเอกขึ้นไปเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล ณ พระที่นั่งอนันตสมาคม เพื่อการลีลาศและทรงพระราชทานเลี้ยงอาหารว่างแก่ผู้รับเชิญโดยทั่วกัน[14]

 

งานฉลองสันติภาพในจังหวัดจันทบุรี

งานฉลองสันติภาพในต่างจังหวัดก็จัดขึ้น ณ ช่วงเวลาเดียวกัน เช่น งานฉลองสันติภาพในจังหวัดจันทบุรี[15] โดยทวี บุณยเกตุ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้มีโทรเลขลงวันที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2489 เพื่อให้จังหวัดจันทบุรีจัดงานเฉลิมฉลองสันติภาพขึ้นระหว่างวันที่ 18-20 มกราคม พ.ศ. 2489 และจัดสรรงบประมาณให้จำนวน 200 บาท

 

โทรเลขให้จังหวัดจันทบุรีจัดงานฉลองสันติภาพ วันที่ 18-20 มกราคม พ.ศ. 2489 ส่งโดยทวี บุณยเกตุ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ลงวันที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2489
โทรเลขให้จังหวัดจันทบุรีจัดงานฉลองสันติภาพ วันที่ 18-20 มกราคม พ.ศ. 2489
ส่งโดยทวี บุณยเกตุ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ลงวันที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2489

 

เมื่อขุนรัฐวุฒิวิจารณ์ ข้าหลวงประจำจังหวัดจันทบุรีได้รับโทรเลขแล้วก็จัดทำหนังสือเรื่องจัดงานฉลองสันติภาพถึงคณะกรมการอำเภอทุกอำเภอยกเว้นอำเภอเมืองเพื่อแจ้งให้ทราบว่าได้รับโทรเลขสั่งให้เตรียมงานฉลองสันติภาพในวันที่ 18-20 มกราคม พ.ศ. 2489 และมีคำสั่งให้ดำเนินงานโดยระบุรูปแบบงานไว้คร่าวๆ คือมีการรื่นเริง มหรสพ กีฬา และประดับธงตามสถานที่ราชการและบ้านเรือนซึ่งเป็นคำสั่งเดียวกันกับแจ้งการจัดงานฉลองสันติภาพในพระนคร ต่อมาได้ประกาศให้วันที่ 18-20 มกราคม เป็นวันหยุดราชการและให้ชักธงชาติ 6 ชาติ คือ สหรัฐอเมริกา อังกฤษ รัสเซีย ไทย จีน และฝรั่งเศสในวันฉลองสันติภาพด้วย

 

กำหนดงานฉลองสันติภาพ พ.ศ. 2489 จังหวัดจันทบุรี
กำหนดงานฉลองสันติภาพ พ.ศ. 2489 จังหวัดจันทบุรี

 

กำหนดงานฉลองสันติภาพของจังหวัดจันทบุรี ในช่วง 3 วันดังกล่าวจะจัดขึ้นบริเวณศาลากลางจังหวัด หอทะเบียนที่ดิน บริเวณสโมสร และหน้าค่ายทหารนาวิกโยธิน ทางด้านงานมหรสพได้จัดให้มีลิเก ละคร หนังตะลุง หุ่นกระบอก และรำวง ด้านกีฬาจะมีกายบริหาร และมวยของนักเรียน ด้านงานเลี้ยงอาหารจะมีขึ้นในช่วงเย็นของวันที่ 18 มกราคม ส่วนพิธีทางการได้จัดขึ้นเฉพาะข้าราชการที่วัดโบสถ์

 

ความคิดเรื่องสันติภาพของราษฎรในหัสนิยายสามเกลอของ ป. อินทรปาลิต

 

หัสนิยายสามเกลอ ชุดสามเกลอมาแล้ว ตอนฉลองสันติภาพ ของ ป. อินทรปาลิต (นามปากกา)
หัสนิยายสามเกลอ ชุดสามเกลอมาแล้ว ตอนฉลองสันติภาพ ของ ป. อินทรปาลิต (นามปากกา)

 

