Focus
- ปรีดี พนมยงค์ ในฐานะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ได้ปฏิเสธที่จะลงนามในการประกาศสงครามตั้งแต่ต้นส่งผลให้อังกฤษไม่สามารถบังคับให้ไทยลงใน "เอกสารยอมจำนน" เหมือนประเทศผู้แพ้สงครามอื่น ๆ
- ผลลัพธ์ของการประกาศสันติภาพเป็นที่ประจักษ์อย่างชัดเจน คือ 1.ไทยไม่ต้องลงนามในเอกสารยอมจำนนแบบไม่มีเงื่อนไข 2.กองกำลังไทยไม่ถูกปลดอาวุธเหมือนประเทศผู้แพ้สงคราม 3.การเดินสวนสนามของขบวนการเสรีไทยในวันที่ 25 กันยายน 2488 เป็นการแสดงออกอย่างชัดเจนต่อประชาคมโลกว่า ประเทศไทยยังคงความเป็นเอกราชและอธิปไตย
- ความเสียสละของขบวนการเสรีไทยทั้งในการต่อต้านญี่ปุ่นภายในประเทศและการดำเนินงานทางการทูต ล้วนส่งผลให้สัมพันธมิตรเกิดความเห็นใจต่อประชาชนไทย ดังปรากฏในถ้อยคำปรารภของ “"ความตกลงสมบูรณ์แบบ”" ซึ่งสะท้อนว่าชาติสัมพันธมิตรให้การยอมรับว่าไทยมิใช่ประเทศผู้รุกรานโดยแท้จริง จึงพยายามช่วยให้ไทยรอดพ้นจากข้อผูกมัดที่อาจเกิดขึ้นภายหลังสงคราม
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา มีผู้พยายามนำเสนอแนวคิดที่ว่า “ไทยรอดจากสงครามโลกครั้งที่ 2 ด้วยความบังเอิญ” ซึ่งเป็นมุมมองที่อาจละเลยบริบททางประวัติศาสตร์ โดยเฉพาะบทบาทของขบวนการเสรีไทยและยุทธศาสตร์ทางการทูตของผู้นำไทย แนวคิดนี้พยายามลดทอนความสำคัญของการวางแผน การเจรจาต่อรอง และความเสียสละของบุคคลที่อุทิศตนเพื่อปกป้องอธิปไตยและสันติภาพของชาติ
หากไทยรอดมาได้เพียงเพราะโชคช่วยหรือปัจจัยภายนอก ย่อมหมายความว่าความพยายามทั้งหมดของขบวนการเสรีไทย ไม่มีความหมาย… และการเจรจาทางการทูตที่ช่วยให้ไทยไม่ถูกปฏิบัติเช่นเดียวกับประเทศผู้แพ้สงคราม เป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยที่ไม่ส่งผลต่อชะตากรรมของชาติ ซึ่งขัดแย้งกับข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ที่มีเอกสารรองรับ
แนวคิดดังกล่าว ชวนให้นึกถึงข้อกล่าวอ้างอันเลื่อนลอยของ ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช ในที่ประชุม “กึ่งศตวรรษประชาธิปไตย” ณ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เมื่อปี 2525 ซึ่งระบุว่า การที่รัฐบาลไทยประกาศสงครามเป็นโมฆะ ไม่ได้รับการยอมรับจากชาวตะวันตก โดยกล่าวว่า:
"ตอนเสร็จสงครามใหม่ ๆ เราก็ประกาศสงครามเป็นโมฆะภายใน ฝรั่งมันก็หัวร่อเอา โมฆะอะไร ไอ้ดัทช์คนหนึ่งมันถูกเอาไปขัง Death Railway เมืองกาญจน์เหลือแต่กระดูก ทำอะไรก็ไม่อ้วน มันบอกว่า แล้วยังไงล่ะ โมฆะแล้ว เนื้อผมได้คืนไหม ถ้าไม่ได้คืน เขาไม่รับนับถือเลยประกาศเป็นโมฆะนี่....."
