ศาสตราจารย์ ดร. กนต์ธีร์ ศุภมงคล
ที่มา : หนังสือการวิเทโศบายของไทย ระหว่างปีพุทธศักราช ๒๔๘๓ ถึง ๒๔๙๕
ข้าพเจ้ายังจำได้จนกระทั่งทุกวันนี้ว่า เมื่อข้าพเจ้าออกไปรับราชการประจำสถานเอกอัครราชทูตไทย ณ ประเทศญี่ปุ่น ในระยะแรกของสงคราม ในตำแหน่งเลขานุการโท ทำหน้าที่ด้านเศรษฐกิจ เป็นโอกาสให้ข้าพเจ้ารู้จักมักคุ้นสนิทสนมกับนักธุรกิจญี่ปุ่นมากมายหลายคน มีอยู่คนหนึ่งที่ทำธุรกิจกับประเทศไทยใกล้ชิดเคยเดินทางมาประเทศไทยหลายหน ได้ย้ำต่อข้าพเจ้าครั้งแล้วครั้งเล่าว่า ญี่ปุ่นมีภาระมหาศาลที่จะต้องปฏิบัติเพื่อชนชาวเอเชีย ความผูกพันเป็นพันธมิตรกับประเทศอักษะในยุโรปเป็นเพียงชั่วคราว หากฝ่ายอักษะชนะสงคราม วันหนึ่งข้างหน้าญี่ปุ่นกับเยอรมันจะต้องรบกันแน่ ชาวเอเชียควรจะหันหน้าเข้าหากันไว้ ช่วยต่อต้านการขยายตัวของชนชาติยุโรปและอเมริกัน เพื่ออิสรภาพและความมั่นคงของประชาชาติในเอเชีย
แต่มหาอาณาจักรนาซีและจักรวรรดินิยมญี่ปุ่นก็ได้พ่ายแพ้สงครามเป็นอันเสร็จเด็ดขาดไปแล้ว ฝ่ายสัมพันธมิตรซึ่งมีสหรัฐอเมริกาและสหภาพโซเวียตเป็นตัวตั้งตัวตีสำคัญ ภายหลังชัยชนะ กลับไม่สามารถที่จะทะนุถนอมรักษาสัมพันธไมตรีอันยิ่งใหญ่ไว้ได้ ในการประชุมยัลต้าตอนต้นเดือนกุมภาพันธ์ ๒๔๘๘ ผู้นำผู้ใหญ่ยิ่งทั้งสาม คือ ประธานาธิบดีรุสเวลท์ นายกรัฐมนตรีเชอร์ชิล และจอมพล สตาลิน สามารถตกลงวางแผนสันติภาพถาวรที่จะใช้เป็นมูลฐานของโลก จอมพล สตาลินถึงกับกล่าวว่า ตราบใดที่ทั้งสามท่านยังมีชีวิตอยู่ สันติภาพจะเป็นอันรักษาไว้ให้ยืนยงคงอยู่ แต่ก็ไม่มั่นใจว่า หลังจากนั้นสิบปี จะมีสิ่งใดเกิดขึ้น สองเดือนต่อมา ประธานาธิบดีรุสเวลท์ถึงแก่อสัญกรรมเมื่อวันที่ ๑๒ เมษายน รองประธานาธิบดีทรูแมนขึ้นดำรงตำแหน่งแทน เดือนกรกฎาคม นายกรัฐมนตรีเชอร์ชิลก็มีอันจะเป็นไปอีกผู้หนึ่ง เพราะท่านพ่ายแพ้การเลือกตั้งทั่วไปในอังกฤษ นายเคลเมนต์ แอ็ตลี หัวหน้าพรรคกรรมกรขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี ในบรรดาผู้นำยิ่งใหญ่ทั้งสามของสงคราม เหลือหน้าเก่าเพียงผู้เดียวคือ จอมพล สตาลิน ที่ยืนโรงอยู่ ฮิตเลอร์ประกอบอัตวินิบาตกรรมเมื่อ วันที่ ๑ พฤษภาคม ๒๔๘๘ กรุงเบอร์ลินแตกในวันรุ่งขึ้น เยอรมันยอมแพ้เมื่อวันที่ ๘ ต่อมา ส่วนญี่ปุ่นเห็นอานิสงส์ของระเบิดปรมาณูสองลูกติดตามกันในต้นเดือนสิงหาคม มหาอำนาจแห่งดินแดนอาทิตย์อุทัยยอมจำนนเมื่อวันที่ ๑๔
จอมพล สตาลินกล่าวต่อสมาชิกวุฒิสภาอเมริกันผู้หนึ่งเมื่อเดือนกันยายน ๒๔๘๘ ว่า พันธไมตรีอันยิ่งใหญ่สร้างขึ้นเพื่อเผชิญศัตรูร่วมกัน คือ ฮิตเลอร์ผู้ต้องการครอง ยุโรป เมื่อสิ้นฮิตเลอร์แล้ว จำต้องแสวงหาปัจจัยใหม่ที่จะผูกพันฝ่ายสัมพันธมิตรให้ ร่วมกันในอนาคต แต่ปัจจัยใหม่ดังว่านี้ไม่แสดงตัวออกมาสักที บรรดาประเทศในยุโรปต่างอ่อนเปลี้ยถึงขั้นเกือบสลายตัว โดยผลของสงครามนานปี ระบบระหว่าง ประเทศดั้งเดิมต้องพังทลาย จะเหลืออยู่ก็แต่สองมหาอำนาจ คือ สหรัฐอเมริกาและสหภาพโซเวียตเท่านั้น ทั้งสองเกิดเริ่มระแวงสงสัยซึ่งกันและกัน แม้แต่สัญญาสันติภาพที่จะทำกับเยอรมันก็ไม่มีทางตกลงกันได้ นอกจากแบ่งเยอรมันออกเป็น สอง เยอรมันตะวันตกอยู่ใต้อิทธิพลของสหรัฐอเมริกา อังกฤษ และฝรั่งเศส และ เยอรมันตะวันออกอยู่ภายใต้สหภาพโซเวียต นครหลวงเบอร์ลินพลอยถูกแบ่งเป็น สองไปด้วย พอสงครามร้อนเลิก สงครามเย็นก็อุบัติขึ้นแทน ต่างฝ่ายต่างแสวงหาสมัครพรรคพวกเข้าไว้ แบ่งเป็นโลกเสรีประชาธิปไตย และโลกคอมมูนิสต์
ในระยะนั้น ข้าพเจ้าทำหน้าที่เป็นหัวหน้ากองการเมือง รักษาการอธิบดีกรมการเมืองตะวันตก และต่อมาได้เลื่อนขึ้นเป็นตัวอธิบดี ข้าพเจ้าอยู่ในฐานะที่จะเสนอข้อคิดเห็นทางการเมืองระหว่างประเทศได้พอสมควร เพื่อประกอบการวินิจฉัยของกระทรวงการต่างประเทศกำหนดวิเทโศบายของประเทศไทย ข้าพเจ้ารู้สึกว่าในโลกที่แบ่งแยกเป็นสองฝ่ายเผชิญหน้ากันอยู่เช่นนั้น ประเทศไทยน่าจะดำเนินนโยบายเป็นอิสระ ไม่หันเหเข้าข้างใดข้างหนึ่งโดยเฉพาะ มหาประเทศเขาจะขัดแย้งช่วงชิงผลประโยชน์กัน น่าจะปล่อยให้เป็นเรื่องของเขา เราควรวางตัวเป็นกลางไม่ผูกพันกับฝ่ายใดทั้งสิ้น เราน่าจะเอาอย่างสวิตเซอร์แลนด์ สร้างสมกำลังทาง ป้องกันของเราให้มีประสิทธิภาพที่แท้จริง สิ่งที่เราอาจจะยึดถือได้ก็คือ องค์การสหประชาชาติที่ประเทศไทยต้องยอมเสียสละหลายสิ่งหลายอย่างเพื่อสมัครเข้าเป็นสมาชิก ข้าพเจ้าเห็นว่า ประเทศไทยควรพยายามเป็นศูนย์กลางส่วนภูมิภาคของสหประชาชาติ และสำนักงานชำนัญพิเศษในเครือสหประชาชาติ สร้างกรุงเทพฯ ให้เป็นเสมือนนครเจนีวา ซึ่งความจริงเริ่มประสบความสำเร็จบ้างแล้ว โดยคณะกรรมาธิการเศรษฐกิจสำหรับเอเชียและตะวันออกไกล กองทุนฉุกเฉินสำหรับเด็กของสหประชาชาติ องค์การอนามัยโลก ตกลงเปิดสำนักงานส่วนภูมิภาคที่กรุงเทพฯ ตาม ๆ กัน
สำหรับสหรัฐอเมริกา ซึ่งได้ให้ความกรุณาปรานีแก่ประเทศไทยเป็นพิเศษ ไม่รับรู้สถานะสงครามที่รัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม ประกาศด้วย ทั้งยังคอยช่วยป้องกันมิให้ฝ่ายสัมพันธมิตรด้วยกันเข้ามาปกครองประเทศไทยเยี่ยงประเทศที่แพ้สงครามอื่น ๆ และคอยขัดขวางมิให้อังกฤษและประเทศในเครือจักรภพที่วางตน เป็นคู่สงครามกับประเทศไทย เรียกร้องถือสิทธิทำกับไทยในฐานะผู้พิชิตเหมือนที่ทำกับญี่ปุ่น ประเทศไทยย่อมต้องมีกตัญญูกตเวทิตาเป็นพิเศษ แต่มีบางอย่างเหมือนกันที่ข้าพเจ้าเชื่อว่า สหรัฐอเมริกาน่าจะให้ความเห็นอกเห็นใจแก่ไทยยิ่งกว่าที่ให้อยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องดินแดนที่ประเทศไทยเคยต้องเสียให้แก่ต่างชาติล่าอาณานิคม รัฐบาลอเมริกันยืนกรานไม่รับรู้การเปลี่ยนแปลงทางดินแดนใด ๆ ที่เกิดขึ้นระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง และเอออวยบังคับให้ประเทศไทยส่งมอบดินแดนที่ได้รับคืนมากลับให้แก่ประเทศเจ้าอาณานิคมตามเดิม จริงอยู่สหรัฐอเมริกาอยากจะเห็นดินแดนอาณานิคมเหล่านั้นได้เอกราช มีอิสรภาพของตนเอง แต่ก็ยังมีความรู้สึกผูกพันกับสัมพันธมิตรเดิมอยู่ เกรงดินแดนเหล่านั้นจะตกเข้าไปใต้อิทธิพลของคอมมูนิสต์ เป็นอันว่าเมื่อสิ้นสุดสงครามใหม่ ๆ ประเทศเจ้าอาณานิคมได้รับโอกาสให้กลับเข้าปกครองดินแดนอาณานิคมต่อไป อย่างน้อยก็อีกระยะหนึ่ง
ข้าพเจ้าเห็นว่า หมดสมัยที่จะคงมีอาณานิคมอยู่ต่อไปแล้ว ถ้าประเทศไทยมีทางจะช่วยเหลือให้ประชาชาติเพื่อนบ้านกลับได้รับเอกราชและอิสรภาพคืน มีความเป็นอยู่ของตนเองได้ก็เป็นการดี ส่วนจะมีการปกครองในรูปหรือระบบใด ปล่อยให้เป็นสิทธิของเขาที่จะเลือกเฟ้นเอาเอง ไทยเราไม่ชอบระบอบการปกครองคอมมูนิสต์ เราควรคิดป้องกันด้วยวิธีต่าง ๆ ที่จะไม่ให้คอมมูนิสต์คลี่คลายขยายตัวขึ้นภายในประเทศ แต่เราไม่น่าจะวางตัวเป็นศัตรูกับทุกประเทศที่เป็นคอมมูนิสต์ ขนาดมหาอาณาจักรยิ่งใหญ่ของผู้เผด็จการฮิตเลอร์ ยังดำเนินนโยบายเป็นปฏิปักษ์ต่อคอมมูนิสต์ไม่ตลอดรอดฝั่ง ไฉนเลยไทยเล็กกระจิริดจะสามารถสกัดกั้นการแพร่ขยายของคอมมูนิสต์ทั่วโลกได้ ถ้าคอมมูนิสต์ไม่มายุ่งกับไทย ไทยจะไปยุ่งกับคอมมูนิสต์ในที่อื่นเพื่อประโยชน์อันใด
ทั้งนี้เป็นแนวความคิดเห็นของข้าพเจ้าที่เสนอต่อกระทรวงในทุกโอกาสที่มีการพิจารณาเรื่องเหล่านี้ ส่วนกระทรวงจะเห็นด้วยหรือไม่ และรัฐบาลจะตัดสินใจให้ดำเนินนโยบายอย่างใด เป็นเรื่องของเบื้องบน เมื่อตกลงกำหนดเป็นนโยบายแล้ว กระทรวงการต่างประเทศก็จะต้องปฏิบัติตามต่อไป ครั้นเมื่อข้าพเจ้าต้องพ้นจากกรมการเมืองตะวันตกไป เข้ารับหน้าที่ในกรมสหประชาชาติในปี ๒๔๙๓ ข้าพเจ้าไม่มีหน้าที่เสนอข้อคิดเห็นด้านการเมืองระหว่างประเทศนอกกรอบสหประชาชาติ
รัฐบาลไทยหลังสงคราม จนกระทั่งเมื่อรัฐประหารปลายปี ๒๔๙๐ มีท่าทีจะรักษาความเป็นกลางไม่ฝักใฝ่เข้าข้างฝ่ายใดในสงครามเย็นระหว่างมหาประเทศ ครั้นเมื่อจอมพล ป. พิบูลสงคราม กลับขึ้นครองอำนาจใหม่ในเดือนเมษายน ๒๔๙๑ เป็นธรรมดาอยู่เองที่ท่านต้องบำเพ็ญตนให้อังกฤษและอเมริกันเลิกมองท่านในฐานะศัตรูเสียที ท่านพยายามเอาใจทุกอย่าง แม้แต่ฝรั่งเศสซึ่งเป็นศัตรูคู่อาฆาตของท่าน สมัยเรียกร้องดินแดนอินโดจีน ท่านก็ต้องทำดีด้วย เอกอัครราชทูตอังกฤษมีโทรเลขรายงานกระทรวงต่างประเทศ เมื่อวันที่ ๑๔ กันยายน ๒๔๙๑ ว่า จอมพล ป. พิบูลสงคราม กล่าวขออภัยอย่างซึ่งหน้าในท่าทีของท่านระหว่างสงคราม อ้างว่า อยู่ในบังคับให้ต้องปฏิบัติเช่นนั้นเพื่อป้องกันความเดือดร้อนที่จะเกิดขึ้นแก่อาณาประชาราษฎร เมื่อระยะเวลาผ่านพ้นไปพอสมควรแล้ว หวังว่า ความรังเกียจเดียดฉันท์ที่นโยบายของท่านก่อให้เกิดขึ้นในประเทศอังกฤษจะกลับกลายเป็นการให้อภัยอโหสิ ต่อกัน นายทอมสันได้ตอบไปว่า สนใจในปัจจุบันและอนาคตยิ่งกว่าเหตุการณ์ในอดีต เพราะมองเห็นจอมพล ป. พิบูลสงคราม จะเป็นปัจจัยสำคัญในการร่วมมือระหว่างไทยกับอังกฤษ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพื่อปราบปรามผู้ก่อการร้ายคอมมูนิสต์ ที่เพาะตัวอยู่ในมลายู อีกสองวันต่อมา นายทอมสันมีโทรเลขรายงานกระทรวงการต่างประเทศอังกฤษว่า บัดนี้ จอมพล ป. พิบูลสงคราม ยอมลงมาร่วมงานกับฝ่ายแองโกลแซ็กซอนในการปราบคอมมูนิสต์อย่างแน่นอนแล้ว รัฐบาลอังกฤษควรสนับสนุนและให้ความช่วยเหลือเต็มที่ และว่าวันใดที่ศัตรูของจอมพลสามารถขับไล่ท่านให้พ้นจากตำแหน่งไป วันนั้นจะเป็นวันฝันร้ายของอังกฤษและเป็นมหันตภัย ต่อมลายู ไทยตัดสินใจให้ความร่วมมือกับอังกฤษในการปราบปรามโจรคอมมูนิสต์ ชายแดนทางใต้ติดต่อกับมลายู ดังได้กล่าวมาแล้วในบทก่อน
