ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก
วันนี้ในอดีต

“พันเอกโยธี” เผชิญหน้ากับ “รู๊ธ”

31
พฤษภาคม
2568

Focus

  • วาระ 116 ปีชาตกาลพลเอกเนตร เขมะโยธิน นายทหารเสรีไทยที่ได้บันทึกสารคดีเชิงนวนิยายประวัติศาสตร์เกี่ยวกับเสรีไทย กับบทบาทของพันเอกโยธีกับการปฏิบัติภารกิจทางทหารพื่อติดต่อกับกองบัญชาการกองทัพสัมพันธมิตร เมืองแคนดี เกาะลังกา

 


พลเอกเนตร เขมะโยธิน

 

การพบปะกับ “พูเลา” อดุลย์เดชจรัสในคืนนั้น ทําให้ข้าพเจ้าทราบเรื่องราวและแผนการเกี่ยวกับ “งานใต้ดิน” ของเราเพิ่มเติมขึ้นอีก “พูเลา” เล่าให้รองแม่ทัพใหญ่และข้าพเจ้าฟังว่า ขณะนั้น “งานใต้ดิน” ทางด้านตํารวจซึ่งท่านเป็นหัวหน้ากําลังดําเนินไปอย่างกว้างขวาง และได้ร่วมมือประสานงานกับฝ่ายทหาร และพลเรือนเป็นอย่างดี เสรีไทย ๘ คนที่อยู่ในความควบคุมของตํารวจสันติบาลที่ปทุมวัน ได้ร่วมมือกับท่านตลอดมา เวลานี้เราติดต่อกับกองบัญชาการสัมพันธมิตรที่เมืองแคนดีได้เรียบร้อยแล้ว งานขั้นต่อไปก็คือทางด้านตํารวจจะส่งตํารวจสันติบาลหนุ่ม ๆ จํานวนหนึ่ง ออกไปรับการฝึกการใช้อาวุธและการรบแบบใต้ดินที่เกาะลังกา ส่วนภายในประเทศนั้นนายตํารวจสันติบาลกลุ่มหนึ่งก็ได้รับหน้าที่ให้ดําเนินงานใต้ดินภายใต้การบังคับบัญชาโดยตรงของ “พูเลา” ส่วนในภูมิภาคทั่วไปนั้น “ พูเลา” ก็ได้วางสายงานทางด้านตํารวจและเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองท้องถิ่น ไปดําเนินงานอยู่แล้วทั่วประเทศ

ดร. ป๋วย อึ๊งภากรณ์ (ร. อ. เข้ม) และคุณประธาน เปรมกมล (ร. อ. แดง) เสรีไทยจากประเทศอังกฤษ ซึ่งได้พบกับเราในคืนนั้นเล่าให้ข้าพเจ้าฟังว่า เมื่อกระโดดร่มลงมาในดินแดนไทยในพื้นที่จังหวัดชัยนาท ต่อมาถูกชาวบ้านกับตํารวจท้องที่จับกุมตัวส่งเข้าคุก และถูกล่ามโซ่ในฐานะ “แนวที่ ๕” แทบแย่ไปเลย เคราะห์ดีที่ไม่ถูก “ยิงทิ้ง” เมื่อถูกคุมตัวมาส่งตํารวจสันติบาลที่กรุงเทพฯ และได้พบกับ “พูเลา” แล้วจึงอยู่ในฐานะปลอดภัย เวลานี้ตํารวจของ “พูเลา” ยังควบคุมตัวอยู่ หรือที่ถูกควรจะเรียกว่า ให้ความอารักขามากกว่า ได้รับความสะดวกสบายพอควร แต่ยังไปไหนมาไหนเป็นอิสระไม่ได้ เพราะถ้าพลาดท่าเสียทีไปถูกทหารญี่ปุ่นจับได้ละก็ เป็นเกิดเรื่องใหญ่แน่

“เวลานี้ผมยังไม่ได้พบญาติพี่น้องเลย” ดร. ป๋วย กล่าวกับข้าพเจ้า “ได้แต่นั่งรถยนต์ดูบ้าน ดูเมืองในเวลากลางคืน”

ข้าพเจ้าถาม ดร. ป๋วยว่า “คุณมีแผนการจะกระทําอย่างไรต่อไป ?”

