ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก
ชีวิต-ครอบครัว

วาณีเล่าเรื่อง : วันวานในโลกกว้าง : นกน้อยในกรงเหล็ก (ตอนที่ 5)

16
กรกฎาคม
2566
PRIDI Audio : อ่านบทความให้ฟัง

 

 

ใช่ว่าบ่อน้ำตาของปลายตื้นเขินโดยไร้เหตุผลเสมอไป เรื่องใดที่ปลายไม่ได้ทำผิดแล้วถูกแม่ทำโทษ ปลายจะวิ่งไปมุมห้องร้องไห้คราง “ฮือๆ” ด้วยความเสียใจ มีอยู่เหตุการณ์หนึ่งที่ปลายเสียใจมาก ร้องไห้โฮๆ อย่างไม่อายใคร

ใครก็ไม่ทราบเขียนใต้รูปพ่อของปลาย ที่ติดไว้บนผนังหน้าห้องทำงานของครูสายชล กล่าวหาพ่อปลายเป็นฆาตกร เพื่อนๆ เรียกปลายมาดู

“ไม่จริง พ่อปลายไม่ได้ฆ่าใครทั้งนั้น”

ปลายปล่อยเสียงโฮออกมาแล้วพลันปาดน้ำตาทิ้ง ประกาศเสียงดัง

เวลานั้น พวกปรปักษ์ทางการเมืองจงใจใส่ร้ายป้ายสีว่าพ่อของปลาย เป็นผู้บงการลอบปลงพระชนม์พระประมุข ซึ่งในที่สุดอีก 30 ปีต่อมา ศาลสถิตยุติธรรมก็ได้ตัดสินว่าพ่อปลายเป็นผู้บริสุทธิ์[1]

พ่อปลายมีแต่งานแล้วก็งาน จนไม่ค่อยมีเวลามาเล่นหัวกับปลายบ่อยนัก ยามพ่ออยู่กับปลาย พ่อสอนให้ปลายเป็นเด็กดี เป็นคนซื่อ ไม่พูดปด พ่อเป็นแม่พิมพ์ในการทำความดี ร้อยครั้งพันครั้ง ปลายก็จะต้องปกป้องพ่อ พ่อของปลายไม่ใช่ฆาตกรคนนั้นแน่ๆ

ชีวิตของปลายต่างจากเด็กๆ ทั่วไป มรสุมการเมืองที่โหมกระหน่ำพ่อ กระทบมาถึงครอบครัวปลาย ถึงปลายยังเด็กอยู่ หางมรสุมก็โถมใส่อย่างหลีกเลี่ยงไม่พ้น

เมื่อขึ้นชั้นมัธยมปีที่ 1 ปลายเรียนที่โรงเรียนคอนแวนต์ใกล้บ้านสาทร ในชั้นมีเพื่อนๆ ที่เรียนเก่งกว่าปลายหลายคน ปลายไม่เคยคิดแข่งกับใคร

หลังจากพักรับประทานอาหารกลางวัน ชั่วโมงเรียนในช่วงบ่ายก็เริ่มขึ้น ลมเย็นพัดผ่านเข้ามาในห้องเรียน หนังตาถ่วงเกือบปิดสนิท ปลายค่อยๆ แง้มฝาโต๊ะเรียน หยิบบ๊วยเค็มใส่ปาก รสเปรี้ยวๆ เค็มๆ ของลูกบ๊วยช่วยแก้อาการง่วงเหงาหาวนอนได้ชะงัด มีบางวันที่คุณครูจับได้คาหนังคาเขา บางครั้งปลายถูกลงโทษด้วยการกางสองแขน ยืนขาเดียว และปากคาบไม้บรรทัด บางครั้งก็ถูกสั่งให้เดินลากผ้าปาแตงซึ่งเป็นผ้าสักหลาดชนิดหนึ่ง ถูพื้นไม้ที่ลงขี้ผึ้งจนมันวับ

 

 

สองขาสไลด์ลื่นก็สนุกดีออก แต่นี่ใครๆ ก็กลับบ้านกันแล้ว ยังอีกหลายรอบกว่าจะครบตามที่คุณครูสั่ง