จากเอกสารของราชการเรื่องงานฉลองสันติภาพในพระนครและจังหวัดจันทบุรี แสดงให้เห็นรัฐพิธี กิจกรรม และการดำเนินงานฉลองสันติภาพแทบทั้งสิ้นแม้จะมีหน่วยงานของเอกชนหรือประชาชนเข้ามาร่วมจัดงานและกระตุ้นให้เกิดความสนใจเรื่องสันติภาพขึ้นจากการฉายภาพยนตร์เรื่อง “พระเจ้าช้างเผือก” หรือประกวดคำขวัญสันติภาพ แต่เอกสารของราชการกลับไม่ปรากฏทัศนะของประชาชนเรื่องสงครามและสันติภาพไว้เลย

หากเมื่อได้พลิกอ่านนิยายของ ป. อินทรปาลิต[16] เรื่องหัสนิยายสามเกลอ ชุดสามเกลอมาแล้ว ตอนฉลองสันติภาพ ที่นอกจากจะพบความบันเทิง ขบขัน และเกร็ดประวัติศาสตร์ช่วงทศวรรษ 2470 - 2480 ตอนฉลองสันติภาพแล้ว ยังสะท้อนความรู้สึกนึกคิดต่อเรื่องสันติภาพของราษฎรและผู้เขียนเองผ่านคำถามของเจ้าคุณปัจจนึกพินาศ[17]

ในตอนหนึ่งของการสนทนาช่วงเย็นวันพฤหัสบดีที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2489 หรือก่อนงานฉลองสันติภาพ 1 วัน เจ้าคุณปัจจนึกฯ ที่ถูกกำหนดบทบาทในนิยายให้เป็นประธานกรรมการจัดงานฉลองสันติภาพได้พูดขึ้นกับทุกคนว่า

 

“สันติภาพเป็นยอดแห่งความปรารถนาของมนุษย์ แต่ใครจะอธิบายให้แจ่มแจ้งได้บ้างว่าสันติภาพคืออะไร”

 

หลังคำถามนี้ตัวละครหลักในหัสนิยามสามเกลอทั้งพล  นิกร  กิมหงวน  ดิเรก และเจ้าแห้วต่างนิ่งเฉย โดยมีคุณหญิงวาด[18] แม่ของพลแสดงความคิดคนแรกว่า

 

“สันติภาพแปลว่าสภาพแห่งความสงบ คือความสิ้นสุดของสงคราม”

 

แต่ดิเรก หรือ ดร.ดิเรก ณรงค์ฤทธิ์ ซึ่งสำเร็จการศึกษาด้านการแพทย์และวิทยาศาสตร์มาจากประเทศอังกฤษ กล่าวกลั้วหัวเราะแย้งว่าคำตอบของคุณหญิงวาด “ไม่ใช่”

และคำตอบของดิเรกต่อเรื่องสันติภาพคือ

 

“...ผมเป็นนักวิทยาศาสตร์และเป็นแพทย์ ผมไม่ใช่นักอักษรศาสตร์ จึงไม่มีความจำเป็นอะไรที่จะต้องรู้ว่าสันติภาพแปลว่าอะไร”[19]

 

นิยายของ ป. อินทรปาลิต สะท้อนให้เห็นกระแสความคิดเรื่องสันติภาพของคนในสังคมช่วงงานฉลองสันติภาพ พ.ศ. 2489 ด้วยการเขียนแบบยั่วล้อผ่านตัวละครในหัสนิยายสามเกลอว่ามีคนสองประเภทคือ คนที่สนใจสันติภาพอย่างลึกซึ้ง เช่น คุณหญิงวาด และคนที่ไม่สนใจสันติภาพ เช่น ดิเรก