ดร. ป๋วย “ผมอยากจะกลับไปนอกประเทศอีกเพื่อติดต่อกับทางโน้น แต่จะต้องฟังเสียงผู้ใหญ่ทางนี้ดูก่อนว่าจะอนุญาตหรือไม่”

เรามีเวลาสนทนากันประมาณครึ่งชั่วโมง ครั้นแล้วรองแม่ทัพใหญ่กับข้าพเจ้าก็ลากลับ พล. ท. หลวงสินาดฯ รองแม่ทัพใหญ่กระซิบบอกข้าพเจ้า ขณะเมื่อเราลงจากรถยนต์ที่บ้านของท่านว่า “วันหลังอั๊วจะพาลื้อไปพบท่านปรีดีผู้สําเร็จราชการ แล้วอั๊วจะนัดให้ลื้อมาพบกับอั๊วภายหลัง”

ข้าพเจ้าเดินทางกลับบ้านในคืนวันนั้นด้วยหัวใจเต้นระทึก เรื่องราวของพวกใต้ดินทั้งนอกและในประเทศที่ข้าพเจ้าได้ทราบจากบุคคลต่าง ๆ ที่กล่าวมาแล้ว ยังวนเวียนอยู่ในสมองตลอดทาง ระหว่างนั้นถนนหนทางในพระนครมืดตื้อไปหมด เพราะโรงไฟฟ้าถูกฝ่ายสัมพันธมิตร ทิ้งบอมบ์พินาศไปแล้ว เวลากลางคืนมีผู้คนเดินตามถนนน้อยเต็มที นอกจากผู้ที่มีกิจธุระจําเป็น ชาวพระนครส่วนมากได้อพยพหลบภัยไปอยู่ตามหัวบ้านหัวเมือง หรือมิฉะนั้นก็หลบออกไปอยู่ตามชนบทใกล้เคียง พอค่ําลงทุกคนก็หวาดผวาอยู่เกือบตลอดคืน รอคอยฟังเสียง “หวอ” ที่จะดังกังวานขึ้น แม้ว่าประชาชนจะพอทราบบ้างเหมือนกันว่า เครื่องบินของสัมพันธมิตร ที่มาทิ้งระเบิดนั้น มักจะเลือกทิ้งเฉพาะที่หมายซึ่งมีความสําคัญทางยุทธศาสตร์ แต่ก็ไม่แน่นัก ความผิดพลาดย่อมอาจเกิดขึ้นได้เสมอ ดังที่เคยมีมาแล้วบ่อยครั้ง

นอกจากภัยจากทางอากาศ ซึ่งได้กลายเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับบุคคลทั่ว ๆ ไปแล้ว สําหรับตัวข้าพเจ้ายังมีภัยที่จะต้องระมัดระวังเป็นพิเศษอีกอย่างหนึ่ง นั่นคือภัยจาก “มหามิตร” ของเราเอง ข้าพเจ้าได้มีส่วนในการปฏิบัติงานเพื่อชาติบ้านเมืองอย่างลับ ๆ ตามที่เล่ามาแล้ว ตั้งแต่ต้นจนกระทั่งบัดนี้ แม้ว่าการปฏิบัติงานของข้าพเจ้าจะพยายามปกปิดและซ่อนเร้นเพียงใดก็ตาม แต่ก็ไม่มีใครรับรองได้ว่า “มหามิตร” ของเราจะไม่รู้เบาะแสบ้าง กองทัพญี่ปุ่นที่ตั้งมั่นอยู่ในประเทศไทยมีหูมีตาเป็นสับปะรดทั่วไปทุกหนทุกแห่ง ท่าทีของทหารญี่ปุ่นที่มีต่อกองทหารไทย ก็เป็นที่ทราบกันอยู่แล้วว่า ไม่สู้จะไว้วางใจเท่าใดนัก แต่เมื่อยังจับไม่มั่นคั้นไม่ตาย ก็คุมเชิงกันอยู่ ถ้าสมมติว่าทางญี่ปุ่นสืบทราบว่า ข้าพเจ้าเป็นผู้หนึ่งที่มีพฤติการณ์ไปในทางไม่น่าไว้วางใจ และจับตัวข้าพเจ้าไป รัฐบาลไทยในขณะนั้นจะช่วยอะไรข้าพเจ้าได้บ้าง ก็ยังสงสัยอยู่เป็นอันมาก ! ที่หน้าบ้านของข้าพเจ้ามีนายทหารญี่ปุ่นมาเช่าบ้านอยู่ ข้าพเจ้าเห็นเขานั่งรถเข้าออกเกือบทุกวัน เขาจะรู้จักข้าพเจ้าหรือเปล่าไม่ทราบ แต่ถึงอย่างไร ข้าพเจ้าก็ต้องระวังตัวแจทีเดียว

