ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก
เกร็ดประวัติศาสตร์

การวิเทโศบายของไทย ระหว่างปีพุทธศักราช ๒๔๘๓-๒๔๙๕ ตอนที่ 28 : การปฏิบัติตามความตกลงหลังสงคราม ภาค 3 ข้อเรียกร้องหลังสงคราม

8
กันยายน
2568

๕. คำเรียกร้องของประเทศจักรภพบางประเทศ

ตามที่ได้กล่าวแล้วในบทที่ ๖ เมื่อรัฐบาลอังกฤษประกาศสงครามต่อประเทศไทย รัฐบาลสหภาพแอฟริกาใต้ถือโอกาสประกาศสงครามกับประเทศไทยตามเมื่อวันที่ ๑๑ กุมภาพันธ์ ๒๔๘๕ กระทรวงการต่างประเทศไทยตอบผ่านสถานกงสุลสวิส ณ กรุงเทพฯ ว่า สาเหตุที่ไทยต้องประกาศสงครามกับอังกฤษและสหรัฐอเมริกาก็เนื่องจากทั้งสองประเทศปฏิบัติการรุนแรงต่อประเทศไทย โดยละเมิดหลักกฎหมายระหว่างประเทศและศีลธรรมนานาชาติ สหภาพแอฟริกาใต้ไม่มีข้อบาดหมางอย่างไรกับประเทศไทย ทั้งไม่เคยทำการศึกต่อกันด้วย รัฐบาลจึงไม่รับทราบการประกาศ สงครามของสหภาพแอฟริกาใต้

ครั้นต่อมาเมื่อเสร็จสิ้นสงคราม อังกฤษทำความตกลงสมบูรณ์แบบกับรัฐบาลไทย และออสเตรเลียก็ทำความตกลงสันติภาพฉบับสุดท้ายกับไทย สหภาพแอฟริกาใต้จึงอยากจะเอาอย่างตาม โดยแจ้งเรื่องต่อรัฐบาลอังกฤษ เมื่อวันที่ ๖ สิงหาคม ๒๔๘๙ กระทรวงการต่างประเทศอังกฤษแนะข้าหลวงใหญ่แอฟริกาใต้ให้ติดต่อกับเอกอัครราชทูตไทยเอง ข้าหลวงใหญ่ได้รับคำสั่งจากรัฐบาลให้ยกเรื่องขึ้นพูดกับคุณดิเรก ชัยนาม คุณดิเรกยืนยันว่า ประเทศไทยไม่เคยมีสถานะสงครามกับสหภาพแอฟริกาใต้ ข้าหลวงใหญ่คงติดตามเรื่องนี้ต่อมา เมื่อมีการรัฐประหารในประเทศไทย รัฐบาลไทยยังยึดท่าทีเดิมอยู่ ไม่ยอมเปิดการเจรจาด้วย ถ้าสหภาพแอฟริกาใต้จะประกาศโดยลำพังเลิกสถานะสงคราม ฝ่ายไทยไม่ขัดข้อง และหากจะมีกรณีเรียกร้องค่าทดแทนความเสียหายระหว่างสงคราม ซึ่งไทยไม่คิดว่ามี ก็เป็นเรื่องที่จะดำเนินการได้โดยทางการทูตตามปกติ ความจริงที่ฝ่ายสหภาพแอฟริกาใต้ยืนยันจะทำความตกลงเลิกสถานะสงครามกับไทยนั้น เป็นเพราะสหภาพแอฟริกาใต้สั่งยึดเรือไทยไว้สองลำคือ เรือวิสุทธิกษัตริย์นาวา และเรือสุริโยไทยนาวา และได้กักกันสินทรัพย์ของไทยด้วยเป็นจำนวนเล็กน้อยเพียงหนึ่งพันกว่าปอนด์ รัฐบาลสหภาพแอฟริกาใต้จึงอยากจะให้มีหลักฐานแน่นอนว่า ไทยสละสิทธิ์เรียกร้องใด ๆ ต่อสหภาพ เมื่อรัฐบาลอังกฤษตกลงในปัญหาเรื่องเงินก้อนสำหรับเป็นค่าทดแทนความเสียหายของฝ่ายบริติช ถ้าสหภาพแอฟริกาใต้จะมีข้อเรียกร้องอย่างใด ก็ถือว่ารวมอยู่ในจำนวนเงินก้อนนั้นแล้ว กระทรวงการต่างประเทศอังกฤษจึงมีหนังสือลง วันที่ ๒๐ มีนาคม ๒๔๙๔ ไปยังกระทรวงจักรภพขอให้ชี้แจงสถานการณ์ให้รัฐบาล สหภาพแอฟริกาใต้ทราบ หากเห็นสมควรก็อาจจะประกาศฝ่ายเดียวเลิกภาวะสงครามกับประเทศไทย มีปัญหาอื่นใดอีกก็ให้ติดตามได้ทางวิถีการทูตปกติ

 

ศาสตราจารย์ดิเรก ชัยนาม

 

ทางด้านสหพันธมลายูก็คล้ายกัน รัฐบาลมลายูใคร่จะเรียกร้องค่าทดแทนความ เสียหายอันเกิดจากการที่ฝ่ายไทยเข้าไปทำการปกครองดินแดนส่วนหนึ่งของสหพันธ์ตามที่ญี่ปุ่นยกให้ ฝ่ายอังกฤษเห็นว่า ทางมลายูส่งเรื่องมาล่าช้าไปภายหลังที่ได้ตกลงเงินก้อนกับประเทศไทยเสียแล้วในระหว่างที่คำนวณตัวเลขกัน ทางมลายูหาได้เสนอคำเรียกร้องอย่างใดไม่ จึงไม่สามารถที่จะรับคำเรียกร้องเหล่านี้ส่งให้รัฐบาลไทยพิจารณาอีก ฝ่ายมลายูอ้างว่า การที่จะขอให้ผู้เสียหายซึ่งส่วนใหญ่อยู่กระจัดกระจายในเขตที่ไทยเคยปกครอง กรอกแบบฟอร์มยื่นต่อรัฐบาลไทยย่อมทำไม่ได้ จำต้องใช้ เวลาบ้าง ฝ่ายอังกฤษโต้ว่า เป็นหน้าที่ของรัฐบาลมลายูที่จะต้องติดตามรวบรวมยื่นให้แก่รัฐบาลไทยตามกำหนดเวลา เมื่อปล่อยปละละเลยมาจนกระทั่งตกลงในเงินก้อนเป็นอันเสร็จเด็ดขาดไปแล้ว กระทรวงการต่างประเทศอังกฤษไม่ทราบจะช่วยได้อย่างใด ทางที่ดี ทางรัฐบาลมลายูควรหาทางชดใช้ให้ผู้เสียหายเอง หรือมิฉะนั้นก็ขอให้กระทรวงการคลังช่วย กระทรวงอาณานิคมเสนอจะให้กระทรวงการต่างประเทศอนุมัติปันเงินจากสินทรัพย์ของไทยที่ถูกปล่อยให้สักร้อยละสองเพื่อนำมาชดใช้ให้มลายู กระทรวงการต่างประเทศอังกฤษไม่เห็นด้วย อ้างว่าได้ตกลงในหลักการกับ รัฐบาลไทยไปหมดสิ้นแล้ว