อย่างไรก็ตาม ปรีดี พนมยงค์ ได้ยกหลักฐานทางการทูตจากสหรัฐฯ ซึ่งระบุชัดเจนว่า ฝ่ายสัมพันธมิตรเป็นผู้สนับสนุนให้ไทยประกาศสงครามเป็นโมฆะ เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ไทยต้องลงนามในเอกสารยอมจำนนแบบไม่มีเงื่อนไข (Unconditional Surrender) ดังนั้น ข้อความของเสนีย์จึงเป็นเพียงความเห็นส่วนตัวที่ขาดหลักฐานสนับสนุน เช่นเดียวกับแนวคิดเรื่องความบังเอิญ หรือ “ปาฏิหาริย์” ที่พยายามลดบทบาทของยุทธศาสตร์และการต่อสู้ของขบวนการเสรีไทย
การประกาศสงครามและผลกระทบที่ตามมา
หากเปรียบเทียบสถานการณ์ของไทยในขณะนั้น ก็เหมือนกับ "ไปตีหัวเขาแล้วจะวิ่งเข้าบ้านโดยไม่ต้องรับผิดชอบใดๆ ไม่ได้" เมื่อ รัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม เลือกที่จะร่วมวงศ์ไพบูลย์กับญี่ปุ่นและประกาศสงครามต่อสัมพันธมิตร ย่อมทำให้ไทยต้องเผชิญกับผลกระทบของสงครามอย่างเลี่ยงไม่ได้
วันที่ 25 มกราคม 2485 รัฐบาลจอมพล ป. ได้ประกาศสงครามต่ออังกฤษและสหรัฐอเมริกา อันเป็นการฝ่าฝืนหลักกฎหมายว่าด้วยความเป็นกลางของประเทศ และขัดต่อเจตจำนงของประชาชนไทยส่วนใหญ่ การที่ไทยเลือกจะ "ตีหัวเขา" ด้วยการประกาศสงคราม ย่อมหมายความว่า เมื่อสงครามสิ้นสุดลง ไทยต้องได้รับผลที่ตามมา ไม่มากก็น้อย หากไม่มีการวางยุทธศาสตร์ทางการทูตอย่างเหมาะสม "ผ่อนหนักเป็นเบา" ไทยอาจต้องเผชิญกับสถานะของประเทศผู้แพ้สงครามโดยสมบูรณ์
อย่างไรก็ตาม เงื่อนไขสำคัญที่หลายคนอาจมองข้ามคือ ปรีดี พนมยงค์ ซึ่งดำรงตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ในขณะนั้น ไม่ได้ลงนามในประกาศสงครามตั้งแต่ต้น เพื่อแสดงเจตจำนงไม่ยอมรับการประกาศสงครามนั้น และที่สำคัญคือ เพื่อไม่ให้มีผลผูกพันในเชิงกฎหมายระหว่างประเทศ ซึ่งปูทางไปสู่การเจรจาภายหลังการ “ประกาศสันติภาพ” ในวันที่ 16 สิงหาคม 2488
การปฏิเสธลงนามของปรีดี มีผลสำคัญยิ่งต่ออนาคตของประเทศไทย เมื่อสงครามสิ้นสุดลง อังกฤษไม่สามารถบังคับให้ไทยต้องลงนามใน “เอกสารยอมจำนน” ดังเช่นที่เกิดขึ้นกับประเทศผู้แพ้สงครามอื่นๆ นอกจากนี้ ประเทศไทยยังสามารถใช้ช่องว่างทางกฎหมายในการฟื้นฟูสถานะของตนหลังสงคราม และไม่ต้องรับภาระหนักเช่นเดียวกับประเทศที่เป็นฝ่ายแพ้
ในทางกลับกัน หากปรีดีลงนามในประกาศสงคราม ไทยอาจต้องยอมจำนนโดยไม่มีเงื่อนไข และเสี่ยงต่อการสูญเสียเอกราชและอธิปไตยโดยบริบูรณ์
