ย่ำรุ่งของวันที่ 24 มิถุนายน 2475 ประกาศฉบับหนึ่งได้เปลี่ยนโฉมหน้าการเมืองไทย ประกาศฉบับนั้นคือประกาศคณะราษฎรฉบับที่ 1 ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในประวัติศาสตร์การเมืองไทยสมัยใหม่
เช้าวันนั้นเปลี่ยนแปลงระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ไปสู่ ระบอบราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ แม้เหตุการณ์ในเช้าตรู่วันนั้นจะดำเนินไปอย่างสันติ ปราศจากการนองเลือดหรือความรุนแรง แต่ก็มีแง่มุมทางการเมือง และกระบวนการสถาปนารัฐธรรมนูญที่ต้องต่อสู้ต่อรองเพื่อให้ได้มาซึ่ง “ปฐมรัฐธรรมนูญ” และ “รัฐธรรมนูญฉบับถาวร”
เป็นเวลากว่า 93 ปีแล้ว ที่ประเทศไทยมีเหตุการณ์ เปลี่ยนผ่านจากระบอบเก่า มาสู่ “ระบอบใหม่” แต่ดูเหมือนการคลี่คลายไปสู่ระบอบประชาธิปไตยไทยนั้นไม่ใช่การเดินทางเป็นเส้นตรง และการมีรัฐธรรมนูญเปลี่ยนไปมาอีกหลายฉบับ ก็ไม่ได้เป็นเครื่องยืนยันว่าบ้านเมืองเราเป็นประชาธิปไตย
แต่อย่างไรก็ตาม ชีวิตของความทรงจำเรื่องคณะราษฎรที่ครั้งหนึ่งถูกทำให้เลือนหายไปจากความนึกคิดของราษฎรไทย กลับสว่างวาบมาครั้งหนึ่งจากการต่อสู้ทางการเมืองหลายทศวรรษที่ผ่านมา (ดู การเกิดครั้งที่ 3 ของคณะราษฎร?)
ตัวอย่างที่ชัดเจนคือการตั้งชื่อขบวนการเคลื่อนไหวทางการเมืองว่า “ม็อบราษฎร” หรือการเรียกร้องรัฐธรรมนูญ, ปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ เพื่อจำกัดอำนาจสะท้อนถึงเจตนารมณ์ดั้งเดิมที่คณะราษฎรเรียกร้อง ประวัติศาสตร์ 2475 จึงเป็นเรื่องต่อเนื่องมากกว่าเรื่องที่ “จบไปแล้ว”
ประวัติศาสตร์ 2475 จึงช่วยทำให้การเมืองไทยมีชีวิตชีวาอีกครั้ง ทั้งยังเป็นแรงบันดาลใจต่อคนรุ่นหลังในการเรียกร้องการปกครองที่ "อำนาจสูงสุดของประเทศนั้นเป็นของราษฎรทั้งหลาย" จึงชวนสนทนากับ ผศ.ดร.ศรัญญู เทพสงเคราะห์ กรรมการสถาบันปรีดี พนมยงค์ อาจารย์ผู้เชี่ยวชาญประวัติศาสตร์คณะราษฎร ร่วมกับผู้สัมภาษณ์ รศ.ดร.วรรณภา ติระสังขะ ผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายมหาชนและรัฐธรรมนูญ เพื่อพยายามเข้าใจการอภิวัฒน์ 2475 และปฐมบทอำนาจสถาปนารัฐธรรมนูญ ตลอดจนพลวัตของการร่างรัฐธรรมนูญ ที่ยังเป็นมรดกสู่ความคิดคิดคนรุ่นหลัง แม้จะถูกลบเลือนไปตามความปรารถนาคนผู้คุมความรู้

ผศ.ดร.ศรัญญู เทพสงเคราะห์ และ รศ.ดร.วรรณภา ติระสังขะ ณ คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
-ปฐมบทแห่งการอภิวัฒน์-
อยากจะชวนให้อาจารย์ฉายภาพให้พวกเราเห็นถึง สาเหตุของการเปลี่ยนแปลงการปกครองช่วง 2475 ว่าที่มาของเหตุการณ์ หรือว่าสาเหตุเกิดจากบริบทการเมือง เศรษฐกิจ ในช่วงนั้นเป็นอย่างไร

ก็ถ้าเกิดเรามาดูที่มาที่ไปของการเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 อาจจะต้องย้อนกลับไปตั้งแต่ช่วงการเกิดขึ้นมาของรัฐสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ก็คือตั้งแต่สมัยในหลวงรัชกาลที่ 5 เมื่อมีการเกิดรัฐสมบูรณาญาสิทธิราชย์ที่อำนาจสูงสุดทางการเมือง มาเป็นของพระมหากษัตริย์ แล้วก็เกิดความคิดเรื่องรัฐ (state) ที่วางอยู่บนดินแดน แล้วก็อำนาจสูงสุดมีรัฐบาลอยู่ที่กรุงเทพฯ ชัดเจน ในขณะเดียวกันการพัฒนาทางการเมืองต่าง ๆ ภายใต้สมบูรณาญาสิทธิราชย์ ก็คือจะสัมพันธ์กับเรื่องของการสร้างระบบราชการสมัยใหม่ ซึ่งในส่วนนี้ก็ต้องมีการส่งเสริมการศึกษาสมัยใหม่ให้กับประชาชน หรือราษฎร ที่อยู่ภายใต้การปกครอง ซึ่งในส่วนนี้ก็ทำให้เราเริ่มรับเอาความรู้วิทยาการแบบใหม่เข้ามา รวมไปถึงแนวคิดเกี่ยวกับเรื่องอักษรศาสตร์ วิทยาศาสตร์ รวมไปถึงแนวคิดทางด้านการเมืองการปกครอง ที่เราก็เรียนรู้มาจากพวกประวัติศาสตร์อีกทีหนึ่ง ซึ่งในส่วนนี้
นอกเหนือจากการผลิตคนเข้าสู่ระบบราชการแล้ว เพื่อมาเป็นคนรุ่นใหม่ในการขับเคลื่อนองคาพยพของรัฐสมัยใหม่ ตั้งแต่รัชสมัย ร.5 เราก็จะพบว่าจะมีคนอีกกลุ่มหนึ่ง ที่รับการศึกษาสมัยใหม่และก็มีการตั้งคำถามกับระบอบที่เขาดำรงอยู่ ซึ่งในส่วนนี้ บางคนก็คือเข้าไปอยู่ในระบบราชการเอง บางคนก็คือทำงานนอกระบบราชการ ไปประกอบอาชีพอิสระ ซึ่งในส่วนนี้ เราก็จะพบว่า คนกลุ่มนี้เป็นตัวกระตุ้นที่ทำให้มีการตั้งคำถาม แล้วก็มีความรู้สึกว่า ภายใต้ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ไม่สามารถตอบสนองต่อความต้องการของพวกเขาได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การเข้าไปมีส่วนร่วมในการเปลี่ยนแปลง
ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจน ภายใต้ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ เราจะเห็นถึงการพัฒนาการของระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ที่มีการต่อต้านอยู่ข้างใน ซึ่งเราก็จะเห็นตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 เมื่อเกิดรัฐสมบูรณาญาสิทธิราชย์ก็มาพร้อมกับการต่อต้านจาก บรรดาเจ้าท้องถิ่น ไม่ว่าจะออกมาในรูปของการกบฏต่าง ๆ ขณะเดียวกันก็ การเคลื่อนไหวของบรรดากลุ่มคนจีนที่ต่อต้านการเก็บระบบภาษีแบบใหม่ รวมไปถึงในช่วงสมัยรัชกาลที่ 6 ก็คือจะเห็นการต่อต้านอำนาจรัฐ โดยเฉพาะอย่างยิ่งความพยายามในการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ก็คือ คณะ ร.ศ. 130 ที่พวกเขาเห็นปรากฏการณ์การปฏิวัติ ในประเทศจีน ประเทศตุรกี พวกนี่ แล้วเป็นแรงบรรดาลใจในการปฏิวัติ แต่สุดท้ายแล้ว เขาถูกกวาดจับกันก่อน และนำไปสู่การที่รัฐจะต้องมีการเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การชูอุดมการณ์เกี่ยวกับเรื่องชาตินิยมแบบทางการของรัฐ ก็คือ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ เพื่อที่จะมาชะลอกระแสการปฏิวัติ ขณะเดียวกันในช่วงสมัยรัชกาลที่ 7