ทางด้านอินโดจีนที่ติดต่อกับชายแดนทางเหนือ ตะวันออกเฉียงเหนือ และตะวันออกของประเทศไทย สถานการณ์สลับซับซ้อนยิ่กว่า เพราะชนชาวญวน ลาว และเขมร ส่วนใหญ่ไม่ชอบการปกครองของฝรั่งเศสทั้งนั้น ญวนมีโฮจิมินห์ ชื่อเดิม เหงียนเอเก๊าะ เริ่มเรียกร้องจะเอาเอกราชอธิปไตยคืนตั้งแต่ปี ๒๔๖๐ มาแล้ว ภายหลัง ที่ได้ไปรับการฝึกอบรมที่กรุงมอสโก ในปี ๒๔๖๖ กลับมาถึงตั้งขบวนการต่อต้านฝรั่งเศสในปี ๒๔๗๓ เมื่อฝรั่งเศสต้องปราชัยในสงครามต่อเยอรมัน ญี่ปุ่นเริ่มแผ่อิทธิพลเข้าไปในอินโดจีน สามารถทำสัญญาป้องกันร่วมกับรัฐบาลฝรั่งเศสที่วิชี พวกนักชาตินิยมผู้ต้องการเอกราชรวมตัวกันต่อต้านญี่ปุ่น โฮจิมินห์จัดตั้งองค์การเวียดมินห์ขึ้นดำเนินงานการเมืองและการทหาร ระหว่างสงครามได้รับความสนับสนุนจากพวก โอ.เอส.เอส. ให้ทำการใต้ดินเป็นปฏิปักษ์ต่อญี่ปุ่น ในเดือนมีนาคม ๒๔๘๘ ญี่ปุ่นตกลงขอให้ฝรั่งเศสถอนตัวจากอินโดจีน เสนอให้เอกราชแก่ญวน และให้จักรพรรดิเบาได๋จัดตั้งรัฐบาลขึ้นที่ไซ่ง่อน ทั้ง ๆ ที่เจ้าตัวไม่ได้อยู่ที่ไซ่ง่อน ในวันเดียวกับวันที่ญี่ปุ่นลงนามยอมจำนนต่อฝ่ายสัมพันธมิตร เมื่อวันที่ ๒ กันยายน ๒๔๘๘ โฮจิมินห์ประกาศสถาปนาสาธารณรัฐประชาธิปไตยเวียดนามขึ้นทางเหนือ และ เรียกร้องให้จักรพรรดิเบาได๋ ซึ่งโฮจิมินห์ถือเป็นหุ่นของฝรั่งเศสและญี่ปุ่นลา ออกจากความเป็นประมุขเสีย ย้ำในสิทธิกำหนดเจตจำนงตนเองของประชาชนเวียดนาม และประกาศเอกราชโดยอาศัยใช้ถ้อยคำแบบเดียวกับในประกาศเอกราชของสหรัฐอเมริกาสมัยแยกตัวจากอังกฤษ ในการเลือกตั้งทั่วไปที่จัดให้มีขึ้น ปรากฏว่า โฮจิมินห์และพวกเวียดมินห์ได้รับชัยชนะอย่างท่วมท้น ได้ที่นั่งในสภาแห่งชาติเกือบทั้งหมด โฮจิมินห์ประกาศตนเป็นประธานาธิบดีของสาธารณรัฐประชาธิปไตยเวียดนามและเรียกร้องให้ฝรั่งเศสถอนตัวออกจากอินโดจีน
โฮจิมินห์คาดการณ์ผิดอย่างสำคัญอย่างหนึ่ง คือ หวังที่จะได้รับการสนับสนุน จากสหรัฐอเมริกาต่อต้านฝรั่งเศส เช่นเดียวกับที่เคยได้ในการต่อต้านญี่ปุ่นระหว่างสงคราม ต้องผิดพลาดไปถนัด นโยบายเป็นปฏิปักษ์ต่อลัทธิเผด็จการนาซีต้องเลิกล้มไปพร้อมกับการสลายตัวของเยอรมัน สหรัฐฯ หันไปหานโยบายต่อต้านคอมมูนิสต์แทน แต่เดิมสหรัฐฯ เชื่อในขบวนการโฮจิมินห์ว่าเป็นขบวนการชาตินิยม แต่พอ สิ้นสุดสงครามแล้ว กลับเกรงโฮจิมินห์จะเป็นลูกมือของคอมมูนิสต์ จึงเริ่มเบี่ยงบ่ายถอนการสนับสนุนโฮจิมินห์ สิ้นปี ๒๔๘๘ คณะของ โอ.เอส.เอส. ในเวียดนามถูกเรียกตัวกลับ ทำให้ฝ่ายฝรั่งเศสตระหนักด้วยความกระหยิ่มใจว่า กำลังแรงหนุนเวียดมินห์กำลังจะทลายหายไปแล้ว
ตามที่ได้กล่าวมาแล้วในบทที่ ๒๑ การแบ่งเขตสมรภูมิฝ่ายสัมพันธมิตร อินโดจีนต้องแบ่งออกเป็นสองส่วนที่เส้นขนานที่ ๑๖ เหนือเส้นนั้นเป็นเขตสมรภูมิของจีน ทหารจีนคณะชาติทำหน้าที่เข้ารับการยอมจำนนของญี่ปุ่น ส่วนทางใต้ของเส้นขนานที่ ๑๖ เป็นสมรภูมิของพลเรือเอก ลอร์ดหลุยส์ เมานต์แบตตัน ผู้บัญชาการทหารสูงสุดประจำเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ วันที่ ๑๓ กันยายน ๒๔๘๘ ลอร์ดหลุยส์ส่งนายพลเกรซีพร้อมด้วยกำลังทหารบริติชเข้าไซ่ง่อน พาทหารฝรั่งเศสติดอาวุธเข้าไปด้วย และแทนที่จะทำการปลดอาวุธกำลังทหารญี่ปุ่น กลับสนใจในการปลดอาวุธทหารญวนมากกว่า ยิ่งกว่านั้นยังอาศัยทหารญี่ปุ่นให้ช่วยสอดส่องรักษา ความสงบเรียบร้อยในเวียดนาม ภายหลังที่ได้รับการยอมจำนนของพลเอก เทราอุจิ ผู้บัญชาการทหารญี่ปุ่นแล้ว ลอร์ดหลุยส์ประกาศคืนอำนาจการปกครองให้แก่ฝรั่งเศส เมื่อวันที่ ๒๓ กันยายน
ทางเหนือเส้นขนานที่ ๑๖ ทหารของจอมพล เจียงไคเช็ครับการยอมจำนนของญี่ปุ่นแล้ว ไม่ยอมถอนตัวออกจากเวียดนามเหนือ ต้องรอมาจนกระทั่งเดือนมีนาคม ๒๔๘๙ โฮจิมินห์ตกลงกับฝรั่งเศสขอให้จีนถอนทหารออก โดยฝรั่งเศสเข้าแทนที่และยอมรับรองรัฐบาลของโฮจิมินห์ในภาคเหนือของเวียดนาม สมัยนั้นเป็นเวลาที่พวกคอมมนิสต์เข้าร่วมอยู่ในรัฐบาลฝรั่งเศส จึงมีการผ่อนเอาใจโฮจิมินห์พอสมควร โฮจิมินห์ยอมไปเจรจาการเมืองกับรัฐบาลฝรั่งเศสที่ฟองแตนโบล ฝรั่งเศสยืนกรานไม่ยอมให้โฮจิมินห์เข้าควบคุมเวียดนามส่วนทางใต้ การเจรจาชะงักงันไม่เกิดผลสำเร็จ ฝรั่งเศสถือโอกาสส่งกำลังทหารเข้าไปเพิ่มในอินโดจีน เกิดการสู้รบกับพวกเวียดมินห์ ฝรั่งเศสบุกเข้าเมืองไฮฟอง ความตกลงเดือนมีนาคมจึงเป็นอันล้มเลิกไป ทั้งสองฝ่ายกลับสู้รบกันอีก ด้วยกำลังอาวุธที่ดีกว่า ฝรั่งเศสสามารถขับไล่พวกเวียดมินห์ออกจากฮานอย นครหลวงของสาธารณรัฐประชาธิปไตยเวียดนามได้ โฮจิมินห์ใช้วิธีสู้ฝรั่งเศสโดยอาศัยกองโจร ทำอาวุธใช้เองบ้าง ส่วนใหญ่แย่งชิงเอาจากทหารฝรั่งเศส โดยไม่ได้รับความช่วยเหลือจากภายนอกแต่ประการใด
ฝรั่งเศสคิดสร้างรัฐเวียดนามขึ้น อัญเชิญจักรพรรดิเบาได๋ให้เสด็จกลับมาเป็นประมุขปกครอง โดยในทางปฏิบัติแล้ว หาได้ให้อิสรภาพจริงจังแก่เบาได๋ไม่ มีการจำกัดอำนาจของรัฐเวียดนามจนมองไม่เห็นเอกราชอันแท้จริง
ปลาย ๒๔๘๙ มีผู้แทนรัฐบาลโฮจิมินห์ ผู้แทนลาว และเขมรอิสระประชุมกันที่กรุงเทพฯ ทั้งสามฝ่ายร่วมลงนามในบันทึกลงวันที่ ๑ มกราคม ๒๔๙๐ เสนอหลักการจะให้มีการจัดตั้งสหพันธรัฐเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ประกอบด้วยประเทศไทย พม่า มลายู อินโดนีเซีย เวียดนาม กัมพูชา และลาว ในชั้นแรกประสงค์จะให้เสนอบันทึกนั้นไปให้กรุงวอชิงตันพิจารณาดำเนินการ แต่ต่อมาเกิดเปลี่ยนเป็นให้เสนอต่อสถานเอกอัครราชทูตอเมริกัน ณ กรุงเทพฯ เพื่อให้เป็นผู้ส่งต่อเลขาธิการสหประชาชาติ เอกอัครราชทูตสแตนตันโทรเลขรายงานกระทรวงการต่างประเทศ อเมริกันเมื่อวันที่ ๗ มกราคม ทางกระทรวงการต่างประเทศตอบทูตเมื่อวันที่ ๑๔ ไม่เห็นด้วยกับที่จะให้ดำเนินการอย่างนั้น เพราะรัฐบาลอเมริกันไม่ควรจะรับปฏิบัติการให้ในนามของขบวนการชาตินิยมในอินโดจีน จึงขอให้เอกอัครราชทูตส่งเอกสารคืน แก่ผู้แทนสามฝ่าย ความจริงนายแอจิสัน ปลัดกระทรวงการต่างประเทศ เคยเสนอจะเป็นสื่อให้มีการติดต่อทำความเข้าใจระหว่างฝรั่งเศสกับผู้แทนสามชาติมาก่อนแล้ว หากแต่ฝรั่งเศสยังเชื่อในความสามารถของตนที่จะจัดการขบปัญหาของอินโดจีนได้โดยลำพัง โดยมีดำริจะใช้แผนการร่วมมือทางเศรษฐกิจและวัฒนธรรมระหว่างสามชาติในอินโดจีนเป็นปัจจัยสำคัญ แต่ไม่ถึงกับเป็นการร่วมมือทางการเมือง พอจีนคอมมูนิสต์เข้ายึดครองผืนแผ่นดินใหญ่จีนสำเร็จในปี ๒๔๙๒ รัฐบาลเมาเซตุง ประกาศรับรองรัฐบาลโฮจิมินห์ ติดตามด้วยสหภาพโซเวียต เป็นอันว่า โฮจิมินห์เพิ่งได้รับการสนับสนุนจากต่างประเทศเป็นทางการ จึงอยู่ในฐานะที่จะกระทำการสู้รบกับฝ่ายฝรั่งเศสต่อไปด้วยประสิทธิภาพที่เพิ่มขึ้น
อันความดำริที่จะจัดตั้งสหพันธ์รัฐบาลเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ความจริงเกิดขึ้นแล้ว ตั้งแต่ตอนต้นของสงครามมหาเอเชียบูรพา เมื่อญี่ปุ่นสามารถเข้ายึดครองดินแดนต่าง ๆ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งล้วนตกอยู่ภายใต้การปกครองของต่างชาติ เพื่อให้ได้รับการสนับสนุนจากประชากรพื้นเมือง ญี่ปุ่นประกาศยกดินแดนเหล่านั้นขึ้นเป็นอิสระ ให้เอกราชแก่พม่าภายใต้บามอ หมู่เกาะชวาและสุมาตรา ภายใต้โซการ์โน และอินโดจีนภายใต้อดีตจักรพรรดิเบาได๋ องค์กษัตริย์เขมร และเจ้ามหาชีวิตลาวเดิม แต่แท้ที่จริงแล้ว ญี่ปุ่นยังคงกำอำนาจการควบคุมไว้ด้วยการ สถาปนากระทรวงขึ้นใหม่เพื่อการนี้ เรียกว่า กระทรวงมหาเอเชียบูรพา บรรดาประชากรพื้นเมืองของดินแดนเหล่านี้จึงยังคงรวบรวมตัวกันทำการต่อสู้เพื่อเอกราชของตนอยู่อย่างไม่ลดละ
ท่านปรีดี พนมยงค์ มีความเห็นอกเห็นใจในประณิธานของประชากรเหล่านั้น และพร้อมที่จะให้การสนับสนุนทุกวิถีทางเพื่อให้ได้เอกราชเป็นอิสระอย่างแท้จริงท่านริเริ่มจะจัดตั้งสมาพันธรัฐเอเชียตะวันออก รวมบรรดารัฐทั้งหลายในปริมณฑล ซึ่งจะมีประเทศไทยเป็นแกนนำในฐานะที่เป็นประเทศเอกราชเก่าแก่ที่สุด ในชั้นแรก สหรัฐอเมริกาก็ดูจะสนับสนุนความดำรินี้อยู่ แต่ต่อมาภายหลังเมื่อฝ่ายคอมมูนิสต์ สามารถเข้ายึดดินแดนภาคพื้นแผ่นดินของประเทศจีนได้สำเร็จ ฝ่ายอเมริกันเกิด เกรงกลัวว่า ขบวนการอิสรภาพเหล่านั้นจะกลายเป็นเครื่องมือในการขยายตัวคอมมูนิสต์จึงถอนการสนับสนุน
ประธานาธิบดีแฮร์รี เอส ทรูแมน ประธานาธิบดีคนที่ 33 ของสหรัฐอเมริกา
ที่มา : Missouri Stage
เดือนพฤษภาคม ๒๔๙๓ ประธานาธิบดีทรูแมนตกลงในหลักการช่วยฝรั่งเศสโดยเกรงคอมมูนิสต์จะเข้าครองอินโดจีน เปลี่ยนจากนโยบายเดิมของประธานาธิบดีรุสเวสท์ที่ต้องการจะให้อิสรภาพแก่บรรดาอาณานิคม