นายวัลลิงเจอร์ เอกอัครราชทูตอังกฤษประจำกรุงเทพฯ สืบแทนเซอร์เจฟฟรีย์ ทอมสัน ตอบชี้แจงกระทรวงการต่างประเทศอังกฤษ เมื่อวันที่ ๕ กันยายน ๒๔๙๔ว่า ตามหลักฐานของสถานเอกอัครราชทูตปรากฏว่าได้มีการติดต่อกับรัฐบาลมลายู มาโดยตลอด ระหว่างปี ๒๔๙๐ ถึง ๒๔๙๓ แจ้งให้ทราบถึงวิธีการยื่นคำเรียกร้องค่าทดแทนต่อรัฐบาลไทย สถานเอกอัครราชทูตแจ้งฝ่ายมลายูครั้งแรกเมื่อวันที่ ๒๘ เมษายน ๒๔๙๐ รัฐบาลมลายูออกประกาศให้ยื่นคำเรียกร้องเมื่อวันที่ ๑๑ ธันวาคม ๒๔๙๐ สำหรับความเสียหายส่วนตัวบุคคล ส่วนความเสียหายทางทรัพย์สิน ซึ่งจะต้องยื่นภายในวันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๔๙๒ ทางสถานเอกอัครราชทูตก็ได้แจ้งให้ทางมลายูทราบแล้วแต่วันที่ ๖ กรกฎาคม ๒๔๙๑ ทางรัฐบาลมลายูหาได้ยื่นคำเรียกร้องค่าทดแทนแต่อย่างใดไม่ เมื่อนายไครชตัน ประธานคณะกรรมการผสม ไปพบเจ้าหน้าที่ของมลายูในวันที่ ๑๖ ธันวาคม ๒๔๙๒ ทางมลายูมิได้เอ่ยถึงการเรียกร้องค่าเสียหายแต่อย่างใดเลย

สำหรับเงินก้อนที่สถานเอกอัครราชทูตอังกฤษตอบตกลงมาโดยหนังสือที่๑๕๐๕/๑๙๗/๕๐ ลงวันที่ ๘ พฤศจิกายน ๒๔๙๓ เป็นจำนวน ๕,๒๒๔,๒๐๐ ปอนด์โดยระบุแน่นอนว่า ไม่รวมถึงค่าเสียหายที่รัฐบาลพม่าและบุคคลชาติพม่าอาจจะเรียกร้องนั้น เมื่อรัฐบาลอังกฤษได้รับไปแล้ว แบ่งให้อินเดีย ๑๐๑,๓๒๖ ปอนด์ ออสเตรเลีย ๕๕๖,๖๒๖ ปอนด์ ที่เหลือรัฐบาลอังกฤษมอบให้กระทรวงการต่างประเทศเป็นผู้คำนวณและดำเนินการแบ่งจ่ายให้แก่ผู้เรียกร้องตามจำนวนที่ประเมินไว้แน่นอนแล้ว ส่วนเงินทดรองเป็นเงินบาทที่รัฐบาลไทยเคยจ่ายให้แก่บริษัทเหมืองแร่ไปก่อนเพื่อให้สามารถกลับเปิดดำเนินการได้ทันที หากจะให้จ่ายจากเงิน

ก้อนที่เป็นเงินปอนด์แล้ว เกรงว่าจะกระทบต่ออัตราแลกเปลี่ยนระหว่างเงินบาทกับเงินปอนด์สเตอร์ลิงได้ กระทรวงการต่างประเทศอังกฤษจึงสั่งให้สถานเอกอัครราชทูตจ่าย จากเงินบาทของญี่ปุ่นที่อังกฤษยึดไว้ในประเทศไทยแทน

 

๖. สินทรัพย์ญี่ปุ่นในประเทศไทย

หัวข้อความตกลงและภาคผนวกที่คณะผู้แทนไทยยอมตกลงทำกับคณะผู้แทน อังกฤษซึ่งทำการแทนสัมพันธมิตรที่สิงคโปร์ เมื่อวันที่ ๑ มกราคม ๒๔๘๙ มีบทบัญญัติอยู่ข้อหนึ่งกำหนดให้เป็นหน้าที่ของรัฐบาลไทยที่จะยึดถือสินทรัพย์ญี่ปุ่นในประเทศไทยไว้ให้แก่สัมพันธมิตร การที่สัมพันธมิตรถือสิทธิ์เหนือสินทรัพย์ญี่ปุ่นก็โดยอาศัยอำนาจจากการยอมจำนนของรัฐบาลญี่ปุ่นอย่างไม่มีเงื่อนไข ตามปกติเมื่อสงครามสิ้นสุดลง รัฐผู้ชนะย่อมมีสิทธิที่จะเรียกร้องให้รัฐผู้แพ้จ่ายค่าปฏิกรรมสงครามโอนดินแดนที่อยู่ใต้อำนาจอธิปไตยให้ รวมทั้งทรัพย์สิน สิทธิ ผลประโยชน์ของรัฐบาล บริษัทห้างร้านเอกชนในสัญชาติได้ตามแต่ที่กำหนดไว้ในสนธิสัญญาสันติภาพ เพื่อความสะดวกในทางปฏิบัติมักจะทำการจำหน่ายทรัพย์สินเหล่านั้นเก็บรายได้จากการขายไว้แทน ต่อมาเมื่อไทยกับอังกฤษตกลงยกเลิกหัวข้อความตกลงและภาคผนวกแล้ว ก็ยังมีหนังสือแลกเปลี่ยนลงวันที่ ๘ พฤษภาคม ๒๔๙๐ ยืนยันความผูกพันของรัฐบาลไทยในข้อนี้อยู่

เพื่อปฏิบัติตามข้อผูกพันดังกล่าว รัฐบาลไทยตราพระราชบัญญัติควบคุมทรัพย์สินของศัตรูต่อสหประชาชาติเป็นบทบัญญัติกฎหมายภายในที่อาศัยเข้าทำการยึดและควบคุมสินทรัพย์ญี่ปุ่นและเยอรมันในประเทศไทยไว้ โดยจัดตั้งคณะกรรมการควบคุมขึ้นคณะหนึ่ง หากไม่มีข้อผูกพันกับสัมพันธมิตรดังกล่าวรัฐบาลไทยย่อมไม่มีอำนาจเข้าทำการควบคุมสินทรัพย์เหล่านั้น เพราะตามนิตินัยรัฐบาลไทยเป็นพันธมิตรของญี่ปุ่น และเป็นฝ่ายเดียวกับเยอรมัน

นอกจากสินทรัพย์ที่คณะกรรมการไทยเข้ายึดถือไว้ เมื่อกำลังทหารฝ่ายสัมพันธมิตรเข้ามาทำการปลดอาวุธทหารญี่ปุ่นในประเทศไทย ยังได้ยึดสินทรัพย์ ของทหารญี่ปุ่นไว้เองด้วย และได้ทำการจำหน่ายไป รวบรวมเงินเข้าบัญชีหลายบัญชีด้วยกัน เป็นบัญชีในนามของเอกอัครราชทูตอังกฤษโดยลำพัง บัญชีร่วมของเอกอัครราชทูตอังกฤษและอเมริกัน ทรัพย์สินที่สำคัญ ได้แก่ สายพม่าที่ญี่ปุ่นจัดสร้างขึ้นในประเทศไทยใช้เข้าสู่ประเทศพม่า โดยอาศัยกำลังงานของเชลยศึก และใช้วัสดุก่อสร้างที่ญี่ปุ่นยึดมา ต่อมาได้โอนเชิงบังคับขายให้แก่รัฐบาลไทย นอกนั้นก็เป็นเงินที่ยึดได้จากกองกำลังทหารญี่ปุ่น และเงินที่ได้จากการขายทรัพย์สินของทหารญี่ปุ่น ส่วนคณะกรรมการควบคุมของไทยเข้ายึดถือทรัพย์สินส่วนเอกชนญี่ปุ่นในประเทศไทย บริษัทห้างร้านญี่ปุ่น รวมทั้งสินทรัพย์ของธนาคารโยโกฮามาสเปซีที่เข้ามาเปิดสาขาทำการในประเทศไทย

ตามหลักฐานทางกระทรวงการต่างประเทศอังกฤษ สินทรัพย์ญี่ปุ่นในประเทศไทย แบ่งออกเป็นรายการดังต่อไปนี้

๑. บัญชีร่วมของเอกอัครราชทูตอังกฤษและอเมริกัน ๑๖,๐๘๘,๕๘๓ บาท ณ ธนาคารฮ่องกงเซี่ยงไฮ้ที่กรุงเทพฯ