“ฉันอยู่เป็นเพื่อนเธอนะ” มีเรียมยืนพิงเสาตรงระเบียงทางเดิน พูดด้วยน้ำเสียงเนิบๆ

แม้ปลายจะไม่ได้ปริปากขอความช่วยเหลือ มีเรียมก็แสดงน้ำใจให้เห็นอยู่เสมอ มีขนมอร่อยๆ ก็แบ่งปันให้ปลายกิน เมื่อปลายล้มป่วย มีเรียมก็จะมาเยี่ยมที่บ้าน

ปลายเป็นเด็กช่างพูดและซน มีเรียมเป็นเด็กสุภาพเรียบร้อยและพูดน้อย ขณะเล่นด้วยกัน มีเรียมจะฟังปลายพูดเสียมากกว่า สองคนมีนิสัยต่างกัน แต่ปลายกับมีเรียมก็เป็นเพื่อนรักกัน

เมื่อโรงเรียนเลิกกลับถึงบ้าน พอวางกระเป๋านักเรียนลง ปลายเตรียมจะวิ่งออกจากห้อง

“ทำการบ้านให้เสร็จก่อนลูก” แม่ปลายเตือน ปลายชอบเล่นตั้งเต ลานซีเมนต์มี “บ้าน” ที่ขีดเขียนด้วยชอล์กขาวเปรอะไปหมด

แม่ของปลายยังคงเทียวไปเทียวมารับส่งลูกไปโรงเรียนอย่างไม่รู้เบื่อหน่าย เย็นวันหนึ่งหลังเลิกเรียน ปลายยืนชะเง้อคอยแม่ข้างประตูใหญ่ของโรงเรียน ปลายเห็นรถออสตินสีเทาแล่นมาแต่ไกล แต่เอ๊ะ วันนี้ต้องมีอะไรเป็นพิเศษแน่ๆ มีตำรวจนั่งคู่มากับคนขับรถด้วย ปลายพนมมือไหว้แม่แล้วรีบขึ้นรถ ยังไม่ทันที่แม่จะอธิบายเหตุการณ์ผิดปกติที่เกิดขึ้น รถยนต์ก็แล่นมาถึงบ้านสาทรแล้ว คราวนี้ไม่ใช่ตำรวจคนเดียว ปลายเห็นตำรวจเต็มบ้าน

เมื่อหลายวันก่อนก็มีตำรวจมาค้นบ้านและจับกุมพี่ชายคนโตของปลาย วันนี้ตำรวจมาทำไมอีกตั้งมากมาย

“ฉันต้องเอาลูกไปด้วย ที่บ้านไม่มีผู้ใหญ่ดูแล” ปลายได้ยินแม่บอกกับตำรวจ

“เขาจะพาคุณแม่ไปไหนคะ” ปลายถามเสียงสั่นเครือ ปกติแล้วปลายกลัวสายตาที่ดุและเข้มงวดของแม่ แต่วันนี้ เมื่อปลายสบตาแม่แล้ว พลันเกิดความรู้สึกที่เข้มแข็ง จะต้องไม่ให้ใครเห็นน้ำตาของความหวาดกลัวและความอ่อนแอ

กองสันติบาล กรมตำรวจ คือ สถานที่ควบคุมตัวแม่ของปลาย ห้องสี่เหลี่ยมไม่กว้างนัก ด้านหนึ่งเป็นหน้าต่างหันไปทางด้านโรงเรียนพลตำรวจ อีกด้านหนึ่งเป็นประตูเข้าออก เชื่อมทางเดินยาว มีตำรวจเฝ้ายามแน่นหนา

ภายในห้องสี่เหลี่ยม วันเวลาค่อยๆ คืบคลานไปอย่างเชื่องช้า ปลายรู้สึกอึดอัด ปลายไม่ได้ไปโรงเรียน ไม่ได้ไปหาเพื่อน ไม่ได้เล่นตั้งเต วันๆ ได้แต่เกาะลูกกรงเหล็กมองหาพี่ชายปลายที่ถูกคุมขังอยู่ที่โรงเรียนตำรวจฝั่งตรงกันข้ามโน้น