ระหว่างที่พวกญวนดิ้นรนต่อสู้เพื่ออิสรภาพของตนเองนั้น ตั้งแต่สมัยที่ฝรั่งเศสปกครองอยู่สมัยญี่ปุ่นเข้าปกครอง และสมัยฝรั่งเศสกลับเข้าปกครองใหม่ คนชาวเวียดนามสู้รบปรบมือกับเจ้านายฝ่ายปกครองตลอดมา เมื่อพลาดพลั้งเสียท่า ก็อพยพหลบหนีเข้ามาซ่อนในประเทศไทยตามบริเวณชายแดน สร้างสมกำลังได้ใหม่ก็เข้าไปสู่ฝ่ายปกครองอีก ทางฝ่ายไทยจำต้องรับพวกอพยพหลบหนีภัยเหล่านี้ไว้เพื่อมนุษยธรรม ในทางจิตใจ รู้สึกเห็นใจในการเสียสละของนักชาตินิยม ให้ความเอื้อเฟื้อเท่าที่จะกระทำได้โดยไม่กระทบกระเทือนถึงสัมพันธไมตรีระหว่างประเทศ ครั้นเมื่อท่านจอมพล ป. พิบูลสงคราม กลับมาครองอำนาจใหม่ ภายหลังการรัฐประหารปี ๒๔๙๐ เพื่อเอาใจฝรั่งเศสที่ให้การรับรองรัฐบาลของท่าน ท่านประกาศร่วมมือกับฝรั่งเศสในการป้องกันมิให้พวกเวียดมินห์เข้ามาอาศัยใช้ประเทศไทยเป็นฐานปฏิบัติการลับ แม้แต่ดินแดนเดิมของไทยที่ท่านสามารถปลุกระดมให้ปวงชนชาวไทย ฮือขึ้นสละเลือดเนื้อเรียกร้องเอาคืนจากฝรั่งเศสจนสำเร็จ ทำให้ท่านเป็นหวานใจของคนไทย เป็นผู้นำตลอดกาล เมื่อไทยถูกอำนาจกดดันจากภายนอกให้จำต้อง คืนกลับให้แก่ฝรั่งเศสภายหลังสงคราม ท่านเกิดไม่ติดใจต่อไป ดังจะเห็นได้จากการที่ท่านได้ลั่นวาจากับนายจิลแบรต์ เอกอัครราชทูตฝรั่งเศสว่า เป็นเรื่องของอดีตซึ่งควรจะลืมได้แล้ว ท่านจะลืมได้จริงหรือเปล่า ข้าพเจ้าไม่แน่ใจ แต่ก้าวใหม่ของท่านในการดำเนินวิเทโศบายดูจะหนักไปในทางเอาใจประเทศใหญ่ฝ่ายสัมพันธมิตรซึ่งรวมทั้งฝรั่งเศสศัตรูเดิมของท่าน
เมื่อรัฐบาลฝรั่งเศสพยายามปั้นรัฐบาลเบาได๋ขึ้นใหม่ และประสงค์จะให้ประเทศไทยรับรอง ทั้งเอกอัครราชทูตอังกฤษและอเมริกันเข้าพบท่านจอมพล ป. พิบูลสงคราม ตอนต้นเดือนกุมภาพันธ์ ๒๔๙๓ ท่านจอมพลเบี่ยงบ่ายว่ายังสงสัยในมติมหาชนในเวียดนามว่า สนับสนุนเบาได๋เพียงใด หากแผนฝรั่งเศสไม่สำเร็จผลประเทศไทยจะตกอยู่ในฐานะลำบาก เพราะในภาคอีสานบริเวณแม่น้ำโขง มีพวกเวียดมินห์ต่อต้านเบาได๋หลบซ่อนอยู่เป็นจำนวนมาก พวกนี้ถืออาวุธทั้งนั้น อาจจะกลายเป็นภัยต่อความมั่นคงของประเทศไทยได้ เอกอัครราชทูตทอมสันมีโทรเลขลง วันที่ ๑๐ กุมภาพันธ์ รายงานกระทรวงการต่างประเทศอังกฤษว่า ได้พบพูดกันเรื่องนี้กับคุณพจน์ สารสิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ คุณพจน์ชี้แจงว่า การรับรองรัฐบาลเวียดนามมีความสำคัญสำหรับประเทศไทยมาก ทำดีไม่ดีอาจจะก่อให้เกิดความรู้สึกไม่เป็นมิตรจากประชากร ๒๕ ล้านคนในอินโดจีน นายทอมสันให้เหตุผลว่า อังกฤษและอเมริกันต้องการสนับสนุนขบวนการชาตินิยมในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ซึ่งกำลังถูกฝ่ายคอมมูนิสต์คุกคามอยู่ การรับรองรัฐบาลเบาได๋เป็นวิถีทางหนึ่งที่จะช่วยในการสกัดกั้นการขยายตัวของคอมมูนิสต์ คุณพจน์โต้ว่า ถ้าฝ่ายเสรีประชาธิปไตยต้องการจะต่อต้านขบวนการคอมมูนิสต์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จริง จะต้องปฏิบัติการอย่างจริงจัง มิใช่แต่เพียงกล่าวถ้อยแถลงด้วยวาจาเท่านั้น
ปัญหาเรื่องการรับรองรัฐบาลในอินโดจีนภายหลังที่ต่างฝ่ายต่างได้ทำความตกลง ชั่วคราวกับรัฐบาลฝรั่งเศส ทูตฝรั่งเศสเสนอขอให้รัฐบาลไทยรับรองรัฐบาลทั้งสาม ในอินโดจีน คือ รัฐบาลลาว เขมร และเวียดนาม ความตกลงชั่วคราวกำหนดให้ทั้งสามรัฐยังคงเป็นส่วนหนึ่งของสหภาพฝรั่งเศส เอกราชที่ประกาศให้เป็นแต่ในนาม เพราะยังมีข้อจำกัดตัดสิทธิอธิปไตยบางอย่างอยู่ เฉพาะอย่างยิ่งในด้านการดำเนินวิเทโศบายของประเทศ และความผูกพันทางการทหารสำหรับราชอาณาจักรลาวและกัมพูชาถือได้ว่า เป็นการริเริ่มปูทางไปสู่เอกราชและอิสรภาพในอนาคต พอจะ ถูไถรับฟังได้ แต่กรณีเวียดนามมีปัญหาพิเศษสอดแทรกอยู่ เพราะฝรั่งเศสพยายาม ตั้งรัฐบาลจักรพรรดิเบาได๋ขึ้นทางใต้ แข่งกับรัฐบาลโฮจิมินห์ทางเหนือ ในการรับรองรัฐบาลเวียดนามจะต้องเลือกเอาว่า จะรับรองรัฐบาลของโฮจิมินห์ หรือรัฐบาลเบาได๋ รัฐบาลสหภาพโซเวียตเดินตามรอยรัฐบาลจีนคอมมูนิสต์ที่ปักกิ่ง โดยให้การรับรองรัฐบาลโฮจิมินห์แต่เมื่อวันที่ ๓๐ มกราคม ๒๔๙๓ ในฐานะที่เป็นผู้แทนอันแท้จริงของประชาชนส่วนใหญ่ในเวียดนาม แต่ฝ่ายฝรั่งเศสใคร่จะขอให้รัฐบาลไทยให้การรับรองรัฐบาลเบาได๋ตามรัฐบาลอังกฤษและอเมริกัน ซึ่งมีความเห็นว่า ถ้าไม่ให้การรับรองแก่รัฐบาลเบาได๋แล้ว จะทำให้โลกมองเห็นว่า ในอินโดจีนมีรัฐบาลที่ต่างประเทศรับรองเพียงรัฐบาลเดียว คือ รัฐบาลโฮจิมินห์ โดยเฉพาะรัฐบาลอเมริกัน เชื่อว่า วันหนึ่งข้างหน้า ฝรั่งเศสถึงเวลาที่จะต้องถอนตัวออกไปจากอินโดจีน แต่ไม่ประสงค์จะให้ฝรั่งเศสถอนตัวทันทีทันใด เกรงจะเป็นโอกาสให้ฝ่ายคอมมูนิสต์ซึ่งเข้ายึดผืนแผ่นดินใหญ่ของประเทศจีนได้แล้ว หาทางแทรกแซงเข้าไปในอินโดจีนต่อ
เมื่อเรื่องขึ้นสู่การพิจารณาของกระทรวงการต่างประเทศ ข้าพเจ้าในฐานะอธิบดี กรมการเมืองตะวันตก ทำบันทึกยืดยาวรวมถึง ๘ หน้ากระดาษเต็ม ลงวันที่ ๑๑ กุมภาพันธ์ ๒๔๙๓ ชี้แจงถึงผลดีผลร้ายในการรับรองรัฐบาลของจักรพรรดิเบาได๋โดยละเอียดถี่ถ้วน ความสำคัญสรุปว่า ในด้านผลดี การรับรองของรัฐบาลไทยจะ สร้างความพอใจให้แก่รัฐบาลฝรั่งเศส อังกฤษ และอเมริกัน ทำให้รัฐบาลอังกฤษและอเมริกันเกิดความแน่ใจในท่าทีของไทย และจะเอื้อเฟื้อให้ความช่วยเหลือสนับสนุน ประเทศไทยทั้งในทางการเมือง การเศรษฐกิจ และการทหาร ถ้าต่อไปรัฐบาลเบาได๋มีความมั่นคงขึ้น จนสามารถทำหน้าที่เป็นรัฐบาลถาวรของเวียดนามแล้ว ก็จะเป็นเครื่องหมายแห่งความเห็นอกเห็นใจและความเข้าใจดีระหว่างประเทศไทยกับเวียดนาม
ในด้านผลร้าย การณ์อาจเป็นได้ว่า รัฐบาลเบาได๋เท่าที่เป็นอยู ่ในขณะนั้น ไม่ได้รับความยกย่องนับถือจากประชาชนชาวเวียดนามส่วนใหญ่ หากต่อไปยังคงขาดการสนับสนุนจากประชาชน และฝ่ายรัฐบาลโฮจิมินห์สามารถตั้งรัฐบาลถาวรได้ ประเทศไทยจะกลายเป็นปรปักษ์ต่อรัฐบาลเวียดนาม และด้วยกำลังแรงหนุนจาก จีนคอมมูนิสต์ ภัยต่อความมั่นคงของไทยจะหนักยิ่งขึ้น ในฐานะที่ประเทศไทยเป็นประเทศเล็กที่สามารถรักษาเอกราชของตนเองได้ตลอดระยะเวลาขยายอาณานิคม นโยบายของไทยจะเป็นอย่างอื่นไม่ได้นอกจากต้องไม่เห็นด้วยกับการปกครองเมืองขึ้น ประเทศไทยจำต้องยึดมั่นและสนับสนุนสิทธิกำหนดเจตจำนงตนเอง ซึ่งเป็นแก่นสำคัญของสันนิบาตชาติตลอดมาจนถึงสมัยสหประชาชาติ ระบอบใหม่ที่ฝรั่งเศสพร้อมจะให้แก่รัฐบาลอินโดจีน มิได้คำนึงถึงสิทธิกำหนดเจตจำนงของประชาชนชาวอินโดจีน มิได้ให้เอกราชแท้จริง หากยังคงสงวนอำนาจบางส่วนไว้ให้แก่ฝรั่งเศส ตามทัศนวิสัยของประเทศมีเมืองขึ้น การสนับสนุนรัฐบาลเบาได๋จะเท่ากับสนับสนุนระบอบอาณานิคมของฝรั่งเศสนั่นเอง แม้จะในรูปที่ผ่อนคลายความกดขี่ลงไปบ้างก็ตาม แล้วข้าพเจ้าได้แจงการจำกัดสิทธิอธิปไตยที่ฝรั่งเศสยังคงสงวนเป็นสิทธิอยู่ในอำนาจของฝรั่งเศสทั้งในทางการทูต การทหาร การศาล การศึกษา การคลัง และ อธิปไตยภายในส่วนรวม
ข้าพเจ้าเปรียบตัวบุคคลระหว่างจักรพรรดิเบาได๋กับโฮจิมินห์ว่า ผู้ใดจะมีอิทธิพล และได้รับการสนับสนุนจากประชาชนเวียดนามมากกว่ากัน เบาได๋เคยเป็นจักรพรรดิของญวนมาก่อนก็จริง แต่ก็ได้ลาพ้นจากตำแหน่งเป็นอันเด็ดขาดไปแล้ว พวกฝรั่งเศสขนานนามว่า “จักรพรรดิแห่งสถานเริงรมย์ราตรีกาล” เคยได้รับการชุบเลี้ยงทางเงินทองจากรัฐบาลฝรั่งเศสเสมอมา แม้พวกปัญญาชนของเวียดนามก็หานิยมชมชื่นในเบาได๋ไม่ ถือว่าชอบสนุกมากกว่าอื่น ส่วนโฮจิมินห์นั้นเป็นนักรบปรบมือสู้ฝรั่งเศสเพื่อกู้อิสรภาพและเอกราชของเวียดนามมาโดยตลอด อยู่ในฐานะได้รับความยกย่องจากประชาชนส่วนใหญ่ การที่รัฐบาลอเมริกันและอังกฤษตัดสินใจรับรองรัฐบาลเบาได๋ ใช่จะพอใจในสถานการณ์ในเวียดนามก็หาไม่ หากเป็นเพียง เพื่อถ่วงหรือโต้การที่คอมมูนิสต์จีนและสหภาพโซเวียตให้การรับรองรัฐบาลโฮจิมินห์ต่างหาก เป็นการขัดแย้งระหว่างรัฐกลุ่มตะวันตกและตะวันออกในสงครามเย็น ในฐานะที่ไทยเป็นประเทศเล็ก และเป็นเพื่อนบ้านใกล้ชิดของเวียดนาม เราจะต้องเสี่ยงภัยมากกว่าสหรัฐอเมริกาและอังกฤษ ซึ่งเป็นมหาประเทศอยู่ห่างไกลจากท้องที่ที่เกิดเหตุ ถ้ารัฐบาลไทยรับรองเบาได๋และต่อไปรัฐบาลเบาได๋อยู่ไม่รอด ไทยจะกลายเป็นปรปักษ์หรืออย่างน้อยก็ไม่เป็นมิตรต่อรัฐบาลโฮจิมินห์ ความสัมพันธ์ ระหว่างสองประเทศในอนาคตจะมีอุปสรรคขัดข้องหม่นหมองเป็นเงาดำ โฮจิมินห์อาจร่วมมือกับจีนคอมมูนิสต์เป็นปฏิปักษ์ต่อไทย โดยไทยไม่อาจร้องขอความเห็น อกเห็นใจอย่างใดเลย ยิ่งกว่านั้นการรับรองรัฐบาลเบาได๋ อาจจะก่อให้เกิดความยุ่งยาก เฉพาะหน้าในประเทศไทย จากพวกญวนที่อพยพเข้ามาอาศัยอยู่ในราชอาณาจักรเป็นจำนวนมาก ล้วนเอนเอียงเข้าข้างโฮจิมินห์ทั้งนั้น
ข้าพเจ้ากล่าวสืบไปว่า ถ้าการต่อสู้ในอินโดจีนเป็นการต่อสู้ระหว่างญวนกับฝรั่งเศส ประเทศไทยย่อมสนับสนุนฝรั่งเศสไม่ได้ ถ้าเป็นการต่อสู้ระหว่างเบาได๋กับโฮจิมินห์ช่วงชิงอำนาจกันในเวียดนาม ไทยก็ไม่ควรเข้าแทรกแซงในกิจการภายในของเวียดนาม โดยลำพังตัวเองเบาได๋ไม่มีทางสู้โฮจิมินห์ ต้องอาศัยมือฝรั่งเศสหนุนหลัง การสนับสนุนเบาได๋เท่ากับส่งเสริมให้มีการแบ่งแยกภายในอินโดจีนให้รุนแรงขึ้น กลายเป็นสงครามระหว่างประเทศ ซึ่งจะนำผลกระทบกระเทือนอย่างใหญ่หลวงมาให้ประเทศไทยแน่นอน