ภายหลังจากที่รัฐบาลไทยอนุญาตให้กองทัพญี่ปุ่นเดินทัพผ่านประเทศไทยในวันที่ 8 ธันวาคม 2484 ปรีดี พนมยงค์ และมิตรสหายที่ไม่เห็นด้วยกับการตัดสินใจของรัฐบาล ได้รวมตัวกันก่อตั้งองค์การต่อต้านญี่ปุ่น ขึ้นในทันที ซึ่งต่อมาเรียกว่า "ขบวนการเสรีไทย" ขบวนการนี้มีบทบาทสำคัญทั้งในและนอกประเทศ โดยมีเป้าหมายหลักสองประการ
เป้าหมายแรกคือ การต่อต้านญี่ปุ่นภายในประเทศ
ขบวนการเสรีไทยดำเนินการจัดตั้งเครือข่ายต่อต้านญี่ปุ่นอย่างเป็นระบบ ทั้งในด้านข่าวกรองและปฏิบัติการทางทหาร อีกทั้งยังมีการประสานงานกับฝ่ายสัมพันธมิตรเพื่อส่งข้อมูลด้านยุทธศาสตร์ ซึ่งช่วยให้ไทยมีบทบาทสำคัญในสมรภูมิสงครามโลก
อีกเป้าหมายหนึ่งคือ การดำเนินการทางการทูตเพื่อ "ผ่อนหนักเป็นเบา"
เสรีไทยทำงานอย่างหนักเพื่อให้ฝ่ายสัมพันธมิตรรับรู้ว่า ประเทศไทยไม่ได้เป็นศัตรูโดยสมัครใจ แต่ถูกบีบบังคับให้ต้องเข้าร่วมสงคราม การเคลื่อนไหวนี้นำไปสู่การยอมรับในระดับนานาชาติว่า ไทยไม่สมควรถูกปฏิบัติเช่นเดียวกับประเทศผู้รุกรานรายอื่น ๆ
ขบวนการเสรีไทยจึงไม่ใช่แค่กลุ่มต่อต้านญี่ปุ่นในเชิงสัญลักษณ์เท่านั้น หากแต่ได้ร่วมปฏิบัติการกับฝ่ายสัมพันธมิตรอย่างใกล้ชิด ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการสร้างข้อได้เปรียบทางการทูตให้ไทยในช่วงหลังสงคราม
การประกาศสันติภาพ โชคช่วย หรือ ยุทธศาสตร์?
การประกาศสันติภาพ ไม่ใช่ “อยู่ดีๆ ก็ออกมาประกาศ (กันเอง)” อย่างที่มีผู้กล่าวอ้าง หากแต่เป็นผลลัพธ์จากการประสานงานระหว่างรัฐบาลอังกฤษ สหรัฐอเมริกา และปรีดี พนมยงค์ ซึ่งได้ตกลงกันก่อนที่จะมีการประกาศอย่างเป็นทางการ
เมื่อญี่ปุ่นประกาศยอมจำนนในวันที่ 15 สิงหาคม 2488 ปรีดี พนมยงค์ ได้ออกแถลงการณ์ประกาศให้การประกาศสงครามของไทย “เป็นโมฆะ” ในวันที่ 16 สิงหาคม 2488 เพื่อเป็นการปฏิเสธอย่างเป็นทางการว่า ประเทศไทยไม่ได้อยู่ในภาวะสงครามกับฝ่ายสัมพันธมิตรอีกต่อไป
หลักฐานสำคัญที่สนับสนุนความสำเร็จของการประกาศสันติภาพนี้ ปรากฏในเอกสารทางการของรัฐบาลสหรัฐฯ ลงวันที่ 15 สิงหาคม 2488 (1945) ซึ่งระบุว่า รัฐบาลอังกฤษและรัฐบาลสหรัฐฯ ได้ตกลงให้ลอร์ดหลุยส์ เมาท์แบ็ตเทน แจ้งไปยังปรีดี พนมยงค์ (รูธ) ให้ประกาศสันติภาพโดยเร็วที่สุด เพื่อเป็นการปฏิเสธการประกาศสงครามของไทยที่เกิดขึ้นในสมัยรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม
