พลเอก เนตร เขมะโยธิน เขียนไว้ในหน้าหนึ่งของหนังสือ งานใต้ดินของพันเอกโยธี ของท่าน เริ่มด้วยถ้อยคำที่น่าสนใจเป็นอย่างยิ่งว่า จอมพล ป. พิบูลสงคราม ตั้งปัญหาถามเมื่อไปพบ พร้อมกับพลโท จิร วิชิตสงคราม เช้าวันหนึ่งในปี พ.ศ. ๒๔๘๕ ที่วังสวนกุหลาบ อันเป็นที่ตั้งกองบัญชาการทหารสูงสุดว่า “คุณเนตร คุณคิดว่าใครจะเป็นฝ่ายแพ้ในการสงครามคราวนี้ ฝ่ายนั้นแหละคือศัตรูของเรา”

พลเอก เนตร เขมะโยธิน
ที่มา: อนุสรณ์งานพระราชทานเพลิงศพ พลเอกเนตร เขมะโยธิน
ในตอนนั้น พลเอก เนตรมียศเป็นพันเอก ดำรงตำแหน่งทางราชการทหารเป็นหัวหน้าแผนกสามในกองเสนาธิการกองทัพบก ซึ่งมีหน้าที่วางแผนยุทธการ อันย่อมจะเปลี่ยนแปลงคลี่คลายไปตามความผันผวนของกระแสสงคราม
ก็แหละเหตุการณ์ในปี ๒๔๘๕ ไม่เหมือนกับในปี ๒๔๘๔ ซึ่งฝ่ายอักษะเป็นฝ่ายรุกตลอดเวลา โดยเฉพาะญี่ปุ่นสามารถเข้ายึดครองดินแดนของฝ่ายสัมพันธมิตรอย่างมากมาย จนกระทั่งก่อให้เกิดความรู้สึกในบรรดาผู้นำของรัฐบาลไทยว่า ชัยชนะจะตกแก่ฝ่ายอักษะเป็นแน่แท้ ไทยจะต้องเตรียมพร้อมไปร่วมประชุมสันติภาพ ซึ่งฝ่ายอักษะจะเป็นผู้จัดให้มีขึ้น และกำหนดเงื่อนไขต่าง ๆ ภายหลังสงครามที่จะเรียกร้องเอาจากฝ่ายสัมพันธมิตร เพื่อให้ไทยมีสิทธิ์มีเสียงเท่าเทียมกับประเทศฝ่ายอักษะทั้งหลาย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศไทยสมัยนั้น เห็นสมควรที่ไทยจะประกาศตัวเข้าข้างฝ่ายอักษะเสีย ซึ่งจอมพล ป. พิบูลสงคราม ในฐานะนายกรัฐมนตรีเห็นพ้องด้วย ถึงกับสั่งไปทางสถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงโตเกียว เมื่อต้นเดือนกุมภาพันธ์ ๒๔๘๕ ให้ทาบทามรัฐบาลญี่ปุ่นในการที่ไทยมีดำริจะเข้าร่วมฝ่ายอักษะ เดชะบุญที่ฝ่ายญี่ปุ่นไม่เห็นด้วยกับความดำริของไทยในเรื่องนี้ ฝ่ายญี่ปุ่นเห็นว่า การร่วมมือระหว่างไทยกับญี่ปุ่นดำเนินมาด้วยดี เป็นที่น่าพอใจอยู่แล้ว ไม่จำเป็นที่ไทยจะต้องสอดเข้าไปผูกมัดตนกับฝ่ายอักษะในยุโรป เมื่อเอกอัครราชทูตดิเรก ชัยนาม รายงานผลของการติดต่อกับฝ่ายญี่ปุ่นให้รัฐบาลไทยทราบ จอมพล ป. พิบูลสงคราม เห็นชอบกับรายงานของเอกอัครราชทูตดิเรกทุกประการ ทั้ง ๆ ที่ทางกระทรวงการต่างประเทศกำลังพิจารณาองค์ประกอบของคณะผู้แทนไทยที่จะส่งออกไปร่วมประชุมสันติภาพระหว่างฝ่ายอักษะและฝ่ายสัมพันธมิตรรอมร่ออยู่แล้ว