เราก็จะพบว่า บริบททางการเมืองเริ่มเปลี่ยนอย่างชัดเจน เนื่องมาจากว่า ในด้านหนึ่งก็คือ เกิดปัญหาทางการเมืองระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ เริ่มที่จะเห็นแล้วว่า เป็นระบอบที่ไม่สามารถโอบรับคนจำนวนหนึ่งที่เขาต้องการเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เราจะพบว่า ระบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ เป็นระบอบทางการเมือง ที่ให้อภิสิทธิ์กับคนบางกลุ่ม ที่วางอยู่บนหลักพื้นฐานก็คือชาติกำเนิด ถ้าเกิดคุณเป็นเจ้านาย หรือข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ เป็นขนนางชั้นผู้ใหญ่ ก็จะอยู่ในฝ่ายบริหาร สามารถเข้าไปตำแหน่งสูง ๆ ได้ ในขณะที่บรรดาคนที่มีฐานะสามัญชน ก็จะอยู่ในข้าราชการระดับกลางกับระดับล่าง
ปัญหาอีกอันหนึ่งที่เราจะเห็นชัดเจนเลยก็คือ เรื่องของภาระทางภาษี ภาระทางภาษีส่วนใหญ่ก็คือ ตกอยู่กับกลุ่มคนธรรมดาสามัญชน ในขณะที่เจ้านาย หรือข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ ไม่ต้องเสียภาษี และก็มีการใช้ระบบกระบวนการยุติธรรม กระบวนการทางกฎหมาย ที่ให้ความสำพันธ์กับเรื่องของช่วงชั้น ชาติกำเนิด ซึ่งในส่วนนี้ก็นำไปสู่ความไม่พอใจระบอบ แล้วก็พยายามที่จะเรียกร้องให้มีการเปลี่ยนแปลงการปกครอง โดยได้รับแรงบรรดาลใจการปฏิวัติจากพื้นที่อื่นของโลก
ส่วนหนึ่งเราก็จะพบว่าอีกอันหนึ่งที่น่าสนใจเลยก็คือ เรื่องของสื่อที่มา พูดง่าย ๆ คือ คนในสังคมไทยรับรู้ราวพวกนั้น ผ่านสื่อสิ่งพิมพ์ โดยเฉพาะหนังสือพิมพ์ที่ขยายใหญ่โตมาก ในช่วงตั้งแต่รัชกาลที่ 6 แล้วก็มีการลงข่าวต่างประเทศ ลงข่าววิพากษ์วิจารณ์ระบอบเก่าลงข่าวการใช้เงินฟุ่มเฟือยในราชสำนักต่าง ๆ ซึ่งในส่วนนี้ก็เหมือนกับเป็นการปลุกกระแสการปฏิวัติในสังคมไทย
การปฏิวัติโดยคณะราษฎรเป็นเรื่องบริบท และอารมณ์แห่งยุคสมัย ?
ถ้าเรามาดู เราก็จะพบว่า เอาจริง ๆ แล้ว ถึงแม้ว่าไม่มีคณะราษฎร แต่เราจะพบว่ามีการเคลื่อนไหวทางการเมืองภายในอยู่ อย่างเห็นได้ชัดเจน และค่อนข่างจะตื่นตัวมาก ๆ ซึ่งถ้าเกิดเรามาดูคณะราษฎรเริ่มมาจากนักเรียนนอกทั้งหมด 7 คน ที่อยู่ที่ฝรั่งเศส ประมาณเดือนกุมภาพันธ์ปี 2469 หลังจากนั้นกลับเข้ามาแล้วก็มาจัดตั้ง มาเคลื่อนไหว หาสมัครพรรคพวกมาเป็นสมาชิกคณะราษฎร ขณะเดียวกัน เราจะพบว่า คนที่เป็นคณะราษฎรส่วนใหญ่ เป็นพื้นเพมาจากข้าราชการในประเทศ แล้วก็ไม่ได้รับการศึกษาจากเมืองนอก ซึ่งคนกลุ่มนี้ อาจารย์ปรีดี พนมยงค์ เคยพูดไว้ว่า เป็นคนที่ไม่เคยเห็นประชาธิปไตยจากต่างประเทศ และก็ไม่เคยมีประสบการณ์อยู่เมืองนอก แต่พวกเขาพร้อมที่จะเข้าร่วมการปฏิวัติ
เราจะพบว่าบรรยากาศทางการเมืองต่าง ๆ เอื้อให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ขณะเดียวกัน ปัญหาที่สำคัญที่คนในยุคสมัยรัชกาลที่ 7 ต้องเผชิญก็คือ ปัญหาเศรษฐกิจตกต่ำ ซึ่งสืบเนื่องมาจาก great depression (ปัญหาเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่) ซึ่งสุดท้ายกระทบต่อคนจำนวนมากในสังคม ไม่ว่าจะเป็นชาวนา ชาวไร่ แต่ปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจส่งผลต่อพวกเขาอย่างชัดเจน คือราคาข้าวซึ่งตกต่ำ จนไม่สามารถที่จะขายข้าวแล้วไปจ่ายภาษีค้านาให้รัฐได้ แล้วต้องโดนถูกยึดที่นา และก็ถูกบังคับใช้แรงงานแทนการจ่ายภาษี

เศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่
ในขณะที่บรรดากลุ่มข้าราชการก็ถูกปลดที่เรียกว่า ดุลยภาพข้าราชการ ซึ่งการดุลยภาพข้าราชการ สุดท้ายนำไปสู่การที่ชนชั้นนำถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่า เป็นการกระทำที่ไม่เสมอหน้ากันระหว่างข้าราชการระดับกลาง ระดับล่าง กับข้าราชการระดับสูง เพราะว่าสุดท้ายแล้ว คนที่ถูกปลดส่วนใหญ่ก็จะเป็นข้าราชการระดับกลางกับระดับล่าง ที่มีฐานเงินเดือนต่ำ ในขณะที่ข้าราชการระดับสูงมีภูมิหลังเป็นเจ้านายไม่ถูกปลด ซึ่งก็นำไปสู่การวิพากษ์วิจารณ์ในหนังสือพิมพ์ต่าง ๆ เยอะมาก ซึ่งบรรยากาศพวกนี้ ถามว่ารัฐบาลภายใต้ระบอบเก่า ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มีการปรับตัวไหม ก็มีการพยายามปรับตัว อย่างน้อยรัชกาลที่ 7 เราก็เห็นว่าท่านมา พระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ในด้านหนึ่งก็มีการปรับตัว ด้วยการตั้งสภาขึ้นมา ที่จะมาให้เป็นที่ปรึกษากับพระมหากษัตริย์ อย่างเช่น อภิรัฐมนตรีสภาตั้งแต่ปีที่ท่านขึ้นครองราช ปี 2468 แต่สุดท้ายแล้ว อภิรัฐมนตรีสภาก็คือ เป็นสภาเจ้านายชั้นผู้ใหญ่ที่มีหน้าที่ให้คำปรึกษา ในขณะที่มีการตั้งองค์มนตรีสภา ซึ่งสุดท้าย เราจะพบว่า สภาแบบนี้เป็นสภาที่มีบทบาทในการช่วยร่างกฎหมาย แต่ปัญหาที่สำคัญเลยคือ ไม่ได้เปิดให้ประชาชนคนธรรมดาได้เข้าไปอยู่ในสภาแบบนี้ และก็การขับเคลื่อน หรือกระบวนการร่างกฎหมาย ก็จำกัดเฉพาะกลุ่ม Elite (ชนชั้นนำ)
แล้วรัฐธรรมนูญฉบับที่รัชกาลที่ 7 จะพระราชทาน ?