๒. บัญชีในนามเอกอัครราชทูตอังกฤษ

เงินจากการขายทรัพย์สินญี่ปุ่น ๒๗,๖๖๐,๑๔๐ บาท

เงินยึดจากญี่ปุ่น ๖,๒๘๕,๑๐๒ บาท

๓. บัญชีในนามกระทรวงการต่างประเทศกรุงลอนดอน ๕๙๒,๐๙๖ ปอนด์

๔. สินทรัพย์ในความควบคุมของไทย ๔๘,๘๙๙,๒๖๕ ปอนด์

๕. บัญชีร่วมของเอกอัครราชทูตอังกฤษและอเมริกัน ๗๕๐,๐๐๐ เหรียญ ณ ธนาคารเฟเดรัลรีเซอร์ฟ

ในขั้นแรก รัฐบาลไทยมิได้คิดที่จะถือเอาประโยชน์จากสินทรัพย์ญี่ปุ่นแต่อย่างใด หากเป็นเพียงปฏิบัติตามพันธกรณีที่หัวข้อความตกลงกำหนดไว้ ครั้นฝ่ายอังกฤษอาศัยความตกลงสมบูรณ์แบบเรียกร้องให้รัฐบาลต้องรับผิดชอบในการให้ค่าทดแทนความเสียหายระหว่างสงครามที่เกิดแก่ทรัพย์สิทธิและผลประโยชน์ของคนชาติบริติชในประเทศไทย คลุมถึงความเสียหายที่เกิดจากการกระทำของญี่ปุ่นและการทิ้งระเบิดของสัมพันธมิตรเองด้วย ฝ่ายไทยจึงรู้สึกว่าเป็นภาระตกหนักแก่ ประเทศไทยเกินสมควร สำหรับค่าทดแทนความเสียหายส่วนหลังนี้ ไม่น่าจะเป็นภาระของประเทศไทยเลย น่าจะหาทางผ่อนคลายภาระด้วยการใช้ชำระจากสินทรัพย์ญี่ปุ่นในประเทศไทย จะเป็นธรรมมากกว่า ฝ่ายไทยถือเป็นแนวทางทาบทามขอความเห็นใจจากฝ่ายบริติชในเรื่องนี้ตลอดมา

ทางอังกฤษยืนกรานหนักแน่นว่า ความตกลงสมบูรณ์แบบกำหนดให้ไทยต้องรับผิดชอบ ให้ค่าทดแทนความเสียหายที่เกิดขึ้นระหว่างสงครามต่อผลประโยชน์ของบริติชโดยมิได้แยกสาเหตุแห่งความเสียหาย ส่วนสินทรัพย์ญี่ปุ่นในประเทศไทยเป็นเรื่องที่จะต้องรอคำวินิจฉัยของฝ่ายสัมพันธมิตรว่า จะให้จัดการอย่างใด ในข้อนี้ทางฝ่ายอเมริกันวางท่าทีอะลุ้มอล่วยกว่าและดูจะสนับสนุนให้มอบสินทรัพย์ญี่ปุ่นในประเทศไทยให้แก่รัฐบาลไทยเพื่อนำไปใช้ในการทดแทนความเสียหายที่เกิดจากการกระทำของญี่ปุ่นได้ ที่ท่าทีของอังกฤษและอเมริกันแตกต่างกัน ก็สืบเนื่องจากสหรัฐอเมริกาไม่ถือประเทศไทยเป็นศัตรู แต่อังกฤษถือ ถึงกับกำหนดให้ต้องทำข้อตกลงเลิกสถานะสงครามต่อกัน แม้คณะกรรมการควบคุมสินทรัพย์ศัตรูของ สหประชาชาติที่รัฐบาลไทยจัดตั้งขึ้น ฝ่ายอังกฤษก็ถือว่าจะต้องปฏิบัติตามคำสั่งของฝ่ายสัมพันธมิตรซึ่งอังกฤษทำการแทน อังกฤษสั่งให้โอนเงินญี่ปุ่นบางส่วนไปเก็บไว้ทางกรุงลอนดอน เปรียบประหนึ่งสินทรัพย์ญี่ปุ่นเป็นสินทรัพย์เชลย อังกฤษมีสิทธิจัดการตามกฎหมายระหว่างประเทศในฐานะผู้ชนะ แต่ฝ่ายอเมริกันไม่เห็นด้วยจึงเป็นเรื่องที่มีการเจรจาต่อรองกันเป็นเวลานาน

ฝ่ายอเมริกันไม่พอใจในการปฏิบัติของอังกฤษ รัฐบาลอเมริกันควรมีส่วนรู้เห็นในเรื่องสินทรัพย์ญี่ปุ่นในประเทศไทยไม่น้อยกว่าอังกฤษ จึงพยายามติดตามเรื่องอยู่และคอยเตือนถามรัฐบาลอังกฤษเสมอมา อังกฤษแก้ตัวเมื่อวันที่ ๑๒ กุมภาพันธ์ ๒๔๙๓ ว่า อังกฤษเพียงทำการควบคุมสินทรัพย์ญี่ปุ่นไว้ในนามของสัมพันธมิตร และจะต้องปรึกษาหารือกันก่อนที่จะดำเนินการอย่างใด ๆ ฝ่ายอเมริกันโต้ว่า เมื่ออังกฤษเริ่มเข้าควบคุมสินทรัพย์ญี่ปุ่น ก็ไม่ได้ปรึกษาหารือสัมพันธมิตร ฝ่ายอเมริกันมิได้ ทักท้วงหรือขัดข้องเพราะเป็นเวลาหัวเลี้ยวหัวต่อ ต้องจัดการปลดอาวุธทหารญี่ปุ่นในประเทศไทย แต่เมื่อสถานการณ์คลี่คลายเข้าสู่ภาวะปกติแล้ว การที่อังกฤษจะ ควบคุมสินทรัพย์ญี่ปุ่นต่อไป ก็เท่ากับไม่ไว้วางใจรัฐบาลไทย ทั้ง ๆ ที่ในทางปฏิบัติรัฐบาลไทยก็ทำการควบคุมอยู่บางส่วนแล้ว อังกฤษประสงค์อย่างใด น่าจะปรึกษาหารือกับรัฐบาลไทย สัมพันธไมตรีอันดีกับประเทศไทยเป็นปัจจัยสำคัญในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งกำลังเผชิญอยู่กับภัยคุกคามคอมมูนิสต์

ฝ่ายอังกฤษตอบเมื่อวันที่ ๑๑ เมษายนว่า ที่ยังไม่ยอมปล่อยการควบคุมสินทรัพย์ญี่ปุ่นให้เป็นอำนาจของรัฐบาลไทยก็เพราะว่า คณะกรรมการไทยควบคุมไม่รัดกุมสินทรัพย์ญี่ปุ่นต้องกระจัดกระจายอีลุ่ยฉุยแฉกไปหมด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อรัฐบาลไทยเน้นแล้วเน้นเล่าว่า ควรใช้สินทรัพย์ญี่ปุ่นทดแทนคำเรียกร้องของไทยต่อญี่ปุ่น อังกฤษกล่าวต่อไปว่า ไทยควบคุมสินทรัพย์ญี่ปุ่นไว้รวมเป็นเงิน ๔๗,๙๐๖,๑๗๒ บาท ตามตัวเลขคิดเมื่อวันที่ ๓๑ พฤษภาคม ๒๔๙๒ เงินจำนวนนี้ในที่สุดอาจจะตกเป็นของไทย แต่ยังมีสินทรัพย์ญี่ปุ่นในบัญชีของเอกอัครราชทูตอังกฤษอีกเกือบ ๖๘ ล้าน บาท และในบัญชีร่วมอังกฤษ-อเมริกันอีกกว่า ๑๖ ล้านบาท อังกฤษไม่เห็นสมควรที่จะปล่อยให้เงินจำนวนมากมายเช่นนั้นเข้าอยู่ในความรับผิดชอบของรัฐบาลไทยจะเป็นเสมือนหนึ่งของขวัญมอบให้แก่ไทย การส่งเสริมให้ประเทศไทยเข้มแข็งก็ชอบอยู่ แต่ไม่ควรเป็นด้วยวิธีเปลื้องให้พ้นจากข้อผูกพันระหว่างประเทศ ในทัศนะของอังกฤษ รัฐบาลจักรภพน่าจะมีสิทธิเรียกร้องต่อสินทรัพย์ญี่ปุ่นในประเทศไทยมากกว่าไทย เช่น เงินที่ได้รับจากรัฐบาลไทยในการซื้อรถไฟสายพม่า รัฐบาลจักรภพน่าจะมีสิทธิได้รับส่วนแบ่ง เพราะรถไฟสายนั้นสร้างขึ้นด้วยกำลังแรงงานเชลยศึกที่ญี่ปุ่นควบคุมอย่างไร้มนุษยธรรม ส่วนเงินในบัญชีเอกอัครราชทูตอังกฤษเป็นเงินที่ได้จากการขายทรัพย์สินของทหารญี่ปุ่นที่ใช้ในการสงครามกับสัมพันธมิตร