ปลายรักแม่ รักพี่ แม่ปลายกับพี่ปลายเป็นคนดี ไม่ได้ขโมยของใคร ไม่ได้ฆ่าใคร ทำไมตำรวจต้องจับแม่กับพี่ด้วย ที่ตำรวจกล่าวหาแม่กับพี่ คำก็ “กบฏ” สองคำก็ “กบฏ” หมายความว่าอย่างไร? สมองน้อยๆ ของปลายจนปัญญาที่จะหาคำตอบได้

ทุกๆ 12 วัน แม่ปลายถูกนำตัวไปฝากขังที่ศาล สตรีวัย 40 ต้นๆ ถูกขนาบซ้ายขวาด้วยตำรวจ อาวุธในมือครบครัน บางคนเอามือสอดไว้ที่โกร่งพร้อมที่จะลั่นไกปืน บางคนแสยะยิ้มเหมือนกับจะประกาศว่า “ข้าคือผู้มีอำนาจล้นฟ้า”

แม่ปลายก้าวเท้าฉับๆ อย่างมั่นคง สายตาพุ่งตรงไปข้างหน้า กลายเป็นภาพประวัติศาสตร์ที่ปรากฏในหน้า 1 ของหนังสือพิมพ์

“ก็แม่ไม่มีความผิดนี่ ความกล้าจึงมีมากกว่าความกลัว!” แม่บอกกับปลาย

“อีกอย่างหนึ่ง แม่กับพ่อเชื่อตลอดมาว่า ‘ธรรมะย่อมคุ้มครองผู้ประพฤติธรรม’ สักวันหนึ่งความจริงย่อมปรากฏ ธรรมะจะคุ้มครองให้พ่อกับแม่คลาดแคล้วภยันตรายใดๆ ปลายคอยดูสิ” แม่พูดอย่างเชื่อมั่น

ปลายกลับมาเป็นเด็กนักเรียนประจำที่โรงเรียนคอนแวนต์อีกครั้ง ปลายไม่ใช่เด็กคิดเล็กคิดน้อย แต่รู้สึกว่าสายตาของครูและเพื่อนนักเรียนบางคนที่มองมายังตนต่างไปจากเดิม ปลายไม่ทราบว่าเด็กๆ เหล่านี้จับกลุ่มซุบซิบอะไร พอปลายเดินเข้าไปใกล้ๆ พวกเขาก็หยุดพูด วันอาทิตย์ปลายไปเยี่ยมแม่ที่กองสันติบาล ปรับทุกข์ให้แม่ฟัง

“แม่บริสุทธิ์ พี่เขาก็บริสุทธิ์ อีกไม่ช้าแม่คงได้กลับบ้าน” แม่ปลอบปลาย

ปลายรอวันรอคืนที่แม่จะกลับบ้าน 84 วันเต็มๆ ที่แม่สูญสิ้นอิสรภาพ ในที่สุดอัยการสั่งไม่ฟ้อง แต่พี่ชายวัย 20 ของปลายถูกศาลตัดสินจำคุกในข้อหา “กบฏสันติภาพ” เป็นเวลานานหลายปี

คงจะมีแต่ที่เมืองไทยกระมัง ผู้เรียกร้องสันติภาพกลายเป็น “กบฏ” ในสายตาของผู้มีอำนาจในแผ่นดิน!

 

ที่มา : ว.ณ. พนมยงค์, “นกน้อยในกรงเหล็ก,” ใน “วันวานในโลกกว้าง,” ใน อนุสรณ์ วาณี พนมยงค์ สายประดิษฐ. (กรุงเทพฯ : แสงดาว, 2562), น. 220-223.

บทความที่เกี่ยวข้อง :


[1] คำพิพากษาศาลแพ่ง หมายเลขแดงที่ ๕๘๑๐/๒๕๒๒ (วันที่ ๑๔ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๒๒) รวบรวมไว้ในหนังสือคำตัดสินใหม่กรณีสวรรคต ร. ๘