ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก
เกร็ดประวัติศาสตร์

การวิเทโศบายของไทย ระหว่างปีพุทธศักราช ๒๔๘๓ – ๒๔๙๕ ตอนที่ 29 : การร่วมมือชายแดนด้านมลายู

12
กันยายน
2568

ดินแดนสหพันธ์มลายู  
ที่มา: British Library

 

ภายหลังสงครามที่ญี่ปุ่นต้องพ่ายแพ้อย่างราบคาบแล้ว อังกฤษกลับเข้าปกครองดินแดนสหพันธ์มลายูตามเดิม ทหารญี่ปุ่นต้องถอนตัวออกไปจริง แต่ทิ้งความยุ่งยากไว้ให้อังกฤษไม่น้อย ประชากรในสหพันธ์ประกอบด้วยชนชาวมุสลิม จีน และอินเดีย ผสมกันอยู่ ข้อขัดแย้งต่อกันเป็นของธรรมดา เฉพาะอย่างยิ่งชนชาวจีนบางส่วนดูไม่สู้จะชอบการปกครองของอังกฤษเท่าใดนัก เริ่มจับกลุ่มฟักตัวปฏิบัติการบ่อนทำลาย ร้อนถึงอังกฤษต้องใช้กำลังปราบปราม ครั้นเมื่อคอมมูนิสต์เข้าครอบครองแผ่นดินใหญ่ของจีนภายใต้เมาเซตุง จอมพล เจียงไคเช็คต้องพาจีนคณะชาติอพยพหนีไปตั้งทำการบนเกาะไต้หวัน ในปี ๒๔๙๒ การสนับสนุนจากกรุงปักกิ่งเพิ่มภาระให้แก่อังกฤษมากยิ่งขึ้น เพราะคอมมูนิสต์สากลมีแผนการขยายตัวแผ่เข้าไปในต่างประเทศโดยไม่หยุดยั้ง พวกขัดขืนการปกครองของอังกฤษถูกเหมาเป็นผู้ก่อการร้ายคอมมูนิสต์ ซึ่งอังกฤษต้องจัดการอย่างเด็ดขาด เมื่อต้านทานกำลังปราบของทหารอังกฤษไม่ไหว พวกขัดขืนพากันหลบหนีเข้ามาซ่อนตัวในประเทศไทยตามบริเวณชายแดนติดต่อกับมลายู เมื่อพักผ่อนสะสมได้กำลังเพิ่มเติมพอสมควร ก็เล็ดลอดกลับออกไปปฏิบัติการในมลายูอีก อังกฤษไม่พอใจที่ชายแดนไทยต้องใช้เป็นเครื่องกีดขวางกำบังให้ความคุ้มกันจากการล่าติดตามของทหารอังกฤษ ตั้งแต่ปี ๒๔๘๙ แล้ว ระหว่างเดือนพฤษภาคม-มิถุนายน กำลังทหารอังกฤษในมลายูเลยเข้ามาปฏิบัติในประเทศไทยถึงกับเข้าทำการค้นบ้านคนไทยที่สงสัยมีพิรุธ

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศยกเรื่องขึ้นประท้วงกับทูตอังกฤษซึ่งมีโทรเลขถึงลอร์ดคีลเลอร์น ข้าหลวงใหญ่ที่สิงคโปร์ เมื่อวันที่ ๑๘ มิถุนายน มีใจความ ตอนหนึ่งว่า ทูตไม่เห็นด้วยเป็นอย่างยิ่งในการที่เจ้าหน้าที่ทหารอังกฤษในมลายู บุกรุกเข้ามาในเขตที่อยู่ในความรับผิดชอบของทูต การปฏิบัติการของกองทหารอังกฤษในดินแดนภาคใต้ของไทย นอกจากจะก่อให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์ในทางไม่ดีในหน้าหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นแล้ว ยังอาจจะเป็นเหตุให้มีการอภิปรายในสภา ถ้าหากรัฐบาลไทยไม่เป็นมิตรแท้ของอังกฤษ และกำลังทหารอังกฤษมิได้เข้าประเทศไทยด้วยความยินยอมของรัฐบาลไทยแล้ว การตำหนิติเตียนการกระทำของอังกฤษจะรุนแรงยิ่งกว่านั้นมาก และข่าวลือกระจายทราบถึงหูอเมริกันแล้ว ดังที่อุปทูตอเมริกันได้รับคำสั่งให้รายงานสถานการณ์ให้กระทรวงการต่างประเทศที่กรุง วอชิงตันทราบทุกระยะ เดชะบุญที่นายโยสต์ยังพอพูดจาทำความเข้าใจกันได้ เพียงแต่มีคนไทยที่ไม่รู้จะเป็นมิตรกระซิบต่อผู้สื่อข่าวอเมริกันเท่านั้น ก็เพียงพอที่จะเกิด ปฏิกริยาตำหนิติเตียนจักรวรรดินิยมอังกฤษในหนังสือพิมพ์อเมริกัน ทูตอังกฤษสำทับในโทรเลขตอนท้ายว่า ทูตจะไม่สามารถปฏิบัติภาระหน้าที่ได้หากเจ้าหน้าที่ ในมลายูจงใจไม่นำพาต่อคำแนะนำของทูตอย่างเปิดเผย ทูตจะไม่ยอมทนต่อการบำเพ็ญตนของทหารอังกฤษเช่นนั้นอีกต่อไป ทำให้ลอร์ดคีลเลอร์นต้องรีบโทรเลขชี้แจงเมื่อวันที่ ๒๑ ว่า ทหารจากมลายูเข้ามาประเทศไทยทางหาดใหญ่ด้วยความเห็นชอบของเจ้าหน้าที่ฝ่ายไทย การเข้าประเทศไทยเป็นเพียงเพื่อติดตามขับไล่โจรจีนเท่านั้น เมื่อทูตไม่เห็นด้วย ลอร์ดคีลเลอร์นก็ได้สั่งให้ถอนออกไปหมดสิ้นแล้ว เหตุการณ์ตอนหลัง ๆ เกิดจากรายงานของเจ้าหน้าที่ชั้นผู้น้อยที่เลือกใช้ถ้อยคำไม่ถูกต้อง ทางการได้จัดลงโทษทางวินัยไปแล้ว จะส่งผู้บัญชาการบินเข้ามาทำความเข้าใจกับทูตในทันทีที่สนามบินดอนเมืองเปิด หลังจากนั้นทูตอังกฤษได้จัดให้เจ้าหน้าที่ทหารอังกฤษจากมลายูได้พบปะปรึกษาหารือกับเจ้าหน้าที่ฝ่ายไทยโดยใกล้ชิด

 

แม่น้ำโก-ลก  
ที่มา Malaysia Reporting on the global SDG indicator 6.5.2

 

วันที่ ๑๐ สิงหาคม ๒๔๙๑ ฝ่ายอังกฤษอ้างว่ามีหลักฐานแสดงว่ามีทหารจีน ภายในเครื่องแบบถืออาวุธเคลื่อนไหวอยู่บนฝั่งไทยของแม่น้ำโก-ลก เป็นการคุกคามต่อความปลอดภัยของรัฐกลันตัน อังกฤษต้องส่งกำลังไปป้องกันรักษาเพิ่มเติม และจำต้องได้รับความร่วมมือจากประเทศไทยมากยิ่งขึ้น นายแม็กโดแนล ข้าหลวงใหญ่อังกฤษประจำเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ส่งโทรเลขลงวันที่ ๒๓ สิงหาคม ให้สอบถามว่า ถ้าอังกฤษจะเพียงส่งเครื่องบินเข้ามาทำลายฐานที่ตั้งของทหารจีนเหล่านั้นในประเทศไทย รัฐบาลไทยจะขัดข้องหรือไม่ ซึ่งก็เป็นธรรมดา ฝ่ายเราต้องปฏิเสธ แต่เพื่อแสดงน้ำใจในทางร่วมมือ รัฐบาลไทยตกลงจัดส่งคณะกรรมการฝ่ายทหารร่วมกับ มหาดไทยออกไปศึกษาสถานการณ์ชายแดน ต่อมาอังกฤษเสนอให้ไทยส่งนายทหาร ไปประจำกองบัญชาการทหารอังกฤษที่กัวลาลัมเปอร์เพื่อติดต่อโดยใกล้ชิด ฝ่ายไทยก็สนองรับโดยส่งนายทหารไปเมื่อวันที่ ๑๕ กันยายน