งานฉลองสันติภาพของประชาชนในวันศุกร์ที่ 18 มกราคม ถึงวันอาทิตย์ที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2489 คือการเฉลิมฉลองสันติภาพสมบูรณ์ของไทยภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 แน่นอนว่าขบวนการเสรีไทยคือรูปธรรมของการต่อสู้เพื่อยืนยันอำนาจอธิปไตยของปวงชนชาวไทยภายใต้สงคราม[20] ประกอบกับการผ่อนปรน และช่วยเหลือจากประเทศในฝ่ายสัมพันธมิตร[21] หากสันติภาพที่ได้มาและการหลุดพ้นจากความสูญเสียร่วมกับฝ่ายที่พ่ายแพ้ในสงครามครั้งนี้ทั้งปรีดี พนมยงค์ หัวหน้าเสรีไทยในประเทศ[22] และ ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช หัวหน้าเสรีไทยในสหรัฐอเมริกา[23] เห็นตรงกันว่าส่วนสำคัญเป็นเพราะประชาชนร่วมมือและอดทนจนกระทั่งไทยประกาศสันติภาพและฉลองสันติภาพสมบูรณ์ได้ในที่สุด

 

ที่มาของภาพ : หอจดหมายเหตุแห่งชาติ ท่าวาสุกรี หนังสือท่องอดีตกับสามเกลอ เล่ม 5 หนังสือหัสนิยายสามเกลอ ชุดสามเกลอมาแล้ว ตอนฉลองสันติภาพ เว็บไซต์ wikiwand และเพจ Wartime Asia เอเชียยามสงคราม

 

บรรณานุกรม

เอกสารชั้นต้น :

  • ราชกิจจานุเบกษา, แถลงการณ์ เรื่อง การยกเลิกสถานะสงครามระหว่างประเทศไทยกับบริเตนใหญ่และประเทศอินเดีย และแถลงการณ์. ประกาศ ณ วันที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2489. เล่มที่ 63 ตอนที่ 4 ก., หน้า 15-46.
  • กรมสนธิสัญญาและกฎหมาย กระทรวงการต่างประเทศ, หนังสือแลกเปลี่ยนระหว่างรัฐบาลแห่งสหราชอาณาจักรบริเตนใหญ่และไอร์แลนด์เหนือ และรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยเกี่ยวกับความตกลงวันที่ 1 มกราคม ค.ศ.1946 เพื่อการยุติภาวะสงคราม. 14 มกราคม พ.ศ. 2497, หน้า 1-3.
  • โทรเลขของรัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐอเมริกาถึงเอกอัครรัฐทูตในสหราชอาณาจักร ฉบับเลขที่ 740.0011 พี.ดับบลิว./เอส-1545 ลงวันที่ 15 สิงหาคม ค.ศ. 1945 เวลาบ่าย 3 โมง (ตรงกับวันที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2488 กรุงเทพฯ) ใน ปรีดี พนมยงค์, จดหมายของนายปรีดี พนมยงค์ ถึงพระพิศาลสุขุมวิทเรื่องหนังสือจดหมายเหตุของเสรีไทยเกี่ยวกับปฏิบัติการในแคนดี นิวเดลฮี และสหรัฐอเมริกา, (กรุงเทพฯ: อมรินทร์การพิมพ์, 2522)
  • หอจดหมายเหตุแห่งชาติ. มท 0201.2.1/46 กล่อง 2 กรมโฆษณาการส่งคำปราศรัยของนายปรีดี พนมยงค์ แก่ผู้แทนพลพรรคที่ธรรมศาสตร์ [พ.ศ. 2488]
  • หอจดหมายเหตุแห่งชาติ. จบ 1.2.4/346 กล่อง 16 งานฉลองสันติภาพ 2489 [8 ม.ค.-14 ส.ค. 2489]
  • หอจดหมายเหตุแห่งชาติ. มท. 0201.2.1.28/4 กล่อง 1 การรัฐพิธีฉลองสันติภาพ [พ.ศ. 2489]
  • หอจดหมายเหตุแห่งชาติ. มท 0201.2.1.13/27 กล่อง 2 การเดินขบวนฉลองสันติภาพ และส่งบัตรเชิญในการเดินขบวนฉลอง [พ.ศ. 2488]
  • หอจดหมายเหตุแห่งชาติ. [2] สร 0201.92/55​ การฉลองสันติภาพ​ [27 ส.ค.​ 2488-13 ส.ค.​ 2489]

หนังสืออนุสรณ์งานศพ :