ผลลัพธ์ที่สำคัญยิ่งของการประกาศสันติภาพ:
- ไทยไม่ต้องลงนามในเอกสารยอมจำนนแบบไม่มีเงื่อนไข
- กองกำลังไทยไม่ถูกปลดอาวุธเหมือนประเทศผู้แพ้สงคราม
- และที่สำคัญ การเดินสวนสนามของขบวนการเสรีไทยในวันที่ 25 กันยายน 2488 เป็นการแสดงออกอย่างชัดเจนต่อประชาคมโลกว่า ประเทศไทยยังคงความเป็นเอกราชและอธิปไตย

ปรีดี พนมยงค์ ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ เป็นประธานในพิธีสวนสนามเสรีไทย วันที่ 25 กันยายน 2488 โดยมี ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช นายกรัฐมนตรี ยืนอยู่แถวหลัง
มีผู้ตั้งข้อสังเกตว่า หากการประกาศสันติภาพเมื่อวันที่ 16 สิงหาคม 2488 มีผลจริง เหตุใดไทยจึงต้องลงนามในสัญญายุติสถานะสงครามในปี 2489? คำตอบคือ การประกาศสันติภาพเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของกระบวนการยุติสงคราม มิใช่ข้อตกลงสุดท้าย ไทยยังคงต้องดำเนินการทางการทูตเพื่อสูจน์ว่าตนเองเป็นชาติที่ใฝ่สันติ และไม่ใช่ประเทศผู้รุกราน
อย่างไรก็ตาม ท่าทีของสัมพันธมิตรที่ยอมเลิกสถานะสงครามกับไทยนั้นแตกต่างกันไปตามปัจจัยทางการเมือง ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และผลประโยชน์ของแต่ละฝ่าย การที่ไทยสามารถเจรจาข้อตกลงหลังสงคราม เช่น การเปลี่ยนจากการส่งข้าวให้แก่รัฐบาลอังกฤษโดยไม่มีค่าตอบแทน มาเป็นการจำหน่ายข้าวในราคาที่เหมาะสม ถือเป็นตัวอย่างหนึ่งของยุทธศาสตร์ทางการทูตที่ช่วยให้ไทยสามารถลดภาระและปกป้องผลประโยชน์ของประเทศได้
กรณีที่เด่นชัดที่สุดคือ ภายหลังสงคราม อังกฤษได้เรียกร้องให้ไทยลงนามใน "สัญญาสมบูรณ์แบบ" วันที่ 1 มกราคม 2489 ซึ่งเต็มไปด้วยเงื่อนไขที่เสียเปรียบ หนึ่งในนั้นคือ ข้อ 14 ที่กำหนดให้ไทยต้องส่งข้าว 1.5 ล้านตันให้กับอังกฤษฟรี แต่ภายหลัง รัฐบาลปรีดีสามารถเจรจาแก้ไข เปลี่ยนจากการให้ข้าวฟรี เป็นการขายข้าวตามราคาตลาดโลก
ในขณะที่นักวิชาการบางฝ่ายพยายามเชิดชูบทบาทของ เสนีย์ ปราโมช ในการช่วยให้ไทยรอดพ้นจากสถานะประเทศผู้แพ้สงคราม กลับไม่มีหลักฐานว่าเสนีย์เป็นผู้คัดค้านเงื่อนไขที่เสียเปรียบนี้ แต่หลักฐานกลับแสดงให้เห็นว่า เสนีย์เองเป็นผู้เสนอให้ไทยยอมจ่ายข้าว 1.5 ล้านตัน ในโทรเลขที่ส่งถึงปรีดี ก่อนการลงนามสัญญาสมบูรณ์แบบ เสนีย์เป็นผู้เสนอให้ไทยส่งข้าวให้สัมพันธมิตรโดยไม่คิดมูลค่า ข้อเสนอนี้ถูกอังกฤษใช้เป็นเงื่อนไขในสัญญาสมบูรณ์แบบ ซึ่งกลายเป็นภาระหนักของไทย