ช่วงนั้นเป็นเวลาที่หม่อมเจ้าปรีดิเทพย์พงษ์ เทวกุล รัฐมนตรีว่าการ และคุณพจน์ สารสิน รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ไปประชุมสมัชชาสหประชาชาติที่กรุงปารีสทั้งคู่ จอมพล ป. พิบูลสงคราม เข้าการรักษาการในตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้รับปากกับเอกราชทูตอังกฤษทอมสันว่า ฝ่ายไทยพร้อมจะให้ความร่วมมือกับอังกฤษอย่างเต็มที่ในการปราบปรามพวกก่อการร้ายชายแดนระหว่างมลายูกับไทย แต่ทหารและตำรวจชายแดนไทยยังขาดทั้งกำลังอาวุธและยานพาหนะขนส่ง หวังจะขอให้อังกฤษช่วยเหลือบ้าง นายทอมสันรายงานไปทางกรุงลอนดอน โดยย้ำเตือนไปอีกว่า ฝ่ายอังกฤษจากมลายูพึงละเว้นไม่ปฏิบัติการอย่างใดในประเทศไทยโดยมิได้รับคำยินยอมเห็นชอบของรัฐบาลไทย เพราะถ้าขืนกระทำเช่นนั้นอังกฤษจะเสี่ยงสร้างความไม่พอใจให้แก่คนไทย สมความมุ่งหมายของศัตรู

เมื่อมีข่าวว่า ฝ่ายค้านในสภาสามัญของอังกฤษจะตั้งกระทู้ถามขอให้รัฐบาลแถลง ถึงสถานการณ์ในมลายู นายทอมสันรีบโทรเลขเมื่อวันที่ ๑๗ กันยายน ดักถึงกระทรวงต่างประเทศอังกฤษ แสดงความหวังว่า รัฐบาลคงจะสามารถทำให้ฝ่าย ค้านตระหนักในความสำคัญของการร่วมมือที่ไทยให้แก่อังกฤษในการปราบผู้ก่อ การร้ายตามชายแดน และไม่ให้โจมตีวิพากษ์วิจารณ์ประเทศไทยและผู้นำไทยอย่างเปิดเผย ทูตกล่าวต่อไปว่า การวิจารณ์ประเทศไทยจะกระทำเมื่อใดก็ได้ ถ้าหากไทยเปลี่ยนแปลงหรือละทิ้งนโยบายร่วมมืออย่างที่เป็นอยู่ กระทรวงการต่างประเทศอังกฤษมีโทรเลขตอบทูต เมื่อวันที่ ๓๐ ว่า การอภิปรายในสภาสามัญได้ผ่านพ้นไปแล้วโดยปราศจากการติเตียนประเทศไทยใด ๆ

พึงสังเกตว่า นายทอมสันมิใช่จะพยายามทำความเข้าใจให้เกิดขึ้นแก่รัฐบาล อังกฤษทางกรุงลอนดอนเท่านั้น หากได้เพียรชี้แจงให้ทางฝ่ายสหพันธ์มลายูตระหนัก ในท่าทีร่วมมือของไทยด้วย ในหนังสือลงวันที่ ๙ กันยายน ๒๔๙๑ ถึงนายแม็กโดแนล นายทอมสันกล่าวความตอนหนึ่งว่า เหตุการณ์ในประเทศไทยกลับตาลปัตร จอมพล ป. พิบูลสงคราม ศัตรูของอังกฤษเมื่อวันวาน กลายเป็นแนวหน้าป้องกันของอังกฤษในการต่อต้านพวกซ้ายจัดภายในประเทศไทย ด้วยเหตุนี้ นายทอมสันจึงใช้ความพยายามเอาใจสนับสนุนให้คงรักษาการร่วมมือต่อไป นายทอมสันเน้นว่า การที่กำลังทหารจากมลายูบุกล้ำเข้าไปในอาณาเขตของไทยทำนองเมื่อเดือนพฤษภาคม-มิถุนายน ๒๔๘๙ และการที่ฝ่ายมลายูส่งสายเข้าไปปลุกปั่นสร้างความไม่พอใจในสี่จังหวัดภายใต้ของประเทศไทยเมื่อเร็ว ๆ นี้ ย่อมเป็นชนวนก่อให้เกิดความระแวงแก่รัฐบาลไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่พ้น ถ้าอังกฤษต้องการจะให้ไทยช่วยจัดการกับพวกก่อการร้ายในชายแดนฝั่งไทย อังกฤษไม่ควรปล่อยให้นายตนกูมะไฮยิดดินบำเพ็ญตนสนองความทะเยอทะยานของครอบครัวต่อดินแดนไทย ในส่วนรวมอังกฤษควรดำเนินนโยบายสนับสนุนฐานะของนายกรัฐมนตรีให้เข้มแข็งอย่างมากที่สุดที่จะเป็นไปได้ นอกจากปัญหาผู้ก่อการร้ายในภาคใต้ นายกรัฐมนตรียังต้องเผชิญกับการจะก่อกวนของท่านปรีดี ซึ่งมีเหตุผลพอเชื่อว่าอยากจะกลับมาอีก ถ้ากลับโดยอาศัยความช่วยเหลือของจีนคอมมูนิสต์ ก็จะมีการนองเลือดอย่างแน่นอน นายทอมสันไม่สงสัยว่า ท่านปรีดีคงจะเป็นมิตรของอังกฤษตามเดิมต่อไป แต่เกรงจะไม่สามารถควบคุมสมัครพรรคพวกได้ ฉะนั้นเพื่อประโยชน์ของอังกฤษ จอมพล ป. พิบูลสงคราม ควรจะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีต่อไป

นายแม็กโดแนลมีหนังสือตอบนายทอมสันลงวันที่ ๒๐ กันยายนว่า สนใจในการ ประเมินความสำคัญของจอมพล ป. พิบูลสงคราม ตามทัศนะของนายทอมสันเชื่อว่า นายทอมสันคงมองไม่ผิด ถึงอย่างไรจอมพลคงเป็นผู้ที่อังกฤษควรจะให้ท้ายไว้ในขณะนั้น เท่าที่ได้ยินได้ฟังมานับแต่วันที่จอมพลกลับสู่วงอำนาจ สถานการณ์เปลี่ยนแปลงไปจากเมื่อตอนสงคราม จอมพลเป็นเพื่อนที่เชื่อถือได้ที่อังกฤษพอจะ สรรหาในประเทศไทย แต่นายแม็กโดแนลรับว่า ยังคงยกย่องนับถือท่านปรีดีอยู่ ถ้าเป็นอิสระด้วยตนเองแล้ว ท่านปรีดีจะเป็นพันธมิตรที่ดีของประเทศแองโกลแซ็กซอน และของอังกฤษโดยเฉพาะ แต่ก็อาจเป็นอย่างที่นายทอมสันว่า ถ้าท่านปรีดีกลับอาจจะไม่มีอิสระเต็มที่ อาจจะต้องพึ่งพาอาศัยการสนับสนุนของฝ่ายคอมมูนิสต์ไม่มากก็น้อย ซึ่งถ้าเช่นนั้นอังกฤษก็น่าจะหวาดระแวง อย่างไรก็ตาม นายแม็กโดแนลคิดว่า อังกฤษน่าจะเตรียมพร้อมในกรณีที่ท่านปรีดีอาจจะกลับและควรดำเนินนโยบายไปในทางถนอมน้ำใจของท่านปรีดีให้อยู่ข้างอังกฤษต่อไป ทั้งนี้มิได้หมายความว่า อังกฤษจึงลดความจริงใจในการร่วมมือกับจอมพล ป. พิบูลสงคราม หากเพียงว่า อังกฤษพึงหลีกเลี่ยงไม่กระทำการใด ๆ ที่จะบาดหมางความรู้สึกของ ท่านปรีดี ทำให้ท่านคิดไปว่า อังกฤษเป็นศัตรูของท่าน

ความระแวงระหว่างไทยกับมลายู พอสรุปสาเหตุได้ว่า ฝ่ายมลายูรู้สึกว่า ไทยไม่ร่วมมืออย่างจริงจังในการปราบพวกก่อการร้ายชายแดน ส่วนไทยสงสัยทางมลายูยุยงส่งเสริมจะให้มีการแยกดินแดนสี่จังหวัดภาคใต้ของไทยให้ไปขึ้นกับมลายูเอกอัครราชทูตทอมสันมิได้เว้นที่จะเน้นให้กระทรวงการต่างประเทศอังกฤษตระหนัก ในความจำเป็นที่ต้องเอาใจประเทศไทยไว้ ป้องกันมิให้เกิดความเข้าใจว่า อังกฤษสนับสนุนพวกมลายูที่ประสงค์จะผนวกสี่จังหวัดภาคใต้ของไทยให้ มีข่าวหนาหูในตอนนั้นว่า มลายูต้องการจะให้เกิดการกบฏขึ้นในเขตนั้น