ปลายปี ๒๔๙๓ ภายหลังที่ได้ช่วยเจรจากับฝ่ายอเมริกันเป็นผลสำเร็จให้ประเทศไทยได้รับคืนทองคำไทยที่ถูกผูกหูไว้ในประเทศญี่ปุ่นและต้องตกอยู่ในความควบคุมของฝ่ายอเมริกันในนามของสัมพันธมิตร นายอ๊อล์กและนายเสิร์ช ริปส์ ได้หันมาให้ความสนใจแก่ปัญหาเรื่องสินทรัพย์ญี่ปุ่นในประเทศไทยด้วย ตอนนั้นข้าพเจ้าย้ายไปดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมสหประชาชาติแล้ว จึงไม่ได้ปฏิบัติงานด้าน การเจรจาการเมืองกับต่างประเทศ เป็นหน้าที่ของกรมการเมือง ซึ่งมี ม.ร.ว.ทวยเทพ เทวกุล เป็นอธิบดี รัฐบาลตกลงมอบหมายให้นายอ๊อล์กและนายริปส์เข้าช่วยเจรจากับสหรัฐอเมริกาและอังกฤษในเรื่องนี้ ทั้งสองคนไปพบเจ้าหน้าที่สถานเอกอัครราชทูตอังกฤษที่กรุงวอชิงตันเมื่อวันที่ ๒๕ ตุลาคม ๒๔๙๓ เสนอให้มีการปรึกษาหารือสามฝ่ายทางกรุงวอชิงตัน คือ ระหว่างอังกฤษ สหรัฐอเมริกา และไทย ทางสถานเอกอัครราชทูตอังกฤษตอบเพียงว่า เป็นเรื่องที่รัฐบาลไทยจะต้องยกเรื่องขึ้นพูดเอง

 

ม.ร.ว.ทวยเทพ เทวกุล 
ที่มา กระทรวงการต่างประเทศ

 

เมื่อถูกบอกปัด นายริปส์ตัดสินใจเดินทางไปยังกรุงลอนดอน ขอให้สถานเอกอัครราชทูตไทยจัดให้พบกับเจ้าหน้าที่กระทรวงการต่างประเทศอังกฤษผู้ปฏิบัติงานด้านสินทรัพย์ญี่ปุ่นในประเทศไทย นายฮิบเบิร์กทำบันทึกลงวันที่ ๒๒ พฤศจิกายน ๒๔๙๓ เสนอกระทรวงการต่างประเทศอังกฤษมีข้อความว่า ในวัน พฤหัสบดีเราจะได้พบกับซิดนีย์ สแตนเลย์ ของสถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุง วอชิงตัน คือนายริปส์ ซึ่งมีชื่อดัง ขึ้นเพราะได้รับส่วนแบ่งมหึมาจากทองคำที่สหรัฐอเมริกาคืนให้แก่ประเทศไทยประมาณกึ่งหนึ่งของหนึ่งแสนปอนด์อันเป็นค่าธรรมเนียมร้อยละหนึ่งของราคาทองคำ ๑๐ ล้านปอนด์ นายริปส์หันมาให้ความสนใจในปัญหาเรื่องสินทรัพย์ญี่ปุ่นในประเทศไทย อ้างว่าได้รับคำสั่งจากพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวรรณไวทยากร เอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงวอชิงตัน นายฮิบเบิร์กรู้สึกว่า ความจริงพระเจ้าวรวงศ์เธอรับคำสั่งจากนายริปส์ต่างหาก เพราะนายริปส์มองเห็นผลประโยชน์ที่อาจจะได้รับจากงานชิ้นใหม่ นายริปส์ใคร่จะขอให้เริ่มเจรจาทางกรุงวอชิงตัน ซึ่งจะเป็นโอกาสให้อ้างได้ว่า ความสำเร็จที่เป็นผลงานของนายริปส์ ไทยจะต้องจ่ายค่าธรรมเนียมให้อีก นายฮิบเบิร์กลงท้ายบันทึกด้วยข้อความว่า มีเหตุผลที่อังกฤษควรจะตัดสินใจในเรื่องสินทรัพย์ญี่ปุ่นในประเทศไทยเสียที แต่ไม่มีเหตุผลอย่างใดที่จะยอมให้มีการเจรจาทางกรุงวอชิงตัน ถ้าจะมีการผ่อนปรนให้แก่ไทยแล้ว ก็ควรที่จะกระทำกันโดยวิถีทางการทูตปกติทางกรุงลอนดอน หรือกรุงเทพฯ เพื่อประโยชน์ของรัฐบาลอังกฤษ มิใช่เพื่อประโยชน์ของกระทรวงการต่างประเทศอเมริกันหรือของนายริปส์ ตอนนั้นฝ่ายกระทรวงการต่างประเทศ อังกฤษยืนกรานไม่ยอมพูดจากับนายริปส์

นายริปส์เดินทางกลับกรุงวอชิงตันด้วยความผิดหวัง แต่ยังไม่สิ้นหวังที่จะ เดินเรื่องต่อไป โดยได้ยกร่างบันทึกมอบให้ฝ่ายไทยยื่นเป็นทางการต่อรัฐบาลอเมริกันและรัฐบาลอังกฤษ อ้างเหตุผลสนับสนุนคำเรียกร้องของรัฐบาลไทยเกี่ยวกับทรัพย์สินในประเทศไทยที่ยึดจากศัตรูของสหประชาชาติ พึงสังเกตว่า กรณีสินทรัพย์ญี่ปุ่นในประเทศไทยต่างกับกรณีทองคำไทยในญี่ปุ่น ทองแท่งของรัฐบาลไทยที่ฝากอยู่ในประเทศญี่ปุ่นเป็นสิ่งที่ได้รับจากรัฐบาลญี่ปุ่นตอบแทนเงินบาทที่รัฐบาลจ่ายให้แก่ญี่ปุ่นระหว่างสงคราม นับเป็นสมบัติของประเทศไทยโดยแท้ หากยังมิได้นำกลับประเทศเท่านั้น รัฐบาลญี่ปุ่นยินยอมให้ผูกหูแสดงกรรมสิทธิ์ของไทยไว้แน่ชัด เมื่อฝ่ายอเมริกันเข้ายึดทองคำของรัฐบาลญี่ปุ่น ทองคำส่วนของไทยติดร่างแหอยู่ด้วย ฝ่ายไทยเจรจาขอคืนฝ่ายอเมริกันยอมรับหลักการและตกลงคืนให้ ตรงกันข้ามสินทรัพย์ญี่ปุ่นในประเทศไทย ไทยเข้ายึดถือไว้ตามข้อตกลงที่ทำกับอังกฤษเพื่อประโยชน์ของสัมพันธมิตร จนกว่าสัมพันธมิตรจะวินิจฉัยให้จำ หน่ายจ่ายแจกออกไปอย่างใด