พระยากัลยาณไมตรี หรือ ฟรานซิส บี. แซร์ (Francis Bowes Sayre)
อีกประเด็นหนึ่งที่เราอาจจะพูดถึงคุ้นเคยกันก็คือเรื่องของรัชกาลที่ 7 มีความพยายามจะพระราชทานรัฐธรรมนูญซึ่งประเด็นอันนี้ก็จะมีข้อถกเถียงกันในทางประวัติศาสตร์พอสมควรเลยก็คือรัฐธรรมนูญของรัชกาลที่ 7 เป็นอย่างไร คณะราษฎรรู้หรือเปล่า ซึ่งตามหลักฐาน เราก็จะพบว่าในด้านหนึ่งเป็นการพูดถึงในวงบรรดาชนชั้นนำเริ่มจากตั้งแต่สมัยต้นรัชกาลที่ 7 ที่มีคำถามไปถึง ฟรานซิส บี. แซร์พูดถึงเกี่ยวกับเรื่องของเอกสารชิ้นสำคัญก็คือ Problem of Siam ที่เราคุ้นเคย เอาจริงแล้วคือ ก็เป็นการโต้ตอบกันระหว่าง ฟรานซิส บี. แซร์ ว่าประเทศสยามควรจะมีการปกครองรูปแบบไหน แล้วก็มีปัญหาที่น่าสนใจบ้าง ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะมีการพูดถึงปัญหาเรื่องราชอำนาจ เรื่องของการสืบสันตติวงศ์ การตั้งรัฐบาลและก็สภา สุดท้ายข้อถกเถียงมาจบกันที่ สุดท้ายแล้วรัชกาลที่ 7 ก็มองว่า ประเทศสยามในช่วงนั้นยังไม่พร้อมกับการมีผู้แทน กับระบอบประชาธิปไตยต่าง ๆ ซึ่งในส่วนนี้ ถ้าเรามาดูอีกข้อเสนอหนึ่งก็คือ มีความพยายามจะพระราชทานรัฐธรรมนูญ ในปี 2475 เดือนเมษายน

นายเรมอนต์ บี สตีเวน
สุดท้ายแผนการนี้ก็ถูกพับเก็บไว้ ซึ่งรัฐธรรมนูญฉบับนั้น ร่างโดยเรมอนต์ บี สตีเวนส์ กับพระยาศรีวิสารวาจา ซึ่งรัฐธรรมนูญฉบับนี้ ถ้าเราไปดูเนื้อหา เราก็จะพบว่า เป็นรัฐธรรมนูญที่ไม่ค่อยเป็นประชาธิปไตยเท่าไหร่ เพราะว่าอย่างบทบัญญัติแรกก็พูดถึงอำนาจสูงสุดทางการเมืองเป็นของพระมหากษัตริย์อยู่ ก็ไม่ใช่รัฐธรรมนูญประชาธิปไตยที่เราคุ้นเคยกัน ขณะเดียวกัน ก็จะมีการ พูดง่าย ๆ ก็คือ รัฐธรรมนูญฉบับนั้นเป็นรัฐธรรมนูญแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ที่มีการตั้งองค์กร สถาบันทางการเมืองใหม่ขึ้นมา มีอภิรัฐมนตรีอยู่ที่ในฐานะที่เป็นที่ปรึกษาของพระมหากษัตริย์ มีองค์กรทางการเมืองก็คือเป็นคณะรัฐมนตรี (Cabinet) กลุ่มนี้ก็เหมือนกับเป็นฝ่ายบริหาร แต่อย่างไรก็ตาม คนที่แต่งตั้งรัฐมนตรีทั้งหลาย คือเป็นพระมหากษัตริย์อยู่ และก็มีรัฐมนตรีกลุ่มนี้ทำหน้าที่บริหารแทนที่พระมหากษัตริย์ ขณะเดียวกัน องค์กรนิติบัญญัติก็คือในการร่างกฎหมายก็คือมีสภาแต่สภานี้ก็ยังมีการจำกัดสิทธิในการเลือกตั้ง ไม่ใช่ทุกคนสามารถมีสิทธิ์ในการเลือกตั้งได้ คนที่สามารถเลือกตั้งได้ คือ คนที่จ่ายภาษีให้กับรัฐ และก็คนที่มีการศึกษา สามารถอ่านออกเขียนได้ ซึ่งในส่วนนี้ก็คือการจำกัดสิทธิพอสมควร ซึ่งก็ยังไม่เป็นประชาธิปไตยแบบที่เราเข้าใจกัน
ในขณะเดียวกัน รัชกาลที่ 7 ก็มีความพยายามปรับตัว อย่างเช่น พยายามที่จะร่าง พระราชบัญญัติเทศบาลขึ้นมา โดยมอบหมายให้หม่อมเจ้าสกลวรรณากร วรวรรณ ซึ่งเป็นอธิบดีกรมสาธารณสุขช่วงเวลาดังกล่าว ร่างกฎหมายเทศบาลขึ้นมา แต่เทศบาลในช่วงสมัยรัชกาลที่ 7 ค่อนข้างที่จะแตกต่างจากเทศบาลช่วงหลัง 2475 เพราะว่าเทศบาลในสมัยรัชกาลที่ 7 ก็คือ เน้นการที่ให้ประชาชนบำรุงท้องถิ่นในขณะที่ไม่ให้อำนาจการปกครองและก็จำกัดสิทธิในการที่ให้ประชาชนทั่วไปเข้าไปเป็นผู้แทน อย่างเช่น การจำกัดสิทธิว่า คนที่มีสิทธิในการเลือกผู้แทน ที่อยู่ในท้องถิ่นของพวกเขา จะต้องเป็นคนที่อ่านออกเขียนได้ ใช้ภาษาไทยได้ เสียภาษีให้กับรัฐเช่นในส่วนนี้ก็เหมือนกับจำกัดสิทธิ์ อย่างเช่น คนจีนที่อยู่ในเทศบาล และก็คนที่ไม่สามารถอ่านออกเขียนได้ไม่มีสิทธิ์
การให้สิทธิ์ในช่วงหลัง 2475 ที่เปิดกว้างมาก อันเป็นตัวอย่าง อย่างหนึ่งของการปรับตัว ในช่วงสมัยรัชกาลที่ 7 ซึ่งเราก็จะเห็นว่า รัฐสมบูรณาญาสิทธิราชย์ พยายามที่จะมีการปรับตัว แต่การปรับตัวในที่นี่ ผมมองว่าอาจจะช้าเกินไป และมีการจำกัดหลายอย่าง ภายใต้เงื่อนไขรัฐสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ที่ไม่เปิดโอกาสให้ราษฎรได้เข้าไปมีส่วนร่วมทางการเมือง

มาถึงตรงนี้อาจารย์วรรณภาได้ขมวดปมว่า ในความเป็นจริง การปฏิวัติ พ.ศ. 2475 หรือที่เรียกกันว่า “การอภิวัฒน์สยาม” มิได้เกิดขึ้นจากปัจจัยภายในประเทศเพียงลำพัง หากแต่ยังได้รับอิทธิพลจากปัจจัยภายนอก ตลอดจนระบบการศึกษาที่มีบทบาทสำคัญในการผลักดันให้เกิดการตั้งคำถามต่อโครงสร้างทางสังคมและการเมือง คำกล่าวของอาจารย์จึงมีนัยสำคัญอย่างยิ่ง เพราะการตั้งคำถามเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลง—โดยเฉพาะเมื่อประชาชนเริ่มใคร่ครวญถึงคุณภาพชีวิตที่พึงประสงค์ ทั้งต่อตนเองและเพื่อนร่วมสังคม