เพื่อช่วยประสานงานระหว่างอังกฤษกับไทย ทางรัฐบาลอังกฤษเสนอขอเปิด สถานกงสุลที่จังหวัดสงขลา และแต่งตั้งนาวาเอก เอส. เอช. เดนนิส อดีตผู้ช่วยทูต ฝ่ายทหารเรือประจำสถานเอกอัครราชทูตอังกฤษ ให้ดำรงตำแหน่งกงสุล เชื่อมั่นว่านาวาเอก เดนนิสเข้ากับคนไทยได้ดี จะสามารถช่วยขจัดปัดเป่าความขัดแย้งทาง ชายแดนระหว่างไทยกับมลายูลงไปได้บ้าง ทางมลายูเสนอตั้งนายคันนิงแฮม บราวน์ เป็นรองกงสุล และได้ส่งให้ไปรับหน้าที่ก่อนที่นาวาเอก เดนนิสจะเดินทางถึงสงขลาด้วยซ้ำ ไปรับตำแหน่งได้ไม่นานเท่าใด นาวาเอก เดนนิสมีโทรเลขรายงานลับถึงนาย ทอมสันว่า ไม่มีข้อสงสัยแม้แต่น้อยว่า นายคันนิงแฮม บราวน์ วางตนเป็นปฏิปักษ์อย่างรุนแรงต่อไทย และถือตนอยู่ในบังคับบัญชาโดยตรงของเจ้าหน้าที่ทางมลายูนายคันนิงแฮม บราวน์ ไม่ยอมเชื่อว่า ฝ่ายไทยร่วมมือกับอังกฤษอย่างจริงจังในการปราบผู้ก่อการร้ายทางชายแดน และเสนอให้ทหารอังกฤษเข้ายึดจังหวัดภาคใต้ของไทย จัดตั้งการปกครองของมลายูขึ้น เพื่อการนี้ นายคันนิงแฮม บราวน์ เสนอให้เลือกสองวิธี คือ วิธีหนึ่งใช้กำลังทหารจากมลายูเข้าดำเนินการยึดดินแดนไทย หรือวิธีที่สอง เจรจากับประเทศไทยขอสัมปทานดินแดนนั้นแลกกับการปลดหนี้สินให้ และระงับการเรียกร้องค่าทดแทนความเสียหายยามสงครามที่ฝ่ายไทยต้องรับภาระอยู่ นัยว่านายคันนิงแฮม บราวน์ เสนอรายงานตรงไปยังนายแม็กโดแนล ข้าหลวงใหญ่อังกฤษประจำเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่สิงคโปร์ และเซอร์เฮนรี เคอร์เนย์ ข้าหลวงใหญ่ประจำสหพันธมลายูที่กัวลาลัมเปอร์

พอได้รายงานลับจากนาวาเอก เดนนิส เอกอัครราชทูตทอมสันมีความไม่พอใจเป็นอย่างยิ่งที่รองกงสุลประจำสงขลาไม่รายงานข้อคิดเห็นถึงตนก่อน ส่งโทรเลขลง วันที่ ๒๒ ตุลาคม ๒๔๙๑ ถึงกระทรวงการต่างประเทศที่กรุงลอนดอนว่า ประเทศไทยภายใต้ผู้นำในขณะนั้น จะไม่ยินยอมให้ฝ่ายบริติชบุกรุกเข้ามาในประเทศไทย หรือยอมเสียดินแดนไทยให้แก่การใช้กำลังเป็นอันขาด การดำเนินการเช่นว่านั้น จะประสบความล้มเหลวอย่างมหาศาลในตะวันออก และเป็นภัยต่อความสัมพันธ์กับสหรัฐอเมริกาอย่างยิ่ง ทั้งยังจะเป็นการเปิดช่องว่างให้แก่สหภาพโซเวียตอย่างแจ้งชัดด้วย นายทอมสันตั้งคำถามว่า อังกฤษจะคิดปฏิบัติต่อไทยเช่นที่ฮิตเลอร์ปฏิบัติต่อเช็กโกสโลวาเกียกระนั้นหรือ แล้วมลายูจะได้ข้าวอันจำเป็นต่อชีวิตจากที่ใด ถ้าหากอังกฤษจงใจแปรประเทศไทยให้เป็นศัตรูที่ขมขื่น นายทอมสันถือข้อเสนอแนะของนายคันนิงแฮม บราวน์ เป็นสิ่งที่กวนโทสะอย่างยิ่งยวด จึงได้สั่งปลดจากหน้าที่รองกงสุล ให้เดินทางออกจากประเทศไทยทันที ให้ไปรายงานตัวต่อข้าหลวงใหญ่ที่กัวลาลัมเปอร์

นายเบวิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศอังกฤษ สั่งให้นายทอมสันรีบยืนยันต่อรัฐบาลไทยทันทีว่า ทางการจะรีบดำเนินการสอบสวนข่าวที่อ้างว่า มีการพยายามในดินแดนมลายูที่จะสร้างความไม่พอใจให้แก่ไทย ข่าวเช่นนั้นจะจริงหรือไม่เพียงใดก็ตาม ไม่เคยได้รับและจะไม่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลอังกฤษ หรือเจ้าหน้าที่ฝ่ายอาณานิคมเป็นอันขาด

เซอร์เฮนรี เคอร์เนย์ โทรเลขถึงกระทรวงการต่างประเทศอังกฤษเมื่อวันที่ ๒๗ ตุลาคมว่า ไม่ทราบสาเหตุแน่ชัดที่นายทอมสันสั่งปลดนายคันนิงแฮม บราวน์ ซึ่ง เป็นข้าราชการของรัฐบาลสหพันธ์มลายู แต่ได้สั่งให้เจ้าตัวเดินทางผ่านสิงคโปร์กลับกรุงลอนดอนแล้ว เพื่อไปให้คำชี้แจงต่อกระทรวงอาณานิคม ส่วนนายแม็กโดแนลส่งโทรเลขถึงกระทรวงการต่างประเทศหนึ่งวันต่อมาว่า ความห่วงใยของเอกอัครราชทูตดูจะเกินสมควรไปบ้าง ทำนองสงสัยการปฏิบัติของเจ้าอังกฤษในมลายูไปเสียหมด เจ้าหน้าที่ชั้นสูงต่างยืนยันการเคารพเอกราชของประเทศไทย ไม่มีเจตจำนงมุ่งร้ายแต่ประการใดเลย แต่ก็รับว่า ในบรรดาเจ้าหน้าที่ชั้นผู้น้อยส่วนท้องถิ่น อาจจะมีบ้างที่วางตนเป็นปฏิปักษ์ต่อไทย โดยไม่ได้รับการสนับสนุนจากเบื้องบน

นายทอมสันมีโทรเลขถึงกระทรวงการต่างประเทศอังกฤษอีกฉบับหนึ่งเมื่อวันที่ ๒๙ ตุลาคมว่า ท่านจำต้องบันทึกไว้เป็นหลักฐานว่า จะถือกรณีเหตุที่สงขลาเป็นเพียงการกระทำที่ขาดความรับผิดชอบของเจ้าหน้าที่คนหนึ่งเท่านั้นไม่ได้ ตรงกันข้าม ท่านจำต้องมองเห็นสัญญาณแห่งความเอาอกเอาใจของเจ้าหน้าที่อังกฤษผู้มีอำนาจในมลายู ให้ท้ายกระบวนการแยกดินแดนปักษ์ใต้ของประเทศไทย เพื่อเปิด ทางไม่เร็วก็ช้าไปสู่การผนวกจังหวัดทั้งสี่เข้ากับสหพันธ์มลายู ดังจะเห็นได้จากการ ที่มีการแสดงออกบ่อยครั้งถึงความเสียดายที่มิได้จัดการเช่นนั้นเสียแต่เมื่อสิ้นสุดสงครามใหม่ ๆ

กระทรวงการต่างประเทศอังกฤษพิจารณาเรื่องแล้ว เห็นชอบด้วยกับการที่นายทอมสันสั่งปลดนายคันนิงแฮม บราวน์ ออกจากหน้าที่รองกงสุล ในฐานะที่อยู่ใต้บังคับบัญชาของเอกอัครราชทูตที่กรุงเทพฯ นายคันนิงแฮม บราวน์ ไม่ควรมีรายงานตรงต่อกัวลาลัมเปอร์หรือสิงคโปร์ จะมีความคิดเห็นหรือข้อเสนอแนะอย่างใด ก็น่าจะต้องผ่านเอกอัครราชทูตที่กรุงเทพฯ ตามสายงาน ปรากฏต่อมาว่า รายงานที่นายคันนิงแฮม บราวน์ ส่งไปสิงคโปร์และกัวลาลัมเปอร์ไม่ตรงกับที่กงสุลเดนนิสส่งให้แก่นายทอมสัน อาจจะมีความเข้าใจผิดกันบางอย่าง ข้อคิดเห็นที่นายคันนิงแฮม บราวน์ เสนอต่อนายแม็กโดแนลเป็นเพียงเพื่อให้ขอเช่าดินแดนทางปักษ์ใต้ของไทย ให้อังกฤษปกครองเป็นเวลา ๙๙ ปี หลังจากนั้นให้มีการออกเสียงประชามติเพื่อฟังว่า ประชากรประสงค์จะขึ้นอยู่กับไทยหรือกับมลายู เพื่อป้องกันมิให้เกิดความเข้าใจผิดระหว่างกันต่อไป กระทรวงการต่างประเทศขอให้เอกอัครราชทูตทอมสันรับคำเชิญไปร่วมการประชุมเจ้าหน้าที่ชั้นผู้ใหญ่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่นายแม็กโดแนลมีดำริจะจัดขึ้นที่กัวลาลัมเปอร์เพื่อประสานงาน คนอื่นรับกันหมดแล้วยังรอนายทอมสันแต่ผู้เดียว