ปัญหาสำคัญอีกข้อหนึ่งอยู่ที่ว่า ขบวนการโฮจิมินห์เป็นขบวนการนิยมคอมมูนิสต์ จริงหรือ นายแม็กโดแนล ข้าหลวงใหญ่อังกฤษประจำเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เคยกล่าวว่า ในบรรดาสมัครพรรคพวกของโฮจิมินห์ ที่เป็นคอมมูนิสต์มีเพียงร้อยละยี่สิบ นอกนั้นเป็นพวกนักชาตินิยมที่ต่อสู้เพื่อเอกราชของชาติญวน ถ้าขบวนการโฮจิมินห์ทำการสำเร็จ ผู้ใดในบรรดาพวกคอมมูนิสต์และพวกชาตินิยมจะเข้าเสวยอำนาจแท้จริง ในหลักการก็น่าจะอาศัยการเลือกตั้งทั่วไปเป็นเครื่องวินิจนัย การที่ฝ่ายคอมมูนิสต์รับรองโฮจิมินห์ จะทึกทักถือว่ารัฐบาลโฮจิมินห์เป็นรัฐบาลคอมมูนิสต์ภายใต้บังคับบัญชาของจีนคอมมูนิสต์และสหภาพโซเวียตได้แล้วหรือ ไม่ใช่ว่าทุกรัฐบาลที่สหภาพโซเวียตรับรอง ต้องถือเป็นรัฐบาลคอมมูนิสต์ทั้งหมด
ข้าพเจ้าเน้นอีกว่า การที่โฮจิมินห์จะสนิทสนมกับรัฐบาลจีนคอมมูนิสต์ได้เพียงใดเป็นอีกเรื่องหนึ่งต่างหาก หลังสงครามใหม่ ๆ เมื่อจีนเข้ายึดครองดินแดนส่วนหนึ่งของอินโดจีน โฮจิมินห์หันเข้าหาฝรั่งเศสเพื่อเรียกร้องให้จีนต้องถอนตัวออกไป ก่อนที่จะร่วมเป็นร่วมตายกับจีนคอมมูนิสต์ เวียดนามจะต้องใช้ความพินิจพิเคราะห์อย่างมาก สำหรับไทยเรานั้น เราไม่นิยมคอมมูนิสต์เป็นพื้นฐาน แต่ถ้าประเทศอื่นเลือกโดยสมัครใจหรือไม่ก็ตามที่จะมีระบอบการปกครองคอมมูนิสต์ อย่างมากที่ไทยจะกระทำได้ก็คือ เสียใจด้วยที่เขาเลือกเช่นนั้น แต่เราไม่อาจจะเข้าไปแทรกแซง การรับรองรัฐบาลเป็นปัญหาข้อเท็จจริงว่า รัฐบาลนั้นมีอำนาจปกครองจริงเพียงใด ได้รับความสนับสนุนจากประชากรหรือไม่ ส่วนเมื่อรับรองไปแล้ว เราจะติดต่อด้วยอย่างสนิทสนมเพียงใดหรือไม่เลย เป็นเรื่องของไทยโดยเฉพาะ
ข้าพเจ้ากล่าวด้วยว่า ประเทศไทยยังไม่รับรองรัฐบาลเมาเซตุงในประเทศจีน ในขณะที่หลายประเทศในเอเชียรับรองแล้ว ถ้าประเทศไทยกลับรับรองรัฐบาลเบาได๋ ในเมื่อยังไม่มีประเทศใดในเอเชียรับรอง จะเท่ากับว่า ไทยเราปลีกตนแยกออกจากกลุ่มประเทศในเอเชีย แล้วข้าพเจ้าสรุปในตอนท้ายว่า เมื่อสถานการณ์ในอินโดจีนยังไม่กระจ่างแจ้งพอ น่าจะถือนโยบายรอดูเหตุการณ์ความคืบหน้าไปพลางก่อนโดยไม่เข้ากับฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด อันอาจจะถือเป็นการแทรกแซงเข้าไปในกิจการภายใน ของประเทศเพื่อนบ้าน แต่ถ้ารัฐบาลมีความจำเป็น จะโดยเหตุหนึ่งเหตุใดก็ตาม ที่จะต้องปฏิบัติการอย่างใดออกไปแล้ว ก็น่าจะเพียงแถลงรับรู้ข้อเท็จจริงที่ได้มีการทำความตกลงระหว่างฝรั่งเศสกับเวียดนาม เขมร ลาว และแสดงความหวังว่า เป็นเพียงการดำเนินการในชั้นแรกเพื่อเปิดทางให้ทั้งสามชาติบรรลุถึงซึ่งเอกราชอธิปไตยอันสมบูรณ์ในภายหน้า และในการนี้ ข้าพเจ้าเสนอว่า เมื่อไทยรับรู้การเจรจาตกลงที่ฝรั่งเศสทำกับทั้งสามชาติในอินโดจีนแล้ว ฝ่ายฝรั่งเศสจะพึงให้ประโยชน์ใดสนองตอบแทนบ้าง เพราะไทยกับฝรั่งเศสยังคงมีปัญหาคั่งค้างเป็นอุปสรรคต่อกันในความสัมพันธ์ของสองประเทศอยู่
ที่ประชุมกระทรวงการต่างประเทศเห็นชอบด้วยกับข้อเสนอของข้าพเจ้า ท่าน รัฐมนตรีพจน์ สารสิน สั่งให้ทำเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี ซึ่งได้ประชุมกันถึงสามครั้ง สามคราว ไม่สามารถตกลงกันได้ ดังจะเห็นได้จากหนังสือของเลขาธิการคณะ รัฐมนตรีที่ นว. ๓๔/๒๔๙๓ ลงวันที่ ๒๗ กุมภาพันธ์ ๒๔๙๓ ยืนยันว่า
“ด้วยท่านนายกรัฐมนตรีมีคำสั่งว่า บัดนี้ เห็นเป็นการสมควรจะได้ประกาศรับรองรัฐบาลเวียดนาม รัฐบาลลาว และรัฐบาลเขมรตามที่ได้ปรึกษาหารือในที่ประชุมคณะรัฐมนตรีมาแล้วโดยละเอียดเป็นเวลา ๓ คราว และรัฐมนตรีส่วนมากได้มีความเห็นว่า ควรรับรองรัฐบาลดังกล่าวนั้นแล้ว เว้นบางท่านที่ไม่เห็นด้วยเท่านั้น ฉะนั้น รัฐบาลจะได้ประกาศรับรองรัฐบาลเวียดนาม รัฐบาลลาว และรัฐบาลเขมรต่อไป” รัฐมนตรีที่ไม่เห็นด้วยได้แก่ คุณพจน์ สารสิน และรัฐมนตรีอื่นอีกสองสามท่านที่เห็นควรรอการรับรองไว้ก่อนจนเหตุการณ์จะคลี่คลายกระจ่างขึ้นและมีประเทศอื่นในเอเชียให้การรับรองแล้ว
ท่านนายกรัฐมนตรีเป็นผู้เขียนคำสั่งด้วยลายมือของท่านเอง เลือกถ้อยคำใช้ในคำรับรองรัฐบาลส่งเป็นโทรเลขถึงนายเหวียนพันลอง นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรี ว่าการกระทรวงการต่างประเทศในรัฐบาลเบาได๋ เจ้าบุญอุ้ม นายกรัฐมนตรีลาว และ นายเย็น ซัมโบร์ นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเขมร มีข้อความตรงกันว่า รัฐบาลไทยมีความเห็นอกเห็นใจที่ทั้งสามประเทศได้มาซึ่งเอกราชแห่งประชากรเป็นรัฐบาลที่รัฐบาลของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะมีสัมพันธไมตรีด้วยต่อไป เพื่อความอิสรภาพ เสรีภาพ และความเจริญรุ่งเรืองความผาสุกของ ประชาชนในสามประเทศนั้น โดยทางกระทรวงการต่างประเทศทำหน้าที่เพียงแปล เป็นภาษาอังกฤษ ส่งไปยังผู้รับทั้งสามท่าน เมื่อวันที่ ๒๘ กุมภาพันธ์ ๒๔๙๓ คุณ พจน์ สารสิน เป็นผู้ลงนามในโทรเลขที่กระทรวงการต่างประเทศมีถึงสถานทูตสถานกงสุลไทยในต่างประเทศแจ้งการตัดสินใจของรัฐบาลให้ทราบทั่วกันทุกแห่ง
ในวันเดียวกันนั้น ท่านจอมพล ป. พิบูลสงคราม เขียนด้วยลายมือตนเองเป็นคำแถลงการณ์ที่จะประกาศให้ประชาชนทราบ โดยสั่งตรงให้หม่อมเจ้าวงศานุวัตร เทวกุล ปลัดกระทรวงการต่างประเทศ ปรับปรุงถ้อยคำสำนวนแปลเป็นภาษาอังกฤษเพื่อนำออกประกาศทางหนังสือพิมพ์ และวิทยุกระจายเสียง ซึ่งทางกระทรวงการต่างประเทศได้สนองความประสงค์โดยออกคำแถลงการณ์ดังนี้
รัฐบาลสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีความตระหนักแน่ว่า ความเจริญรุ่งเรืองและความผาสุกของประชาชาติทั้งปวงจะคงอยู่ได้ ก็ย่อมเกิดจากสันติภาพถาวรของโลกตามหลักของสหประชาชาติ ในวิถีทางประชาธิปไตย ประเทศไทยได้ร่วมเป็นสมาชิกของสหประชาชาติ ได้ยึดหลักการปกครองประเทศในระบอบประชาธิปไตย ตามแนวทางของสหประชาชาติ และแสวงหาหนทางอยู่เสมอ ในอันที่จะรักษาความสงบเรียบร้อยภายในประเทศ และเป็นมิตรที่ดีต่อประเทศเพื่อนบ้านใกล้เคียงทั้งหลาย เพื่อที่จะร่วมมือกันดำรงรักษาและส่งเสริมสวัสดิภาพและความผาสุกอันถาวรที่สุดเท่าที่จะทำได้
แต่อย่างไรก็ดี สถานการณ์ในปัจจุบันนี้เป็นที่น่าคำนึงอยู่ว่า ความสงบเรียบร้อยอันจะนำมาซึ่งความผาสุกสำหรับประชาชนในประเทศทั้งหลายใน เอเชียตะวันออกไกลรวมทั้งประเทศไทยด้วย ได้รับความกระทบกระเทือนจากระบอบการปกครองของลัทธิคอมมูนิสต์ อันเป็นลัทธิที่ประชาชนจะต้องทำลายล้างศาสนาประจำชาติของตนและเลิกล้มระบบการถือกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินของตนทั้งมวล ประชาชนทั้งปวงจะต้องสละแรงงานของตนเพื่อผลิตพืชพันธุ์ธัญญาหารและหารายได้ซึ่งต้องนำไปรวมเป็นส่วนกลาง และตนเองหาได้เป็นเจ้าของไม่ เหล่านี้เป็นต้น หลักการปกครองโดยระบอบคอมมูนิสต์ดังกล่าวนี้ เป็นการยืนต่อความเป็นอยู่ของประชาชาติไทยที่บรรพบุรุษของเรา ได้ก่อตั้งขึ้นไว้ให้แก่เรามาจนทุกวันนี้หากระบอบการปกครองลัทธิคอมมูนิสต์ เข้ามาสู่ประเทศไทยประชาชนทั้งชาติจะมีแต่รบราฆ่าฟันล้างผลาญกัน และได้รับแต่ความอดอยากดังที่ประเทศหลายประเทศประสบอยู่ทุกวันนี้ และบัดนี้ลัทธิคอมมูนิสต์ซึ่งบีบบังคับและหลอกลวงประชาราษฎร์ในประเทศ ต่าง ๆ ให้หลงเชื่อไปว่า เป็นลัทธิที่จะนำความผาสุกมาสู่ตนนั้น ได้ล่วงเข้ามายังประเทศจีน และคืบต่อเข้ามาถึงประเทศญวนใกล้บ้านของเราแล้ว ซึ่งเป็นที่น่าหวาดเกรงว่า ประชาชนในภาคเอเชียอาคเนย์รวมตลอดประเทศไทย และประเทศอื่น ๆ ด้วย จะถูกบีบบังคับและหลอกลวงให้ตกเข้าไปอยู่ภายใต้ การปกครองในระบบคอมมูนิสต์ต่อไป ฉะนั้น ประเทศเพื่อนบ้านทั้งหลายซึ่ง รัฐบาลของตนมีความหวังดีต่อความผาสุกอันถาวรของประชาชน จึงได้คำนึงถึงการป้องกันราชอาณาจักรของตนให้พ้นจากภัยแห่งการปกครองโดยลัทธิคอมมูนิสต์โดยแข็งขัน ถ้าหากอินโดจีน มลายู พม่า และประเทศไทย ซึ่งเป็นอู่ข้าวอู่น้ำ และเป็นคลังของวัตถุดิบที่จะป้อนโรงงานเหล่านี้ ตกไปอยู่ภายใต้บังคับของเหล่าที่ปกครองด้วยระบบคอมมูนิสต์แล้ว ก็ย่อมจะเห็นได้ว่า ทวีปเอเชียทั้งทวีปจะต้องกลายสภาพการปกครองสู่ระบบคอมมูนิสต์โดยสิ้นเชิง
ประเทศไทยอันเป็นที่รักยิ่งของบรรพบุรุษของเราและของบรรดาพี่น้องชาวไทยในปัจจุบันนี้ จะคงอยู่ต่อไปด้วยความผาสุกราบรื่นได้ดังที่บรรพบุรุษของเราได้รับมาแล้วนั้น ก็จะเป็นที่พี่น้องชาวไทยทุกคนจะต้องป้องกันประเทศชาติของเราให้พ้นจากภัยแห่งการปกครองโดยลัทธิคอมมูนิสต์ กำจัดเสียซึ่งลู่ทางทั้งปวงที่จะก่อระบอบการปกครองคอมมูนิสต์ และต้องธำรงรักษาไว้ซึ่งระบอบการปกครองประชาธิปไตยในทุกวันนี้ให้สถิตสถาพรตลอดไป
อันการขยายตัวของระบบการปกครองโดยคอมมูนิสต์นั้น ย่อมมีแนวปฏิบัติในทางต่าง ๆ ทางเผยแพร่และทางปลุกปั่น และในที่สุดทางใช้กำลังอาวุธด้วย ประกอบกับในขณะนี้มีประเทศหลายประเทศซึ่งประชาชนได้ถูกหลอกลวงให้เชื่อไป และกำลังได้รับความอดอยากทรมานอยู่ทุกวันนี้ ดังนั้น จะเห็นได้ว่า การต่อต้านระบอบการปกครองคอมมูนิสต์อันไร้ความผาสุกนี้ ย่อมเป็นงานใหญ่ เป็นการเหลือกำลังที่แต่ละประเทศจะทำให้สำเร็จไปได้ด้วยลำพังตนเอง ย่อมจะต้องอาศัยความสามัคคีเป็นสมานฉันท์จากหลายประเทศร่วมกัน และจากหลายรัฐบาลร่วมกันด้วย