นอกจากนี้ อีกประเด็นหนึ่งที่อาจารย์ได้หยิบยกขึ้นมาก็น่าพิจารณาเช่นกัน นั่นคือ การมีรัฐธรรมนูญไม่ได้หมายความว่าเป็นประชาธิปไตยโดยตัวมันเอง กล่าวคือ แม้จะมีแนวคิดเรื่องการพระราชทานรัฐธรรมนูญ หรือมีบทบัญญัติกฎหมายเกี่ยวกับการจัดการตนเองในระดับท้องถิ่น เช่น เทศบาล แต่หากรัฐธรรมนูญเหล่านั้นขาดเนื้อหาที่ส่งเสริมหลักสิทธิเสรีภาพและความเสมอภาคอย่างแท้จริง ก็ยากที่จะถือได้ว่าเป็นประชาธิปไตยในความหมายสารัตถะ
-สถาปนาปฐมรัฐธรรมนูญ-
หลังจากการอภิวัฒน์สยาม 2475 คณะราษฎร รวมถึงอาจารย์ปรีดี ได้ทำรัฐธรรมนูญฉบับแรก ปฐมรัฐธรรมนูญ และรวมถึงหลัก 6 ประการ จริง ๆ แล้ว เป็นการวางพื้นฐานประชาธิปไตย ได้อย่างมั่นคงถาวรมาก อยากถามอาจารย์ว่า เรื่องราวอย่างนี้อย่างไร คุณค่าเป็นอย่างไร

ถ้าเรามาดูคณะราษฎร คือ เปลี่ยนแปลงการปกครองในเช้าวันที่ 24 มิถุนายน 2475 ขณะเดียวกัน คณะราษฎรเขามีเอกสารสำคัญก็คือ ประกาศคณะราษฎร ซึ่งเอกสารฉบับนี้ เป็นกระสารที่แตกต่างกับเอกสารยึดอำนาจฉบับอื่น ที่เราเห็นทั่ว ๆ ไป ซึ่งโดยปกติเวลาที่เราพูดถึงเอกสารในการยึดอำนาจ เราก็จะเห็นการอธิบายเหตุผลในการยึดอำนาจต่าง ๆ แต่เอกสารประกาศคณะราษฎร ถือว่าเป็นเอกสารชิ้นสำคัญที่สุดในทางประวัติศาสตร์ เพราะว่าเป็นการเปลี่ยนระบอบ จากระบอบหนึ่งไปสู่อีกระบอบหนึ่ง เพราะฉะนั้น การโจมตีระบอบเก่า ค่อนข้างจะรุนแรงหมายความว่าใช้คำพูดรุนแรงมาก แล้วก็มีการวิพากษ์วิจารณ์

ประกาศคณะราษฎร ที่ระบุหลัก 6 ประการ
เราไปดูลงรายละเอียด เราจะพบว่า คำศัพท์เป็นคำศัพท์ในช่วงยุคสมัยนั้นในสื่อสิ่งพิมพ์ โดยเฉพาะในหนังสือพิมพ์ ขณะเดียวกัน เราก็จะเห็นในช่วงท้าย ๆ เอกสารประกาศคณะราษฎร แล้วจะพบหลัก 6 ประการ ที่อยู่ตอนท้าย ซึ่งเหมือนกับเป็นคำมั่นสัญญาว่า รัฐบาลระบอบใหม่ คณะราษฎรจะทำให้กับราษฎรอย่างไรบ้าง ซึ่งในส่วนนี้ เอาจริง ผมนึกไม่ออกเหมือนกัน ภายใต้ระบอบเก่าเขามีพันธสัญญาแบบนี้หรือเปล่า เพราะว่าในด้านหนึ่ง ภายใต้ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ เอาจริงก็คือ เป็นการดูแลทุกข์สุขประชาชน แต่ถามว่า ผู้ปกครองต้องมีสัญญาประชาคมไหม อีกเรื่องหนึ่ง แต่ในขณะที่ระบอบใหม่ก็คือ คณะราษฎรเขาให้คำมั่นสัญญาเลยว่า เขาจะทำ หนึ่ง สอง สาม สี่ ห้า หก ซึ่งในส่วนนี้ เราก็จะเห็นชัดเจนก็คือ มีเรื่องของหลักเอกราช ความปลอดภัย เศรษฐกิจ เสมอภาค เสรีภาพ การศึกษาซึ่งเรื่องพวกนี้ ต่อมาก็กลายเป็นแนวนโยบายแห่งรัฐ ในช่วงของรัฐบาลคณะราษฎร ตั้งแต่ 2475 จนถึงประมาณ 2490 ซึ่งในส่วนนี้รัฐบาลทุกชุดก็จะเอาแนวนโยบายแบบนี้เอาไปใช้
ประเด็นที่น่าสนใจเลยก็คือ หลังจากนั้น เมื่อมีการยึดอำนาจสำเร็จรัชกาลที่ 7 ก็คือ ยอมที่จะมาเป็นกษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ ภายใต้ระบอบใหม่ ซึ่งเราก็จะเห็นการประนีประนอมพอสมควรเลย ถึงแม้ว่า ประกาศจะมีความรุนแรง แต่ท่าทีของคณะราษฎร ก็จะมีการเปิดทางว่า ฉันไม่ต้องการเปลี่ยนระบอบไปเป็นรีพับบลิก (Republic) อย่างน้อยก็คือ ยังเอาระบอบกษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญอยู่ ซึ่งในส่วนนี้ สุดท้ายแล้วเมื่อรัชกาลที่ 7 ยอมที่จะเป็นกษัตริย์ภายใต้ระบอบใหม่ ภายใต้รัฐธรรมนูญ ก็นำไปสู่การที่จะมาพูดถึงการจัดสรรอำนาจ ซึ่งการจัดสรรอำนาจภายใต้ระบอบใหม่ก็คือ จะเอารัฐธรรมนูญมาเป็นหลักในการปกครอง ซึ่งเราก็จะเห็นชัดเจนเลยก็คือ รัฐธรรมนูญฉบับแรกของเมืองไทย ก็คือพระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว
ซึ่งคำว่า ชั่วคราว ก็คือถูกเขียนในภายหลังตอนที่ทูลเกล้าให้รัชกาลที่ 7 ซึ่งรัฐธรรมนูญฉบับนี้ ความน่าสนใจก็คือ ในด้านหนึ่งเหมือนกับเป็นความพยายามในการเปลี่ยนผ่าน ระบอบการเมือง จากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาสู่ระบอบกษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ ซึ่งในส่วนนี้ ก็จะมีรายละเอียดที่น่าสนใจอย่างเช่น การให้อำนาจกับราษฎรสูงมาก นับตั้งแต่ มาตราแรก บทบัญญัติแรกของรัฐธรรมนูญ อำนาจสูงสุดเป็นของราษฎร ซึ่งในส่วนนี้ถือเป็นมาตราหนึ่ง ถ้าเกิดเราไปดูรัฐธรรมนูญฉบับอื่น ๆ ก็อยู่ในมาตราสอง และก็มีการเปลี่ยนไม่ใช่เป็นของ เป็นมาจาก

พระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว พุทธศักราช 2475
ในส่วนนี้ เราก้จะเห็นประเด็นอันนี้ ที่น่าสนใจขณะเดียวกัน การวางรากฐานที่ให้ความสำคัญ ให้น้ำหนักกับราษฎร ยังสะท้อนได้จากการปรากฏสถาบันทางการเมืองแบบใหม่ที่ภายใต้รัฐธรรมนูญฉบับ 27 มิถุนายน ก็คือการที่ผู้ที่มาใช้อำนาจแทนราษฎร ก็จะมีสี่สถาบันก็คือ กษัตริย์ มีสภาผู้แทนราษฎร คณะกรรมการราษฎร และศาล พร้อม ๆ กันนั้น ก็คือการใช้ภาษา โทนของภาษาเป็นภาษาที่ชัดเจน แล้วก็เหมือนกับเป็นการประกาศให้รู้ว่า ตอนนี้ราษฎรเป็นเจ้าของอำนาจ ซึ่งรายละเอียดหลายอย่าง ความน่าสนใจก็คืออย่างเช่น ถึงแม้ว่าจะมีการตั้งสถาบันทางการเมืองที่มารองรับ การใช้อำนาจแทนราษฎร แต่สุดท้ายแล้ว ภายใต้รัฐธรรมนูญฉบับ วันที่ 27 มิถุนายน กลับให้อำนาจกับสภาผู้แทนราษฎรมากกว่าสถาบันทางการเมืองอื่น ๆ ก็ถ้าเรามาดูในช่วงระหว่างที่มีกระบวนการการบังคับใช้รัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว 27 มิถุนายน 2475