คารมและเหตุผลที่นายริปส์ประมวลไว้ในบันทึก พอสรุปได้ว่า ประเทศไทยมิใช่ประเทศแพ้สงคราม รัฐบาลอเมริกันมิได้ถือประเทศไทยเป็นศัตรู หากเป็นประเทศที่ได้รับการปลดปล่อยจากศัตรู รัฐบาลไทยควรมีสิทธิมีเสียงในการจัดการกับสินทรัพย์ญี่ปุ่นในประเทศไทย เป็นสิทธิอธิปไตยของรัฐเจ้าของท้องถิ่น สินทรัพย์ญี่ปุ่นบางส่วนญี่ปุ่นได้มาด้วยการใช้เงินที่เรียกเอาจากประเทศไทย การจัดการกับสินทรัพย์นั้น ประเทศไทยควรมีส่วนร่วมในการพิจารณาด้วย เป้าหมายสำคัญของนายริปส์ก็คือ เสนอให้เปิดการประชุมปรึกษาหารือสามฝ่าย คือ อังกฤษ สหรัฐอเมริกา และไทยทางกรุงวอชิงตัน

สถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงวอชิงตัน ยื่นบันทึกนั้นต่อกระทรวงการต่างประเทศอเมริกันก่อน ฝ่ายอเมริกันรับไว้พิจารณาโดยจะต้องฟังความคิดเห็นของอังกฤษประกอบด้วย เจ้าหน้าที่กระทรวงการต่างประเทศอเมริกันเห็นว่า โดยที่สินทรัพย์ญี่ปุ่นตั้งอยู่ในประเทศไทย และฝ่ายอังกฤษเป็นผู้จัดการมาโดยตลอด การเจรจาน่าจะกระทำกันทางกรุงเทพฯ หรือกรุงลอนดอนจะสะดวกว่า นายริปส์ รีบเดินทางไปกรุงลอนดอนอีกวาระหนึ่ง เข้าพบพระพหิทธานุกร เอกอัครราชทูตไทย อธิบายเรื่องให้ทราบโดยสรุป และขอให้ท่านเอกอัครราชทูตเป็นผู้นำบันทึกไปยื่นต่อกระทรวงการต่างประเทศอังกฤษเป็นทางการ

พระพหิทธานุกรนัดพบนาย อาร์. จี. สก๊อต ผู้ช่วยปลัดกระทรวง เมื่อวันที่ ๑๓ กุมภาพันธ์ ๒๔๙๔ ยื่นบันทึกให้และแจ้งว่า รัฐบาลไทยพร้อมที่จะเจรจากับรัฐบาลอังกฤษและอเมริกันทางกรุงวอชิงตัน นายสก๊อตรับบันทึกไว้แล้วถามว่า ประเทศไทยมีฐานะอย่างใดในเรื่องสินทรัพย์ญี่ปุ่นในประเทศไทย พระพหิทธานุกรไม่เข้าใจในความหมายของคำถาม นายสก๊อตจึงเปลี่ยนรูปคำถามใหม่ว่า รัฐบาลไทยคิดว่ามี สิทธิอย่างใดในสินทรัพย์ญี่ปุ่น พระพหิทธานุกรตอบว่า เหตุผลทั้งหลายมีแจ้งอยู่ในบันทึกโดยละเอียดแล้ว ตัวท่านเองยังมิได้อ่านตลอด ขอให้กระทรวงการต่างประเทศ อังกฤษศึกษาดู มีความเห็นอย่างใดขอทราบ

ในทัศนะของเจ้าหน้าที่กระทรวงการต่างประเทศอังกฤษ บันทึกฉบับนั้นซึ่ง เจ้าหน้าที่เรียกว่า “บันทึกนายริปส์” เต็มไปด้วยข้อความบิดเบือน จริงครึ่งไม่จริงครึ่งปกปิดข้อเท็จจริงบางประการ และบางตอนไม่ให้ความจริงแน่ชัด รัฐบาลไทยไม่มีสิทธิในสินทรัพย์ญี่ปุ่นในประเทศไทย มีแต่ความผูกพันตามสัญญาที่จะต้องควบคุมรักษาไว้เพื่อประโยชน์ของสัมพันธมิตร รัฐบาลอังกฤษไม่ควรเจรจากับรัฐบาลไทยไม่ว่า ณ ที่ใด ๆ ทั้งนั้น

ทางสถานเอกอัครราชทูตอังกฤษ ณ กรุงเทพฯ เสนอความเห็นต่อกระทรวงการต่างประเทศเมื่อวันที่ ๓๑ มีนาคมว่า ฝ่ายอเมริกันคงจะช่วยประเทศไทย และรัฐบาลไทยคงจะพยายามเอาสินทรัพย์ญี่ปุ่นในประเทศไทยให้ได้ อ้างว่า ประเทศไทยไม่ควรจะต้องรับผิดชอบให้ค่าทดแทนความเสียหายอันเกิดจากการกระทำของญี่ปุ่นและการทิ้งระเบิดของสัมพันธมิตรระหว่างสงคราม ฉะนั้น จึงไม่ควรที่รัฐบาลอังกฤษจะ ปฏิเสธไทยอย่างแข็งกร้าวทีเดียว เพราะจะเท่ากับสร้างความไม่พอใจให้แก่ไทยอย่างรุนแรง น่าจะเปิดช่องทางไว้โดยตอบไทยว่า เมื่อถึงเวลาที่จะมีการพิจารณาปัญหาเรื่องทรัพย์สินญี่ปุ่น อังกฤษจะคำนึงถึงผลประโยชน์ของประเทศไทยประกอบด้วยและเห็นพ้องกับกระทรวงการต่างประเทศอังกฤษที่จะเน้นให้เอกอัครราชทูตไทย ทราบอย่างไม่เป็นทางการว่า อังกฤษไม่ชอบวิธีดำเนินการของไทยในเรื่องนี้ กระทรวงการต่างประเทศรอจนกระทั่งวันที่ ๑๒ กรกฎาคม ๒๔๙๔ จึงได้ตอบเอกอัครราชทูตไทยว่า ในการจัดการสินทรัพย์ญี่ปุ่นในประเทศไทย รัฐบาลอังกฤษจะคำนึงถึงผลประโยชน์ของประเทศไทยด้วย แต่รัฐบาลอังกฤษไม่สามารถรับข้อเรียกร้องของรัฐบาลไทยที่จะมีผู้แทนในการประชุมเกี่ยวกับการจัดการสินทรัพย์นั้นและยืนยันถึงพันธกรณีของไทยที่จะต้องปฏิบัติตามหนังสือแลกเปลี่ยนถึงวันที่ ๘ พฤษภาคม ๒๔๙๐ โดยเคร่งครัด

สำหรับสินทรัพย์ญี่ปุ่นในดินแดนโพ้นทะเล มีการปรึกษาหารือระหว่าง สัมพันธมิตรเป็นเวลานาน ในที่สุดตกลงกันในหลักการที่ปรากฏในข้อ ๑๔ และข้อ ๑๖ ของสนธิสัญญาสันติภาพกับญี่ปุ่นซึ่งได้ลงนามกัน เมื่อวันที่ ๘ สิงหาคม ๒๔๙๔ ในที่ประชุมซานฟรานซิสโก