นายทอมสันตอบกระทรวงการต่างประเทศว่า กงสุลเดนนิสยืนยันตามรายงานที่เสนอทูตที่นายทอมสันยังไม่ได้ตอบรับเชิญไปร่วมประชุม ก็เนื่องจากเห็นว่า เหตุการณ์ทางประเทศจีนมีความสำคัญกว่า อาจจะลุกลามขยายตัวเมื่อใดก็ได้ นาย ทอมสันจึงไม่อยากจะออกไปนอกประเทศไทยในระยะนั้น แต่เมื่อทางการอยากจะจัดให้มีการประชุมให้จงได้ ก็ได้สั่งจองที่นั่งในเครื่องบินไว้แล้วก่อนได้รับโทรเลขของกระทรวงการต่างประเทศลงวันที่ ๔ พฤศจิกายน การประชุมที่กัวลาลัมเปอร์เมื่อวันที่ ๑๖ พฤศจิกายน เปิดโอกาสให้เจ้าหน้าที่ระดับผู้นำของอังกฤษในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ปรับความเข้าใจกันได้ เกี่ยวกับกรณีนายคันนิงแฮม บราวน์ นายทอมสันยอมรับว่า ที่ออกคำสั่งปลดนายคันนิงแฮม บราวน์ เป็นการหุนหันไปบ้าง และไม่ควรเล่าเรื่องให้นายสแตนตัน เอกอัครราชทูตอเมริกันทราบ เพราะทำให้ฝ่ายอเมริกันเพิ่มความสงสัยในท่าทีของรัฐบาลมลายูต่อชาวอิสลามในจังหวัดภาคใต้ของประเทศไทยขึ้น ส่วนทางฝ่ายนายแม็กโดแนล และเซอร์เฮนรี เคอร์เนย์ ยอมรับว่าที่นายคันนิ่งแฮม บราวน์ เสนอรายงานตรงโดยไม่ผ่านนายทอมสันนั้น ไม่ชอบด้วยวิธีปฏิบัติราชการ

พึงสังเกตว่า ข้อเสนอของนายคันนิงแฮม บราวน์ จะเป็นอย่างที่นาวาเอก เดนนิสรายงานเอกอัครราชทูตทอมสัน หรืออย่างนายแม็กโดแนลได้รับ ก็ล้วนไม่เป็นผลดีต่อประเทศไทย ความจริงแล้ว การที่อังกฤษจะส่งกำลังทหารจากมลายูเข้ายึดปักษ์ใต้ของไทย เป็นสิ่งที่กระทำไม่ได้อยู่แล้ว เพราะเท่ากับละเมิดบูรณภาพแห่งอาณาเขตไทย ไม่เป็นวิสัยปฏิบัติได้ภายหลังสงครามโลกสมัยสหประชาชาติ การจะบังคับเช่าเป็นเขตสัมปทาน เป็นสิ่งที่น่าเกรงกลัวกว่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อจะให้มี การแสวงหาประชามติภายหลังที่อังกฤษปกครองเกือบร้อยปี ฉะนั้นจึงเป็นการดีที่ทางกระทรวงการต่างประเทศอังกฤษประกาศยืนยันไม่สนับสนุนแผนการดังกล่าว แต่อังกฤษพยายามดึงให้รัฐบาลไทยเข้ามีส่วนร่วมในการปราบโจรจีนคอมมูนิสต์ของสหพันธ์มลายูให้จงได้

การที่เกิดมีความรู้สึกทางมลายูภายหลังสงครามอยากจะผนวกจังหวัดปัตตานีเป็นเพราะการปกครองของไทยไม่สามารถทำความพอใจให้แก่คนไทยที่นับถือศาสนาอิสลาม มีการกล่าวหาว่า เจ้าหน้าที่ไทยบีบคั้นเรื่องการศาสนา การศึกษา และการอาชีพ ตนกูมะไฮยิดดินสุลต่านปัตตานี เป็นผู้นำสร้างความปั่นป่วนให้เกิดขึ้นปลายปี ๒๔๙๐ หะยีสุหรง หัวหน้าศาสนาเรียกร้องเปิดเผยจะให้ปัตตานีแยกออก จากประเทศไทย มีการเรี่ยไรหาเงินสะสมเพื่อนำไปใช้ในการดำเนินงาน จึงถูกฝ่ายปกครองไทยจับฐานกบฏต่อราชอาณาจักร ในเดือนมกราคม ๒๔๙๑ ตนกูปัตตา บุตรสุลต่านเมืองสายบุรี ใช้รัฐกลันตันเป็นที่ทำการโฆษณาชวนเชื่อยุยงส่งเสริมเข้าไปในปัตตานี ถึงกับเรียกร้องให้สหประชาชาติเข้าแทรกแซง รัฐบาลควง อภัยวงศ์ และรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม ภายหลังการรัฐประหาร ปี ๒๔๙๐ พยายามผ่อนคลายความตึงเครียดด้วยการยอมรับเสรีภาพทางศาสนาและการศึกษา

จอมพล ป. พิบูลสงคราม ในฐานะรักษาการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ มีหนังสือลงวันที่ ๓ พฤศจิกายน ๒๔๙๑ แจ้งต่อเอกอัครราชทูตทอมสันว่า รัฐบาลได้พิจารณาข้อยุติของคณะกรรมการสอบสวนสถานการณ์ทางปักษ์ใต้ของไทย ตกลงจะปรับปรุงวิธีการปกครองใหม่ โดยเลือกเฟ้นข้าราชการที่จะส่งไปประจำจากผู้ที่ซาบซึ้งในขนบธรรมเนียมประเพณีของชาวมุสลิมดี ตั้งจุฬาราชมนตรีเป็นที่ปรึกษาของรัฐบาลไทย ปิดสถานที่ราชการในวันศุกร์ทั้งวัน วันพฤหัสบดีครึ่งวัน ให้เสรีภาพทางศาสนาอย่างเต็มที่ มีการจัดสรรเงินงบประมาณให้สร้างสุเหร่ายอมรับเครื่องแต่งกายคนไทยมุสลิม รับรู้กฎหมายอิสลามว่าด้วยครอบครัว และย้ำในตอนท้ายว่า ความระส่ำระสายต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นสืบเนื่องมาจากการโฆษณาชวนเชื่อปลุกปั่นจากสหพันธ์มลายู จึงหวังในความร่วมมือของอังกฤษที่จะช่วยขจัดความยุ่งยากทั้งหลาย

นายแม็กโดแนล ข้าหลวงใหญ่ประจำเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เดินทางมาเยือนประเทศไทยเมื่อวันที่ ๒๙ พฤศจิกายน ๒๔๙๑ รับรองต่อท่านจอมพล ป. พิบูลสงครามว่า อังกฤษเคารพบูรณภาพแห่งอาณาเขตของไทย พอใจในนโยบายใหม่ของท่านจอมพลในส่วนที่เกี่ยวกับคนไทยอิสลาม อังกฤษจะป้องกันมิให้มีความไม่พอใจในมลายูเป็นปฏิปักษ์ต่อไทย

รัฐบาลไทยพยายามเจรจาขอให้อังกฤษช่วยส่งอาวุธให้เพื่อใช้ในการปราบปราม คอมมูนิสต์ในบริเวณชายแดน ฝ่ายอังกฤษไม่แน่ใจ เกรงจะใช้ในการปราบปรามพวกมุสลิมในปักษ์ใต้ เอกอัครราชทูตทอมสันมีโทรเลขถึงกระทรวงการต่างประเทศอังกฤษลงวันที่ ๘ มีนาคม ๒๔๙๒ วิงวอนให้รัฐบาลสนับสนุนจอมพล ป. พิบูลสงคราม อย่างเต็มที่ ทูตยืนยันว่า ถ้าพวกเสรีไทยกลับมาได้อำนาจใหม่ จะขัดต่อผลประโยชน์ของอังกฤษ เพราะเสรีไทยอาจจะอาศัยความช่วยเหลือจากฝ่ายซ้ายในประเทศไทยและจากจีนคอมมูนิสต์