 


นายปรีดี ‘รู๊ธ’ พนมยงค์
หัวหน้าใหญ่เสรีไทยภายในประเทศ

 

ในตอนปลายปี พ.ศ. ๒๔๘๗ สถานการณ์ของสงครามโลกครั้งที่ ๒ ได้ผันแปรไปเป็นอันมาก ทางด้านยุโรปกองทัพสัมพันธมิตรซึ่งยกพลขึ้นบุกทวีปยุโรป ทางภาคตะวันตกเฉียงเหนือและทางภาคใต้ของประเทศฝรั่งเศส ได้ทําการรุกก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็ว สามารถขับไล่กองทัพนาซีร่นถอยกลับไปประเทศเยอรมันนีอยู่เรื่อย ๆ ในขณะเดียวกันกองทัพของโซเวียตรัสเซียก็รุกขนาบเข้ามาทางด้านตะวันออกของประเทศเยอรมันนี ประสานกับกองทัพสัมพันธมิตรอีกส่วนหนึ่ง ซึ่งรุกจากทางเหนือของประเทศอิตาลี บีบวงล้อมเข้ามาอีกทางหนึ่ง กองทัพของนาซีจึงถูกกันทั้งสามด้าน ความปราชัยของฝ่ายอักษะในยุโรปเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้เสียแล้ว ปัญหาอยู่ที่เวลาเท่านั้น

ส่วนทางด้านทวีปเอเซีย กองทัพของสัมพันธมิตรก็กลับเป็นฝ่ายรุกและผลักดันกองทัพญี่ปุ่นให้ร่นถอยทุกด้าน กองทัพอังกฤษสามารถแย่งดินแดนบางส่วนของประเทศพม่าที่เคยสูญเสียไปกลับคืนมาได้ ทางด้านมหาสมุทรแปซิฟิค กองทัพอเมริกัน ก็สามารถแย่งเกาะเล็กเกาะน้อย ซึ่งมีความสําคัญทางยุทธศาสตร์กลับคืนมาได้มากขึ้นทุกที

สําหรับเหตุการณ์ภายในประเทศไทย หลังจากนายควง อภัยวงศ์ ได้จัดตั้งรัฐบาลขึ้นบริหารงานของประเทศแล้ว กิจการต่าง ๆ ก็เปลี่ยนแปลงไปเป็นอันมาก ยิ่งสงครามยืดเยื้อไปนานเพียงใด ประชาชนพลเมืองก็ได้รับความอดอยากขาดแคลนยิ่งขึ้น ค่าครองชีพสูงขึ้น เสื้อผ้าและเครื่องนุ่งห่มตลอดจนยารักษาโรคมีจํานวนน้อยลงทุกทีและราคาสูงลิ่ว เคราะห์ดีที่เมืองไทยเป็นประเทศกสิกรรม และเป็นประเทศอู่ข้าวอู่น้ํา แต่ถึงกระนั้นอาหารการกินก็พลอยมีราคาสูงขึ้นเหมือนกัน บรรดา “นักฉวยโอกาส” ทั้งหลายได้สร้างความเป็นเศรษฐีสงครามให้แก่ตนเอง จากความอดอยากยากแค้นของประชาชนในขณะนั้น ก็มีจํานวนไม่น้อย แต่บุคคลเหล่านี้ก็ได้รับการนับหน้าถือตามาจนกระทั่งบัดนี้ก็มี