ข้อ ๑๔ กำหนดให้ญี่ปุ่นต้องจ่ายค่าปฏิกรรมให้แก่ประเทศสัมพันธมิตรสำหรับความเสียหายและความเดือดร้อนที่ญี่ปุ่นก่อให้เกิดขึ้นระหว่างสงคราม โดยยินยอมให้ยึดและจัดการกับทรัพย์สิน สิทธิและผลประโยชน์ของประเทศญี่ปุ่น คนชาติญี่ปุ่น บุคคลที่ทำการเพื่อประโยชน์ หรือแทนประเทศและคนชาติญี่ปุ่น ตลอดจนองค์การที่ประเทศหรือคนชาติญี่ปุ่นเป็นเจ้าของหรือผู้ควบคุม บรรดาที่ตั้งอยู่ในเขตของสัมพันธมิตร ยกเว้นทรัพย์สินบางประเภทเช่น ทรัพย์สินของคนชาติญี่ปุ่นที่ได้รับอนุญาตให้พำนักอยู่ภายในประเทศระหว่างสงคราม อสังหาริมทรัพย์เครื่องเรือนของรัฐบาลญี่ปุ่นที่ใช้ในการทูตและการกงสุล ของคณะบุคคลในคณะทูตและคณะกงสุลญี่ปุ่นที่ไม่มีลักษณะเป็นทรัพย์สินเพื่อการลงทุน ทรัพย์สินขององค์การทางศาสนาหรือการกุศลสาธารณะ ทรัพย์สิน สิทธิและผลประโยชน์ที่เกิดขึ้นภายหลัง วันที่ ๒ กันยายน ๒๔๙๘ ฯลฯ

ข้อ ๑๖ กำหนดให้ประเทศญี่ปุ่นโอนกรรมสิทธิ์บนสินทรัพย์ของประเทศญี่ปุ่น หรือคนชาติญี่ปุ่นในประเทศที่เป็นกลาง หรือในประเทศที่ทำสงครามกับสัมพันธมิตรประเทศใดประเทศหนึ่งให้แก่คณะกรรมการกาชาดระหว่างประเทศเพื่อจัดการจำหน่ายจ่ายแจกให้แก่องค์การประจำชาติของสัมพันธมิตรเพื่อประโยชน์ของอดีตเชลยศึกและครอบครัวเป็นค่าทดแทนทุกข์ทรมานเกินสมควรที่ได้รับระหว่างเป็นเชลยศึกของญี่ปุ่น

ตามนี้ เห็นได้ว่า ฝ่ายสัมพันธมิตรถืออำนาจในฐานะที่เป็นผู้ชนะสงครามบังคับญี่ปุ่นผู้แพ้สงครามและยอมจำนนโดยไม่มีเงื่อนไข ให้ยอมโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินของประเทศญี่ปุ่นและคนชาติญี่ปุ่นในแก่ฝ่ายสัมพันธมิตร เป็นการทดแทนความ เสียหายที่สัมพันธมิตรและเชลยศึกสัมพันธมิตรได้รับจากการกระทำของญี่ปุ่น

ส่วนคารมสำคัญของฝ่ายไทย ใช้หลักกฎหมายว่า สำหรับสินทรัพย์ญี่ปุ่นที่อยู่ในประเทศไทย โดยที่ญี่ปุ่นมีภาระหนี้สินผูกพันอยู่กับประเทศไทย น่าจะต้องชำระชดใช้เสียก่อน หนี้สินของญี่ปุ่นนี้ ได้แก่ จำนวนเงินที่รัฐบาลญี่ปุ่นเรียกร้องไปจากประเทศไทยระหว่างสงครามประมวลตัวเลขถึง ๑,๕๐๐ ล้านบาท สินทรัพย์ญี่ปุ่นในประเทศไทยทั้งหมดมีไม่พอชำระอยู่แล้ว ไม่มีเงินเหลือจะเจียดจ่ายให้แก่กาชาดระหว่างประเทศได้ อนึ่ง ถ้าจ่ายเงินจำนวนใดให้แก่กาชาดระหว่างประเทศ ผลประโยชน์ แท้จริงจะตกแก่อังกฤษและจักรภพนั่นเอง เพราะเชลยศึกของญี่ปุ่นล้วนเป็นคนชาติบริติช การทดแทนความเสียหายที่เกิดขึ้นแก่ผลประโยชน์ของบริติชในประเทศไทย รัฐบาลไทยตกลงจ่ายให้เป็นเงินก้อนแล้ว ไม่น่าที่อังกฤษจะมีข้อเรียกร้องอื่นใหม่โดยอาศัยกาชาดระหว่างประเทศเป็นเครื่องมือ รัฐบาลไทยยอมรับว่า ฝ่ายสัมพันธมิตรได้รับความเสียหายและทุกข์ทรมานระหว่างที่ตกอยู่ใต้อำนาจของญี่ปุ่น แต่ไทยก็ได้ให้ความร่วมมือแก่ฝ่ายสัมพันธมิตรทุกประการเท่าที่อยู่ในวิสัยจะกระทำได้ รวมทั้งการคืนสินทรัพย์ของคนชาติสัมพันธมิตรให้แก่เจ้าของ การจ่ายค่าทดแทนความเสียหายให้เต็มที่ การให้ความช่วยเหลือทางเงินตราและพัสดุสิ่งของต่าง ๆ แก่สัมพันธมิตรหลังสงครามตามที่ต้องการ เป็นการบรรเทาผลร้ายอันเกิดจากการกระทำของฝ่ายญี่ปุ่นในประเทศไทยแล้ว

การเจรจาระหว่างรัฐบาลอังกฤษกับรัฐบาลอเมริกันเกี่ยวกับสินทรัพย์ญี่ปุ่นในประเทศไทย ดูจะลํ้าหน้าหลักการในสนธิสัญญาสันติภาพที่ทำกับญี่ปุ่น ทั้งสองประเทศจึงตกลงจะให้แยกไทยออกเป็นกรณีพิเศษ ทั้ง ๆ ที่เกรงประเทศอื่นอาจอ้างเป็นตัวอย่าง ดังจะเห็นได้ว่ารัฐบาลโปรตุเกสได้พยายามจะเรียกร้องผลปฏิบัติทำนองเดียวกันบ้าง

โดยที่อังกฤษกล่าวอ้างถึง “ทรัพย์เชลย (War booty)” ในกรณีสินทรัพย์ญี่ปุ่น ในประเทศไทยบางส่วนด้วย นายริปส์จึงทำบันทึกเพิ่มเติมอีกฉบับหนึ่งเสนอต่อสถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงวอชิงตัน ลงวันที่ ๒๔ กันยายน ๒๔๙๔ มีความสำคัญว่า รัฐบาลอังกฤษและอเมริกันถือสินทรัพย์ญี่ปุ่นในประเทศไทยเป็น “ทรัพย์เชลย” ไม่ได้ เพราะในขณะที่อังกฤษเข้าไปยึดถือควบคุมรัฐบาลอังกฤษมิได้เข้าไป ปฏิบัติการทางทหารในประเทศไทย ไม่มีการยึดครองประเทศ กำลังทหารสัมพันธมิตร ที่ส่งเข้าไปภายหลังที่สงครามสิ้นสุดลง มีวัตถุประสงค์จำกัดเพียงเพื่อจัดการส่งเชลยศึกของญี่ปุ่นกลับประเทศและเพื่อปลดอาวุธทหารญี่ปุ่นเท่านั้น การเข้าประเทศไทยการยึดทรัพย์สินของญี่ปุ่นในประเทศไทย เป็นไปด้วยความยินยอมเห็นชอบอย่างเปิดเผยของรัฐบาลไทย การใช้หลัก “ทรัพย์เชลย” กับสินทรัพย์ญี่ปุ่นในประเทศไทยจะกระทบกระเทือนต่อสัมพันธไมตรีอันดีระหว่างไทยกับอังกฤษและสหรัฐอเมริกา