ทางกระทรวงการต่างประเทศอังกฤษเตือนนายทอมสันว่า ไม่พึงดำเนินการใด ๆ ที่อาจจะแปลไปได้ว่า รัฐบาลอังกฤษเข้าข้างฝ่ายหนึ่งในปัญหาการเมืองภายในของประเทศไทย รู้สึกว่า ท่านจอมพล ป. พิบูลสงคราม จะเน้นในเรื่องความใกล้ชิด ระหว่างเสรีไทยกับจีนคอมมูนิสต์มากเกินไป ทำให้เอกอัครราชทูตต้องมีหนังสือส่วนตัวถึงนาย อาร์. เอช. สก๊อต อธิบดีกรมกิจการเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ลงวันที่ ๑๖ เมษายน ๒๔๙๒ สาธยายอย่างยึดยาวว่า แม้ท่านจอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรี จะเป็นนักการเมืองผู้ช่ำชองสามารถแสวงหาความสนับสนุนทั้งภายในประเทศและภายนอกประเทศ โดยอาศัยสถานการณ์อันยุ่งยากในขณะนั้นเป็นปัจจัยสำคัญก็ตาม ทูตไม่คิดว่า ท่านจะปลุกปั่นภัยคอมมูนิสต์ขึ้นเพื่อประโยชน์ส่วนตัวของท่าน ความจริงนั้น ทูตเห็นว่า ภัยคอมมูนิสต์มีอยู่อย่างแน่แท้ในประเทศไทย ไม่ใช่เนื่องจากคนไทย แต่เนื่องจากคนจีนที่อยู่ในประเทศไทยเป็นจำนวนมาก เมื่อจีนคอมมูนิสต์ประสบความสำเร็จในผืนแผ่นดินใหญ่ของประเทศจีน จีนคอมมูนิสต์จะถือเอาประโยชน์จากชาตินิยมของคนจีนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จอมพล ป. พิบูลสงคราม ตระหนักในการคุกคามที่อาจจะเกิดขึ้นแก่ประเทศไทยเป็นอย่างดี เช่นเดียวกับ ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช ซึ่งได้กล่าวแก่ผู้สื่อข่าวหนังสือพิมพ์ภายหลังที่เดินทางกลับจากสหราชอาณาจักรว่า ถ้าคนไทยไม่สามัคคีเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ก็เห็นจะต้องเริ่มเรียนภาษาจีนกันแล้ว ทูตกล่าวต่อไปว่า ในการติดต่อกับท่านจอมพลไม่ควรที่อังกฤษจะรำลึกถึงแต่เหตุการณ์ในอดีต และมีความรังเกียจเดียดฉันท์ในบทบาทของท่านยามสงคราม อังกฤษจะต้องมองเฉพาะถึงปัจจุบันและอนาคตว่า อังกฤษจะเชื่อถือร่วมมือกับท่านได้หรือไม่ ท่านจอมพลเป็นไทยแท้ตั้งแต่ต้นจนจบ นโยบายและการปฏิบัติของท่านถือผลประโยชน์ของประเทศไทยและประชาชนชาวไทยเป็นมูลฐาน จริงอยู่ความทะเยอทะยานส่วนตัวอาจจะแฝงอยู่บ้าง เช่นเดียวกับกรณีผู้นำทางการเมืองในประเทศอื่น ๆ ก่อนสงคราม ท่านจอมพลบำเพ็ญตนเป็นผู้เผด็จการ ในช่วงนั้นประเทศเผด็จการได้ชัยชนะครั้งแล้วครั้งเล่าติดต่อมาเป็นเวลาหลายปี ระหว่าง ๒๔๗๔ ถึง ๒๔๘๒ ประเทศประชาธิปไตยไม่แสดงให้เห็นผลสำเร็จแม้แต่น้อย ในปี ๒๔๘๔ ท่านจอมพล ป. พิบูลสงคราม ถามอังกฤษว่า จะช่วยท่านได้อย่างใดบ้าง ถ้าญี่ปุ่นเข้าบุกประเทศไทย อังกฤษตอบไม่ได้ ประเทศไทยไม่มีหวังที่จะต่อต้านญี่ปุ่นมากไปกว่าเดนมาร์กต่อต้านเยอรมัน ทั้งสองประเทศสามารถสู้ผู้บุกเพียงชั่วเวลาอันสั้นเท่านั้น ครั้นแล้วก็มีประกาศสงครามต่ออังกฤษและสหรัฐอเมริกาซึ่งอังกฤษเลือกถือเอาจริงจังด้วยการประกาศสงครามตอบ ท่านจอมพลสามารถรักษาการแสดงออกซึ่งอิสรภาพในการปกครองภายในไว้ได้ และสามารถดูแลผลประโยชน์ของอังกฤษ และควบคุมผู้ถูกกักกันอังกฤษให้ได้รับผลปฏิบัติที่ดีมาก ภายในไม่ช้าอังกฤษจะกลับได้ผลประโยชน์เหล่านั้นคืนโดยไม่ยากนัก ทั้งจะได้ค่าทดแทนความเสียหายที่เกิดขึ้น อย่างไรก็ตามนโยบายเข้าสงครามของท่านทำให้ประเทศและคนไทยล่วงพ้นจากความเดือดร้อนอเนกประการ บัดนี้ ท่านจอมพลตระหนักว่า วิธีที่ดีที่จะเผชิญภัยที่กลับมามีใหม่จากตอนเหนือ อยู่ที่การเล่นกับฝ่ายแองโกลแซ็กซอน ท่านจะยึดมั่นในความเชื่อถือนั้นตราบใดที่มีหวังจะได้การสนับสนุนอย่างมีประสิทธิภาพจากสหรัฐอเมริกาและอังกฤษ แต่ถ้าเมื่อใดปรากฏแก่ท่านว่า การสนับสนุนดังกล่าวจะไม่มีมา นโยบายของท่านอาจจะเปลี่ยน และตามแบบไทย ๆ ท่านจะมองหายุทธวิธีอื่นที่จะเหมาะแก่การธำรงเอกราชและอธิปไตยของไทย เท่าที่เป็นมาในความสัมพันธ์กับประเทศอังกฤษ ท่านมิได้ก่อเหตุให้อังกฤษตำหนิติเตียนแต่ประการใด ตรงกันข้าม ท่านให้ความร่วมมือด้วยดีเสมอ ถ้าท่านยังคงอยู่ในตำแหน่งต่อไป การบำเพ็ญตนของท่านสำคัญอยู่ที่ผลปฏิบัติที่อังกฤษให้แก่ ท่านและแก่ประเทศไทย

แล้วเอกอัครราชทูตทอมสันกล่าวถึงพวกเสรีไทยว่า ความจริงมีไม่กี่คนที่นิยม คอมมูนิสต์ แม้ท่านปรีดีเองอาจได้รับความดึงดูดทางจิตใจอยู่บ้าง แต่ในส่วนรวมแล้ว ท่านและสมัครพรรคพวกมีความชังเป็นส่วนตัวต่อท่านนายกรัฐมนตรี เนื่องด้วยวิธีที่รัฐบาลใช้ประโยชน์จากความลึกลับดำมืดของกรณีสวรรคต และวิธีที่รัฐบาลพลเรือตรี ถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ ถูกโค่นอำนาจ การต่อสู้ระหว่างเสรีไทยและพวก ปฏิปักษ์ต่อเสรีไทย มิใช่การขัดแย้งทางทฤษฎีหรือหลักการ หากเป็นการเผชิญหน้าส่วนตัวบุคคลมากกว่า ถ้าพวกเสรีไทยได้รับความเอื้ออำนวยเห็นอกเห็นใจจากทัพเรือ เฉพาะอย่างยิ่งพรรคนาวิกโยธิน ก็เป็นเพราะความไม่ชอบส่วนตัวระหว่างพลเรือเอก สินธุ์ กมลนาวิน กับท่านจอมพล และความอิจฉาริษยาระหว่างกองทัพเรือกับกองทัพบก ซึ่งเริ่มแรงมาแต่กรณีอินโดจีนปี ๒๔๘๓ แล้ว ทหารบกอวดอ้างเป็นผู้สู้รบฝ่ายเดียว กองทัพเรือจึงคิดตั้งพรรคนาวิกโยธินขึ้นส่งเข้าไปปฏิบัติการในอินโดจีน และได้ผลดีเสียด้วย นอกจากนี้แล้วในประเทศที่การเมืองทำผลประโยชน์ให้แก่ผู้ครองอำนาจ การขัดแย้งระหว่างฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายที่อยู่นอกวงรัฐบาลย่อม มีไม่ขาดสาย การฉ้อราษฎร์บังหลวงของรัฐบาลเสรีไทยชุดสุดท้ายเป็นไปอย่างกว้างขวางประเจิดประเจ้อ ทูตสงสัยว่า ประเทศไทยหรือส่วนข้างมากของประชากรไทยจะอยากเห็นรัฐบาลเสรีไทยกลับมาเรืองอำนาจอีกหรือ อย่างไรก็ตาม การชิงชัง ส่วนตัวระหว่างบุคคลสองกลุ่มนี้ เปิดโอกาสให้คอมมูนิสต์กวนน้ำให้ขุ่น พวกเสรีไทยจะไม่สามารถกลับเข้ามาอีกโดยปราศจากสามัคคีเภทในกำลังทหารของประเทศไทย ทูตเชื่อมั่นว่า ถ้าการต่อสู้ระหว่างทหารเรือกับทหารบกระหว่างกบฏวังหลวงเมื่อวันที่ ๒๗ กุมภาพันธ์ ดำเนินต่อมาอีกไม่กี่วัน ฝ่ายจีนคอมมูนิสต์ภายในประเทศจะยื่นมือ เข้าเกี่ยวข้องแน่ จะมีการแห่วางเพลิง ปล้นสะดม ลอบฆาตกรรมอย่างกว้างขวางเป็นอุปสรรคต่อการส่งข้าวออกนอกประเทศอย่างร้ายแรง

