ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก
เกร็ดประวัติศาสตร์

การวิเทโศบายของไทย ตอนที่ 3 : วิเทโศบายของไทย

28
เมษายน
2568

The United States and the Mekong Project
ที่มา: ScienceDirect

 

นโยบายต่างประเทศของไทยแต่โบราณกาล มีเป้าหมายจะรักษาเอกราชและความอยู่รอดของประเทศ โดยไม่ประสงค์จะมีส่วนเข้าข้างฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดในกรณีพิพาทหรือข้อขัดแย้งระหว่างประเทศใด ๆ ในตอนต้นปี ๒๔๘๒ มีข่าวลือกันว่ารัฐบาลไทยอันมีหลวงพิบูลสงครามเป็นนายกรัฐมนตรี อาจจะเข้าร่วมกับกระบวนการต่อต้านคอมมูนิสต์ รัฐบุรุษสำคัญของประเทศ ตั้งแต่พระองค์เจ้าอาทิตย์ทิพอาภา ประธานคณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ เจ้าพระยาศรีธรรมาธิเบศ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ หลวงประดิษฐ์มนูธรรม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และหม่อมเจ้าวรรณไวทยากร วรวรรณ ที่ปรึกษาราชการต่างประเทศ ต่างปฏิเสธต่อเซอร์โจซาย ครอสบี้ อัครราชทูตอังกฤษประจำประเทศไทยว่า ข่าวลือนั้นไม่เป็นความจริง อย่างมากที่อาจจะเป็นได้ก็คือ เป็นอุบายของญี่ปุ่นที่ประสงค์จะก่อกวนให้เกิดความเข้าใจผิดขึ้น

อย่างไรก็ดี ข่าวที่ว่าประเทศไทยจะสละนโยบายเป็นกลาง และหันไปเข้ากับญี่ปุ่นก็ยังคงลือกันหนาหูเรื่อยมา เมื่อวันที่ ๔ กรกฎาคม ๒๔๘๒ นาย เจ. เอช. แซ็ปแมน อุปทูตอเมริกาประจำกรุงเทพฯ รายงานต่อกระทรวงการต่างประเทศอเมริกันว่า กลุ่มทหารนิยมญี่ปุ่นที่ห้อมล้อมนายกรัฐมนตรี หลวงพิบูลสงคราม พยายามจะให้รัฐบาลเปลี่ยนนโยบาย เพราะเห็นว่า การใช้กำลังเท่านั้นที่จะก่อให้เกิดผลจริงจัง แม้ในบรรดารัฐมนตรีในคณะรัฐบาลไทยบางคนก็ยังมีความกริ่งเกรงว่า หลวงพิบูลสงคราม อาจจะหันเข้าข้างญี่ปุ่นในไม่เร็วก็ช้า อุปทูตจึงแนะให้ทางกระทรวงการต่างประเทศอเมริกันยกเรื่องขึ้นปรารภเตือนอัครราชทูตไทยที่กรุงวอชิงตันอีกทางหนึ่ง ตอนนั้นนายแฟรนซีส บี. แซร์ (พระยากัลยาณไมตรี) ดำรงตำแหน่งเป็นผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศอเมริกัน พิจารณาเห็นสมควรที่จะติดต่อกับพระยาอภิบาลราชไมตรี อัครราชทูตไทย เป็นการส่วนตัว จึงได้ขอไปพบที่เมืองออสเตอร์วีลล์ อันเป็นเมืองพักร้อนในรัฐแมสซาชูเซตส์ เมื่อวันที่ ๒๔ กรกฎาคม ระหว่างการสนทนา นายแซร์ได้ถือโอกาสเปรยถึงข่าวที่ประเทศไทยจะหันไปเข้าข้างญี่ปุ่นในการศึกกับจีน พระยาอภิบาลราชไมตรีปฏิเสธอย่างสิ้นเชิง โดยให้ความเห็นว่า คนไทยส่วนใหญ่ไม่ไว้ใจญี่ปุ่น

รัฐบาลไทยจะคงรักษาความเป็นกลางต่อไป พระยาอภิบาลราชไมตรียังได้ให้ตัวอย่างแก่นายแซร์ว่า รัฐบาลไทยได้รับการทาบทามจากอังกฤษว่า ถ้ารัฐบาลไทยให้คำมั่นสัญญาว่าจะอยู่ข้างอังกฤษเมื่อเกิดสงคราม รัฐบาลอังกฤษรับจะทำการป้องกันเมืองท่าของไทยจากการคุกคามของญี่ปุ่น ทางรัฐบาลไทยบอกปัดข้อเสนอนี้ โดยเห็นว่าจะขัดต่อนโยบายเป็นกลางของรัฐบาล นายแซร์ขอให้พระยาอภิบาลราชไมตรีส่งโทรเลขเข้ากรุงเทพฯ แจ้งความวิตกกังวลของนายแซร์ มิใช่ในฐานะผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศแต่ในฐานะเพื่อนเก่าแก่ของประเทศไทย มีความสำคัญว่า เอกราชและความผาสุกของประเทศไทย สำคัญอยู่ที่การรักษาความเป็นกลางโดยเคร่งครัดยิ่งเสียกว่าในอดีต ถ้านโยบายนี้เกิดเปลี่ยนแปลงไป อาจจะกระทบกระทั่งถึงเอกราชของประเทศไทย ไทยจะเสียประวัติดั้งเดิมได้ ต่อมาเมื่อวันที่ ๑๑ สิงหาคม กระทรวงการต่างประเทศไทยออกคำแถลงเป็นทางการปฏิเสธข่าวไทยจะเปลี่ยนท่าทีเป็นกลาง และยืนยันในมิตรภาพเท่าเทียมกันสำหรับทุกชาติ และเมื่ออังกฤษและฝรั่งเศสประกาศสงครามต่อเยอรมนีในวันที่ ๓ กันยายน ๒๔๘๒ ประเทศไทยประกาศความเป็นกลางทันทีในวันที่ ๕ เดือนเดียวกัน และนายกรัฐมนตรี หลวงพิบูลสงคราม ซึ่งดำรงตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศด้วย ได้เสนอแนะแก่อัครราชทูตอังกฤษว่าน่าจะมีการพิจารณาทำสัญญาไม่รุกรานต่อกันระหว่างไทยกับอังกฤษและฝรั่งเศส