ด้วยเหตุดังกล่าวนี้ รัฐบาลสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจึงได้พิจารณาโดยรอบคอบแล้วเห็นว่า การรับรองรัฐบาลเวียดนาม รัฐบาลลาว และรัฐบาลเขมร ซึ่งประเทศฝรั่งเศสได้มอบความเป็นเอกราชให้ด้วยเมตตาจิตในระยะนี้ ย่อมจะนำความผาสุกและความเจริญรุ่งเรืองมาสู่ประชาชนชาวเวียดนาม ลาว และ เขมรได้อย่างดี ตามวิถีทางแห่งระบอบประชาธิปไตย และตามหลักของสหประชาชาติต่อไป ทั้งจะเป็นทางให้ประชาชาติเพื่อนบ้านผู้เป็นมิตรของไทยได้พ้นจากภัยของการปกครองระบอบคอมมูนิสต์ กับทั้งจะเป็นทางช่วยประเทศเพื่อนบ้านใกล้เคียงทั้งหลาย รวมทั้งประเทศไทย ให้ปลอดภัยจากระบอบคอมมูนิสต์โดยมิต้องประสบความอดอยากทรมานทั้งปวง ฉะนั้น รัฐบาลสมเด็จพระเจ้าอยู่จึงได้ตกลงให้การรับรองแก่รัฐบาลเวียดนาม รัฐบาล ลาว และรัฐบาลเขมร ตั้งแต่วันที่ ๒๘ กุมภาพันธ์ ๒๔๙๓ แล้ว ดังที่ได้ประกาศ ให้ทราบทางวิทยุกระจายเสียงนั้นแล้ว
รัฐบาลสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจึงหวังเป็นอย่างมากว่า การให้การรับรองแก่ รัฐบาลเวียดนาม รัฐบาลลาว และรัฐบาลเขมรดังกล่าวนี้ ประชาชนชาวไทยคงจะได้ให้ความร่วมมือโดยแสดงความเห็นชอบด้วย และช่วยกันขจัดปัดเป่าการต่อต้านของผู้ที่หลงผิดไปนิยมระบอบคอมมูนิสต์ ซึ่งกำลังเผยแพร่ข่าวอยู่ประปรายทั่วไปในประเทศของเรานั้นให้สูญสิ้นไป และช่วยกันให้กำลังใจ แก่พี่น้องชาวเวียดนาม ลาว และเขมร ที่ได้รับอิสรภาพในคราวนี้ จงมีแต่ความสำเร็จ ความผาสุกและความเจริญรุ่งเรืองตลอดไป
(ลงนาม) ป. พิบูลสงคราม
สำนักนายกรัฐมนตรี
๒๘ กุมภาพันธ์ ๒๔๙๓
สรุปความได้ว่า การที่รัฐบาลไทยรับรองรัฐบาลทั้งสามนั้น เป็นส่วนหนึ่งของการต่อต้านสกัดกั้นการขยายตัวของลัทธิคอมมูนิสต์ ซึ่งกำลังเผยแพร่ปลุกปั่นหลอกลวง ประชาชนในประเทศต่าง ๆ อยู่ และกำลังคุกคามล่วงล้ำจะเข้าถึงประเทศไทยแล้ว การตัดสินใจรับรองรัฐบาลเบาได๋คงจะเนื่องจากได้รับทราบจากเอกอัครราชทูต อเมริกันว่า การที่ประเทศไทยจะได้รับความช่วยเหลือจากสหรัฐอเมริกาหรือไม่เพียงใด อยู่ที่การจะรับรองรัฐบาลเบาได๋หรือไม่ ท่านไม่มีทางเลือก ต้องยอมผ่อนตามความประสงค์ของรัฐบาลอเมริกัน
รุ่งขึ้นวันที่ ๑ มีนาคม คุณพจน์ สารสิน ยื่นใบลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการ กระทรวงการต่างประเทศตามมารยาททางการเมือง เมื่อข้อเสนอของท่านเกี่ยวกับ การรับรองรัฐบาลเบาได๋ ซึ่งเป็นนโยบายสำคัญไม่ได้รับความเห็นชอบจากท่านนายกรัฐมนตรี ท่านย่อมคงอยู่ต่อไปในตำแหน่งรัฐมนตรีไม่ได้ ท่านนายกรัฐมนตรีแต่งตั้งนายวรการบัญชาเข้าดำรงตำแหน่งแทน คุณพจน์ สารสิน ในวันนั้น
นายวรการบัญชาเข้ามาดำรงตำแหน่งไม่เท่าใด มีการประชุม อ.ก.พ. กระทรวงเพื่อพิจารณาโยกย้ายสับเปลี่ยนข้าราชการผู้ใหญ่ชั้นหัวหน้าคณะทูตไทยในต่างประเทศ ที่ประชุมตกลงเป็นเอกฉันท์ให้ส่งข้าพเจ้าไปดำรงตำแหน่งผู้แทนไทย ถาวรประจำสหประชาชาติ เพื่อช่วยพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวรรณไวทยากร เอกอัครราชทูต ณ กรุงวอชิงตัน ซึ่งทรงรับหน้าที่เป็นผู้แทนไทยถาวรประจำสหประชาชาติควบกันไป นายวรการบัญชานั่งเป็นประธานที่ประชุม อ.ก.พ. กระทรวงไม่ปริปากอย่างใด ปล่อยให้เป็นมติเอกฉันท์ออกไป แต่ข้าพเจ้าเกิดความรู้สึกว่า ท่านคงไม่อยากจะให้ข้าพเจ้าออกไปประจำในต่างประเทศตอนนั้นเท่าใดนัก ข้าพเจ้ามีโอกาสจึงเรียนต่อท่านว่า ข้าพเจ้าไม่มีความจำเป็นทางการเงินที่จะต้องไปอาศัยรายได้ที่ดีกว่าในต่างประเทศ ประกอบกับข้าพเจ้ายังโสดอยู่ เหลือแต่มารดาที่จะต้องเอาใจใส่ หากท่านรัฐมนตรีต้องการจะให้ข้าพเจ้าอยู่ช่วยงานทางกระทรวงข้าพเจ้าไม่ขัดข้อง ท่านรัฐมนตรีเลยนั่งทับมติของ อ.ก.พ. กระทรวง เรื่องจะโยกย้ายข้าพเจ้าไปนิวยอร์กไว้จนท่านพ้นจากตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เมื่อวันที่ ๒๘ มีนาคม ๒๔๙๕
ไม่ถึงสามเดือนหลังจากที่นายวรการบัญชาเข้าว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เกิดกรณีเกาหลีเหนือซึ่งเป็นประเทศคอมมูนิสต์ส่งกำลังทหารเข้าบุกสาธารณรัฐ เกาหลี (เกาหลีใต้) ซึ่งเป็นฝ่ายโลกเสรีประชาธิปไตย เมื่อวันที่ ๒๕ มิถุนายน ๒๔๙๓ เรื่องเข้าสู่การพิจารณาของคณะมนตรีความมั่นคง ในฐานะที่เป็นสถานการณ์อันกระทบกระเทือนถึงสันติภาพและความมั่นคงระหว่างประเทศ ในช่วงนั้นข้าพเจ้าย้ายจากกรมการเมืองตะวันตกมาเป็นอธิบดีกรมสหประชาชาติแล้ว จึงเป็นหน้าที่ของข้าพเจ้าโดยตรงที่จะต้องเสนอความเห็นดำเนินเรื่องในกรณีเกาหลี สหรัฐอเมริกา ขอให้คณะมนตรีความมั่นคงพิจารณาเหตุการณ์ในเกาหลี ในฐานะที่อาจจะกระทบกระเทือนสันติภาพและความมั่นคงระหว่างประเทศ คณะมนตรีฯ เปิดประชุมในวันเดียวกันนั้น ตามปกติเมื่อมีข้อขัดแย้งระหว่างมหาอำนาจที่เป็นสมาชิกถาวรในคณะมนตรีความมั่นคง คณะมนตรีฯ จะมีมติให้ดำเนินการอย่างใดไม่ได้ จะต้องประสบกับสิทธิยับยั้งของสมาชิกถาวรไม่ประเทศใดก็ประเทศหนึ่ง กรณีเกาหลีเป็นการเผชิญหน้าระหว่างโลกเสรีประชาธิปไตยกับโลกคอมมูนิสต์ในสงครามเย็น ซึ่งเพิ่งจะกลายเป็นสงครามร้อน สหรัฐอเมริกาเสนอให้คณะมนตรีฯ ลงมติถือการที่เกาหลีเหนือส่งกำลังทหารเข้าไปในเกาหลีใต้เป็นการละเมิดสันติภาพและความมั่นคงระหว่างประเทศ เรียกร้องให้ยุติการศึกระหว่างกันโดยทันที ให้เกาหลีเหนือถอนกำลังทหารจากเกาหลีใต้ให้พ้นเส้นขนานที่ ๓๘ ซึ่งเป็นเขตกั้นชายแดนระหว่างเกาหลีใต้กับเกาหลีเหนือ สั่งให้คณะกรรมการของสหประชาชาติที่ตั้งทำการอยู่แล้ว ในเกาหลีใต้ คอยติดตามเหตุการณ์เกี่ยวกับการถอนทหารของเกาหลีเหนือ แล้วเสนอข้อแนะต่อคณะมนตรี ทั้งยังเรียกร้องให้สมาชิกสหประชาชาติทุกประเทศ อำนวยความช่วยเหลือแก่สหประชาชาติในการนั้น
ในตอนนั้นสหภาพโซเวียตตั้งแง่งอนไม่ยอมเข้าร่วมประชุมคณะมนตรีฯ เนื่องจาก สหประชาชาติไม่ยินยอมให้รัฐบาลจีนคอมมูนิสต์เข้านั่งในสหประชาชาติในฐานะผู้แทนประเทศจีนแทนรัฐบาลจอมพล เจียงไคเช็คที่ไต้หวัน เมื่อสหภาพโซเวียตไม่เข้าร่วมประชุม ก็ไม่มีผู้ใดใช้สิทธิยับยั้ง คณะมนตรีฯ มีมติรับข้อเสนอของผู้แทนอเมริกัน เลขาธิการโทรเลขเวียนแจ้งมติให้บรรดาสมาชิกสหประชาชาติทราบและ ขอความช่วยเหลือ ทางประธานธิบดีทรูแมนเริ่มสั่งการให้มีการเคลื่อนย้ายกำลัง ทหารอเมริกันแล้ว โดยให้กองทัพเรือและกองทัพอากาศอเมริกันให้ความคุ้มครอง แก่กำลังทหารเกาหลีใต้ ให้กองทัพเรือที่ ๗ รักษาการณ์ตามจุดต่าง ๆ ในบริเวณเกาะไต้หวันเพื่อป้องกันการโจมตีที่อาจจะมีมาจากจีนคอมมูนิสต์ เพิ่มกำลังทหาร อเมริกันในเกาะฟิลิปปินส์ให้เข้มแข็งยิ่งขึ้น ส่งกำลังอาวุธไปช่วยฟิลิปปินส์ และช่วยฝรั่งเศสในอินโดจีนพร้อมกันไป
อีกสองวันต่อมาคือเมื่อวันที่ ๒๗ คณะมนตรีฯ เปิดประชุมเป็นครั้งที่สอง ได้รับ รายงานจากคณะกรรมการสหประชาชาติประจำเกาหลีว่า ฝ่ายเกาหลีเหนือยังไม่หยุดการศึก และไม่ยอมถอนทหารออกไปจากเส้นขนานที่ ๓๘ หากคงรุกคืบหน้า เข้าไปในเกาหลีใต้ ซึ่งเรียกร้องให้สหประชาชาติดำเนินการโดยทันทีเพื่อรักษา สันติภาพและความมั่นคงระหว่างประเทศ คณะมนตรีฯ จึงมีมติว่า จำต้องดำเนิน มาตรการทางทหารต่อเกาหลีเหนือ และเรียกร้องให้สมาชิกสหประชาชาติอำนวย ความช่วยเหลือแก่เกาหลีใต้ตามที่จำเป็นแก่การขจัดการโจมตีทางอาวุธของเกาหลีเหนือ และกลับสถาปนาสันติภาพและความมั่นคงระหว่างประเทศ เลขาธิการสหประชาชาติมีโทรเลขแจ้งมติของคณะมนตรีความมั่นคงไปให้ประเทศสมาชิกทราบโดยทั่วหน้าอีก และต่อมาในวันที่ ๒๙ มีโทรเลขถามรัฐบาลไทยว่า จะช่วยในการปฏิบัติตามมติของคณะมนตรีความมั่นคงได้อย่างใดบ้าง
กระทรวงการต่างประเทศส่งโทรเลขตอบเลขาธิการไปเมื่อวันที่ ๑ กรกฎาคมว่า รัฐบาลไทยเฝ้าติดตามสถานการณ์ในเกาหลีด้วยความห่วงใย และประณามการใช้ กำลังและการรุกรานเกาหลีใต้อย่างเปิดเผย การกระทำเช่นนั้นโดยไม่นำพาต่อคำสั่งของคณะมนตรีความมั่นคงและละเมิดกฎบัตรสหประชาชาติ จะปล่อยให้ดำเนินต่อไปไม่ได้ รัฐบาลไทยสนับสนุนคณะมนตรีฯ อย่างแข็งขัน และพร้อมที่จะสนับสนุนการดำเนินการของสหประชาชาติ และพิจารณาให้ความช่วยเหลือแก่สาธารณรัฐเกาหลีตามความสามารถของประเทศไทย โดยที่ไทยเป็นประเทศกสิกรรม ไทยจึงยินดีจะให้ความช่วยเหลือแก่สาธารณรัฐเกาหลีในด้านอาหาร เช่น ข้าว ถ้าต้องการ
วันที่ ๗ กรกฎาคม คณะมนตรีความมั่นคงมีมติแนะให้สมาชิกสหประชาชาติที่ตกลงจะให้กำลังทหารและความช่วยเหลืออย่างอื่น ส่งมอบกำลังทหารและความช่วยเหลืออย่างอื่นนั้นให้แก่กองบัญชาการทหารสหประชาชาติภายใต้สหรัฐอเมริกา โดยให้สหรัฐอเมริกากำหนดตัวบุคคลผู้จะทำการเป็นผู้บัญชาการกองกำลัง สหประชาชาติ ปฏิบัติการภายใต้ร่มธงสหประชาชาติและธงของชาติต่าง ๆ ที่เข้าร่วมงาน
วันที่ ๑๔ เดือนนั้น เลขาธิการสหประชาชาติมีโทรเลขถึงรัฐบาลไทยอีกฉบับหนึ่ง มีข้อความว่า ได้ส่งข้อเสนอของไทยที่จะช่วยในด้านอาหารไปให้ผู้บัญชาการกำลัง ทหารสหประชาชาติทราบแล้ว เมื่อมีความต้องการอย่างใดจะแจ้งให้ทราบต่อไป แต่เฉพาะหน้านั้น ทางสหประชาชาติจำต้องได้รับความช่วยเหลือในด้านกำลังทหารอีก เลขาธิการถามว่า ประเทศไทยจะสามารถส่งหน่วยกำลังทหาร เฉพาะอย่างยิ่งทหารภาคพื้นดินไปช่วยสหประชาชาติได้หรือไม่ ที่เลขาธิการถามมานี้ ก็เป็นเพราะทางสหรัฐอเมริกาปรารถนาจะให้การปฏิบัติการในเกาหลีมีลักษณะและเป็นงานของสหประชาชาติอย่างแท้จริง มิใช่เป็นเรื่องของสหรัฐอเมริกาประเทศเดียว