นายควง อภัยวงศ์ นายกรัฐมนตรีสมัยปลายสงคราม ต้องทําหน้าที่อย่างหนักในการรักษาสถานการณ์ซึ่งกําลังเข้าขั้นสุกงอม ด้วยความลําบากยากยิ่ง ทั้ง ๆ ที่นายควง อภัยวงศ์ ทราบถึงการดําเนินงานของ “พวกใต้ดิน” อยู่เต็มอก แต่ก็ต้อง “ตีหน้าเซ่อ” และ “เล่นละครตลกกับญี่ปุ่น” อยู่ตลอดเวลา “ลูกไม้ในทางการเมือง” ที่นายควง อภัยวงศ์ มีอยู่เท่าใด ต้องนําออกมาใช้เพื่อแก้ไขเหตุการณ์เฉพาะหน้า ขายผ้าเอาหน้ารอดไปวันหนึ่ง ๆ

การที่จะกล่าวว่า ทางญี่ปุ่นไม่ทราบการเคลื่นไหวของพวกเสรีไทยและการตีหน้าตายของรัฐบาลไทยในขณะนั้น ออกจะเป็นการดูหมิ่นกันเกินไป ข้าพเจ้าทราบดีว่า ญี่ปุ่นซึ่งเป็นชาติที่ฉลาดและมีไหวพริบดี ทราบการเคลื่อนไหวของเราเหมือนกัน แต่การที่กองทัพญี่ปุ่นยังมิได้จัดการให้แตกหักลงไปนั้น เห็นจะเกี่ยวกับ “จังหวะ” และเหตุการณ์แวดล้อมอื่น ๆ ด้วยกระมง ?

มีผู้เล่าให้ข้าพเจ้าฟังว่า วันหนึ่ง พล. ท. นากามูระ แม่ทัพหน่วยงิ ซึ่งตั้งมั่นอยู่ในประเทศไทย ได้เชิญนายควง อภัยวงศ์ และรัฐมนตรีในคณะของท่านหลายคนไปรับประทานอาหาร ในระหว่างรับประทานอาหาร ตอนหนึ่งนายพลแม่ทัพญี่ปุ่นได้พูดเป็นภาษาไทยกับนายกรัฐมนตรีไทยว่า “เมืองไทยมีผลไม้มาก” ท่านผู้อ่านพึงทราบว่า นายพลญี่ปุ่นผู้นี้สนใจในภาษาไทยมาก และพยายามหัดพูดภาษาไทยกับคนไทยเสมอ คําว่า “ผลไม้” ของนายพลนากามูระนี้ มีความหมายลึกซึ้งนัก เขาจะหมายถึงผลไม้จริง ๆ หรือ “ผลไม้” อะไร ท่านผู้อ่านโปรดพิจารณาเอาเอง แต่ผู้ที่เล่าให้ข้าพเจ้าฟังบอกว่า คําพูดของนายพลนากามูระประโยคนั้น เล่นเอานายควง อภัยวงศ์ ถึงสะอึกไปเหมือนกัน

อย่างไรก็ดี เราต้องยอมรับรับว่า สมัยที่นายควง อภัยวงศ์ เป็นนายกรัฐมนตรีสมัยแรก คือตอนปลายสงครามโลกคราวที่แล้วนั้น นายควง อภัยวงศ์ เล่นละครตลกให้ญี่ปุ่นดูได้อย่างไม่เลวเลยทีเดียว

ครั้นแล้ว วันสําคัญวันหนึ่งในชีวิตของข้าพเจ้าก็มาถึง ขณะนั้นเห็นจะอยู่ในราวต้นเดือนมีนาคม ๒๔๘๗ พล. ท. หลวงสินาดฯ รองแม่ทัพใหญ่โทรศัพท์นัดให้ข้าพเจ้าไปพบที่กองบัญชาการกองทัพใหญ่สวนจิตรลดา เมื่อข้าพเจ้าไปพบท่านรองแม่ทัพใหญ่ตามคําสั่ง ประโยคแรกที่ท่านกล่าวแก่ข้าพเจ้าก็คือ