บันทึกฉบับนี้ สถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงวอชิงตัน นำไปมอบแก่เจ้าหน้าที่ในกระทรวงการต่างประเทศอเมริกันอย่างไม่เป็นทางการ กระทรวงการต่างประเทศอเมริกันส่งสำเนาให้อังกฤษทราบ เจ้าหน้าที่ในกระทรวงการต่างประเทศอังกฤษ แสดงความเห็นว่า วัตถุประสงค์ของบันทึกอยู่ที่การเน้นเอาประโยชน์จากท่าทีมูลฐานอันต่างกันระหว่างอังกฤษกับสหรัฐอเมริกาในส่วนที่เกี่ยวกับประเทศไทย อังกฤษเข้าใจความสนใจของฝ่ายไทยในสินทรัพย์ญี่ปุ่น แต่ไทยไม่น่าจะเลยเถิดยืนยัน อ้างสิทธิเกินขอบเขต หากอังกฤษจะใช้หลัก “ทรัพย์เชลย” ก็ใช้กับสินทรัพย์ของญี่ปุ่น มิใช่สินทรัพย์ของไทย อังกฤษถือประเทศไทยเป็นฝ่ายแพ้สงครามร่วมกับญี่ปุ่นแต่มิได้วางตนเป็นปฏิปักษ์ต่อประเทศไทยในเรื่องนี้ หากพร้อมที่จะแบ่งสินทรัพย์ญี่ปุ่นบางส่วนให้แก่ประเทศไทยเป็นการสนองความสนใจของไทยและตอบแทนการบำเพ็ญตนดีของประเทศไทยหลังสงคราม

เป็นอันว่า ทั้งรัฐบาลอังกฤษและอเมริกันไม่รับรู้บันทึกนายริปส์เป็นทางการต่างพยายามเจรจาต่อรองกันเพื่อแบ่งปันสินทรัพย์ญี่ปุ่นในประเทศไทยให้แก่รัฐบาลไทยบางส่วน หาสูตรแบ่งสูตรแล้วสูตรเล่า ไม่สามารถตกลงกันได้สักที จนวันที่ ๑๓ กันยายน ๒๔๙๔ กล่าวคือ ห้าวันหลังจากการเจรจาลงนามในสนธิสัญญาสันติภาพระหว่างประเทศสัมพันธมิตร ๔๙ ประเทศ กับประเทศญี่ปุ่นที่นครซานฟรานซิสโกจึงได้มีการทำความเข้าใจกันในชั้นเจ้าหน้าที่กระทรวงการต่างประเทศอเมริกัน และ สถานเอกอัครราชทูตอังกฤษ วางหลักการกว้าง ๆ ในการพิจารณารวมสามประการด้วยกัน คือ

(๑) สินทรัพย์ในประเทศไทยที่เป็นของญี่ปุ่นในวันใช้บังคับสนธิสัญญาสันติภาพกับญี่ปุ่น เมื่อหักคำเรียกร้องที่สมบูรณ์ออกไปแล้ว เหลือเท่าใดให้ประเทศญี่ปุ่นมอบให้แก่คณะกรรมการกาชาดระหว่างประเทศตามสนธิสัญญาสันติภาพข้อ ๑๖

(๒) เนื่องจากสถานการณ์พิเศษ ให้พิจารณาโอนสินทรัพย์บางส่วนในประเทศไทยที่เคยถือเป็นของญี่ปุ่นให้แก่รัฐบาลไทย

(๓) การพิจารณาปัญหาข้อนี้ ให้รอไว้จนกว่าจะทราบบัญชีเงินประเภทต่าง ๆ ที่ตกลงกันได้จากกรุงเทพฯ

ครั้นเมื่อพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวรรณไวทยากร เสด็จกลับประเทศไทยเพื่อรับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ผ่านกรุงลอนดอนในเดือน กุมภาพันธ์ ๒๔๙๕ ได้ทรงยกขึ้นปรารภกับเจ้าหน้าที่กระทรวงการต่างประเทศ อังกฤษเมื่อวันที่ ๒๐ ฝ่ายอังกฤษยืนยันตามนิตินัยโดยเคร่งครัด รัฐบาลไทยไม่มีสิทธิในสินทรัพย์ญี่ปุ่นในประเทศไทย ในการพิจารณาดำเนินการเรื่องนี้ อังกฤษคำนึงถึงความสัมพันธ์อันดีกับประเทศไทยไม่น้อยไปกว่าสหรัฐอเมริกา แต่ก็ไม่อาจจะละเลยไม่นำพาต่อผลประโยชน์อันชอบธรรมของเชลยศึกสัมพันธมิตรในความควบคุมของญี่ปุ่นได้ รัฐบาลไม่เห็นด้วยกับการมทางกฎหมายที่ฝ่ายไทยอ้างและเน้นว่า การพูดจาเรื่องนี้ ไทยไม่จำเป็นต้องใช้บุคคลที่สาม

ต่อมาเมื่อคุณพจน์ สารสิน ผ่านกรุงลอนดอนเพื่อไปรับหน้าที่เอกอัครราชทูตประจำสหรัฐอเมริกา ก็ได้พบกับนายสก๊อต ผู้ช่วยปลัดกระทรวงการต่างประเทศอังกฤษ ในวันที่ ๓ มิถุนายน ๒๔๙๕ แจ้งให้ทราบว่า ได้รับคำสั่งจากรัฐบาลให้พยายามเจรจากับรัฐบาลอเมริกันเรื่องสินทรัพย์ญี่ปุ่นในประเทศไทยให้สำเร็จเนื่องจากประเทศไทยต้องแบกภาระทางเศรษฐกิจหลังสงครามอย่างหนักหน่วง คนไทยไม่สามารถเข้าใจได้ว่า เหตุใดจะต้องเสียภาษีอากรเพื่อชดใช้เป็นค่าทดแทนความเสียหายที่ญี่ปุ่นก่อให้เกิดขึ้นแก่สัมพันธมิตรยามสงคราม จึงใคร่จะขอให้รัฐบาลอังกฤษพิจารณาด้วยดี นายสก๊อตเตือนว่า ไทยเป็นพันธมิตรของญี่ปุ่น โชคยังดีที่หลุดพ้นจากภาวะสงครามอย่างง่ายดาย เศรษฐกิจของฝ่ายบริติชและดินแดนอื่นในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ได้รับความกระทบกระเทือนยิ่งกว่าประเทศไทยนักหลังสงครามไทยสามารถขายข้าวให้แก่ต่างประเทศได้ราคาถึง ๗ เท่าตัวของราคา ก่อนสงคราม ไม่มีสินค้าอื่นใดที่ราคาถีบสูงขึ้นเช่นนั้น นายสก๊อตยืนยันว่า สินทรัพย์ ญี่ปุ่นในประเทศไทยไม่ใช่เรื่องของไทย เป็นเรื่องของสัมพันธมิตรที่จะพิจารณารวมกับสินทรัพย์ญี่ปุ่นในดินแดนอื่น ๆ เป็นสิทธิ์ของสัมพันธมิตรผู้ชนะสงคราม มิใช่ของประเทศที่สินทรัพย์ตั้งอยู่ อังกฤษจะพยายามหาทางขบปัญหานี้ให้เรียบร้อยเพื่อประโยชน์แห่งความสัมพันธ์อันดีระหว่างอังกฤษกับไทย

ท่าทีของรัฐบาลอังกฤษยังคงเป็นเช่นนั้นต่อมา เมื่อเสด็จในกรมนราธิปพงศ์ประพันธ์ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศทรงพบกับลอร์ดเรดิ้งที่กรุงลอนดอน ในวันที่ ๗ ตุลาคม ๒๔๙๕ ได้ทรงเตือนถาม ลอร์ดเรดิ้งทูลตอบว่าปัญหาเรื่องสินทรัพย์ญี่ปุ่นในประเทศไทยสลับซับซ้อน อังกฤษยังกำลังเจรจากับรัฐบาลอเมริกันอยู่ เข้าใจว่าอาจจะแบ่งปันบางส่วนให้ไทยได้บ้าง ทูลขอให้รอฟังต่อไป ในการแจ้งผลของการสนทนามาให้เอกอัครราชทูตวัลลิงเจอร์ทราบเป็นการ ประสานงาน กระทรวงการต่างประเทศอังกฤษกำชับยํ้าว่า ถ้าฝ่ายไทยยกเรื่องขึ้นพูดทางกรุงเทพฯ อีก ขอให้เอกอัครราชทูตพึงระมัดระวังไม่กระทำการใด ๆ ที่จะสร้างความเข้าใจทางฝ่ายไทยว่า อังกฤษยอมเจรจาต่อรองกับรัฐบาลไทยในเรื่องนี้