ความจริง จอมพล ป. พิบูลสงคราม พยายามที่จะรักษาเอกราชและอธิปไตยของไทย ไม่ให้เสียแก่ฝ่ายญี่ปุ่นมาโดยตลอด มีจุดมุ่งหมายสำคัญที่จะต้องพยายามมิให้ญี่ปุ่นปลดอาวุธทหารไทยเป็นอันขาด ความดำริที่จะย้ายออกไปอยู่ทางจังหวัดเพชรบูรณ์ นับเป็นส่วนหนึ่งของนโยบายต่อต้านญี่ปุ่นภายในประเทศ ซึ่งจะแถลงเปิดเผยไม่ได้ จึงออกมาในรูปการย้ายนครหลวง รัฐบาลได้ตราพระราชกำหนดประกาศออกใช้ ว่าด้วยระเบียบราชการบริหารนครบาลเพชรบูรณ์ เพื่อเปิดทางให้ท่านสามารถโยกย้ายสรรพกำลังทางทหารไปรวมไว้ ณ ที่นั้น เมื่อถึงเวลาจะได้ใช้เป็นป้อมปราการสู้ตายกับญี่ปุ่น เมืองเพชรบูรณ์มีทิวเขาล้อมรอบ ยากที่กำลังทหารญี่ปุ่นจะเข้ายึดครองโดยง่าย ในขณะเดียวกันท่านจอมพลก็คิดหาทางติดต่อกับฝ่ายสัมพันธมิตรโดยอาศัยทางประเทศจีนเป็นสำคัญ เพราะกองทัพไทยได้รับมอบหมายให้ทำการรบในแคว้นยูนนานอยู่แล้ว ท่านได้สั่งให้กองพลที่ ๓ ของไทยส่งนายทหารชั้นผู้น้อยข้ามพรมแดนไปติดต่อกับกองพลที่ ๙๓ ของจีนทางเมืองเชียงล้อเมื่อวันที่ ๕ มกราคม ๒๔๘๗ ต่อมาได้มีการตกลงกันว่า จะให้มีการพบปะระหว่างผู้แทนผู้บัญชาการทหารสูงสุดไทยกับจีน เพื่อปรึกษาหารือกันในด้านการร่วมมืออย่างลับ ๆ ของทั้งสองฝ่าย พันเอก เนตร เขมะโยธิน ได้รับแต่งตั้งเป็นผู้แทนกองบัญชาการทหารสูงสุดไทยเดินทางร่วมไปกับพลตรี หลวงหาญสงคราม ผู้บัญชาการกองพลที่ ๓ ไปเจรจากับฝ่ายทหารจีนที่เมืองเชียงล้อเมื่อวันที่ ๒ เมษายน ๒๔๘๗ ทั้งสองฝ่ายปรับความเข้าใจต่อกันในเรื่องต่าง ๆ และได้ตกลงในหลักการไม่เป็นศัตรูต่อกัน โดยฝ่ายไทยได้ขอให้ฝ่ายจีนแจ้งเรื่องการติดต่อให้ฝ่ายอเมริกันและอังกฤษทราบด้วย

จอมพล เจียงไคเช็ค
ต่อมาจอมพล เจียงไคเช็คติดต่อมาขอให้ฝ่ายไทยจัดส่งคณะผู้แทนรัฐบาลและผู้แทนทางทหารไปจุงกิง เพื่อปรึกษาหารือต่อ โดยฝ่ายจีนจะส่งเครื่องบินมารับที่สนามบินเชียงรุ้งในมณฑลยูนนาน จอมพล ป. พิบูลสงคราม กำหนดตัวผู้แทนไว้แล้ว โดยให้พลตารวจเอก อดุล อดุลเดชจรัส เป็นหัวหน้าคณะ พลโท ประยูร ภมรมนตรี เป็นผู้แทนฝ่ายการเมือง พลโท หลวงหาญสงคราม และพันเอก เนตรเป็นผู้แทนฝ่ายทหาร จะออกเดินทางไปพร้อมด้วยพันโท เอกศักดิ์ ประพันธะโยธิน ซึ่งจะออกไปประจำที่จุงกิงในฐานะนายทหารติดต่อฝ่ายไทย โดยเป็นที่เข้าใจว่า พอคณะผู้แทนไทยจะข้ามแดนพม่าติดต่อกับจีนทางยูนนาน ฝ่ายจีนจะจัดขบวนม้ามารับ พาไปขึ้นเครื่องบินที่เชียงรุ้ง ในช่วงนั้นทุกคนต้องแต่งตัวเป็นทหารจีนหมด เพื่อป้องกันมิให้เกิดข้อสงสัย
ระหว่างที่ทุกคนจดจ่อรอวันเวลาที่จะต้องออกเดินทางไปตามแผนของจอมพล ป. พิบูลสงคราม ทางสภาผู้แทนราษฎรมีมติไม่อนุมัติพระราชกำหนดระเบียบราชการบริหารนครบาลเพชรบูรณ์ และพระราชกำหนดจัดสร้างพุทธบุรีมณฑล เมื่อวันที่ ๒๒ กรกฎาคม ๒๔๘๗ มีผลทำให้จอมพล ป. พิบูลสงคราม ต้องกราบบังคมลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ กรกฎาคม ๒๔๘๗ ความดำริจะส่งคณะผู้แทนไทยไปเจรจากับจีนที่จุงกิงจึงเป็นอันระงับไปโดยปริยาย