วันนี้อั๊วจะพาลื้อไปพบกับท่านปรีดี ! เวลาบ่ายโมงครึ่ง ลื้อไปยืนคอยอั๊วอยู่ที่ใกล้ประตูสวนจิตรฯ ทางด้านเขาดิน เมื่อรถของอั๊วผ่านไป อั๊วจะรับลื้อขึ้นรถไปด้วยกัน”

ข้าพเจ้าไม่มีคําตอบใด ๆ นอกจากรับคําว่าเข้าใจตามคําสั่งนั้นแล้ว ท่านผู้อ่านพึงสังเกตว่าแม้แต่การนั่งรถไปด้วยกัน รองแม่ทัพใหญ่ก็ได้วางแผนการอย่างระมัดระวัง เพื่อมิให้นายทหารในกองบัญชาการกองทัพใหญ่เห็น ท่านให้ข้าพเจ้าไปดักคอยขึ้นรถไปกับท่าน ณ ตําบลซึ่งปลอดคน เพราะในสวนจิตรลดาซึ่งเป็นที่ตั้งกองบัญชาการกองทัพใหญ่ และกองทัพบกสนามขณะนั้นมีบริเวณกว้างขวาง และมีผู้คนไปมาติดต่อเป็นจํานวนมาก

ใกล้เวลากําหนดที่นัดหมายกันไว้ ข้าพเจ้าก็ไปเดินเตร่อยู่ในบริเวณประตูทางออกด้านเขาดิน ซึ่งห่างไกลจากตัวกองบัญชาการเกือบหนึ่งกิโลเมตร ประมาณไม่เกิน ๕ นาที รถของรองแม่ทัพใหญ่ก็แล่นมาตามถนนเล็ก ๆ จากกองบัญชาการ และหยุดลง ณ ตําบลที่ข้าพเจ้ายืนคอยอยู่ ข้าพเจ้าทําความเคารพตามระเบียบวินัยของทหาร แล้วก้าวขึ้นรถในตอนหลัง นั่งคู่ไปกับรองแม่ทัพใหญ่ โดยมิได้พูดจาอะไรกันเลย อีกราว ๑๕ นาทีต่อมา รถก็แล่นเข้าไปในทําเนียบ “ท่าช้าง” เราทั้งสองเดินเข้าไปในห้องรับแขก เมื่อรองแม่ทัพใหญ่ได้แจ้งแก่ผู้รับใช้ถึงความประสงค์ว่า จะขอพบท่านผู้สําเร็จราชการแทนพระองค์แล้ว เราก็นั่งคอยอยู่ในห้องนั้น สักครู่หนึ่งบุรุษผู้ซึ่งตัดผมเกรียน ผิวเนื้อสองสีค่อนข้างขาว วัยสี่สิบเศษ รูปร่างสันทัด ในเครื่องแต่งกายอยู่กับบ้าน และมีแพรพันคอสีขาวก็เดินเข้ามา เมื่อเห็นหน้าข้าพเจ้าก็จําได้ทันที ผู้ที่เดินเข้ามาต้อนรับเรา คือนายปรีดี พนมยงค์ ผู้สําเร็จราชการแทนพระองค์ในสมัยนั้น