ความเห็นแตกต่างกันระหว่างไทยกับอังกฤษเลยไปถึงหน้าที่ของคณะกรรมการควบคุมทรัพย์สินศัตรูของสหประชาชาติด้วย ทางการฝ่ายไทยถือว่า คณะกรรมการฯ เป็นองค์การที่รัฐบาลไทยจัดตั้งขึ้น รัฐบาลอังกฤษหรืออเมริกันไม่มีอำนาจสั่งคณะกรรมการฯ ได้ หากมีประสงค์จะให้มีการดำเนินการอย่างใด น่าจะติดต่อผ่านกระทรวงการต่างประเทศ ส่วนทางฝ่ายอังกฤษถือว่าประเทศไทยมีความผูกพันตามสัญญาจะต้องยึดถือทรัพย์สินนั้นไว้ให้แก่สัมพันธมิตร ทางสถานทูตสัมพันธมิตรจึงมีสิทธิสั่งการคณะกรรมการฯ โดยตรง

ต่อมาฝ่ายอเมริกันสามารถดึงเอาอังกฤษให้มาร่วมพิจารณาสามฝ่ายกับประเทศไทยจนได้ โดยในที่สุดได้ตกลงกันในหลักการเมื่อวันที่ ๒๐ กุมภาพันธ์ ๒๔๙๖ ให้จัดการกับสินทรัพย์ญี่ปุ่นในประเทศไทย ดังนี้

(๑) รัฐบาลไทยจ่ายเงินจำนวน ๒.๕ ล้านเหรียญอเมริกัน ให้แก่คณะกรรมการกาชาดระหว่างประเทศตามนัยแห่งสนธิสัญญาสันติภาพกับญี่ปุ่น ข้อ ๑๖ โดยส่งไปเข้าบัญชีของกาชาดระหว่างประเทศที่ธนาคารสวิสแบงกิ้งคอร์โปเรชั่น ณ กรุง ลอนดอน และที่ธนาคารริกส์เนชั่นแนล ณ กรุงวอชิงตัน แห่งละครึ่งหนึ่ง

(๒) รัฐบาลไทยจ่ายเงินจำนวน ๓๕๕,๐๐๐ ปอนด์ ผ่านธนาคารชาติอังกฤษเข้าบัญชีเงินฝากประจำรถไฟสายพม่าไทย ของกระทรวงการคลังอังกฤษ

(๓) รัฐบาลอังกฤษและอเมริกันปล่อยการควบคุมสินทรัพย์ญี่ปุ่นในประเทศไทยทั้งสิ้นให้แก่รัฐบาลไทย

(๔) รัฐบาลทั้งสองจะแจ้งให้รัฐบาลญี่ปุ่นทราบว่าหมดความผูกพันตามสนธิสัญญาสันติภาพข้อ ๑๖ แล้วในส่วนที่เกี่ยวกับสินทรัพย์ญี่ปุ่นในประเทศไทย

แล้วฝ่ายอเมริกันและอังกฤษเชิญออสเตรเลีย กัมพูชา แคนาดา ฝรั่งเศส ลาว อินโดนีเซีย เนเธอร์แลนด์ นิวซีแลนด์ ปากีสถาน ฟิลิปปินส์ และเวียดนาม ไปร่วมประชุมที่กรุงลอนดอน ระหว่างวันที่ ๔ ถึง ๖ มีนาคม เพื่อเสนอข้อตกลงที่ทำกับประเทศไทยให้ทราบในฐานะประเทศที่ทหารได้รับความเดือดร้อนจากการกระทำของญี่ปุ่น และเป็นผู้ได้รับประโยชน์จากสนธิสัญญาสันติภาพ ข้อ ๑๖ ที่ประชุมมีมติเห็นชอบด้วยให้นำเสนอรัฐบาลของแต่ละประเทศอนุมัติ

วันที่ ๓๐ กรกฎาคม ผู้แทนของรัฐบาลไทย อังกฤษ และอเมริกัน ลงนามในความตกลงตามหลักการดังกล่าวที่กรุงวอชิงตัน และมีการปฏิบัติตามความตกลงเสร็จเรียบร้อยทางกรุงเทพฯ เมื่อวันที่ ๒๖ สิงหาคม

เป็นอันว่า ปัญหาสินทรัพย์ญี่ปุ่นในประเทศไทย ซึ่งเป็นข้อโต้แย้งระหว่างไทยกับอังกฤษมาเป็นเวลาหลายปี ได้สิ้นสุดลงด้วยความตกลงสามฝ่ายดังกล่าวข้างต้นและประเทศที่อยู่ในฐานะจะได้รับประโยชน์จากเงินทางกาชาดระหว่างประเทศรวม ๑๑ ประเทศ ได้ให้ความเห็นชอบ ขาดเพียงประเทศเดียว คือ ประเทศญี่ปุ่นผู้เป็นเจ้าของสินทรัพย์นั้น แม้รัฐบาลอังกฤษและอเมริกันจะได้ยืนยันเป็นทางการให้ญี่ปุ่นทราบว่า ข้อตกลงเกี่ยวกับสินทรัพย์ญี่ปุ่นในประเทศไทยที่ทำกับไทย ถือเป็นการปฏิบัติตามสนธิสัญญาสันติภาพข้อ ๑๖ ครบถ้วนบริบูรณ์แล้วก็ตาม แต่รัฐบาลญี่ปุ่นยังมีความไม่พอใจอยู่ ถือว่าเป็นความตกลงที่ญี่ปุ่นไม่มีส่วนในการเจรจา ประเทศไทยมิใช่ภาคีสนธิสัญญาสันติภาพกับญี่ปุ่น จึงไม่มีสิทธิที่จะจัดการอย่างใดกับสินทรัพยี่ปุ่นในประเทศไทย อนึ่ง ตามสนธิสัญญาสันติภาพข้อ ๑๖ ญี่ปุ่นมีสิทธิที่จะเลือกโอนสินทรัพย์ญี่ปุ่นในต่างประเทศให้ หรือมอบเงินที่มีมูลค่าเท่ากับสินทรัพย์นั้นให้แก่กาชาดระหว่างประเทศ ในกรณีประเทศไทยญี่ปุ่นไม่มีโอกาสได้ใช้สิทธิเลือก ดังกล่าว ด้วยเหตุนี้ญี่ปุ่นจึงไม่อาจจะรับรู้ความตกลงที่รัฐบาลไทยทำกับรัฐบาล อังกฤษและอเมริกันโดยมิได้รับความยินยอมจากญี่ปุ่น

 

หมายเหตุ :

  • กองบรรณาธิการสถาบันปรีดี พนมยงค์ ได้รับอนุญาตให้เผยแพร่ต้นฉบับหนังสือการวิเทโศบายของไทย จากศูนย์ศึกษาการต่างประเทศ กระทรวงการต่างประเทศแล้ว
  • ศาสตราจารย์กนต์ธีร์ ศุภมงคล, เรื่อง “ความผันผวนทางการเมืองภายหลังสงคราม”, การวิเทโศบายของไทย ระหว่างปีพุทธศักราช ๒๔๘๓ ถึง ๒๔๙๕ (กรุงเทพฯ : ศูนย์ศึกษาการต่างประเทศ กระทรวงการต่างประเทศ, ๒๕๖๖), น. 483-497

บรรณานุกรม :

  • ศาสตราจารย์กนต์ธีร์ ศุภมงคล, เรื่อง “ความผันผวนทางการเมืองภายหลังสงคราม”, การวิเทโศบายของไทย ระหว่างปีพุทธศักราช ๒๔๘๓ ถึง ๒๔๙๕ (กรุงเทพฯ : ศูนย์ศึกษาการต่างประเทศ กระทรวงการต่างประเทศ, ๒๕๖๖), น. 483-497

 

บทความที่เกี่ยวข้อง :