ในตอนท้าย นายทอมสันกล่าวถึงการปฏิบัติของท่านจอมพลต่อศัตรูทางการเมืองของท่านว่า เป็นการยากที่จะกล่าวหาว่าท่านมีส่วนในการกำจัด ดร.ทองเปลว ชลภูมิ และรัฐมนตรีสามท่าน หลายคนเชื่อว่า อาชญากรรมนั้นสร้างความกระอักกระอ่วนให้แก่นายกรัฐมนตรีมาก เป็นการกระทำของพลตำรวจโท เผ่า ศรียานนท์ รองอธิบดีกรมตำรวจต่างหาก ข้อเท็จจริงจะเป็นอย่างไรก็ตาม กรุงเทพฯ ไม่เหมือนกรุงลอนดอน ความรู้สึกรุนแรงเป็นสิ่งที่สร้างขึ้นได้ ไม่เป็นที่สงสัยเลยว่าถ้าการกบฏสำเร็จ ฝ่ายกบฏจะจัดการอย่างรวบรัดกับฝ่ายปฏิปักษ์บางคนแน่ ดังจะเห็นได้จากถ้อยแถลงเปิดเผยของคุณควง อภัยวงศ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ว่า ในคืนวันที่ ๒๖ กุมภาพันธ์นั้น ท่านต้องหลบหนีไปอาศัยกองสัญญาณทหารเรือตามคำแนะนำของนายทหารเรือชั้นผู้ใหญ่ เพราะท่านมีชื่อปรากฏในบัญชีที่ฝ่ายกบฏคิดจะกำจัด นายทอมสันไม่เชื่อว่า จอมพล ป. พิบูลสงคราม จะรุนแรงกับเสรีไทยใด ๆ ที่ไม่มีส่วนในการวางแผนหรือเข้าร่วมในการกบฏ เช่น คุณดิเรก ชัยนาม และบุคคล ผู้อื่นอีกหลายคน มิได้รับการข่มเหงแต่อย่างใด ทูตมั่นใจว่า สำหรับเสรีไทยใน ประเทศอังกฤษ ถ้าเก็บตัวสงบเงียบไว้ ย่อมจะกลับประเทศไทยได้โดยปลอดภัย (นักเรียนไทยในประเทศอังกฤษหลายคนที่เคยทำงานเสรีไทย เสร็จสงครามแล้วออก ไปศึกษาต่อเกรงจะกลับประเทศไทยไม่ได้ เพราะจะถูกมองเป็นพวกท่านปรีดี ได้ปรารภความห่วงใยต่อข้าราชการในกระทรวงการต่างประเทศอังกฤษ นายสก๊อต จึงเขียนถามทูตมาเป็นส่วนตัว) ในกรณีคุณดิเรก นายทอมสันแจ้งว่าได้ยกเรื่องขึ้น ทูลท่านปรีดิเทพย์พงษ์ เทวกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศแล้ว ถึง ความเสื่อมเสียที่จะเกิดขึ้นแก่ชื่อเสียงของประเทศไทยในต่างประเทศหากมีการดำเนินรุนแรงต่อคุณดิเรก จะเป็นการผิดพลาดอย่างมากถ้าจะสันนิษฐานว่า มีการทารุณต่อผู้ใด เพียงเพราะว่าเคยทำงานร่วมกับท่านปรีดียามสงคราม

ในรายงานประจำปี ลงวันที่ ๑๐ พฤษภาคม ๒๔๙๑ ที่เอกอัครราชทูตผู้ได้สถาปนาเป็นเซอร์เจฟฟรีย์ ทอมสัน มีถึงนายเบวิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศอังกฤษ มีความในตอนท้ายเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับอังกฤษว่า ความจริงใจในความสัมพันธ์ตลอดปี ๒๔๙๒ สำคัญอยู่ที่ระดับความช่วยเหลือที่อังกฤษสามารถให้แก่ไทย ทูตเสียดายที่ตอนปลายปี มีสัญญาณแห่งความผิดหวังเห็นเด่นชัด เพราะอังกฤษไม่ได้ให้ความช่วยเหลืออย่างจริงจังนัก ทั้งยังได้ทำการลดค่าเงินปอนด์ที่กระทบกระเทือนถึงฐานะทางการเงินของรัฐบาลไทยอีกด้วย ซึ่งในเรื่องนี้นายสก๊อตได้เคยชี้แจงต่อเอกอัครราชทูตเมื่อวันที่ ๒๓ พฤศจิกายน ๒๔๙๒ เปรียบความช่วยเหลือที่อังกฤษให้แก่ไทยเสมือนเนยที่อังกฤษมีน้อยอยู่แล้ว จะใช้ทาขนมปังก็ต้องแผ่บางเต็มที อยากช่วยนะอยาก แต่ไม่มีทางที่จะทำได้สมความอยาก

ระหว่างที่เอกอัครราชทูตอังกฤษยืนยันต่อท่านจอมพล ป. พิบูลสงคราม หลายต่อหลายครั้งว่า อังกฤษลืมแล้วซึ่งเหตุการณ์ในอดีต หันมาสนใจในความเป็นไปเฉพาะหน้าและในอนาคตมากกว่า อังกฤษจะร่วมมือให้ความช่วยเหลือแก่ประเทศไทย ทั้งในด้านการรักษาความมั่นคงปลอดภัยและในด้านเศรษฐกิจ และทั้ง ๆ ที่ท่านเฝ้าเตือนรัฐบาลอังกฤษ และโดยเฉพาะฝ่ายปกครองในสหพันธ์มลายูให้ถนอมน้ำใจไทยไว้ เว้นการล่วงละเมิดอธิปไตยของไทยในโอกาสต่างๆ และให้ความช่วยเหลือทางด้านวัสดุตลอดจนอาวุธยุทธภัณฑ์อย่างมากที่สุดที่อังกฤษจะกระทำได้ ในขณะเดียวกันนั้น ทางเจ้าหน้าที่อังกฤษฝ่ายวางแผนป้องกันมลายู หาได้นำพาต่อความนึกคิดของประเทศไทยเท่าใดนัก อังกฤษประชุมปรึกษาหารือกับสหรัฐอเมริกาเพื่อวางแผนต่อต้านการขยายตัวของคอมมูนิสต์ โดยไม่เปิดโอกาสให้ไทยเข้าร่วมประชุมด้วย คงจะเป็นเพราะในระยะนั้นทั้งสองประเทศยังมีความสงสัยในท่าทีของ ประเทศไทยอยู่ เกรงประวัติศาสตร์จะซ้ำรอย ไทยอาจจะแปรพักตร์ไปเข้าข้างจีนคอมมูนิสต์เมื่อใดก็ได้ อย่างที่เคยเข้ากับญี่ปุ่นระหว่างสงคราม เซอร์เจฟฟรีย์ ทอมสัน พยายามเปรียบเทียบท่านจอมพล ป. พิบูลสงคราม สมัยญี่ปุ่นบุกว่า ต่างกับสมัยภัยคอมมูนิสต์คุกคามประเทศไทย แต่ดูจะไม่สู้ได้ผลสร้างความไว้วางใจทางเจ้าหน้าที่อังกฤษเท่าใดนัก