ข้าพเจ้าไม่เคยรู้จักนายปรีดี พนมยงค์ เป็นส่วนตัวมาก่อนเลย นอกจากได้ทราบอย่างที่บุคคลทั่วไปทราบกันว่า ท่านเป็นบุคคลสําคัญผู้หนึ่งในคณะก่อการเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อวันที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๔๗๕ และได้มีบทบาททางการเมืองอย่างสําคัญยิ่ง ในสมัยต่อ ๆ มา บุคคลที่ใกล้ชิดกับท่านผู้นี้ เรียกท่านว่า “อาจารย์” ซึ่งก็เนื่องมาจากท่านเคยเป็นอาจารย์เคยสอนวิชากฎหมายในโรงเรียนกฎหมายสมัยก่อนเปลี่ยนแปลงการปกครอง บทบาทและงานของนายปรีดี พนมยงค์ ตั้งแต่หลังจากมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองจนถึงขณะนั้น เป็นเรื่องที่ยืดยาวและสลับซับซ้อนมากเกินกว่าที่จะนํามาเล่าได้อย่างละเอียดในหนังสือเล่มนี้ แต่พอจะสรุปได้ว่า หลังจากการเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อ ๒๔ มิ.ย. ๗๕ เป็นต้นมา นายปรีดี พนมยงค์ ได้เป็นรัฐมนตรีในรัฐบาลคณะต่าง ๆ ตลอดมา เว้นแต่ระยะเวลาหนึ่งซึ่งนายปรีดี พนมยงค์ ถูกกล่าวหาว่าเป็น “คอมมิวนิสต์” และถูกเนรเทศไปอยู่ต่างประเทศ แต่ในที่สุดเมื่อได้มีการชําระสะสางและปรับความเข้าใจกันดีแล้ว นายปรีดี พนมยงค์ ก็กลับมาบริหารงานของประเทศในตําแหน่งรัฐมนตรีร่วมมือกับเจ้าคุณพหลพลหยุหเสนา และจอมพล ป. พิบูลสงคราม ด้วยความราบรื่น จนกระทั่งเมื่อกองทัพญี่ปุ่นได้รุกรานประเทศไทย ในวันที่ ๘ ธันวาคม ๒๔๘๔ นายปรีดี พนมยงค์ จึงถูก “ยกย่อง” ขึ้นเป็นผู้สําเร็จราชการแทนพระองค์ และออกจากตําแหน่งรัฐมนตรีในคณะรัฐบาลของจอมพล ป. พิบูลสงคราม นัยว่าสาเหตุของการเปลี่ยนแปลงครั้งนั้น เนื่องมาจากความคิดเห็นในทางการเมืองของบุคคลทั้งสองคือ จอมพล ป. กับนายปรีดี แตกแยกกันในการที่จะกู้อิสรภาพของบ้านเมืองในยามคับขัน เมื่อนายปรีดี พนมยงค์ มาดํารงตําแหน่งผู้สําเร็จราชการแทนพระองค์แล้ว ก็ได้วางแผนการกู้อิสรภาพโดยจัดตั้งขบวนการเสรีไทยในประเทศขึ้นอย่างเงียบ ๆ แม้ว่านายปรีดี พนมยงค์ จะปลีกตนออกจากวงการของรัฐบาลแล้วก็ดี แต่ก็ยังมีลูกศิษย์ลูกหาและสมัครพรรคพวกที่จงรักภักดีอยู่เป็นอันมาก จนบุคคลทั้งหลายเรียกกันติดปากว่า “อาจารย์ท่าช้าง” บ้าง “ท่านท่าช้าง” บ้าง หรือบางคนก็เรียกว่า “อาจารย์” เฉย ๆ อันเนื่องมาจากท่านผู้นี้มีบ้านพักทางราชการอยู่ท่าช้างวังหน้านั่นเอง

การดําเนินงานใต้ดินของนายปรีดี พนมยงค์ ได้ดําเนินไปอย่างได้ผล เท่าที่ทราบนั้น “อาจารย์ท่าช้าง” ได้ส่งนายสงวน ตุลารักษ์ นายจํากัด พลางกูร และนายถวิล อุดล ออกไปติดต่อกับฝ่ายสัมพันธมิตร ที่ประเทศจีน และต่อมานายสงวน ตุลารักษ์ ได้เดินทางต่อไปยังสหรัฐอเมริกาเป็นผลสําเร็จ ส่วนภายในประเทศ นายปรีดี พนมยงค์ ก็ได้ดําเนินรุดหน้าไปมากอยู่ เพราะได้ร่วมงานกับบุคคลสําคัญหลายคน เช่น คุณทวี บุณยะเกต, คุณดิเรก ชัยนาม เป็นต้น และในระยะหลังมี “นายพลตาดุ” ร่วมอยู่ด้วย ทหารเรือส่วนหนึ่งซึ่งมี หลวงสังวรณ์ยุทธกิจเป็นหัวหน้า ก็ร่วมอยู่ในขบวนการนี้ และยังมีบุคคลสําคัญทางฝ่ายพลเรือนอีกหลายคน