ก่อนหน้านั้นเมื่อข้าพเจ้าเดินทางกลับจากกรุงโตเกียว ต้นเดือนกุมภาพันธ์ ๒๔๘๗ กระทรวงได้แต่งตั้งให้เข้าดำรงตำแหน่งหัวหน้ากองการเมือง ในกรมการเมืองตะวันตก ซึ่งมีคุณทวี ตะเวทิกุล เป็นอธิบดี เป็นอันกลับมาร่วมคณะเดิมที่สถานเอกอัครราชทูตไทยในประเทศญี่ปุ่นอีก ท่านเอกอัครราชทูตดิเรก ชัยนาม เข้ารับตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ตั้งแต่วันที่ ๒๐ ตุลาคม ๒๔๘๖ แล้ว ส่วนคุณถนัด คอมันตร์ คงยังอยู่ทั้งทางกระทรวงการต่างประเทศและทางกรมเลขาธิการคณะรัฐมนตรี เราทั้ง ๔ จึงยังมีโอกาสปฏิบัติงานเพื่อประโยชน์ของคณะต่อต้านญี่ปุ่นภายในประเทศไทยต่อมา
ตอนนั้นปรากฏว่า เสรีไทยทั้งจากสหรัฐอเมริกาและจากประเทศอังกฤษ ได้ส่งสายเข้ามาปฏิบัติการภายในประเทศไทยแล้ว บางคนพอมาถึงก็ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจไทยจับกุมตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งคุณป๋วย อึ๊งภากรณ์ ที่ถูกขังอยู่ที่กรมตำรวจสันติบาลภายใต้การควบคุมของร้อยตำรวจเอก โพยม จันทรัคคะ คุณป๋วยเป็นเพื่อนนักเรียนร่วมชั้นกันมาที่โรงเรียนอัสสัมชัญ แผนกภาษาฝรั่งเศส แข่งแพ้แข่งชนะกันในการสอบไล่ประจำเดือน ร้อยตำรวจเอก โพยมก็เป็นตำรวจรุ่นพี่ชายของข้าพเจ้า เมื่อข้าพเจ้ารู้จักทั้งผู้คุมและผู้ถูกคุม ก็ไม่เป็นการยากนักที่ข้าพเจ้าจะแอบไปพบคุณป๋วยในที่คุมขังได้ ก่อนหน้านั้นร้อยตำรวจเอก โพยมอาศัยคุณวิจิตร ลุลิตานนท์ เป็นสื่อพาคุณป๋วยไปพบท่านปรีดี ที่บ้านคุณวิจิตรที่บางเขน เพื่อมอบสาส์นของลอร์ดหลุยส์ เมานต์แบตตัน ผู้บัญชาการทหารสูงสุดของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ถึงท่านปรีดี และกำหนดวางแผนการติดต่อกับฝ่ายอังกฤษทางกำลัง ๑๓๖ ผ่านไปถึงกองบัญชาการทหารสูงสุดเป็นประจำทางฝ่ายเสรีไทยจากสหรัฐฯ ก็มีร้อยเอก บุญมาก เทศบุตร เป็นผู้ติดต่อใกล้ชิดกับท่านปรีดี
ในยามสงครามที่ประเทศไทยต้องอยู่ข้างญี่ปุ่นสู้กับสหรัฐอเมริกาและอังกฤษ งานการเมืองด้านตะวันตกย่อมมีไม่มาก หัวหน้ากองการเมืองจึงมีเวลาเหลือพอที่จะไปประกอบงานด้านอื่น วันที่ ๒๙ มิถุนายน ๒๔๘๗ ข้าพเจ้าได้รับแต่งตั้งให้ไปช่วยราชการของกรมสารวัตรทหารอีกทางหนึ่ง ท่านเจ้ากรมนี้ ได้แก่ พลเรือตรี สังวร สุวรรณชีพ ซึ่งเป็นผู้ร่วมงานต่อต้านญี่ปุ่นกับท่านปรีดีอย่างใกล้ชิด ไม่น้อยกว่าพลตำรวจเอก อดุล อดุลเดชจรัส ที่ข้าพเจ้าไปช่วยราชการทางกรมสารวัตรก็เพื่อให้สามารถเคลื่อนไหวไปมาได้สะดวก และรับปฏิบัติงานใต้ดินให้แก่ท่านปรีดี ภายใต้สายงานของคุณทวี ตะเวทิกุล
การลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของจอมพล ป. พิบูลสงคราม เป็นโอกาสทองให้ท่านปรีดีได้พิจารณาเลือกตั้งนายกรัฐมนตรีคนใหม่ได้ โดยที่จอมพล ป. พิบูลสงคราม คงรักษาตำแหน่งผู้บัญชาการทหารสูงสุดอยู่ อำนาจการควบคุมกองทัพทั้งสาม จึงคงยังอยู่ในกำมือของท่าน ซึ่งได้ย้ายไปตั้งป้อมอยู่ที่ลพบุรี ฉะนั้น ผู้ที่จะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนใหม่ จะต้องเป็นผู้มีบารมีในบรรดากองทัพทั้งสามดีกว่าหรืออย่างน้อยเท่ากับจอมพล ท่านปรีดีมองไปทางท่านเชษฐบุรุษ พลเอก พจน์ พหลโยธิน (พระยาพหลพลพยุหเสนา) แต่ท่านผู้นี้มีเหตุผลส่วนตัวขอไม่รับตำแหน่ง เพราะได้เคยลั่นสัจจะวาจาไว้เมื่อท่านออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีครั้งที่ ๕ เมื่อวันที่ ๑๑ กันยายน พ.ศ. ๒๔๘๑ ว่า ท่านจะไม่แสวงหาอำนาจทางการเมืองอีก แต่ได้กรุณายอมเข้าร่วมในคณะรัฐมนตรีที่จะจัดตั้งขึ้นใหม่ในฐานะเป็นรัฐมนตรีลอย ทางสภาผู้แทนราษฎรได้เลือกคุณควง อภัยวงศ์ รองประธานสภา ขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีสืบแทนท่านจอมพล ป. พิบูลสงคราม พลโท พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาทิตย์ทิพอาภา ประธานคณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ทรงเชิญให้คุณควงไปเฝ้า รับสั่งถามว่า จะรับตำแหน่งหรือ ถ้าจอมพลยกทัพจากลพบุรีมาจะกระทำอย่างไร คุณควงตอบเด็ดขาดว่า รับ และถ้ายกทัพมาก็ต้องสู้ หากสู้ไม่ได้จึงจะยอม ท่านประธานคณะผู้สำเร็จราชการทรงแนะให้ถอนตัวเสียเพื่อความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง และทรงสำทับด้วยว่า หากคุณควงไม่ถอนตัว พระองค์ท่านเองจะกราบบังคมทูลลาออกจากตำแหน่งประธานคณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ทั้งนี้เพราะไม่กล้าที่จะทรงลงพระนามในประกาศพระบรมราชโองการแต่งตั้งคุณควงเป็นนายกรัฐมนตรีได้ เมื่อคุณควงยืนยันจะเข้ารับตำแหน่งให้จงได้ พระองค์ท่านจึงกราบบังคมทูลลาออกจากตำแหน่งเมื่อวันที่ ๓๑ กรกฎาคม ๒๔๘๗ โดยที่พลเอก เจ้าพระยาพิชเยนทรโยธินถึงแก่อสัญกรรม พ้นจากตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ไปก่อนแล้ว ท่านปรีดี พนมยงค์ จึงเหลือเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์แต่ผู้เดียว และได้ลงนามแต่งตั้งคุณควง อภัยวงศ์ เป็นนายกรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑ สิงหาคม
เมื่อจอมพล ป. พิบูลสงคราม ยังคงดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการทหารสูงสุด ผู้บัญชาการกองทัพบก และแม่ทัพบกอยู่ รัฐบาลใหม่ของคุณควง อภัยวงศ์ ย่อมจะปฏิบัติการไม่ได้ถนัด เพราะอำนาจทางทหารที่อยู่ในกำมือของท่านจอมพล ฉะนั้น ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์จึงหาทางออก โดยประกาศยกเลิกตำแหน่งผู้บัญชาการทหารสูงสุด และแต่งตั้งให้เป็นที่ปรึกษาราชการแผ่นดิน โดยให้เหตุผลว่า ได้ประกอบความดีความชอบต่อแผ่นดินมากมายหลายประการ ตั้งแต่วันที่ ๒๔ สิงหาคม เป็นต้นไป และในขณะเดียวกัน ประกาศให้มีตำแหน่งแม่ทัพใหญ่ขึ้นเป็นผู้บังคับบัญชาการทหารตามบทบัญญัติกฎอัยการศึก พุทธศักราช ๒๔๕๗ และแต่งตั้งพลเอก พจน์ พหลโยธิน ผู้เป็นที่เคารพรักและเกรงใจของเหล่าทหาร ให้ดำรงตำแหน่งแม่ทัพใหญ่ มีอำนาจบังคับบัญชาการแม่ทัพบก แม่ทัพเรือ และแม่ทัพอากาศ โดยมีพลโท ชิต มั่นศิลป์ สินาดโยธารักษ์ (หลวงสินาดโยธารักษ์) เป็นรองแม่ทัพใหญ่ และมีประกาศอีกฉบับหนึ่งให้จอมพล ป. พิบูลสงคราม พ้นจากตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบกและแม่ทัพบก แต่งตั้งให้พลเอก พจน์ พหลโยธิน เข้ารับตำแหน่งแทน
แผนการย้ายนครหลวงไปอยู่เพชรบูรณ์เป็นอันเลิกล้มไป ทำความพอใจให้บรรดาข้าราชการทั้งหลายทั้งฝ่ายทหารและพลเรือน สร้างคะแนนนิยมให้รัฐบาลควงสูงยิ่งขึ้น
การลิดรอนอำนาจของท่านจอมพลตอนนั้น ไม่ได้รับปฏิกิริยาตอบโต้รุนแรงจากท่านจอมพล ทั้ง ๆ ที่ท่านไม่พอใจเป็นอย่างมาก ทั้งนี้เนื่องจากฝ่ายญี่ปุ่นในประเทศไทยต่างเฝ้ามองการบำเพ็ญตนของท่านจอมพลด้วยความระแวงสงสัย ญี่ปุ่นไม่ต้องการให้เกิดความระสํ่าระสายภายในประเทศไทย อันเป็นเขตหลังของญี่ปุ่น จะมีผลกระทบกระเทือนถึงการปฏิบัติการทางทหารในสงครามใหญ่กับอังกฤษและสหรัฐอเมริกา

อาเกโตะ นากามูระ (Nakamura Aketo)
ในระหว่างที่ยังมีความไม่แน่นอนว่า การจัดตั้งรัฐบาลขึ้นแทนรัฐบาลของจอมพลพลโท นากามูระ ผู้บัญชาการทหารญี่ปุ่นในประเทศไทย ขอเข้าพบผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์โดยเฉพาะ ทั้ง ๆ ที่ตามปกติไม่เคยเข้าพบเลย เพื่อสอบถามถึงสถานะการเมืองภายในว่า ญี่ปุ่นจะพึงปฏิบัติอย่างไรต่อไป ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ให้ความคิดเห็นอย่างสั้น ๆ ว่า ควรปล่อยให้เป็นไปตามวิถีทางของรัฐธรรมนูญ
ญี่ปุ่นไม่รู้สึกยินดียินร้ายว่า พวกที่จะเข้ามาเป็นรัฐบาลใหม่จะให้ความร่วมมือแก่ญี่ปุ่นเพียงใด เป็นเรื่องที่จะต้องสอดส่องดูต่อไป ข้อสำคัญญี่ปุ่นไม่ต้องการจะให้เกิดจุดอ่อนภายในประเทศไทย ซึ่งรังแต่จะเป็นประโยชน์แก่ศัตรูของญี่ปุ่นเท่านั้น