คณะกรรมการประสานงานป้องกันของอังกฤษ ณ กองบัญชาการทหารตะวันออกไกลที่สิงคโปร์ ทำบันทึกลับสุดยอดเสนอคณะเสนาธิการทหาร กระทรวง กลาโหม กรุงลอนดอน เมื่อวันที่ ๑๘ ธันวาคม ๒๔๙๓ กล่าวถึงมาตรการที่ฟังดำเนิน ในกรณีที่ประเทศไทยตกไปอยู่ภายใต้คอมมูนิสต์ด้วยการรัฐประหารภายในหรือการรุกรานจากภายนอกว่า ถ้าคอมมูนิสต์เข้ามาใกล้ชายแดนมลายู จะสามารถสร้างสมกำลังเพื่อการโจมตีสหพันธ์อย่างกว้างขว้าง และในขณะเดียวกันจะสามารถหนุนการดำเนินงานของคอมมูนิสต์ภายในมลายูถึงขั้นสุดที่จะปราบปรามได้ เพื่อป้องกัน มิให้เกิดสถานการณ์เช่นนั้น อังกฤษจำต้องเข้ายึดคอคอดกระและบริเวณจังหวัด สงขลาไว้ให้ได้ โดยใช้กำลังเพียงหนึ่งกองพันพร้อมด้วยการสนับสนุนทางเรือและ ทางอากาศ ฝ่ายคอมมูนิสต์เช่นเดียวกับอังกฤษ มองเห็นความสำคัญของสงขลา ต่อมลายู จีนคอมมูนิสต์จะต้องพยายามรีบเข้าให้ถึง ฉะนั้นเพื่อสกัดกั้นคอมมูนิสต์ กำลังทหารอังกฤษควรชิงเข้าสงขลาก่อนตั้งแต่แรกมีสัญญาณคอมมูนิสต์จะเข้า ประเทศไทย การยึดครองสงขลามีผลดีทางจิตใจของคนมลายู คนจีน และคนชาติอื่นในสหพันธ์ จะเป็นการแสดงให้เห็นแจ้งชัดว่า อังกฤษมีเจตจำนงแน่วแน่ที่จะป้องกันมลายู และจะไม่ถูกขับไล่ไสส่งออกไปอย่างในปี ๒๔๘๕ จะเป็นการตัดทาง ที่จีนจะส่งความช่วยเหลือให้พวกก่อการร้ายในมลายู และเป็นผลดีแก่ดินแดนใต้สหพันธ์มลายูลงไป เช่น อินโดนีเซีย และบอร์เนียว

คณะกรรมการประสานงานป้องกัน แจ้งด้วยว่า ได้สอบถามอุปทูตอังกฤษประจำประเทศไทยแล้ว ได้ความเห็นว่า คอมมูนิสต์อาจจะเข้าควบคุมประเทศไทยด้วยวิธีดังต่อไปนี้ คือ

๑. ใช้กำลังทางบกและทางทะเลบุกเข้าประเทศไทย ในกรณีเช่นนั้น รัฐบาล จอมพลจะร่ำร้องไปทางสหประชาชาติหรืออังกฤษและสหรัฐอเมริกา การเข้าครองสงขลาอาจจะเป็นเงื่อนไขประการหนึ่งของการให้ความช่วยเหลือ

๒. อาศัยการกบฏภายในทางภาคอีสานโดยผู้เป็นปฏิปักษ์ของรัฐบาล มีพวกเวียดมินห์สนับสนุนหรือทางกรุงเทพฯ โดยการสนับสนุนของจีนคอมมูนิสต์ หรือทางภาคใต้โดยการสนับสนุนของจีนคอมมูนิสต์ผสมกับพวกแยกดินแดน

๓. อาศัยการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลไทยด้วยการรัฐประหารและตามวิถีทางรัฐธรรมนูญ เปิดทางให้คอมมูนิสต์เข้าร่วมและสร้างความชิงชังอังกฤษ-อเมริกันให้ เกิดขึ้น

สำหรับกรณีแรก คือ คอมมูนิสต์เข้าบุกประเทศไทยจากภายนอกทั้งทางบกและ ทางเรือ และกรณีที่ ๒ กบฏทางภาคใต้ การเข้ายึดสงขลาคงไม่มีการคัดค้านจากไทย แต่ในกรณีอื่นไทยอาจจะไม่พอใจ เพราะถือเป็นการละเมิดอธิปไตย ประชาชนชาวไทยจะขัดขืนอย่างแน่นอน ในกรณีที่ ๓ เป็นการยากที่จะกำหนดเวลาที่เหมาะสม เพื่อเข้ายึดครองสงขลา ฝ่ายทหารอาจจะเห็นความจำเป็นต้องกระทำทันที แต่ฝ่ายอื่นอาจจะอยากให้หลีกเลี่ยงปฏิกิริยาจากประเทศอื่น และป้องกันการกระทบกระเทือนถึงการส่งข้าวไทยไปมลายู แต่ถ้าปฏิบัติการล่าช้าไป มลายูอาจจะสูญเสียไปก่อนก็ได้

ข้อความสำคัญอยู่ที่ความรู้สึกที่จะเกิดขึ้นแก่โลกภายนอกโดยทั่วไปและแก่องค์การสหประชาชาติโดยเฉพาะ อังกฤษจะต้องปฏิบัติไปในลักษณะที่จะไม่ถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้รุกรานเพื่อการนี้ในทันทีที่เข้ายึดครองสงขลา จะต้องออกคำแถลงการณ์อธิบายว่า เป็นการจำเป็นในการป้องกันมลายู ประกอบด้วยการยืนยันให้คำมั่นว่า อังกฤษไม่มีความต้องการดินแดนที่อังกฤษเข้ายึดปกครองโดยทหาร จะถือว่าคงอยู่ภายใต้อธิปไตยของไทย อังกฤษจะมอบคืนให้แก่รัฐบาลไทยที่เป็นมิตรในโอกาสแรกที่กระทำได้

บันทึกเน้นต่อไปว่า การยึดครองสงขลาโดยมิได้รับความยินยอมจากรัฐบาลไทย จะเป็นภัยต่อกลุ่มชนชาติบริติชในประเทศไทย รวมทั้งเจ้าหน้าที่สถานเอกอัครราชทูต ด้วย จึงจำต้องเตรียมแผนการอพยพออกไปจากประเทศไทยอย่างรวดเร็วก่อนการยึดครองโดยไม่ให้ฝ่ายไทยเกิดระแวงสงสัย

ทางกองบัญชาการทหารบกประจำตะวันออกไกลส่งข้อเสนอของคณะกรรมการ ประสานงานฯ ไปให้กระทรวงกลาโหมกรุงลอนดอนพิจารณา และส่งสำเนาให้ กระทรวงการต่างประเทศอังกฤษทราบ

ทางกรุงลอนดอนมีการพิจารณาแผนป้องกันนี้ในเดือนกุมภาพันธ์ ๒๔๙๔ ฝ่ายเสนาธิการทหารอังกฤษสนับสนุน ส่วนทางกระทรวงการต่างประเทศเตือนให้ระมัดระวังเป็นพิเศษ ถ้ารัฐบาลไทยร้องขอ อาจจะมีการเจรจาช่วยป้องกันบริเวณคอคอดกระได้ แต่ถ้าฝ่ายไทยไม่ร้องขอก็ควรเข้ายึดครองดินแดนของประเทศไทย นอกจากจะเป็นกรณีฉุกเฉินที่คุกคามต่อความมั่นคงของสหพันธ์มลายูอย่างชัดแจ้ง แต่กว่าจะเข้าเกณฑ์ถึงกำหนดดำเนินการได้ อาจจะล่าช้าสายเกินไป ฉะนั้น ทางที่ดีที่สุด ได้แก่ การสนับสนุนให้ท่านจอมพล ป. พิบูลสงคราม คงคุมอำนาจในประเทศไทยไว้ต่อไป กระทรวงการต่างประเทศไม่ขัดข้องในการเตรียมวางแผนการล่วงหน้าสำหรับหรับกรณีต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้น โดยไม่มอบอำนาจในการดำเนินตามแผนใดเมื่อใดและอย่างใด ให้แก่คณะกรรมการประสานงานตามที่ต้องการ ทั้งนี้จำต้องเฝ้าติดตามความคลี่คลายของสถานการณ์อย่างใกล้ชิดและต่อเนื่อง กระทรวงการต่างประเทศสั่งสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงเทพฯ ให้ร่วมมือกับสิงคโปร์ โดยถือเป็นเรื่องลับสุดยอด ไม่ให้ลงเลขรับคำสั่งนี้ในบัญชีหนังสือเข้า-ออก และให้เผาเอกสารเสียทันทีภายหลังที่ตอบกระทรวงการต่างประเทศแล้ว