  • อนุสรณ์งานพระราชทานเพลิงศพ พลเอกเนตร เขมะโยธิน ม.ป.ช., ม.ว.ม., ท.จ.ว. ณ เมรุหน้าพลับพลาอิศริยาภรณ์ วัดเทพศิรินทราวาส วันพฤหัสบดีที่ 24 ตุลาคม 2528. พระนคร: โรงพิมพ์มหามกุฎราชวิทยาลัย, 2528.
  • เสนีย์ ปราโมช, ม.ร.ว., และ วิจิตรวาทการ (วิจิตร), พล.ต. หลวง, การเจรจาเลิกสถานะสงครามกับบริเตนใหญ่ และความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับอเมริการะหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 กับหลังฉากประกาศสงคราม ใน อนุสรณ์ในงานฌาปนกิจศพ นางอัมพร กลิ่นอดุง ณ เมรุวัดแค วันอาทิตย์ที่ 6 ธันวาคม 2513. พระนคร: โรงพิมพ์คุรุสภา, 2513.

หนังสือภาษาอังกฤษ :

  • Santaputra, Charivat, Thai Foreign Policy 1932-1946, (ฺBangkok: International Studies Center, 2020)

หนังสือภาษาไทย:

  • กนต์ธีร์ ศุภมงคล, การวิเทโศบายของไทย, (กรุงเทพฯ: คณะอนุกรรมการเอกสารและหนังสือที่ระลึกในคณะกรรมการกึ่งศตวรรษธรรมศาสตร์, 2527)
  • กษิดิศ อนันทนาธร บรรณาธิการ, 76 ปี วันสันติภาพไทย: 8 ทศวรรษ “พระเจ้าช้างเผือก” สารสันติภาพเหนือกาลเวลา”, (กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2563)
  • ดิเรก ชัยนาม, ไทยสมัยสงครามโลก ครั้งที่ 2, เล่ม 1, 2, (พระนคร, แพร่พิทยา, 2509)
  • ป. อินทรปาลิต, นามแฝง. หัสนิยายสามเกลอ ชุดสามเกลอมาแล้ว ตอนฉลองสันติภาพ, พิมพ์ครั้งที่ 2, (กรุงเทพฯ: แพรวสำนักพิมพ์, 2547)
  • ปรีดี พนมยงค์, โมฆสงคราม บันทึกสัจจะประวัติศาสตร์ที่ยังไม่เปิดเผยของรัฐบุรุษอาวุโส ปรีดี พนมยงค์, (กรุงเทพฯ: มูลนิธิปรีดี พนมยงค์, 2558)
  • ปรีดี พนมยงค์, ชีวประวัติย่อของนายปรีดี พนมยงค์, (กรุงเทพฯ: มูลนิธิปรีดี พนมยงค์, 2526)
  • พีระพงศ์ ดามาพงศ์, พล.ต.ต., ท่องอดีตกับสามเกลอ เล่ม 5, (กรุงเทพฯ: บริษัท สามเจริญพาณิชย์จำกัด, 2550)
  • ภูริ ฟูวงศ์เจริญ, 70 ปี วันสันติภาพไทย, (กรุงเทพฯ: หอจดหมายเหตุมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2558)
  • วิชิตวงศ์ ณ ป้อมเพชร, ตำนานเสรีไทย, (กรุงเทพฯ: สถาบันปรีดี พนมยงค์, 2546)

สื่ออิเล็กทรอนิกส์ :