ครั้นเมื่อนายปรีดี พนมยงค์ ได้วางแผนการทางการเมืองภายใน “โค่น” รัฐบาลจอมพล ป. ลงได้ และสนับสนุนให้นายควง อภัยวงศ์ จัดตั้งรัฐบาลขึ้นใหม่แล้ว รัฐบาลใหม่กับขบวนการใต้ดินภายใต้การอํานวยการของนายปรีดี พนมยงค์ ก็เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ยิ่งกว่านั้นนายปรีดี พนมยงค์ ยังได้ฝ่ายทหารซึ่งมีเจ้าคุณพหลพลพยุหเสนา แม่ทัพใหญ่ และพล. ท. ชิด มั่นศิลป์ สินาดโยธารักษ์ รองแม่ทัพใหญ่ กับฝ่ายตํารวจซึ่งมี “นายพลตาดุ” เข้าร่วมงามอีกด้วย ฉะนั้น จึงกล่าวได้ว่าขบวนการใต้ดินหรือเสรีไทยในประเทศขณะนั้น ได้รวมกําลังกันเข้าเป็นปึกแผ่นและเข้มแข็งยิ่งกว่าสมัยใด ๆ

ได้กล่าวมาแล้วว่า ข้าพเจ้ามิได้เคยรู้จักมักคุ้นกับนายปรีดี พนมยงค์ มาก่อน ฉะนั้น วันนั้นจึงเป็นครั้งแรกที่ข้าพเจ้าได้เผชิญหน้ากับหัวหน้าใหญ่ของเสรีไทยซึ่งมีนามสมญาว่า “รู๊ธ” ในฐานะผู้สําเร็จราชการแทนพระองค์

หลังจากที่รองแม่ทัพใหญ่ และข้าพเจ้าได้ทําความเคารพท่านเจ้าของบ้านและเรานั่งกันเรียบร้อยแล้ว ข้าพเจ้าสังเกตว่า ในห้องนั้นมีเพียงเรา ๓ คนเท่านั้น

“ผมยินดีมากที่ได้พบกับคุณเนตร” เป็นประโยคแรกที่ “รู๊ธ” กล่าวแก่ข้าพเจ้า “ผมคิดว่าท่านรองแม่ทัพใหญ่คงจะเล่าเรื่องราวต่าง ๆ ของเราให้คุณได้ทราบแล้ว”

ข้าพเจ้า “ครับ, กระผมทราบแล้ว”

“รู๊ธ” กล่าวต่อไปว่า “ผมยินดีที่ทราบว่า คุณสมัครใจเข้าร่วมปฏิบัติงานกับพวกเรา ผมได้ทราบมาเหมือนกันว่าคุณเคยร่วมงานใต้ดินมาตั้งแต่สมัยท่านจอมพลเป็นรัฐบาล และได้ยินชื่อเสียงของคุณมานานแล้ว” หัวหน้าใหญ่เสรีไทยหยุดไปชั่วขณะหนึ่ง แล้วจึงกล่าวสืบต่อไปว่า “แต่งานของเราครั้งนี้มีความสําคัญมาก เกี่ยวกับความเป็นความตายของประเทศชาติ พวกเราทุกคนที่ร่วมงานนี้ ได้ตกลงกันแล้วว่า ทุกคนจะต้องปฏิบัติงานโดยการเสียสละ ไม่ใช่เพื่อหวังผลประโยชน์ตอบแทนอย่างใด”

ข้าพเจ้า “กระผมทราบดีแล้วในเรื่องนี้”