กระทรวงการต่างประเทศรายงานให้ท่านนายก รัฐมนตรีทราบเมื่อวันที่ ๑๕ ท่าน นายกรัฐมนตรีส่งเรื่องไปให้สภาป้องกันราชอาณาจักรพิจารณาเมื่อวันที่ ๒๐ ลงความเห็นว่า ในฐานะที่ประเทศไทยเป็นประเทศเล็กที่ได้ยืนยันไว้อย่างชัดแจ้งเสมอมาว่า จะสนับสนุนการดำเนินงานของสหประชาชาติและฝ่ายประชาธิปไตย (โลกเสรีประชาธิปไตย) ฉะนั้น เพื่อประโยชน์ในการป้องกันราชอาณาจักรในอนาคต เมื่อประเทศไทยถูกคุกคามด้วยภัยคอมมูนิสต์อันไม่สามารถจะหลีกเลี่ยงได้แล้ว ก็จะได้รับความช่วยเหลือจากสหประชาชาติ และฝ่ายค่ายเสรีประชาธิปไตย สภาป้องกันราชอาณาจักรจึงมีมติเป็นเอกฉันท์ รับหลักการที่จะให้ความช่วยเหลือทางทหาร เฉพาะกำลังทหารทางพื้นดินในกรณีสงครามเกาหลี ตามที่เลขาธิการสหประชาชาติขอมาเป็นกำลังหนึ่งกรมผสม คณะรัฐมนตรีพิจารณาความเห็นของสภาป้องกันฯ แล้วโดยรอบคอบ เห็นชอบด้วยและตกลงให้เสนอขออนุมัติสภาผู้แทนราษฎรก่อนดำเนินการ สภาผู้แทนราษฎรรับทราบเมื่อวันที่ ๒๒ และมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้รัฐบาลส่งกำลังทหารภาคพื้นดินไปปฏิบัติการร่วมกับสหประชาชาติในสงครามเกาหลีใต้ ต่อมาอีกหนึ่งสัปดาห์ มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ส่งกำลังทหารเรือและทหารอากาศไปช่วยปฏิบัติการในเกาหลีใต้อีกส่วนหนึ่ง
เป็นอันว่า ประเทศไทยทุ่มตัวอย่างเต็มที่เข้าข้างสหประชาชาติในการต่อต้านการรุกราน เพื่อรักษาสันติภาพและความมั่นคงระหว่างประเทศ เป็นประเทศหนึ่งในเจ็ดประเทศที่ส่งทหารไปปฏิบัติการในเกาหลีช่วยสาธารณรัฐ โดยทางสภาป้องกันราชอาณาจักรและรัฐบาลมองเลยไปเป็นการต่อต้านการขยายตัวของคอมมูนิสต์ เพื่อป้องกันมิให้ภัยคอมมูนิสต์เข้าใกล้ประเทศไทย รัฐบาลเรียกระดมอาสาสมัครหนึ่งกรมผสมประกอบด้วยนายทหารและพลทหาร ๔,๐๐๐ คน ทำการฝึกซ้อม ก่อนที่จะส่งออกไปปฏิบัติการ สำหรับกองทัพเรือที่ต้องลดอานุภาพลงไปมากในสมัยกบฏแมนฮัตตัน ส่งได้แต่เรือรบหลวง “ประแส” และ “บางปะกง” ลำเล็ก ๆ กับ เรือบรรทุก “สีชัง” เท่านั้น
เมื่อท่านจอมพล ป. พิบูลสงคราม ดำเนินนโยบายเป็นปฏิปักษ์ต่อคอมมูนิสต์ระหว่างประเทศอย่างเปิดเผยแน่ชัดเช่นนั้น ท่านได้สร้างความไว้วางใจให้แก่ฝ่าย โลกเสรีประชาธิปไตยดีขึ้นบ้าง ข้อระแวงสงสัยที่ทั้งสหรัฐอเมริกาและอังกฤษเคยมี ต่อท่านค่อย ๆ ลดลง โดยเฉพาะทางสหรัฐอเมริกาเริ่มเสนอให้ความช่วยเหลือแก่ ประเทศไทยในรูปต่าง ๆ ระลอกแล้วระลอกเล่าตาม ๆ กัน เริ่มด้วยการทำความ ตกลงช่วยเหลือสำหรับโครงการแลกเปลี่ยนการศึกษาบางประการเมื่อวันที่ ๑ กรกฎาคม ๒๔๙๓ ตามด้วยความตกลงร่วมมือทางเศรษฐกิจและทางเทคนิคลงวันที่ ๑๘ กันยายน และความช่วยเหลือทางทหารลงวันที่ ๑๗ ตุลาคม ปีเดียวกันเจ้าหน้าที่ในกระทรวงการต่างประเทศอเมริกันแจ้งต่ออุปทูตไทยเมื่อวันที่ ๒๕ สิงหาคม ๒๔๙๓ ว่า เนื่องจากท่าทีอันแน่ชัดของรัฐบาลไทยในกรณีการรับรองเบาได๋ และการสนับสนุนสหประชาชาติในกรณีเกาหลี ทางรัฐบาลอเมริกันสามารถปล่อยอาวุธให้แก่ประเทศไทยได้ทั้งสามกองทัพ สำหรับกำลังทหารหนึ่งกรมผสมที่จะส่งไป เกาหลี ความจริงแล้วประเทศไทยให้แต่กำลังพลเท่านั้น อาวุธยุทธภัณฑ์ประจำตัว และประจำกรม ตลอดจนเงินเดือนเบี้ยเลี้ยงของทหาร รัฐบาลอเมริกันจัดให้หมดด้วยความเห็นใจว่า ประเทศไทยไม่อยู่ในฐานะที่จะรับภาระได้โดยลำพัง เพียงแต่ข้าวสารที่ประเทศไทยรับจะส่งให้สหประชาชาติตามความต้องการที่แจ้งมา ก็ตกเป็นภาระหนักแก่งบประมาณแผ่นดินถึง ๘๔ ล้านบาท ทั้งนี้ไม่รวมค่าขนส่งซึ่งทาง สหประชาชาติจะต้องจัดเรือมารับจากประเทศไทยไปเอง อย่างไรก็ตาม ทหารไทยที่ไปปฏิบัติการในเกาหลี สามารถทำชื่อเสียงสร้างวีรกรรมให้ประจักษ์ ได้รับการสดุดี เป็นเกียรติแก่ประเทศไทยอย่างสูง
พลเอกดักลาส แม็กอาเธอร์ ผู้บังคับบัญชากองทัพของสหประชาชาติ
ที่มา : Naval History and Heritage Command
ปลายเดือนกันยายน ข้าพเจ้าต้องติดตามท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศไปร่วมประชุมสมัชชาสหประชาชาติ คุณถนัด คอมันตร์ อธิบดีกรมเศรษฐกิจ ได้รับมอบหมายให้รักษาการในตำแหน่งอธิบดีกรมสหประชาชาติระหว่างที่ข้าพเจ้าไม่อยู่ ข้าพเจ้าคิดว่า อย่างมากก็คงจะอยู่ที่นิวยอร์กไม่เกินสามเดือน ซึ่งเป็นกำหนดเวลาประชุมตามปกติของสมัชชา คณะกรรมการที่หนึ่ง (การเมือง) ของสมัชชาพิจารณาปัญหาเกาหลี ต้องประชุมกันต่อภายหลังที่สมัชชาเลิกประชุมแล้ว ข้าพเจ้าจึงตกค้างอยู่ที่นิวยอร์กเป็นเวลากว่าปี เหตุการณ์ในคาบสมุทรเกาหลีคลี่คลายขยายตัวออกไปมาก กองทัพของสหประชาชาติภายใต้บังคับบัญชาของพลเอก แม็กอาเธอร์ ผู้พิชิตญี่ปุ่นสามารถขับไล่กำลังทหารเกาหลีเหนือกลับข้ามเส้นขนานที่ ๓๘ ไปได้ ติดตามเลยเข้าไปในเกาหลีเหนือจนถึงเขตแดนติดต่อกับแมนจูเรีย พอต้นเดือนพฤศจิกายนมีสัญญาณแสดงให้เห็นว่า กองทหารจีนคอมมูนิสต์เริ่มไหวตัว ดำเนินการต่อต้านทหารฝ่ายสหประชาชาติ ทำให้เกิดความห่วงใยอย่างใหญ่หลวงว่า การศึกชะรอยจะยืดเยื้อออกไปนาน จีนคอมมูนิสต์ถือการที่กำลังทหารสหประชาชาติล่วงล้ำเข้าถึงชายแดนตอนเหนือของเกาหลีเหนือ เป็นการคุกคามต่อความมั่นคงของประเทศจีน กองทหารสหประชาชาติต้องเผชิญกับกำลังทหารจีนอันมหึมาด้วย ในทางการเมืองสมัชชามีมติจัดตั้งคณะกรรมการสหประชาชาติ เพื่อการรวมและการบูรณะเกาหลีขึ้นแทนคณะกรรมการเกาหลีเก่า แต่ก่อนที่คณะกรรมการใหม่จะจัดตั้งเสร็จสามารถปฏิบัติงานตามภาระหน้าที่ที่สมัชชามอบหมายให้ มีคณะกรรมการระหว่างกาลเกาหลีขึ้นชั่วคราว คณะกรรมการระหว่างกาลซึ่งมีคุณพจน์ สารสิน เป็นผู้แทนไทยรวมอยู่ด้วย ปรึกษาหารือกันแล้วเห็นสมควรให้หาทางให้ความมั่นใจแก่รัฐบาลปักกิ่งว่า กำลังทหารสหประชาชาติจะไม่ล่วงล้ำเข้าไปในดินแดนจีน ทางคณะมนตรีความมั่นคงประชุมกันไม่สามารถมีมติอย่างใดได้ เพราะสหภาพโซเวียตกลับส่งผู้แทนเข้านั่งในคณะมนตรีฯ แล้ว ข้อเสนอใด ๆ เกี่ยวกับการดำเนินการในเกาหลี ที่ขัดต่อผลประโยชน์ของฝ่ายคอมมูนิสต์ต้องถูกยับยั้งทั้งสิ้น ทำให้ต้องเสนอเรื่องเข้าสู่การพิจารณาของสมัชชาโดยอาศัยข้อมติของสมัชชาว่าด้วย “รวมกันเพื่อสันติ” ที่เปิดโอกาสให้สมัชชาพิจารณาเรื่องที่ถูกยับยั้งในคณะมนตรีความมั่นคง แม้กองทหารจีนคอมมูนิสต์จะสามารถตีโต้กองกำลังทหารสหประชาชาติแตกยับเยิน ต้องถอยออกจากเกาหลีเหนือกลับข้ามเส้นขนานที่ ๓๘ ก็ตาม ในชั้นแรกฝ่ายโลกเสรีประชาธิปไตยยังไม่กล้าที่จะถือว่าจีนรุกรานเกาหลีใต้ หากแต่เรียกเป็นการแทรกแซงของจีนคอมมูนิสต์เท่านั้น ข้าพเจ้าจึงมีงานต้องปฏิบัติไม่น้อย เพราะประเทศไทยเข้าข้างโลกเสรีประชาธิปไตย ต้องสนับสนุนท่าทีของสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นหัวเรือสำคัญของสหประชาชาติ แต่ไทยต้องเอาใจรัฐกลุ่มเอเชียด้วย หาไม่แล้ว เราจะถูกประณามว่าแยกตัวจากกลุ่มรัฐในเอเชียโดยเด็ดขาด
เมื่อจีนคอมมูนิสต์แทรกแซงเข้ามาในเกาหลีอย่างกว้างขวาง จนกระทั่งสมัชชา สหประชาชาติประกาศเป็นผู้รุกราน เมื่อวันที่ ๑ กุมภาพันธ์ ๒๔๙๔ นายพล แม็กอาเธอร์เสนอขออนุมัติประธานาธิบดีทรูแมนทำการทิ้งระเบิดประเทศจีน เป็นการโต้ตอบ ประธานาธิบดีไม่เห็นด้วยเกรงจะเป็นสงครามใหญ่ระหว่างจีน ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากสหภาพโซเวียตกับสหรัฐอเมริกา ฝ่ายอเมริกันยังไม่ประสงค์จะเสี่ยงภัยเช่นนั้น ทางฝ่ายคณะกรรมการสหประชาชาติเพื่อการรวมและบูรณะเกาหลีประชุมกันไม่มีทางที่จะดำเนินการอย่างใดได้ คุณพจน์ สารสิน ผู้แทนไทยใน คณะกรรมการฯ จึงเสนอว่า เมื่อคณะกรรมการฯ ไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ที่ได้รับ มอบหมาย ท่านขอลาออกจากคณะกรรมการฯ เดินทางกลับประเทศไทย รัฐบาลแต่งตั้ง พลตรี หม่อมเจ้าปรีดิเทพย์พงษ์ เทวกุล เป็นผู้แทนไทยในคณะกรรมการฯ สืบต่อคุณพจน์
เมื่อฝ่ายคอมมูนิสต์เริ่มขยายตัวเข้ามาทางตะวันออกไกล อังกฤษเริ่มคิดจะหาทางเหนี่ยวรั้งบ้าง ในเดือนตุลาคม ๒๔๙๔ พรรคอนุรักษ์นิยมของอังกฤษดำริจะสร้างองค์การป้องกันร่วมกันสำหรับเอเชีย ทำนององค์การนาโตในยุโรป แต่ตระหนักว่าสถานการณ์ไม่เหมือนกัน กำลังของประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีน้อย ส่วนใหญ่ต้องใช้ปกปักรักษาความมั่นคงภายในดินแดนแต่ละประเทศเท่านั้น ประเทศที่มีศักยภาพเข้มแข็งเพียงพอเป็นแกนนำในการนี้ได้ มีแต่สหรัฐอเมริกา อังกฤษ และฝรั่งเศส ทั้งอังกฤษและฝรั่งเศสกำลังเผชิญปัญหายุ่งยากสลับซับซ้อนในดินแดนภายใต้ปกครองเต็มมือ ส่วนสหรัฐอเมริกาก็ยังไม่ยอมผูกพันตนถลำเข้า มาในพื้นแผ่นดินใหญ่ของเอเชีย เพียงคุมกำลังรักษาสถานการณ์ตามบริเวณ เกาะต่าง ๆ ในมหาสมุทรแปซิฟิก ยิ่งกว่านั้น ประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ นอกจากประเทศไทยแล้ว ยังไม่สู้จะยอมร่วมมือกับประเทศกลุ่มตะวันตกเท่าใดนักเพราะเหตุเคยเป็นอาณานิคมของตะวันตกมาก่อน ถ้าฝ่ายตะวันตกขึ้นวางแผนป้องกันโดยลำพัง จะกลายเป็นพันธไมตรีระหว่างคนผิวขาวต่อต้านคนผิวคล้ำในตะวันออก