  • ฉัตรทิพย์ นาถสุภา. (7 ธันวาคม 2564). ประวัติศาสตร์ขบวนการเสรีไทยในสงครามโลกครั้งที่ 2. สืบค้นจาก https://pridi.or.th/th/content/2021/12/914
  • ชาญวิทย์ เกษตรศิริ. (23 มกราคม 2564). ไทย-ญี่ปุ่น และสงครามมหาเอเชียบูรพา. สืบค้นจาก https://pridi.or.th/th/content/2021/01/582
  • สถาบันปรีดี พนมยงค์. (16 สิงหาคม 2564). ประกาศสันติภาพ โดย ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์. สืบค้นจาก https://pridi.or.th/th/content/2021/08/797
  • เสมียนนารี. (11 กรกฎาคม 2565). ข้อเท็จจริงที่ทำให้ไทย “ไม่แพ้” ในสงครามโลกครั้งที่ 2 ไม่ใช่เพราะไทย เพราะนโยบายสหรัฐ?. สืบค้นจาก https://www.silpa-mag.com/history/article_22833
  • อาชญาสิทธิ์ ศรีสุวรรณ. (26 มกราคม 2563). ‘งานฉลองสันติภาพ’ ความบันเทิงในวันวานยามที่ผู้คนชื่นชมสันติภาพมากกว่าสงคราม. สืบค้นจาก https://thematter.co/thinkers/thai-peace-festival/98953
  • อนุสรณ์ ธรรมใจ. (7 พฤษภาคม 2563). ภารกิจเพื่อสันติภาพและเอกราชของขบวนการเสรีไทย. สืบค้นจาก https://pridi.or.th/th/content/2020/05/243

 


[1] โทรเลขของรัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐอเมริกาถึงเอกอัครรัฐทูตในสหราชอาณาจักร ฉบับเลขที่ 740.0011 พี.ดับบลิว./เอส-1545 ลงวันที่ 15 สิงหาคม ค.ศ. 1945 ใน ปรีดี พนมยงค์, จดหมายของนายปรีดี พนมยงค์ ถึงพระพิศาลสุขุมวิทเรื่องหนังสือจดหมายเหตุของเสรีไทยเกี่ยวกับปฏิบัติการในแคนดี นิวเดลฮี และสหรัฐอเมริกา, (กรุงเทพฯ: อมรินทร์การพิมพ์, 2522), หน้า 50-51.

[2] เสริม วินิจฉัยกุล เดินทางไปพร้อมกับ ม.จ.วิวัฒนไชย ไชยันต์ และ ม.จ.ชิดชนก กฤดากร

[3] ราชกิจจานุเบกษา, แถลงการณ์ เรื่อง การยกเลิกสถานะสงครามระหว่างประเทศไทยกับบริเตนใหญ่และประเทศอินเดีย และแถลงการณ์. ประกาศ ณ วันที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2489. เล่มที่ 63 ตอนที่ 4 ก., หน้า 15-46.

[4] เสนีย์ ปราโมช, ม.ร.ว., และ วิจิตรวาทการ (วิจิตร), พล.ต. หลวง, การเจรจาเลิกสถานะสงครามกับบริเตนใหญ่ และความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับอเมริการะหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 กับหลังฉากประกาศสงคราม ใน อนุสรณ์ในงานฌาปนกิจศพ นางอัมพร กลิ่นอดุง ณ เมรุวัดแค วันอาทิตย์ที่ 6 ธันวาคม 2513. พระนคร: โรงพิมพ์คุรุสภา, 2513. หน้า 61-63.

[5] ฉัตรทิพย์ นาถสุภา. (7 ธันวาคม 2564). ประวัติศาสตร์ขบวนการเสรีไทยในสงครามโลกครั้งที่ 2. สืบค้นจาก https://pridi.or.th/th/content/2021/12/914

[6] ฉัตรทิพย์ นาถสุภา. (7 ธันวาคม 2564). ประวัติศาสตร์ขบวนการเสรีไทยในสงครามโลกครั้งที่ 2. สืบค้นจาก https://pridi.or.th/th/content/2021/12/914

[7] โปรดดูเพิ่มเติม ประเด็นความบันเทิงในงานฉลองสันติภาพ ได้ที่ อาชญาสิทธิ์ ศรีสุวรรณ. (26 มกราคม 2563). ‘งานฉลองสันติภาพ’ ความบันเทิงในวันวานยามที่ผู้คนชื่นชมสันติภาพมากกว่าสงคราม. สืบค้นจาก https://thematter.co/thinkers/thai-peace-festival/98953

[8] หอจดหมายเหตุแห่งชาติ. [2] สร 0201.92/55​ การฉลองสันติภาพ​ [27 ส.ค.​ 2488-13 ส.ค.​ 2489], หน้า [8], [12]