เมื่อไม่ได้รับการสนับสนุนจากญี่ปุ่น และเมื่อทหารเองใช่จะยกย่องเชิดชูท่านจอมพลแต่ผู้เดียวก็หาไม่ ประกอบกับในความรู้สึกนึกคิดของนักการเมืองและประชาชนชาวไทยโดยทั่วไป ท่านจอมพลมีท่าทีเดินหันหลังให้แก่ระบอบประชาธิปไตยทุกที ด้วยการเอนเอียงไปหาเผด็จการมากยิ่งขึ้น ถึงกับประกาศซํ้าแล้วซํ้าเล่าให้เชื่อผู้นำชาติพ้นภัย ส่อให้เห็นความนิยมเชื่อมั่นในระบบการของนาซีและฟาสซิสต์ ความสนับสนุนจากบรรดานักการเมืองเลยพลอยลดน้อยถอยลงไปด้วย เมื่อท่านขาดฐานกำลังที่จะทัดทานขัดขืนประกาศของผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ในพระปรมาภิไธยของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ท่านจอมพลต้องยอมปล่อยให้เหตุการณ์เลยตามเลย นับเป็นชัยชนะทางการเมืองครั้งแรกของท่านปรีดี พนมยงค์ ซึ่งจะยังให้ภาระการต่อต้านญี่ปุ่นสะดวกขึ้น เพราะในคณะรัฐมนตรีใหม่ของคุณควง อภัยวงศ์ มีสมาชิกจากคณะต่อต้านญี่ปุ่น ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีหลายคน เช่น คุณทวี บุณยเกตุ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ดร.เดือน บุนนาค เป็นผู้ช่วยนาวาเอก บุง ศุภชลาศัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย พลโท ชิต มั่นศิลป์ สินาดโยธารักษ์ รัฐมนตรีลอย ช่วยงานทางกระทรวงกลาโหม ตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการและมหาดไทยเป็นหัวใจของการปฏิบัติใต้ดินทีเดียว เพราะเป็นตำแหน่งที่มีข้าราชการกระจายไปอยู่ในต่างจังหวัดทั่วราชอาณาจักร ประกอบกับพลตำรวจเอก อดุล อดุลเดชจรัส ให้ความร่วมมือแก่ฝ่ายอังกฤษอเมริกาอย่างกว้างขวางรวดเร็วยิ่งขึ้นตั้งแต่เดือนมีนาคม ๒๔๘๘ เป็นต้นมา
สถานีวิทยุเถื่อนตั้งขึ้นในท้องถิ่นต่าง ๆ หลายต่อหลายแห่ง ข่าวคราวส่งถึงกันรวดเร็วระหว่างประเทศไทยกับเกาะลังกา การส่งเสรีไทยมาโดยทางโดดร่มไม่จำเป็นต้องอาศัยยถากรรมต่อไปแล้ว หากทำตามคำนัดหมายแนะที่ขึ้นลงกันล่วงหน้า การปิดบังการรอดรู้ของญี่ปุ่นทำได้ถนัด งานต่อต้านญี่ปุ่นในส่วนรวมจึงค่อยมีชีวิตชีวาขึ้น ทั้ง ๆ ที่ยังต้องเก็บเป็นความลับสุดยอดทีเดียว
มีพวกเสรีไทยทั้งสายอเมริกาและอังกฤษที่ตำรวจจับได้ไว้ในความควบคุมโดยมิได้แจ้งให้ฝ่ายญี่ปุ่นทราบ ก็ได้ตกลงยินยอมเข้ามาร่วมงานกับท่านปรีดี พนมยงค์ ปล่อยให้ออกไปปฏิบัติภาระหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายจาก โอ.เอส.เอส. และ เอส.โอ.อี. เพิ่มความสะดวกในการปฏิบัติงานมากยิ่งขึ้น
หมายเหตุ :
- กองบรรณาธิการสถาบันปรีดี พนมยงค์ ได้รับอนุญาตให้เผยแพร่ต้นฉบับจากศูนย์ศึกษาการต่างประเทศ กระทรวงการต่างประเทศแล้ว
- ศาสตราจารย์กนต์ธีร์ ศุภมงคล, เรื่อง “ความคลี่คลายของเหตุการณ์ภายในประเทศไทย”, การวิเทโศบายของไทย ระหว่างปีพุทธศักราช ๒๔๘๓ ถึง ๒๔๙๕ (กรุงเทพฯ : ศูนย์ศึกษาการต่างประเทศ กระทรวงการต่างประเทศ, ๒๕๖๖), น. 211-217.