จนมาถึงการร่างรัฐธรรมนูญฉบับถาวร 10 ธันวาคม 2475 ภายใต้รัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว เราจะพบว่า ในด้านหนึ่งก็จะมีการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญคือ องค์กรที่เกิดขึ้นมาใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสภาผู้แทนราษฎร ตื่นตัวมากในช่วงเวลานั้น ประชุมสัปดาห์ละ 3 วัน ถือว่าเยอะมากเลยนะสัปดาห์ละ 3 วัน แล้วก็ในช่วงเวลานั้น คือ ทางคณะราษฎรและทางสภาฯ เราก็จะพบว่า สภามีการออกกฎหมายต่าง ๆ เยอะมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กฎหมายเพื่อปลดเปื้องภาระของบรรดาราษฎร ที่ต้องเผชิญกับภาระทางภาษี และก็มีการปรับโครงสร้างทางการเมือง ของสถาบันทางการเมืองระบอบเก่าเข้าสู่ระบอบใหม่ ออกกฎหมายหลายฉบับ ซึ่งในส่วนนี้ ก็ถือว่าเป็นความสำเร็จในช่วงระยะเวลาแรกจาก ส.ส. (สมาชิกผู้แทนราษฎร) ที่มาจากการแต่งตั้งของคณะราษฎรในช่วงเวลาแรก ขณะเดียวกัน เราจะพบว่าภายใต้ระบอบรัฐสภา
-24-27 มิถุนา 2475: จากรัฐธรรมนูญชั่วคราว สู่ รัฐธรรมนูญฉบับถาวร-
การเมืองของการต่อสู้รองในการร่างรัฐธรรมนูญ
รัฐธรรมนูญ 2475 จากฉบับชั่วคราวถึงถาวรในช่วงแรก สภาผู้แทนราษฎร เราจะพบว่ามีการตั้งอนุกรรมธิการ หรืออนุกรรมการ เพื่อที่จะมีบทบาทในทางการบริหารงานหลายชุด ซึ่งชุดที่มีความสำคัญมาก เลยก็คือ อนุกรรมการในการร่างรัฐธรรมนูญฉบับถาวร ซึ่งอนุกรรมการชุดนี้ แต่เดิมก็คือเป็นการประนีประนอม ต่อรองอำนาจระหว่างคณะราษฎรกับรัชกาลที่ 7 ในการที่จะต้องมีการร่างรัฐธรรมนูญฉบับถาวร นี่เหมือนกับเป็นการต่อรองอำนาจ เพื่อที่จะเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ระบอบใหม่ให้ราบรื่นและก็เป็นที่ยอมรับกันทุก ๆ ฝ่าย ซึ่งในส่วนนี้ ทางสภาผู้แทนราษฎรและก็คณะราษฎรก็คือมีการเลือก ช่วงแรกก็คือมีสมาชิกทั้งหมด 7 คน และก็ในจำนวนนี้ เราจะพบว่ามีอาจารย์ปรีดี พนมยงค์ เป็นตัวแทนคณะราษฎรเพียงคนเดียว ในขณะที่อีก 6 คน ก็คือเป็นขุนนางในระบอบเก่า ซึ่งในส่วนนี้ก็ทำให้อำนาจการต่อรองน้อยลงไป ขณะเดียวกัน ในช่วงเวลาหลัง พระยามโนปกรณ์นิติธาดา ซึ่งตอนนั้นเป็นประธานคณะกรรมการราษฎรแกก็เสนอว่า ขอให้เพิ่มอีกสองคนได้ไหม ซึ่งสุดท้ายแล้ว ก็คือได้พระยาศรีวิสารวาจา กับพระยาราชวังสัน มาเพิ่ม ซึ่งก็ทำให้เสียงของฝ่ายขุนนางระบอบเก่าเพิ่มมากขึ้น เพราะฉะนั้น หน้าตารัฐธรรมนูญฉบับถาวร จึงค่อนข้างที่จะแตกต่างจากรัฐธรรมนูญฉบับคณะราษฎร ก็คือวันที่ 27 มิถุนายน ค้อนข้างจะชัดเจน ซึ่งในส่วนนี้ ก็มีการต่อรองอำนาจ ทำให้หน้าตารัฐธรรมนูญฉบับถาวรมีความเป็นอังกฤษมาก ส่วนใหญ่เป็นนักเรียนกฎหมายอังกฤษ ซึ่งในส่วนนี้ เราจะเห็นถึงการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ

พระยาศรีวิสารวาจา (เทียนเลี้ยง ฮุนตระกูล)
เราจะพบว่า รัฐธรรมนูญฉบับถาวรมีการเพิ่มพระราชอำนาจให้กับพระมหากษัตริย์เพิ่มมากขึ้น ตัวอย่างเช่น แต่เดิมรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวให้อำนาจทางสภาฯ เยอะมาก อย่างเช่น สภาฯ สามารถที่จะวินิจฉัยคดีอาญาที่มีการยื่นฟ้องพระมหากษัตริย์ได้ แต่รัฐธรรมนูญฉบับถาวรก็คือ ถวายพระเกียรติยศคืน คือไม่สามารถฟ้องร้องต่าง ๆ พระมหากษัตริย์ก็คือเป็นประมุขสูงสุด ซึ่งในส่วนนี้เราก็จะเห็นประเด็นหลายอย่าง ที่น่าสนใจเกี่ยวกับการถวายคืนพระราชอำนาจ แล้วก็ที่สำคัญเลย ในพระราชปรารภ ที่อยู่มีช่วงตอนต้น ๆ ของรัฐธรรมนูญฉบับถาวร เป็นอารัมภบทที่มาที่ไปของรัฐธรรมนูญที่ยาวมาก ๆ ซึ่งเกิดจากพระราชดำริของพระมหากษัตริย์ต่าง ๆ ซึ่งในส่วนนี้ ถ้าเราไปอ่านเอกสารจะพบว่า รัชกาลที่ 7 ทรงให้ความสนพระทัยในเรื่องของพระราชปรารภมาก ๆ และที่สำคัญเลยก็คือ การให้ความสำคัญกับเรื่องรัฐธรรมนูญ เราจะพบว่า มีความพยายามที่จะทำให้รัฐธรรมนูญกลายเป็นสถาบันอีกสถาบันหนึ่ง “ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และรัฐธรรมนูญ” ด้วยการประกอบพิธีกรรมในเชิงวัฒนธรรมด้วย อย่างเช่นพิธีพระราชทานรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นพิธีกรรมแบบใหม่ที่ไม่เกิดขึ้นมาก่อนในส่วนนี้ก็นำไปสู่การตีความกับเรื่องที่มาของรัฐธรรมนูญว่าเกิดมาจากการพระราชทาน หรือว่าเป็นการตกลงระหว่างคณะราษฎรกับรัชกาลที่ 7 ซึ่งในส่วนนี้ก็มีข้อถกเถียงกัน ขึ้นอยู่กับว่ามุมมองเป็นอย่างไร