ตามรายงานลงวันที่ ๖ ตุลาคม ๒๔๘๒ ถึงกระทรวงการต่างประเทศอังกฤษ เซอร์โจซาย ครอสบี้ กล่าวว่า เท่าที่สดับตรับฟังดู นายดอลแบร์ ที่ปรึกษาฝ่ายการต่างประเทศของรัฐบาลไทย ไม่สู้จะเห็นด้วยกับข้อดำรินี้นัก เพราะเกรงว่าจะทำให้ญี่ปุ่นเกิดระแวงสงสัยขึ้นได้ ทางหม่อมเจ้าวรรณไวทยากร วรวรรณ เสนอความเห็นต่อรัฐบาลไทยว่าไม่มีความจำเป็นที่จะต้องทำสัญญาไม่รุกรานกับประเทศอังกฤษและฝรั่งเศส เพราะการที่ประเทศคู่สงครามในยุโรปรับรู้ และเคารพความเป็นกลางของประเทศไทย นับเป็นการคุ้มกันเพียงพอ โดยเฉพาะสำหรับฝรั่งเศสมีสัญญาเคารพอาณาเขตของกันและกันอยู่ก่อนแล้ว

อย่างไรก็ตามในวันที่ ๒๗ ตุลาคม ๒๔๘๒ นายกรัฐมนตรีได้ขอให้อัครราชทูตอังกฤษและฝรั่งเศสไปพบ และยื่นบันทึกช่วยจำว่าด้วยการทำสัญญาไม่รุกรานต่อกัน โดยเฉพาะในร่างที่เสนอจะทำกับฝ่ายฝรั่งเศสมีบทบัญญัติเกี่ยวกับการปรับปรุงเกาะในลำนํ้าโขงแทรกเข้าไปด้วย เพราะฝ่ายไทยเห็นว่า ข้อตกลงที่ทำไว้กับฝรั่งเศสเกี่ยวกับเขตแดนด้านแม่นํ้าโขง ซึ่งให้ถือเกาะในแม่นํ้าโขงทุกเกาะเป็นของฝรั่งเศสนั้นไม่ยุติธรรมต่อฝ่ายไทยและไม่สอดคล้องกับหลักกฎหมายระหว่างประเทศ เพื่อป้องกันมิให้ญี่ปุ่นระแวงในท่าทีของไทย รัฐบาลไทยยินดีที่จะพิจารณาทำความตกลงทำนองเดียวกันกับฝ่ายญี่ปุ่นด้วย

การเจรจากับประเทศทั้งสามได้ดำเนินกระทั่งวันที่ ๑๒ มิถุนายน ๒๔๘๓ รัฐบาลไทยได้ลงนามในสัญญาไม่รุกรานกับอังกฤษและฝรั่งเศสที่กรุงเทพฯ และในวันเดียวกันนั้นก็ได้มีการลงนามในสัญญาเคารพบูรณภาพแห่งอาณาเขตต่อกันกับญี่ปุ่นที่กรุงโตเกียว

 

หมายเหตุ :

  • กองบรรณาธิการสถาบันปรีดี พนมยงค์ ได้รับอนุญาตให้เผยแพร่ต้นฉบับจากศูนย์ศึกษาการต่างประเทศ กระทรวงการต่างประเทศ หนังสือการวิเทโศบายของไทยแล้ว
  • โปรดดูเพิ่มเติม หมายเหตุบรรณาธิการได้ที่ ศาสตราจารย์กนต์ธีร์ ศุภมงคล, เรื่อง “วิเทโศบายของไทย”, การวิเทโศบายของไทย ระหว่างปีพุทธศักราช ๒๔๘๓ ถึง ๒๔๙๕ (กรุงเทพฯ : ศูนย์ศึกษาการต่างประเทศ กระทรวงการต่างประเทศ, ๒๕๖๖), 38-41 น.

บรรณานุกรม :

  • ศาสตราจารย์กนต์ธีร์ ศุภมงคล, เรื่อง “วิเทโศบายของไทย”, การวิเทโศบายของไทย ระหว่างปีพุทธศักราช ๒๔๘๓ ถึง ๒๔๙๕ (กรุงเทพฯ : ศูนย์ศึกษาการต่างประเทศ กระทรวงการต่างประเทศ, ๒๕๖๖), 38-41 น.

 

บทความที่เกี่ยวข้อง :