[9] หอจดหมายเหตุแห่งชาติ. [2] สร 0201.92/55​ การฉลองสันติภาพ​ [27 ส.ค.​ 2488-13 ส.ค.​ 2489]

[10] หอจดหมายเหตุแห่งชาติ. มท. 0201.2.1.28/4 กล่อง 1 การรัฐพิธีฉลองสันติภาพ [พ.ศ. 2489]

[11] พีระพงศ์ ดามาพงศ์, พล.ต.ต., ท่องอดีตกับสามเกลอ เล่ม 5, (กรุงเทพฯ: บริษัท สามเจริญพาณิชย์จำกัด, 2550), หน้า 247.

[12] กษิดิศ อนันทนาธร บรรณาธิการ, 76 ปี วันสันติภาพไทย: 8 ทศวรรษ “พระเจ้าช้างเผือก” สารสันติภาพเหนือกาลเวลา”, (กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2563)

[13] ในระยะแรกช่วงเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 เป็นที่ตั้งของสมาคมรัฐธรรมนูญ

[14] พีระพงศ์ ดามาพงศ์, พล.ต.ต., ท่องอดีตกับสามเกลอ เล่ม 5, (กรุงเทพฯ: บริษัท สามเจริญพาณิชย์จำกัด, 2550), หน้า 237-267.

[15] หอจดหมายเหตุแห่งชาติ. จบ 1.2.4/346 กล่อง 16 งานฉลองสันติภาพ 2489 [8 ม.ค.-14 ส.ค. 2489]

[16] นามปากกาของปรีชา อินทรปาลิต

[17] นามเต็มตามหลักราชการของตัวละครนี้คือ พลโท พระยาปัจจนึกพินาศ (อู๊ด ศิริสวัสดิ์) ต่อมาในยุคหลังทศวรรษ 2510 ได้เลื่อนยศเป็นพลเอก ในนิยายฯ ท่านเจ้าคุณปัจจนึกฯ มีศักดิ์เป็นพ่อตาของนิกร และดิเรกโดยตัวละครอื่นจะนับถือเป็นคุณอา

[18] คุณหญิงวาดเป็นภริยาของพระยาประสิทธิ์นิติศาสตร์ และเป็นมารดาของพล

[19] ป. อินทรปาลิต, นามแฝง. หัสนิยายสามเกลอ ชุดสามเกลอมาแล้ว ตอนฉลองสันติภาพ, พิมพ์ครั้งที่ 2, (กรุงเทพฯ: แพรวสำนักพิมพ์, 2547), หน้า 16-19.

[20] วิชิตวงศ์ ณ ป้อมเพชร, ตำนานเสรีไทย, (กรุงเทพฯ: สถาบันปรีดี พนมยงค์, 2546)

[21] เสมียนนารี. (11 กรกฎาคม 2565). ข้อเท็จจริงที่ทำให้ไทย “ไม่แพ้” ในสงครามโลกครั้งที่ 2 ไม่ใช่เพราะไทย เพราะนโยบายสหรัฐ?. สืบค้นจาก https://www.silpa-mag.com/history/article_22833

[22] ปรีดี พนมยงค์, โมฆสงคราม บันทึกสัจจะประวัติศาสตร์ที่ยังไม่เปิดเผยของรัฐบุรุษอาวุโส ปรีดี พนมยงค์, (กรุงเทพฯ: มูลนิธิปรีดี พนมยงค์, 2558)

[23] เสนีย์ ปราโมช, ม.ร.ว., และ วิจิตรวาทการ (วิจิตร), พล.ต. หลวง, การเจรจาเลิกสถานะสงครามกับบริเตนใหญ่ และความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับอเมริการะหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 กับหลังฉากประกาศสงคราม ใน อนุสรณ์ในงานฌาปนกิจศพ นางอัมพร กลิ่นอดุง ณ เมรุวัดแค วันอาทิตย์ที่ 6 ธันวาคม 2513. พระนคร: โรงพิมพ์คุรุสภา, 2513.