แต่ภายใต้ระบอบใหม่ของยุคคณะราษฎร จะพบว่า รัฐธรรมนูญฉบับถาวรเป็นการใช้อย่างยาวนานที่สุด ตั้งแต่ปี 2475 แล้วก็ยาวไปถึง 2489 ผ่านการเลือกตั้งตั้งแต่ปี 2476 ปี 2480 และ 2481 ว่าเป็นรัฐธรรมนูญค่อนข้างจะใช้อย่างยาวนานพอสมควร ซึ่งน่าจะมีส่วนในการสร้างวัฒนธรรมเกี่ยวกับเรื่องรัฐธรรมนูญ วัฒนธรรมทางการเมืองพอสมควร สำหรับรัฐธรรมนูญฉบับนี้ แต่สุดท้ายแล้วเราก็จะเห็นว่า ก็มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญและมีการร่างรัฐธรรมนูญใหม่ ออกมาเป็นรัฐธรรมนูญฉบับ ปี 2489 ซึ่งมาช่วยอุดช่องโหว่ของรัฐธรรมนูญฉบับ ปี 2475 และก็ขณะเดียวกันก็คือ แต่รัฐธรรมนูญฉบับนี้ก็ใช้แปปเดียว เพราะว่าถูกฉีกในเดือนพฤศจิกายน ปี 2490
แล้วถ้าสมมติในมุมมองของคนรุ่นปัจจุบัน เรามองประวัติศาสตร์อาจารย์อยากแก้รัฐธรรมนูญ โดยหยิบยกแนวคิดที่สำคัญที่อยู่ในปฐมรัฐธรรมนูญมาพูดถึง มาใส่ไว้ในรัฐธรรมนูญที่เราอาจจะได้แก้ไขในอนาคต
อันนี้ เอาจริงคนละบริบท บริบทห่างไกลกันมาก แต่ความคิดบางอย่างน่าสนใจมากอย่างเช่น เรื่องอำนาจของสภาผู้แทนราษฎร และก็การจำกัดอำนาจพระมหากษัตริย์ ที่เหมือนกับเป็นการเปลี่ยนผ่านระบอบ ซึ่งบางอย่างอาจจะต้องพิจารณาภายใต้บริบทปัจจุบัน พร้อมกับการตั้งคำถามว่า ภายใต้บริบทปัจจุบันสอดคล้องกับเงื่อนไขในรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว ปี 2475 หรือเปล่า แต่หลายเรื่องน่าสนใจ อย่างเช่น การให้อำนาจกับสภาฯ ในการวินิจฉัยคดีที่เกี่ยวข้องกับพระมหากษัตริย์ หรือว่า เรื่องของผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ที่ให้สภาฯ มาเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ เมื่อพระมหากษัตริย์ สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ซึ่งจะเห็นการยึดโยงกับผู้แทนประชาชนทั้งหมด ก็คือความคิดเกี่ยวกับตัวแทนประชาชนแข็งแรงมากในอดีต แล้วจริง ๆ ในปัจจุบันเราก็อยากเห็นตัวแทนประชาชนทำหน้าที่อย่างนั้นด้วย ผ่านตัวบทการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่จะเกิดขึ้น ไม่รู้เมื่อไหร่ในอนาคต สิ่งที่น่าสนใจมาก ที่อาจารย์พูดถึงเรื่องหลัก 6 ประการ เป็นเหมือนสัญญาประชาคม จริง ๆ ก็คือเป็นการประกาศ ผูกพันว่าในผู้ปกครองบ้านเมืองต่อไป เราอยากจะทำเพื่อก่อให้เกิดความผาสุขในประเทศต่อไป และรวมถึงมาตราแรกของรัฐธรรมนูญฉบับแรกที่ 27 มิถุนายน 2475
ทีนี้ก็เลยสงสัยต่อ อาจารย์ว่า แล้วทำไมในปัจจุบันนี้ เราไม่ค่อยได้พูดถึงหรือว่า มีการทำบางอย่างที่ทำให้เราเพิกเฉยต่อการความรู้ความเข้าใจหรือว่าหลัก 6 ประการ รวมถึงแม้กระทั่งรัฐธรรมนูญฉบับแรกเองที่มีการวางรากฐานทางสถาบันทางการเมือง รวมถึงรัฐธรรมนูญในประเทศไทยด้วย ทำไมเราไม่ได้ศึกษาประวัติศาสตร์ คนสนใจน้อย โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ ด้วยอาจารย์
ผมว่าส่วนหนึ่งก็คือเป็นผลมาจากการเมืองของความทรงจำการเมืองของประวัติศาสตร์ด้วยที่ คณะราษฎรก็คือ หายไปจากหน้าประวัติศาสตร์ ตั้งแต่หลักการรัฐประหาร ปี 2490 ขณะเดียวกัน ที่เราคุ้นเคยก็คือ ระบอบการเมืองที่เป็นรัฐธรรมนูญที่ให้ความสำคัญกับคณะรัฐมนตรีฝ่ายบริหาร ในขณะที่ถ้าเรามาดูปฐมรัฐธรรมนูญ 27 มิถุนายน 2475 เป็นระบอบการเมืองที่ให้ความสำคัญกับสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งอาจจะเป็นระบอบที่เราไม่ค่อยคุ้นเคย แต่ในขณะที่ตั้งแต่รัฐธรรมนูญ 10 ธันวาคม 2475 เราแทบจะคุ้นเคยกับระบอบที่ดำรงอยู่แบบนั้น ที่ก็ให้อำนาจฝ่ายบริหารมากกว่าสภาผู้แทนราษฎร ขณะเดียวกัน อันนึงที่น่าสนใจเลยก็คือ ในภายใต้บริบททางการเมืองในช่วงยุค 2475 เป็นระบอบการเมืองที่เรียกว่า ระบอบกษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญที่เน้นเกี่ยวกับของการจำกัดอำนาจพระมหากษัตริย์ ซึ่งเป็นช่วงรอยต่อการเปลี่ยนแปลงการปฏิวัติ ในขณะที่ตั้งแต่เราเห็นปัจจุบัน เราก็จะเห็นว่าประชาธิปไตยที่เราดำรงอยู่ในปัจจุบัน ก็จะเป็นระบอบที่อาจจะเป็นอยู่ภายใต้คนละเงื่อนไขกับยุค 2475
สิ่งที่เราเห็นในปัจจุบันบางครั้งบางคราว เราอาจจะรู้สึกคุ้นเคย แต่ถ้าเกิดเราไปดูภายใต้บริบททางการเมืองตั้งแต่หลังการรัฐประหารปี 2557 แล้วมีการเราจะเห็นว่าอย่างเช่นในม็อบ อย่างเช่นในการเคลื่อนไหวของกลุ่มนักศึกษา มีการยกประเด็นเกี่ยวกับเรื่องรัฐธรรมนูญ 2475 กลับมาใหม่ มีการพูดถึงการจำกัดพระราชอำนาจแบบเดียวกับรัฐธรรมนูญ 27 มิถุนายน 2475 ซึ่งหลายอันก็ไม่ได้หายไป แต่ถูกกลับรื้อฟื้นและก็ตั้งคำถามกับสถานการณ์ปัจจุบันที่เราดำรงอยู่จริง ๆ น่าสนใจมากเลยอาจารย์ ก็คือว่าทำให้เราเห็นว่าการเขียนการเปลี่ยนแปลง