ข้อเท็จจริงอีกประการที่ถูกมองข้ามคือ ในสัญญาสมบูรณ์แบบ อังกฤษรับรองบทบาทของขบวนการเสรีไทยในการต่อต้านญี่ปุ่น และยอมรับว่าไทยมิใช่ผู้รุกรานโดยแท้จริง สิ่งนี้ชี้ให้เห็นว่าการดำรงอยู่ของไทยในฐานะประเทศเอกราชหลังสงคราม มิใช่เพราะโชคหรือปาฏิหาริย์ แต่เกิดจากยุทธศาสตร์ทางการทูตและการทำงานของขบวนการเสรีไทย ตลอดช่วงสงคราม (พ.ศ. 2484-2488) ความเสียสละของขบวนการเสรีไทยทั้งในการต่อต้านญี่ปุ่นภายในประเทศและการดำเนินงานทางการทูต ล้วนส่งผลให้สัมพันธมิตรเกิดความเห็นใจต่อประชาชนไทย ดังปรากฏในถ้อยคำปรารภของ "ความตกลงสมบูรณ์แบบ" นั่นเอง
การแก้ไขข้อตกลงนี้แสดงให้เห็นว่า ไทยไม่ได้เป็นฝ่ายที่ต้องยอมรับเงื่อนไขโดยไม่มีทางเลือก ถ้าหากรัฐบาลปรีดีไม่มีอำนาจต่อรองกับอังกฤษจริง ทำไมเงื่อนไขข้าวฟรีถึงถูกยกเลิกและเปลี่ยนเป็นข้อตกลงทางการค้า? ถ้าไม่มีผลจากรัฐประหาร 2490 ไทยจะสามารถปลดพันธะจากสัญญาสมบูรณ์แบบได้เร็วขึ้นหรือไม่?
การสรุปเหตุการณ์ด้วยคำว่า "ความบังเอิญ" โดยปราศจากการพิจารณาข้อเท็จจริงอย่างรอบด้าน และทำความเข้าใจมิติทางยุทธศาสตร์อย่างลึกซึ้ง อาจทำให้สังคมไทยเข้าใจผิดถึงบทบาทของขบวนการเสรีไทย ดังนั้น การศึกษาและนำเสนอข้อเท็จจริงที่ถูกต้อง ย่อมเป็นสิ่งสำคัญเพื่อให้ประชาชนไทยตระหนักถึงบทเรียนทางประวัติศาสตร์และเห็นคุณค่าของความเสียสละที่ช่วยให้ประเทศดำรงอยู่ในฐานะรัฐอิสระจนถึงทุกวันนี้
วันสันติภาพไทย: วันที่ควรค่าแก่การจดจำ
วันที่ 16 สิงหาคม จึงมิใช่เพียงวันประกาศสันติภาพเท่านั้น แต่เป็นวันแห่งการตอกย้ำถึง “เอกราชและอธิปไตยของไทย” ที่ได้มาโดย ยุทธศาสตร์และความเสียสละ มิใช่เพียงโชคชะตาหรือเหตุบังเอิญ หากไม่มีเสรีไทย หากไม่มีการประกาศสันติภาพ ไทยอาจต้องเผชิญชะตากรรมแบบเดียวกับประเทศผู้แพ้สงครามอื่นๆ ดังนั้น การรักษาความเป็นกลางและเอกราชของชาติไม่ใช่เพียงเรื่องในอดีต แต่ยังเป็นแนวคิดที่ควรค่าแก่การยึดมั่นสำหรับผู้รักชาติและใฝ่สันติภาพในปัจจุบันและอนาคต
อ่านต่อ: "ไทยรอดจากสงครามโลกครั้งที่ 2 เพราะปาฏิหาริย์?" หรือเพราะยุทธศาสตร์ทางการทูตและเสรีไทย?