บรรณานุกรม :
- ศาสตราจารย์กนต์ธีร์ ศุภมงคล, เรื่อง “ความคลี่คลายของเหตุการณ์ภายในประเทศไทย”, การวิเทโศบายของไทย ระหว่างปีพุทธศักราช ๒๔๘๓ ถึง ๒๔๙๕ (กรุงเทพฯ : ศูนย์ศึกษาการต่างประเทศ กระทรวงการต่างประเทศ, ๒๕๖๖), น. 211-217.
บทความที่เกี่ยวข้อง :
- การวิเทโศบายของไทย ระหว่างปีพุทธศักราช ๒๔๘๓ – ๒๔๙๕ ตอนที่ 1 : สงครามโลกครั้งแรก
- การวิเทโศบายของไทย ระหว่างปีพุทธศักราช ๒๔๘๓ – ๒๔๙๕ ตอนที่ 2 : สงครามโลกครั้งที่ ๒
- การวิเทโศบายของไทย ระหว่างปีพุทธศักราช ๒๔๘๓ – ๒๔๙๕ ตอนที่ 3 : วิเทโศบายของไทย
- การวิเทโศบายของไทย ระหว่างปีพุทธศักราช ๒๔๘๓ – ๒๔๙๕ ตอนที่ 4 : การเรียกร้องดินแดนคืน
- การวิเทโศบายของไทย ระหว่างปีพุทธศักราช ๒๔๘๓ – ๒๔๙๕ ตอนที่ 5 : การรักษาความเป็นกลางของประเทศไทย
- การวิเทโศบายของไทย ระหว่างปีพุทธศักราช ๒๔๘๓ – ๒๔๙๕ ตอนที่ 6 : ประเทศไทยเข้าสงครามข้างญี่ปุ่น
- การวิเทโศบายของไทย ระหว่างปีพุทธศักราช ๒๔๘๓ – ๒๔๙๕ ตอนที่ 7 : ผลกระเทือนของการร่วมมือกับญี่ปุ่น
- การวิเทโศบายของไทย ระหว่างปีพุทธศักราช ๒๔๘๓ – ๒๔๙๕ ตอนที่ 8 : สองปีในญี่ปุ่น ภาค 1 การต่างประเทศไทย หลัง ประกาศสงครามกับอังกฤษและสหรัฐฯ
- การวิเทโศบายของไทย ระหว่างปีพุทธศักราช ๒๔๘๓ – ๒๔๙๕ ตอนที่ 8 : สองปีในประเทศญี่ปุ่น ภาค 2 ภารกิจหลังการตั้งกระทรวงกิจการมหาเอเชียบูรพา
- การวิเทโศบายของไทย ระหว่างปีพุทธศักราช ๒๔๘๓ – ๒๔๙๕ ตอนที่ 9 : ขบวนการต่อต้านญี่ปุ่นภายในประเทศไทย
- การวิเทโศบายของไทย ระหว่างปีพุทธศักราช ๒๔๘๓ – ๒๔๙๕ ตอนที่ 10 : เสรีไทยเข้าประเทศไทย
- การวิเทโศบายของไทย ระหว่างปีพุทธศักราช ๒๔๘๓ – ๒๔๙๕ ตอนที่ 11 : ท่าทีของอังกฤษต่อประเทศไทย