แม้ว่าเราวางหลัก หรือตัวบทรัฐธรรมนูญไว้แล้ว แต่การทำให้ตัวบทที่เป็นลายลักษณ์อักษรหรือว่าหลักที่เป็นข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์จางหายไป สามารถทำได้โดยผลของการเมืองด้วยเช่นเดียวกัน หมายความว่า สมมติถ้าเราอยากจะเปลี่ยนอยากจะเห็นประเทศนี้มันดีขึ้นแน่นอนเราไม่ได้ทำแค่เฉพาะตัวบทรัฐธรรมนูญ หรือว่าการวางแบบกฎหมายและอักษรจากอย่างเดียว สำหรับอาจารย์ชวนคุยต่อว่าจะอาศัยเงื่อนไข ที่จะผลักดันแนวคิดเหล่านี้นอกเหนือจากที่เราจะพูดว่าต้องแก้รัฐธรรมนูญ
แนวคิดทางประวัติศาสตร์หรือการวางรากฐานตั้งแต่ 2475 เรื่อยมาที่ทรงคุณค่า มีความสำคัญเราจะผลักดัน และสืบสานต่ออย่างไร เราจะทำให้มันเกิดขึ้นได้จริงอย่างไร แม้ว่าลายลักษณ์อักษรถูกทำให้จางหายไปแล้วก็ตาม ถ้าเกิดเรามาดูย้อนกลับไปรัฐธรรมนูญ 27 มิถุนายน 2475 ถึงแม้ว่ารัฐธรรมนูญฉบับนี้จะมีช่วงเวลาสั้น ๆ ในการบังคับใช้
ความคิดที่สำคัญเลยระบอบรัฐธรรมนูญก็คือ ระบอบการจำกัดอำนาจของพระมหากษัตริย์และก็แบ่งสรรอำนาจแบบใหม่ แล้วก็มีการส่งโดยอำนาจของสถาบันทางการเมืองไม่ว่าจะเป็นสภานิติบัญญัติ แล้วก็มีคณะรัฐมนตรี และก็ศาล ขณะเดียวกัน ภายใต้รัฐธรรมนูญฉบับถาวร ปี 2475 ก็คือมีการจำกัดอำนาจของพระมหากษัตริย์แล้วก็บรรดากลุ่มเจ้านายให้อยู่เหนือการเมือง เราก็จะพบว่ามีการให้ความสำคัญกับหลักเสมอภาค ในบทบัญญัติที่ไม่อยู่ในรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว 27 มิถุนายน 2475 แต่ปรากฏอยู่ในรัฐธรรมนูญ 10 ธันวาคม 2475 ก็คือการรับรองความเสมอภาคภายใต้กฎหมายเดียวกัน ซึ่งอันนี้ก็คืออยู่ในหลัก 6 ประการของราษฎร
ก่อนหน้านี้เราจะพบว่า ปัญหาเรื่องความเสมอภาคความไม่เสมอภาค เป็นปัญหาใหญ่ในสังคมไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การบังคับใช้กฎหมายที่คำนึงชาติกำเนิด หรือคำนึงถึงชนชั้น ถ้าเกิดชนชั้นเจ้านายทำผิดคดีอาญาอาจจะไม่ต้องขึ้นศาลอาญาแต่ไปขึ้นศาลกระทรวงวัง ขณะที่ติดคุกก็ไปอยู่คุกกระทรวงวังอย่างนี้ ซึ่งในส่วนนี้มันไม่ความไม่มีความเสมอหน้ากัน แต่รัฐธรรมนูญของ 2475 มีการรับรองว่าต่อแต่นี้ไป ไม่ว่าคุณจะมีชาติกำเนิด ทุกคนมีความเสมอหน้าภายใต้กฎหมาย ซึ่งก็คือใช้กฎหมายเดียว ซึ่งในส่วนนี้ทำให้คนมันเกิดสำนึกใหม่ พร้อมกับการเกิดวิธีคิดแบบใหม่ในสังคมไทยอย่างน้อย เขาได้รับความเสมอภาค ได้รับการรับรองสิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานของบุคคล แล้วก็สามารถสร้างพลเมืองในระบอบใหม่ขึ้นมาได้ นอกจากนี้ เราก็จะเห็นผู้แทนที่น่าสนใจก็คือ กรณีของ 2475 เราจะพบว่าวิธีคิดเกี่ยวกับเรื่องผู้แทนแตกต่างจากระบอบเก่าอย่างชัดเจน ระบอบเก่าก็คือคำนึงถึงการจำกัดสิทธิ์ว่าต้องเสียภาษี หรือจะต้องมีความรู้ฟังพูดอ่านเขียนภาษาไทยได้ แต่ 2475 ไม่ใช่อย่างนั้น คือการเปิดการเมืองที่ให้ประชาชนทั่วไปสามารถเข้ามามีส่วนร่วมทางการเมืองได้ และที่สำคัญคือมันเปิดโอกาสให้กับคนทุกเพศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเกิดก็คือ ไม่ว่าจะเป็นเพศใดก็ตาม แต่ถ้าเกิดอายุเกิน 20 ปีบริบูรณ์ ก็คือสามารถเข้ามามีส่วนร่วมทางการเมืองสามารถมาเลือกตั้งผู้แทนได้สามารถไปสมัครเป็นผู้แทนได้ และเราก็จะเห็นผู้แทนอายุน้อย ๆ ในสมาชิกประเภท 1 ที่มาจากการเลือกตั้งด้วย
พร้อมกันนั้นเราอาจจะเห็นผู้หญิงเข้าไปเป็นผู้แทนตำบลในการเข้ามาเลือกเลือกตั้งทางอ้อมได้ครั้งแรก ซึ่งก็ถือว่า รัฐค่อนข้างจะก้าวหน้ามาก ๆ ถ้าเกิดเทียบกับประชาธิปไตยในที่อื่น ที่กว่าเขาจะได้รับสิทธิ์ในการโหวตโดยเฉพาะหญิง และก็อีกหลายเรื่องอย่างเช่นเรื่องของการวางลำดับขั้นของประชาธิปไตย อย่างเช่นในช่วง 2475 เอาจริงก็คือ เขามองว่าประชาธิปไตย 2475 ต้องมีลำดับขั้นมีการวางแผนไว้อยู่ อย่างเช่นจะต้องมีผู้แทนประเภทแต่งตั้งอย่างเดียวก่อน จากนั้นก็จะมีผู้แทนสองประเภทถึงแม่ว่ามีสภาเดี่ยว แต่ก็คือมี ส.ส. ประเภทที่หนึ่ง ที่มาจากการเลือกตั้ง แล้วก็ประเภทที่สอง ที่มาจากการแต่งตั้งจากนั้น เมื่อประชาชนมีความรู้ อย่างน้อยก็คือจบระดับชั้นประถมเกินกึ่งหนึ่งของประเทศก็สามารถให้มีการตั้งผู้แทนก็คือสภาประเภทหนึ่งที่มาจากการเลือกตั้งทั้งสภา ซึ่งในส่วนนี้ก็เป็นเงื่อนไขที่คณะราษฎรจะต้องจัดการเรื่องการศึกษาที่จะต้องทำให้ประชาชนมีความรู้พื้นฐาน คือ ระดับประถมศึกษาให้ทันก่อน 10 ปี ซึ่งอันนี้ก็คือมีการวางแผนต่าง ๆ ผลของสิทธิเสรีภาพความเสมอภาคที่เราเป็นอยู่กันทุกวัน คือ ผลจากการวางหลักตั้งแต่การอภิวัฒน์สยาม 2475
ทุกวันนี้ทำไมมีการบิดเบือนมีการเพิกเฉยต่อการศึกษาประวัติศาสตร์ ในฐานะอาจารย์ประวัติศาสตร์ อาจารย์อยากจะเตือนให้พวกเราเห็นถึงคุณค่าในการศึกษาประวัติศาสตร์ โดยเฉพาะประวัติศาสตร์ทางการเมืองไทยหรือว่าการอภิวัฒน์สยาม 2475 รวมถึงปฐมรัฐธรรมนูญฉบับแรกด้วยอย่างไรดี