นายกรัฐมนตรี อาร์. จี. แมนซีส์ อดีตนายกรัฐมนตรีออสเตรเลีย
ที่มา : National Portrait Gallery
ตอนนั้นรัฐบาลพรรคเสรีนิยมของออสเตรเลียภายใต้นายกรัฐมนตรี อาร์. จี. แมนซีส์ เพิ่มความสนใจในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มากขึ้น เพราะสำหรับออสเตรเลีย เอเชียตะวันออกเฉียงใต้มิได้ตั้งอยู่ในตะวันออกไกล แต่อยู่ในเขต “เหนือใกล้” ของออสเตรเลีย นาย อาร์. เคซีย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกิจการภายนอก ออกเดินทางไปเยี่ยมประเทศต่าง ๆ ในภูมิภาค เพื่อสดับตรับฟังว่า จะมีวิธีการประการใดที่จะส่งเสริมให้เกิดการป้องกันร่วมกันบ้างที่สิงคโปร์ นายเคซีย์ปรึกษาหารือกับนายแม็กโดแนล โดยแสดงความคิดเห็นว่า ทางด้านมหาสมุทรแปซิฟิก ได้เริ่มระบบการป้องกันร่วมกันแล้ว โดยสนธิสัญญาแอนซัส ระหว่างสหรัฐอเมริกา ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ ซึ่งจะขยายถึงเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ด้วย นายเคซีย์เชื่อว่า อินโดนีเซีย ไทย และอินโดจีน คงจะสนใจเข้าร่วม เพราะต่างต้องเผชิญกับภัยคอมมูนิสต์ทั้งนั้น น่าจะคิดชักชวนให้มาร่วมกันในการวางแผนต่อต้านไว้ล่วงหน้า นายแม็กโดแนลแจ้ง ให้นายเคซีย์ทราบว่า ทางคณะเสนาธิการทหารอังกฤษคำนึงถึงและกำลัง ทำการศึกษาแผนการอยู่บ้างแล้ว นายเคซีย์ควรจะยกเรื่องขึ้นพูดจากับทางลอนดอน และโดยเฉพาะอย่างยิ่งทางสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการวางแผนใด ๆ แต่ก็เตือนให้ระมัดระวัง ไม่ทำให้เกิดความคิดเป็นว่าฝ่ายตะวันตกกำลังจะวางเหยื่อล่อให้เป็นปฏิปักษ์ต่อคอมมูนิสต์
เมื่อนายเคซีย์ยกเรื่องขึ้นปรารภต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงความสัมพันธ์ทางจักรภพ ที่กรุงลอนดอนในวันที่ ๒๓ พฤศจิกายน ๒๔๙๔ ได้รับข้อควรคำนึงหลาย ประการ กล่าวคือ ทางอังกฤษรู้สึกว่า ในขณะนั้นความสนใจคงจะมุ่งเฉพาะความมั่นคงของยุโรปก่อน เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ยังไม่อยู่ในลำดับแรกของความห่วงใย ฝ่ายตะวันตก อินเดียซึ่งเป็นประเทศใหญ่ในเอเชียคงจะไม่ชอบให้มีการผูกพันทางทหารกับตะวันตก ถ้ารวบรวมได้แต่ประเทศเล็ก ๆ ที่ไม่มีความเข้มแข็งทางทหารอย่างจริงจัง จะไม่เป็นผลสำเร็จตามที่มุ่งหวัง น่าจะต้องรอฟังดูไปพลางก่อน
จี. เอ. วัลลิงเจอร์ อดีตเอกอัครราชทูตอังกฤษประจำประเทศไทย
ที่มา : Alchetron
ทางด้านนายวัลลิงเจอร์ เอกอัครราชทูตอังกฤษประจำประเทศไทย ซึ่งมีความ สัมพันธ์ใกล้ชิดส่วนตัวกับท่านจอมพล ป. พิบูลสงคราม โดยอาศัยกอล์ฟเป็นกีฬาประจำ มีรายงานลงวันที่ ๑๒ พฤษภาคม ๒๔๙๕ ถึงกระทรวงการต่างประเทศอังกฤษว่า เท่าที่ได้ติดต่อกับท่านจอมพล รู้สึกว่า ท่านสนใจที่จะให้มีความผูกพันทางทหารของอังกฤษและสหรัฐอเมริกาช่วยประเทศไทยยิ่งนัก ถ้ากระทำได้ภายใน กรอบสหประชาชาติก็ยิ่งจะดี ท่านไม่มั่นใจในความสามารถของประเทศพม่า และอินโดนีเซีย ที่จะต่อต้านคอมมูนิสต์ ไทยไม่พร้อมที่จะส่งกำลังทหารไปช่วยอินโดจีนหรือพม่า ออสเตรเลียและนิวซีแลนด์อยู่ห่างไกลและยังอ่อนทางทหารอยู่ หัวแรง สำคัญที่ท่านต้องการก็คือ สหรัฐอเมริกา
ต่อมาเมื่อวันที่ ๒๗ มิถุนายน ๒๔๙๕ เอกอัครราชทูตอังกฤษส่งรายงานอีกฉบับ หนึ่งประเมินสถานการณ์ว่า ประเทศไทยอาจจะเป็นภาระในการป้องกันภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มากกว่า พิจารณาตามภูมิศาสตร์ ประเทศไทยมีความสำคัญ และอาจจะเป็นประโยชน์ในแผนป้องกันเสียแต่ผู้ครองอำนาจปกครองล้วนแต่คำนึงถึงผลประโยชน์ส่วนตัวที่จะได้รับ ความรักชาติในลักษณะถึงยอมเสียสละไม่สู้จะอยู่ในจินตนาการนัก เมื่อถึงเวลาขับขันจริงจังเกรงว่า ผู้ครองอำนาจจะหันไปเจรจาหาทางปรองดองกับศัตรู เยี่ยงที่ทำมาแล้วกับญี่ปุ่น รัฐบาลไทยอาจจะยินยอมรับผูกพันกับอังกฤษและสหรัฐอเมริกา แต่จะต้องได้ประโยชน์มากที่สุด อาจจะขอให้อังกฤษกระจายกำลังในเขตใดเขตหนึ่งอย่างไม่รัดกุม นายวัลลิงเจอร์จึงเสนอว่า อังกฤษและสหรัฐอเมริกาควรจะร่วมมือกันพิจารณาทำข้อเสนอที่เหมาะสมให้ฝ่ายไทยเลือกรับหรือไม่รับ ถ้าจอมพล ป. พิบูลสงคราม ไม่ยอมรับ ทั้งสองประเทศพึงสงวนสิทธิที่จะดำเนินการป้องกันดินแดนตามที่เห็นสมควรและจำเป็น ถ้ายอมรับก็น่าจะเกี่ยงให้ร่วมวางแผนป้องกันด้วยกัน โดยไทยจะต้องแจ้งแผนละเอียดในการป้องกันประเทศโดยไม่ปิดบังให้ทั้งสองประเทศทราบ ทำความตกลงผูกมัดกันไว้อย่างลับ ๆ
วันที่ ๒ กรกฎาคม ๒๔๙๕ นายวัลลิงเจอร์รายงานกระทรวงการต่างประเทศอังกฤษอีกว่า ได้เฝ้าพระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหมื่นนราธิปพงศ์ประพันธ์ ในเรื่องกติกาความมั่นคงของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ทรงรับสั่งว่าในหลักการแล้ว รัฐบาลไทยไม่ขัดขวางการทำกติกา แต่เท่าที่เป็นอยู่ทรงเกรงว่ากติกาจะไม่มีความแข็งแกร่งพอ ประเทศไทยจำต้องพัฒนากำลังทหารยิ่งขึ้น จนกว่าจะถึงเวลาที่มหาอำนาจให้หลักประกันว่าจะจริงจังกับกติกาความมั่นคงดังกล่าวนั้น
อีกสองวันต่อมา จอมพล ป. พิบูลสงครามยืนยันต่อเอกอัครราชทูตอังกฤษว่า กติกาไม่มีความหมายหากมิได้ทำกันภายใต้อาณัติของสหประชาชาติ พร้อมกับมีอังกฤษและสหรัฐอเมริกาเข้าร่วมด้วยอย่างเต็มที่
ในตอนนั้นผู้บัญชาการทหารอังกฤษในสหพันธ์มลายู ก็ยังไม่มั่นใจในการร่วมมือของทหารไทย ประโยชน์ทางการทูตอาจจะพอได้บ้าง จึงยังไม่อยากให้ไทยเข้ามีส่วนร่วมในการเจรจาสามฝ่าย ระหว่างอังกฤษ อเมริกันและฝรั่งเศสที่กำลังจะให้มีขึ้นที่สิงคโปร์ปลายเดือนกรกฎาคม ถ้าเชิญให้ประเทศไทยเข้าร่วม ก็อาจจะต้องเชิญประเทศอื่นด้วย บางประเทศอาจจะไม่ชอบโดยเกรงจะเป็นการยั่วยุจีนคอมมูนิสต์ การประชุมสามชาติที่สิงคโปร์ตกลงในหลักการว่า ถ้าเกิดสงครามกับคอมมูนิสต์ จะต้องให้ประเทศไทยอยู่ข้างอังกฤษให้จงได้ ระหว่างสงครามเย็น พึงปรึกษาหารือกับรัฐบาลไทยเกี่ยวกับแผนการป้องกัน แต่ยังไม่ควรให้ไทยมีส่วนร่วมในการเจรจาสามฝ่ายเกี่ยวกับอินโดจีน
ถัดจากการประชุมสิงคโปร์ ฝ่ายอเมริกันได้จัดให้มีการประชุมที่โฮโนลูลูบ้าง นายสแตนตัน เอกอัครราชทูตอเมริกันประจำประเทศไทย ยืนยันต่อนายแอจิสันรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศอเมริกันว่า การกีดกันไม่ให้รัฐบาลไทย ทราบถึงการปรึกษาหารือสามชาติ จะเพิ่มน้ำหนักให้แก่คารมที่ว่า ประเทศผิวขาวเตรียมการขบปัญหาในเอเชียโดยไม่ให้รัฐบาลในภูมิภาคมีส่วนรู้เห็น เนื่องจากฝ่ายอังกฤษยังยืนกรานไม่ยอมให้ไทยเข้าร่วมในการเจรจาทางทหาร เพื่อป้องกันความหมองใจของไทย เป็นอันตกลงให้รักษาความลับของการประชุมอย่างเคร่งครัด ไม่มีการแถลงข่าวเปิดเผย ให้แถลงแต่เพียงสั้น ๆ ว่าเป็นเรื่องเกี่ยวกับสถานการณ์ในอินโดจีน
วันที่ ๒๗ กันยายน นายวัลลิงเจอร์สรุปความคิดเห็นภายในประเทศไทยรายงาน กระทรวงการต่างประเทศอังกฤษว่า พอแบ่งแยกออกเป็นสามพวก พวกแรก ได้แก่ สายนายวรการบัญชาตามนโยบายสมัยเมื่อดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ถือว่าไทยเป็นประเทศเล็ก ต้องเจียมตัว ไม่เข้าวุ่นในการขัดแย้งระหว่างประเทศที่มั่นคงเพียบพร้อมด้วยอานุภาพทางทหาร ไทยไม่ควรจะผูกพันกับมหาประเทศใด ๆ ความเห็นนี้ได้รับการสนับสนุนจากฝ่ายซ้ายมัชฌิมา พวกที่สอง ได้แก่ นักการเมืองฝ่ายขวาที่พร้อมจะร่วมมือกับฝ่ายตะวันตก ไม่พอใจในการจัดประชุมสามชาติเพื่อป้องกันภูมิภาคโดยกีดกันไทยไม่ให้เข้าร่วม พวกนี้เป็นฝ่ายที่คุมกำลังอยู่ ไม่อยากเสียหน้าในการยอมเป็นประเทศเล็ก พวกที่สาม ได้แก่ นักการเมืองฝ่ายซ้ายที่มองการดำเนินงานของตะวันตกเป็นการร่วมหัวของคนผิวขาวเป็นปฏิปักษ์ต่อชนชาวเอเชีย
ข้าพเจ้าเดินทางกลับประเทศไทยเมื่อเดือนมิถุนายน ๒๔๙๔ เข้าปฏิบัติหน้าที่ในกรมสหประชาชาติต่อมา ภายหลังที่ได้มีการเลือกตั้งผู้แทนราษฎรเมื่อวันที่ ๒๖ กุมภาพันธ์ ๒๔๙๕ และมีการเปิดประชุมสภาผู้แทนราษฎรทั้งสองประเภทในวันที่ ๑๘ มีนาคม จอมพล ป. พิบูลสงคราม ได้รับเลือกให้เป็นนายกรัฐมนตรีอีกวาระหนึ่ง ท่านจัดตั้งคณะรัฐมนตรีใหม่ โดยได้ทูลเชิญพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวรรณไวทยากร จากกรุงวอชิงตันเสด็จมาทรงดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการ ต่างประเทศ ส่งนายวรการบัญชาให้ไปว่าการกระทรวงเศรษฐการ และตั้งนายพจน์ สารสิน ไปเป็นเอกอัครราชทูต ณ กรุงวอชิงตัน