ในตอนนั้นถึงเวลาสับเปลี่ยนทูตอังกฤษประจำประเทศไทย โดยนาย จี. เอ. วัลลิงเจอร์ ได้รับแต่งตั้งเป็นเอกอัครราชทูตอังกฤษสืบแทนเซอร์เจฟฟรีย์ ทอมสัน นายวัลลิงเจอร์เร่งระดมความสนใจในปัญหาเรื่องความร่วมมือทางชายแดนด้านมลายู ให้รัดกุมยิ่งขึ้น ในหนังสือลับมากลงวันที่ ๒๔ กันยายน ๒๔๙๔ ที่มีถึงข้าหลวงใหญ่ อังกฤษที่สหพันธ์มลายู ทูตกล่าวว่า เท่าที่สดับตรับฟังดู ทางการตำรวจไทยวางลำดับความสำคัญมากน้อยในการปฏิบัติหน้าที่ไว้สามลำดับ ลำดับแรกสำคัญที่สุด ได้แก่ กรุงเทพฯ ซึ่งจะต้องรักษาความสงบเรียบร้อยไว้ให้ได้ เฉพาะอย่างยิ่งในขณะที่อาจจะเกิดความขัดกันระหว่างตำรวจภายใต้พลตำรวจโท เผ่า ศรียานนท์ กับทหารบกภายใต้พลโท สฤษดิ์ ธนะรัชต์ ซึ่งมีข่าวหนาหูว่า ต่างคอยช่วงชิงอำนาจกัน ลำดับถัดลงมาก็คือ ภาคเหนือ และภาคอีสาน เพราะเชื่อว่าภัยคอมมูนิสต์จะเข้าถึงไทยทางด้านนั้น ส่วนลำดับสุดท้าย ได้แก่ ชายแดนมลายู ซึ่งไทยถือว่า ความยุ่งยากจากกองโจรจีนคอมมูนิสต์เป็นเรื่องของสหพันธ์มลายูที่จะต้องจัดการเอง ฉะนั้น กำลังตำรวจไทยทางด้านนี้จึงไม่สู้จะได้รับการส่งเสริมเท่าที่ควร

นายวัลลิงเจอร์เดินทางไปศึกษาสถานการณ์ทางใต้ของไทยด้วยตนเอง และได้เชิญประชุมเจ้าหน้าที่ตำรวจท้องถิ่นเมื่อวันที่ ๑๓ กันยายน ที่จังหวัดสงขลา จึงทราบว่า ตำรวจไทยขาดทั้งกำลังคน กำลังอาวุธ ความสะดวกในการติดต่อสื่อสาร ชาวบ้านไม่สู้จะนิยมตำรวจ เพราะตำรวจอาศัยเครื่องแบบเป็นอำนาจ จึงไม่สู้จะได้รับข่าวคราวการเคลื่อนไหวของผู้ก่อการร้ายเท่าใดนัก นอกจากนั้นทางภายในปักษ์ใต้เอง มีอาชญากรรมมากเกินความสามารถของตำรวจที่จะปราบปรามป้องกันได้ นายวัลลิงเจอร์เปรียบตำรวจไทยทางภาคใต้เป็นเสมือนเด็กกำพร้าที่ถูกทอดทิ้ง การดำเนินงานตามแผนการต่าง ๆ จึงเป็นไปได้อย่างล่าช้าติดขัดไปหมด จำเป็นที่อังกฤษจะต้องให้ความช่วยเหลือทางวัสดุเครื่องใช้ เฉพาะอย่างยิ่งเครื่องวิทยุรับส่งข่าวสาร รวมตลอดจนช่วยให้ไปรับการฝึกในมลายู และจัดให้มีการติดต่อระหว่างตำรวจไทยกับมลายูให้ใกล้ชิดยิ่งขึ้น

ในการประชุมเจ้าหน้าที่ชั้นผู้ใหญ่ฝ่ายอังกฤษที่บุกิตเซเรเน เมื่อปลายเดือน พฤศจิกายน ๒๔๙๔ ที่ประชุมตกลงให้ขยายความร่วมมือทางชายแดนระหว่างมลายูกับไทยให้กระชับยิ่งขึ้น โดยให้เลยขั้นระหว่างตำรวจถึงขั้นกำลังทหารด้วย ที่ประชุมย้ำโดยเฉพาะถึงความจำเป็นที่จะต้องปรับปรุงกำลังทัพเรือไทยเพื่อให้มีสมรรถภาพในการตระเวนชายฝั่ง การวางทุ่นระเบิดและการป้องกันเรือดำน้ำ ซึ่งจะเป็นปัจจัย สำคัญในการป้องกันรักษาความสงบ มิใช่เฉพาะทางเขตแดนติดต่อระหว่างไทยกับมลายูเท่านั้น หากจะเป็นประโยชน์แก่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในส่วนรวมด้วย เพื่อการนี้ที่ประชุมเห็นว่า ควรจะให้สหรัฐอเมริกาเข้ามาช่วยอีกแรงหนึ่ง

นายวัลลิงเจอร์พยายามจัดให้มีการพบปะระหว่างเจ้าหน้าที่ชั้นผู้ใหญ่ของมลายู กับไทย รวมทั้งให้พลเอก เซอร์เจรัลด์ เทมเปลอร์ ข้าหลวงใหญ่อังกฤษประจำสหพันธ์มลายู ได้พบแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับจอมพล ป. พิบูลสงคราม เมื่อวันที่ ๑๗ ธันวาคม ๒๔๙๕ ในด้านการปราบคอมมูนิสต์จากมลายู มีการย้ำถึงความสำคัญที่จะต้องพยายามโน้มน้าวให้ประชาชนเข้าข้างรัฐบาล ให้เกิดความรู้สึกตระหนักว่า รัฐบาลจะทำประโยชน์ให้มากและดีกว่าพวกคอมมูนิสต์ ทั้งสองท่านมีความเห็น ตรงกันว่า ขบวนการคอมมูนิสต์ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีการร่วมมืออย่างใกล้ชิดภายใต้การนำของมอสโกและปักกิ่ง ส่วนฝ่ายปฏิปักษ์ต่อคอมมูนิสต์หาได้มีการร่วมมือเสมอเท่าเทียมไม่

อย่างไรก็ตามเพื่อปฏิบัติตามแผนป้องกันมลายูของอังกฤษ ความดำริที่จะต้องเข้ายึดครองดินแดนทางภาคใต้ของประเทศไทยยังคงมีอยู่ เพราะเมื่อวันที่ ๒๒ มีนาคม ๒๔๙๕ นายสก๊อต อธิบดีกรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีจดหมายลับสุดยอดถึงนายวัลลิงเจอร์ สอบถามความเห็นว่า จะมีทางปฏิบัติอย่างใดให้อังกฤษสามารถเข้ายึดครองสงขลาได้ในกรณีที่มีภัยคอมมูนิสต์จากอินโดจีน จะควรสนับสนุนฐานะของจอมพล ป. พิบูลสงคราม ให้เข้มแข็งยิ่งขึ้นด้วยวิธีใด และถ้าฝ่ายไทยไม่ขอร้อง อังกฤษเข้ายึดครองสงขลา ฝ่ายไทยจะมีปฏิกิริยาอย่างใด ที่อังกฤษห่วงใยโดยเฉพาะก็เนื่องจากตอนนั้นในประเทศไทยมีข่าวลือหนาหูเรื่องการยึดครองอำนาจอยู่เสมอ โดยเหตุการขัดแย้งระหว่างพลโท สฤษดิ์ ธนะรัชต์ กับพลตำรวจโท เผ่า ศรียานนท์ ซึ่งสร้างความหนักใจให้แก่จอมพล ป. พิบูลสงคราม ในการที่จะประสานสองฝ่ายให้เข้ากัน ในยามที่ชาติกำลังเผชิญภัยคุกคามของคอมมูนิสต์ระหว่างประเทศ

 

หมายเหตุ :

  • กองบรรณาธิการสถาบันปรีดี พนมยงค์ ได้รับอนุญาตให้เผยแพร่ต้นฉบับหนังสือการวิเทโศบายของไทย จากศูนย์ศึกษาการต่างประเทศ กระทรวงการต่างประเทศแล้ว
  • ศาสตราจารย์กนต์ธีร์ ศุภมงคล, เรื่อง “คณะทูตสันถวไมตรีหลังสงคราม”, การวิเทโศบายของไทย ระหว่างปีพุทธศักราช ๒๔๘๓ ถึง ๒๔๙๕ (กรุงเทพฯ : ศูนย์ศึกษาการต่างประเทศ กระทรวงการต่างประเทศ, ๒๕๖๖), น. 587-604.

บรรณานุกรม :

  • ศาสตราจารย์กนต์ธีร์ ศุภมงคล, เรื่อง “คณะทูตสันถวไมตรีหลังสงคราม”, การวิเทโศบายของไทย ระหว่างปีพุทธศักราช ๒๔๘๓ ถึง ๒๔๙๕ (กรุงเทพฯ : ศูนย์ศึกษาการต่างประเทศ กระทรวงการต่างประเทศ, ๒๕๖๖), น. 587-604.

 

บทความที่เกี่ยวข้อง :