ถ้าเรามองในแง่ของประวัติศาสตร์ คือ การตั้งคำถาม แล้วก็อธิบายการเปลี่ยนแปลงในอดีต แต่จริง ๆ แล้ว เรื่องที่เราตั้งคำถามก็คือ ไม่ได้ตั้งคำถามที่ปราศจากเงื่อนไขปัจจุบัน เพราะว่าสุดท้ายประวัติศาสตร์ทุกเวอร์ชั่นที่เราเรียนกันอยู่คือประวัติศาสตร์ของคนปัจจุบันที่มองย้อนเข้าไปในอดีต เพราะฉะนั้น ก็คือการตั้งคำถามโดยอยู่บนหลักฐานและข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ ซึ่งในส่วนนี้ก็สามารถถกเถียงกันได้ แล้วสามารถต่อยอดกันได้ ในกรณี 2475 เอาจริงก็เป็นประวัติศาสตร์ที่มันยังมีบทสนทนาที่ยังไม่จบด้วยซ้ำ เพราะว่าเราก็ยังเถียงกันอยู่ เราก็สามารถเห็นได้ทั้งสื่อโซเชียล หรือว่าทางวงวิชาการที่มีการตีความออกมาหลายกระแสมาก ซึ่งในส่วนนี้ก็ถือว่าเป็นในด้านหนึ่งก็เป็นประวัติศาสตร์ที่ยังมีชีวิต และยังมีสีสรรค์อยู่ในยุคปัจจุบัน เมื่อไรก็ตามถ้าเกิดเราเห็นวิกฤตการณ์ทางการเมือง วิกฤตการณ์เกี่ยวกับเรื่องของรัฐธรรมนูญ วิกฤตการณ์เกี่ยวกับเรื่องของสิทธิเสรีภาพ สุดท้ายประวัติศาสตร์อาจจะช่วยในการตอบคำถามต่าง ๆ ได้ว่าที่เราเห็นมาจากมาอยู่ในรัฐบาลมีที่มาที่ไปอย่างไร แล้วมาถึงจุดนี้ได้อย่างไร สืบสาวเรื่องราวได้และก็เป็นที่ถกเถียงต่อไปในอนาคต
การศึกษาประวัติศาสตร์ไม่ได้เพียงแต่ศึกษาในเรื่องในอดีตเท่านั้นแต่ศึกษาบทเรียนจากอดีตเพื่อที่จะมองไปในอนาคตข้างหน้าด้วยเช่นเดียวกัน ในปัจจุบันก็มีการที่ลดทอนคุณค่าของการอภิวัฒน์สยามและรวมถึงรัฐธรรมนูญฉบับแรก 27 มิถุนายน 2475 ลงไป เลยอยากเรียนถามอาจารย์ว่าทำอย่างไร
เราจะทำอย่างไรให้คุณค่าเหล่านี้จริง ๆ เป็นข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ เป็นคุณค่าที่ทำให้เราเป็นเราทุกวันนี้ ทำอย่างไรให้คนนี้หันมาสนใจ แล้วก็คิดว่าการศึกษาเรื่องราวเหล่านี้ไม่ได้เป็นเรื่องผิดแต่อย่างใด แล้วก็สามารถทำให้ก่อให้เกิดประโยชน์ เพราะว่าเรามีวัตถุประสงค์เดียวกันก็คืออยากเห็นประเทศชาติเดินต่อไปข้างหน้าได้ อาจารย์จะช่วยบอกกับคนรุ่นใหม่อย่างไรบ้าง
ประเด็นเรื่องเกี่ยวกับเรื่อง 2475 แล้วก็เรื่องคณะราษฎรแล้ว รวมไปถึงเรื่องรัฐธรรมนูญต่าง ๆ ในช่วงสมัยคณะราษฎรก็ยังเป็นประเด็นที่เป็นข้อถกเถียงกันได้อยู่ แต่เราอาจจะต้องมาดูในข้อเท็จจริงในแง่ของหลักฐานบริบทแวดล้อม แล้วก็การอ่านหลักฐานที่จะต้องให้ความสำคัญกับตัวบทแล้วก็บริบทภายใต้ยุคสมัยดังกล่าว เราอาจจะมาถกเถียงกันได้ ซึ่งในส่วนนี้ก็อยากจะให้ลองไปทบทวน หรือไม่ก็ไปตั้งคำถาม อาจจะตั้งคำถามกับสถานการณ์ปัจจุบันและก็มองย้อนกลับไปก็ได้ ว่าเราผ่านมาถึงจุดนี้ได้อย่างไร หรือไม่ก็อาจจะเห็นปรากฏการณ์ในปัจจุบัน ซึ่งเราก็จะเห็นชัดเจนเลยก็คือ เรื่อง 2475 เรื่องคณะราษฎร อาจจะเหมือนกับเรื่องที่จบไปแล้วแต่อยู่ดีวันดีคืนดีก็อยู่ๆก็มีคนมารื้อฟื้นขึ้นมา ซึ่งอันนี้เราก็อาจจะต้องมาตั้งคำถามว่าปรากฏการณ์นี้ทำไมถึงเกิดขึ้นมา ทำไมอยู่ ๆ คนถึงสนใจกลับไปเรียกร้องคณะราษฎรกลับไปพูดถึงอาจารย์ปรีดีพูดถึงพระยาพหลพลพยุหเสนา ก็สะท้อนบริบททางการเมืองในช่วงเวลาปัจจุบันด้วยซ้ำ
ด้านหนึ่งเราอาจจะสุดท้ายแล้ว ปัญหาต่าง ๆ ที่เราเผชิญอยู่ในปัจจุบันหลาย ๆ เรื่องอาจจะเป็นปัญหาที่ยังเคลียร์ไม่จบ ตั้งแต่สมัยคณะราษฎร แล้วก็คันคาราคาซังเพราะฉะนั้น บางทีอาจจะต้องย้อนกลับไปดูในอดีตว่ามันผ่านประสบการณ์มาอย่างไร ถ้าถามว่า 2475 จบไปแล้วหรือเปล่าส่วนตัวผม ผมมองว่ายังไม่จบอาจจะจบในทางประวัติศาสตร์แต่การเมืองของมันแล้วก็ความรู้ของมันยังไม่ส่ง เพราะสุดท้ายแล้วเราก็ยังเจอ 2475 คณะราษฎรเถียงกันอยู่ในปัจจุบัน
เพราะว่าอย่างน้อย เราจะพบเห็นว่าสุดท้ายคนก็ยังมีการพูดถึง ประวัติศาสตร์ที่จบแล้ว คือประวัติศาสตร์ที่มันตายไปคือการถกเถียงของคนรุ่นปัจจุบัน เพราะว่าเอาจริงประวัติศาสตร์ไม่มีทางจบ ไม่อย่างนั้นผมขายของไม่ได้ผมสอนหนังสือไม่ได้
ครบรอบ 100 ปี อภิวัฒน์สยาม 2475 อีก 7 ปีข้างหน้าจะเป็นอย่างไร
ผมมองว่ามันมีประเด็นหลายอย่าง ตัวอย่างเช่น เวลาเราพูดถึงคณะราษฎร เราพูดถึงคณะผู้ก่อการณ์นักเรียนนอก หรือข้าราชการ แต่ล่าสุดผมไปเจอคณะราษฎรที่เป็นชาวบ้านชาว ชาวบ้านหลาย ๆ คนที่เข้ามามีส่วนร่วมในการเปลี่ยนแปลงการปกครองและก็บทบาทของราษฎรภายใต้ระบอบใหม่ คือการเมือง บางทีเรามองระดับชนชั้นนำ ระดับผู้แทน ระดับในสถาบันทางการเมือง แต่ประเด็นที่ผมว่าสามารถเติมเต็มในการศึกษาประวัติศาสตร์ได้เยอะเลยก็คือในทางวัฒนธรรมภาคประชาชน ราษฎร การสร้างพลเมืองต่าง ๆ มีพื้นที่ในการศึกษาอีกมาก ที่ยังมีช่องว่างในการที่จะไปศึกษาเรื่องนี้ได้