รู๊ธ “เวลานี้ เราติดต่อกับฝ่ายอังกฤษและอเมริกันได้แล้ว เขากําลังส่งคนของเขาเข้ามาติดต่อกับเราในกรุงเทพฯ และทางฝ่ายเราได้ส่งผู้แทนของเราไปพบกับกองบัญชาการสัมพันธมิตรที่แคนดี ซึ่งผมได้ส่งคุณดิเรก ชัยนาม, คุณหลวงชาตินักรบ กับคุณถนัด คอมันต์ ออกไปตกลงกับเขามาแล้ว เมื่อเร็ว ๆ นี้ ทางเขาได้ขอร้องให้เราส่งนายทหารของเราคนหนึ่งไปประจําที่แคนดี ทําหน้าที่เป็นนายทหารติดต่อ พวกเราได้ตกลงกันแล้วว่าจะให้คุณไปทําหน้าที่นี้”

ข้าพเจ้า “ครับ กระผมยินดีรับใช้บ้านเมืองเต็มกําลังและความสามารถของผม กระผมจะพยายามกระทําหน้าที่ให้ดีที่สุด”

รู๊ธ “ผมขอขอบใจคุณเนตรเป็นอย่างยิ่ง หน้าที่ของคุณก็คือ จะต้องเป็นตัวแทนของพวกเราในนี้ และดูแลพวกคนไทยเรา ที่จะถูกส่งออกไปรับการฝึกและอบรมที่ประเทศอินเดียด้วย”

ข้าพเจ้า “กระผมเข้าใจแล้ว”

รู๊ธ “ส่วนกําหนดเดินทางนั้นจะบอกให้ทราบภายหลัง เวลานี้คุณเตรียมตัวไว้ให้พร้อมที่จะออกเดินทางได้ทันที เมื่อเขานัดหมายมา”

ต่อจากนั้น นายปรีดี พนมยงค์ ก็สนทนาปราศรัยกับรองแม่ทัพใหญ่ถึงเรื่องอื่น ๆ อีกเล็กน้อย ครั้นแล้วรองแม่ทัพใหญ่กับข้าพเจ้าก็อําลากลับ ข้าพเจ้าขอตัวแยกทางกับรองแม่ทัพใหญ่ที่ทําเนียบท่าช้างนั่นเอง เพื่อเดินทางกลับกระทรวงกลาโหม ซึ่งเป็นที่ทํางานของข้าพเจ้า พร้อมกับคิดมาตลอดทางว่า คราวนี้ละที่ข้าพเจ้าจะได้มีโอกาสทํางานสนองคุณชาติบ้านเมืองและประชาชนคนไทยอีก ๑๘ ล้านคนที่มีบุญคุณแก่ข้าพเจ้า ในการที่อุทิศหยาดเหงื่อของเขา เป็นทุนให้ข้าพเจ้าได้ออกไปศึกษาวิชาทหาร ณ ต่างประเทศ

 


พลเอกเนตร เขมะโยธิน ถ่ายร่วมกับมิตรสหาย เมื่อประชุมคนไทย
ณ กรุงบรัสเซลส์ ประเทศเบลเยี่ยม

 

หมายเหตุ

  • อักขระและวิธีสะกดคงไว้ตามต้นฉบับ
  • ตัวเน้นโดยผู้เขียน
  • บทความชิ้นนี้มีการปรับปรุงชื่อโดยกองบรรณาธิการ สถาบันปรีดี พนมยงค์จาก เผชิญหน้ากับ “รู๊ธ” เป็น “พันเอกโยธี” เผชิญหน้ากับ “รู๊ธ” โดยตีพิมพ์เผยแพร่เมื่อปี 2528

บรรณานุกรม :

  • พลเอกเนตร เขมะโยธิน, เรื่อง “เผชิญหน้ากับรู๊ธ”, งานใต้ดินของพันเอกโยธี (กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์มหามกุฎราชวิทยาลัย, 2528, พิมพ์เป็นอนุสรณ์งานพระราชทานเพลิงศพ พลเอกเนตร เขมะโยธิน ม.ป.ช., ม.ว.ม., ท.จ.ว. ณ เมรุหน้าพลับพลาอิศริยาภรณ์ วัดเทพศิรินทราวาส วันพฤหัสบดีที่ 24 ตุลาคม 2528), น. 37-43.