ในช่วงนั้น ข้าพเจ้าหวนนึกถึงคำแนะนำที่นายดังดูแรง เลขานุการเอกสถานเอกอัครราชทูตฝรั่งเศส ณ กรุงโตเกียว ที่เคยให้แก่ข้าพเจ้าในฐานะที่มีชีวิตทางการทูตมาก่อนข้าพเจ้าหลายปีว่า ในทางการทูตไม่พึงบำเพ็ญตนเป็นคนขาดไม่ได้ของกระทรวงการต่างประเทศ เพราะจะทำให้ไม่มีโอกาสไปประจำในต่างประเทศข้าพเจ้าจึงคิดว่า หลังจากที่ไปประจำทางกรุงโตเกียวมาเป็นเวลา ๒ ปี ข้าพเจ้าไม่ ได้ออกไปรับราชการทางสถานทูตไทยในต่างประเทศอีกเลยเป็นเวลาถึง ๘ ปี ถึงวาระที่ควรจะสับเปลี่ยนออกไปบ้าง ประกอบกับแนววิเทโศบายของรัฐบาลวางไว้แน่ชัดแล้ว ซึ่งในส่วนตัวข้าพเจ้าไม่สู้จะเห็นด้วย เมื่อประเทศไทยร่วมกับฝ่ายโลกเสรีประชาธิปไตยแน่นอน คงไม่มีปัญหาในทางปฏิบัติ ข้าพเจ้าจะไม่ร้องขอออกไป ประจำในต่างประเทศ แต่ถ้ากระทรวงมีดำริจะส่งให้ข้าพเจ้าออกไปประเทศใด ข้าพเจ้าจะไม่ขัดข้อง ในปี ๒๔๙๕ เมื่อถึงเวลาที่จะต้องพิจารณาโยกย้ายข้าราชการไปประจำสถานเอกอัครราชทูตไทยในต่างประเทศ ที่ประชุม อ.ก.พ. กระทรวงมีมติยืนยันมติเดิมสมัยนายวรการบัญชา ให้ข้าพเจ้าไปประจำทางสหประชาชาติที่นครนิวยอร์กในฐานะรองผู้แทนไทยถาวร ตำแหน่งผู้แทนถาวรซึ่งพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวรรณไวทยากร ทรงดำรงอยู่ควบกับตำแหน่งเอกอัครราชทูต ณ กรุงวอชิงตัน เมื่อเสด็จกลับประเทศไทย พระองค์ท่านยังคงดำรงอยู่ต่อมา ข้าพเจ้าดีใจที่จะได้เปลี่ยนงานไปปฏิบัติรับใช้พระองค์ท่านด้านองค์การสหประชาชาติบ้าง แต่เมื่อพระองค์ท่านทรงทำเรื่องเสนอขออนุมัติไปยังคณะรัฐมนตรี ม.ร.ว.ทวยเทพ เทวกุล มากระซิบต่อข้าพเจ้าว่า ข้าพเจ้าจะต้องไปเป็นอัครราชทูตไทยประจำประเทศออสเตรเลีย โดยคุณถนัด คอมันตร์ จะไปนิวยอร์กแทน ข้าพเจ้าไม่ขัดข้องสุดแล้วแต่กระทรวงจะเห็นสมควร เมื่อข้าพเจ้าได้เฝ้าพระองค์ท่าน ทรงกรุณาประทานคำชี้แจงว่า ที่ทรงเปลี่ยนพระทัยให้ข้าพเจ้าไปออสเตรเลีย เป็นเพราะทรงเห็นว่า ออสเตรเลียจะเป็นประเทศที่เข้มแข็ง เจริญก้าวหน้ามาก อาจจะช่วยเหลือประเทศไทยในอนาคต ข้าพเจ้ารับสนองพระประสงค์เต็มความสามารถเท่าที่จะกระทำได้ ข้าพเจ้าพ้นจากตำแหน่งอธิบดีกรมสหประชาชาติเพื่อไปรับราชการที่ออสเตรเลีย
ข้าพเจ้าออกเดินทางโดยบริษัทการบิน เค.แอล.เอ็ม. จากกรุงเทพฯ ไปค้างที่กรุงมนิลาหนึ่งคืน แล้วตรงไปเมืองซิดนีย์ นครหลวงรัฐนิวเซาท์เวลส์แห่งจักรภพออสเตรเลีย ตอนปลายเดือนธันวาคม ๒๔๙๕ พร้อมด้วยครอบครัว ซึ่งประกอบด้วย ดุษฎี และบุตรชายซึ่งตอนนั้นเพิ่งลืมตามองดูโลกอันกว้างใหญ่มาได้แปดเดือน เท่านั้น มีมารดาของข้าพเจ้า น้องกีรณา แม่ประพิส พี่เลี้ยงบุตร แม่สนิท ผู้รับใช้ และนายสินมั่น พนักงานขับรถ ติดตามไปด้วย
ข้าพเจ้าไม่ต้องกังวลว่า เมื่อไปถึงออสเตรเลียแล้วจะต้องไปอยู่ที่ไหน จะต้องไปพำนักแรมที่โรงแรมใด เพราะทางกระทรวงได้กรุณาอนุญาตให้คุณยวด เลิศฤทธิ์ จากกรมสหประชาชาติเดินทางล่วงหน้าไปก่อนเพื่อเตรียมหาเช่าที่ทำการสถานทูต และทำเนียบของอัครราชทูตรอไว้แล้ว แต่ข้าพเจ้าครุ่นคิดไปตลอดทางว่า ต่อแต่นั้นไปข้าพเจ้าจะไม่ได้มีโอกาสชี้แจงแสดงความคิดเห็นเพื่อประกอบการพิจารณากำหนดวิเทโศบายของไทย เพราะที่ออสเตรเลียข้าพเจ้าจะเป็นเพียงฝ่ายรับทราบ และปฏิบัติตามวิเทโศบายไทยที่กำหนดแล้วจากกรุงเทพฯ ข้าพเจ้าตระหนักในความล้มเหลวแห่งความดำริของข้าพเจ้าที่อยากจะให้ประเทศไทยวางตัวเป็นกลาง ไม่ฝักใฝ่กับมหาอำนาจหนึ่งมหาอำนาจใด ไม่บำเพ็ญตนเป็นปฏิปักษ์ต่อประเทศกลุ่มหนึ่งกลุ่มใด ต่อแต่นั้นไปภาระหน้าที่ของข้าพเจ้าจะง่ายขึ้นมาก โดยจำกัดเฉพาะว่าทำอย่างไรจึงจะส่งเสริมให้สัมพันธภาพทางการทูตกับออสเตรเลีย ซึ่งเพิ่งจะสถาปนาขึ้นจรรโลงไปในทางก่อให้เกิดความใกล้ชิดสนิทสนมเป็นมิตรที่ดีต่อกัน ไม่มองไทยเป็นลูกมือของประเทศใด ๆ ที่ต้องการขยายอิทธิพลในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ออสเตรเลียเป็นประเทศหนึ่งในจักรภพบริติช ซึ่งกำลังก่อร่างสร้างตัวโดยอิสระ มีศักยภาพสูงในด้านการเกษตรและอุตสาหกรรม แต่มีปัญหามากหลาย เพราะเป็นประเทศที่มีดินแดนกว้างใหญ่ไพศาลเกือบจะถือเป็นอีกทวีปหนึ่งของโลกก็ได้ แต่มีพลเมืองอาศัยอยู่เพียงไม่ถึงสองล้านคน เขาแก้ปัญหาของเขาได้อย่างไร ข้าพเจ้าจะได้มีโอกาสทัศนศึกษาติดตามดูอย่างใกล้ชิด ด้วยการตระเวนไปสังเกตการณ์ในรัฐต่าง ๆ ทุกรัฐที่ประกอบเป็นจักรภพ เพื่อรายงานให้รัฐบาลทราบ ตลอดเวลากว่าหกปีที่กระทรวงกรุณาปล่อยข้าพเจ้าไว้กลางทุ่งเลี้ยงแกะเดิม ที่ถูกยกย่องให้เป็นนครหลวงของจักรภพ เรียกชื่อว่า “กรุงแคนเบอร์รา” ตั้งอยู่กึ่งกลางทางระหว่างนครซิดนีย์กับนครเมลเบิร์น ซึ่งต่างแย่งกันจะเป็นนครหลวง
หมายเหตุ :
- กองบรรณาธิการสถาบันปรีดี พนมยงค์ ได้รับอนุญาตให้เผยแพร่ต้นฉบับหนังสือการวิเทโศบายของไทย จากศูนย์ศึกษาการต่างประเทศ กระทรวงการต่างประเทศแล้ว
- ศาสตราจารย์กนต์ธีร์ ศุภมงคล, เรื่อง “การเข้าข้างโลกเสรีประชาธิปไตย”, การวิเทโศบายของไทย ระหว่างปีพุทธศักราช ๒๔๘๓ ถึง ๒๔๙๕ (กรุงเทพฯ : ศูนย์ศึกษาการต่างประเทศ กระทรวงการต่างประเทศ, ๒๕๖๖), น. 606-636.
บรรณานุกรม :
- ศาสตราจารย์กนต์ธีร์ ศุภมงคล, เรื่อง “การเข้าข้างโลกเสรีประชาธิปไตย”, การวิเทโศบายของไทย ระหว่างปีพุทธศักราช ๒๔๘๓ ถึง ๒๔๙๕ (กรุงเทพฯ : ศูนย์ศึกษาการต่างประเทศ กระทรวงการต่างประเทศ, ๒๕๖๖), น. 606-636.
บทความที่เกี่ยวข้อง :
- การวิเทโศบายของไทย ระหว่างปีพุทธศักราช ๒๔๘๓ – ๒๔๙๕ ตอนที่ 1 : สงครามโลกครั้งแรก
- การวิเทโศบายของไทย ระหว่างปีพุทธศักราช ๒๔๘๓ – ๒๔๙๕ ตอนที่ 2 : สงครามโลกครั้งที่ ๒
- การวิเทโศบายของไทย ระหว่างปีพุทธศักราช ๒๔๘๓ – ๒๔๙๕ ตอนที่ 3 : วิเทโศบายของไทย
- การวิเทโศบายของไทย ระหว่างปีพุทธศักราช ๒๔๘๓ – ๒๔๙๕ ตอนที่ 4 : การเรียกร้องดินแดนคืน
- การวิเทโศบายของไทย ระหว่างปีพุทธศักราช ๒๔๘๓ – ๒๔๙๕ ตอนที่ 5 : การรักษาความเป็นกลางของประเทศไทย
- การวิเทโศบายของไทย ระหว่างปีพุทธศักราช ๒๔๘๓ – ๒๔๙๕ ตอนที่ 6 : ประเทศไทยเข้าสงครามข้างญี่ปุ่น
- การวิเทโศบายของไทย ระหว่างปีพุทธศักราช ๒๔๘๓ – ๒๔๙๕ ตอนที่ 7 : ผลกระเทือนของการร่วมมือกับญี่ปุ่น
- การวิเทโศบายของไทย ระหว่างปีพุทธศักราช ๒๔๘๓ – ๒๔๙๕ ตอนที่ 8 : สองปีในญี่ปุ่น ภาค 1 การต่างประเทศไทย หลัง ประกาศสงครามกับอังกฤษและสหรัฐฯ
- การวิเทโศบายของไทย ระหว่างปีพุทธศักราช ๒๔๘๓ – ๒๔๙๕ ตอนที่ 8 : สองปีในประเทศญี่ปุ่น ภาค 2 ภารกิจหลังการตั้งกระทรวงกิจการมหาเอเชียบูรพา
- การวิเทโศบายของไทย ระหว่างปีพุทธศักราช ๒๔๘๓ – ๒๔๙๕ ตอนที่ 9 : ขบวนการต่อต้านญี่ปุ่นภายในประเทศไทย
- การวิเทโศบายของไทย ระหว่างปีพุทธศักราช ๒๔๘๓ – ๒๔๙๕ ตอนที่ 10 : เสรีไทยเข้าประเทศไทย
- การวิเทโศบายของไทย ระหว่างปีพุทธศักราช ๒๔๘๓ – ๒๔๙๕ ตอนที่ 11 : ท่าทีของอังกฤษต่อประเทศไทย
- การวิเทโศบายของไทย ระหว่างปีพุทธศักราช ๒๔๘๓ – ๒๔๙๕ ตอนที่ 12 : ความคลี่คลายของเหตุการณ์ภายในประเทศไทย
- การวิเทโศบายของไทย ระหว่างปีพุทธศักราช ๒๔๘๓ – ๒๔๙๕ ตอนที่ 13 : ความพยายามติดต่อทางการเมืองกับอังกฤษ
- การวิเทโศบายของไทย ระหว่างปีพุทธศักราช ๒๔๘๓ – ๒๔๙๕ ตอนที่ 14 : นายสุนี เทพรักษา
- การวิเทโศบายของไทย ระหว่างปีพุทธศักราช ๒๔๘๓ – ๒๔๙๕ ตอนที่ 15 : การกระชับงานต่อต้าน
- การวิเทโศบายของไทย ระหว่างปีพุทธศักราช ๒๔๘๓ – ๒๔๙๕ ตอนที่ 16 : อวสานของสงครามภาคแปซิฟิก
- การวิเทโศบายของไทย ระหว่างปีพุทธศักราช ๒๔๘๓ – ๒๔๙๕ ตอนที่ 17 : ไทยประกาศสันติภาพ
- การวิเทโศบายของไทย ระหว่างปีพุทธศักราช ๒๔๘๓ – ๒๔๙๕ ตอนที่ 18 : การทำข้อตกลงทางทหารกับฝ่ายสหประชาชาติ
- การวิเทโศบายของไทย ระหว่างปีพุทธศักราช ๒๔๘๓ – ๒๔๙๕ ตอนที่ 19 : ท่านทูตเสนีย์ ปราโมช เดินทางกลับประเทศไทย
- การวิเทโศบายของไทย ระหว่างปีพุทธศักราช ๒๔๘๓ – ๒๔๙๕ ตอนที่ 20 : การเสด็จพระราชดำเนินนิวัตพระนคร
- การวิเทโศบายของไทย ระหว่างปีพุทธศักราช ๒๔๘๓ – ๒๔๙๕ ตอนที่ 21 : กำลังทหารบริติชเข้าประเทศไทย
- การวิเทโศบายของไทย ระหว่างปีพุทธศักราช ๒๔๘๓ – ๒๔๙๕ ตอนที่ 22 : การเจรจาเลิกสถานะสงคราม
- การวิเทโศบายของไทย ระหว่างปีพุทธศักราช ๒๔๘๓ – ๒๔๙๕ ตอนที่ 23 : ฝรั่งเศสแซงเรียกร้องจากไทย
- การวิเทโศบายของไทย ระหว่างปีพุทธศักราช ๒๔๘๓ – ๒๔๙๕ ตอนที่ 24 : การทำความสัมพันธ์ทางทูตกับจีน
- การวิเทโศบายของไทย ระหว่างปีพุทธศักราช ๒๔๘๓ – ๒๔๙๕ ตอนที่ 25 : ไทยเข้าเป็นสมาชิกสหประชาชาติ
- การวิเทโศบายของไทย ระหว่างปีพุทธศักราช ๒๔๘๓ - ๒๔๙๕ ตอนที่ 26 : คณะทูตสันถวไมตรีหลังสงคราม
- การวิเทโศบายของไทย ระหว่างปีพุทธศักราช ๒๔๘๓ - ๒๔๙๕ ตอนที่ 27 : ความผันผวนทางการเมืองภายหลังสงคราม ภาค 1 บทบาทของเสรีไทย
- การวิเทโศบายของไทย ระหว่างปีพุทธศักราช ๒๔๘๓ - ๒๔๙๕ ตอนที่ 27 : ความผันผวนทางการเมืองภายหลังสงคราม ภาค 2 การเปลี่ยนขั้วอำนาจ
- การวิเทโศบายของไทย ระหว่างปีพุทธศักราช ๒๔๘๓ – ๒๔๙๕ ตอนที่ 28 : การปฏิบัติตามความตกลงหลังสงครามภาค 1 ค่าใช้จ่ายและสินทรัพย์ของไทยหลังสงคราม
- การวิเทโศบายของไทย ระหว่างปีพุทธศักราช ๒๔๘๓ – ๒๔๙๕ ตอนที่ 28 : การปฏิบัติตามความตกลงหลังสงครามภาค 2 พันธกรณีเรื่องข้าวและค่าทดแทนความเสียหาย
- การวิเทโศบายของไทย ระหว่างปีพุทธศักราช ๒๔๘๓ – ๒๔๙๕ ตอนที่ 28 : การปฏิบัติตามความตกลงหลังสงครามภาค 3 ข้อเรียกร้องหลังสงคราม
- การวิเทโศบายของไทย ระหว่างปีพุทธศักราช ๒๔๘๓ – ๒๔๙๕ ตอนที่ 28 : การปฏิบัติตามความตกลงหลังสงครามภาค 4 การทูตไทยหลังสงคราม
- การวิเทโศบายของไทย ระหว่างปีพุทธศักราช ๒๔๘๓ – ๒๔๙๕ ตอนที่ 29 : การร่วมมือชายแดนด้านมลายู