ดิฉันชื่อ ไอรีน นิตยวรรธนะ เป็นคนกรุงเทพฯ โดยกำเนิด คุณแม่ของดิฉันเป็นชาวมอญ พระประแดง ส่วนคุณพ่อชื่อวิลเลียม เนลสัน เป็นคนเดนมาร์ก เข้ามาทำงานในเมืองไทยตั้งแต่ปลายรัชกาลที่ 5 จนพูดไทยได้คล่องแคล่วและไหว้พระนับถือศาสนาพุทธเหมือนคนไทยทั่วไป
ดิฉันเรียนเตรียม ม.ธ.ก. จนจบ ม.6 พอจบมาแล้วก็ยังไม่ได้ทำอะไรก็อยู่บ้านไปก่อน วันหนึ่งพี่ชายของดิฉันก็มาชวนไปเล่นหนังเรื่อง “พระเจ้าช้างเผือก” พี่ชายของดิฉันชื่อ สุวัฒน์ นิลรังสี (เชื่อเดิม คือ เอ็ดเวิร์ด เนลสัน) เป็นครูภาษอังกฤษของโรงเรียนเตรียมฯ และเล่นเป็นตัวสมุหนายก ในภาพยนตร์เรื่องพระเจ้าช้างเผือก
ตอนนั้นอาจารย์ปรีดีมีโครงการจะทำหนังเป็นภาษาอังกฤษ ตัวแสดงชายนั้นใช้นักศึกษาอัสสัมชัญแทบทั้งหมดเพราะพูดภาษาอังกฤษได้ดี ส่วนนักแสดงหญิงนั้นก็ยังหากันอยู่ พี่ชายของดิฉันก็เสนอว่าให้ดิฉันเล่นเพราะดิฉันเรียนที่เซนต์แมรี่ ภาษาอังกฤษดีพอสมควร เขาก็เรียกไปเทสต์หน้ากล้องโดยยังไม่ใด้เห็นหน้ากันแต่บางคนก็รู้จักดิฉันแล้วจากการไปเป็นนางงามบุปผชาติให้กรมตำรวจ
ตอนนั้นมีหม่อมหลวงคนหนึ่งมาทดสอบภาษาอังกฤษและตกลงใจว่าดิฉันได้เล่นเป็นนางเอกหนังเรื่องนี้ ในเรื่องนอกจากมีบทพูดภาษาอังกฤษแล้วก็ยังมีฉากที่ต้องรำกับนักศึกษาของกรมศิลปากร ซึ่งต้องไปหัดกับท่านผู้หญิงประภาพรรณ เวลาที่ใช้จริงก็เป็นแค่การซอยเท้ากับพันมือเท่านั้นเอง เพราะเราอาจจะร่ำไม่เก่งเท่านักรำมืออาชีพ ตัวประกอบอื่นๆ ก็ใช้นักศึกษาเตรียมรุ่น 1 แทบทั้งหมด
หนังทั้งเรื่องใช้เวลาถ่ายทำประมาณ 3 เดือน แต่ส่วนที่ดิฉันต้องร่วมแสดงด้วยนั้นใช้เวลาประมาณเดือนครึ่งเท่านั้นและถ่ายอยู่ในโรงถ่ายของศรีกรุงที่เดียวยกเว้นฉากสุดท้ายที่ต้องเข้าไปถ่ายในพระบรมมหาราชวัง
ตอนที่ถ่ายทำหนังกันอยู่นั้นดิฉันเห็นน้ำใจท่านอาจารย์ปรีดีอย่างมาก เวลาจะถ่ายท่านจะมารับที่บ้านแล้วไปโรงถ่ายของศรีกรุงด้วยกัน ถ่ายเสร็จท่านก็มาส่งเองถึงประตูบ้าน ใครจะขอมาส่งแทนท่านก็ไม่ให้เพราะไม่ไว้ใจ สมัยนั้นในกองถ่ายหนังไม่ได้เหมือนกองถ่ายหนังในสมัยนี้ มันไม่มีฝ่ายคอสตูม หรือเมคอัพแต่งหน้า มีแต่รับไปผัดหน้าผัดตาเล็กน้อยเท่านั้น เสื้อผ้าก็หากันมาแต่งให้เข้ากับเรื่องเฉย ไม่ได้มีพิธีรีตรองอะไร คนที่จัดการเรื่องการแต่งหน้าแต่งตัวก็มีอยู่คนเดียว
สำหรับดิฉัน ถ้าวันไหนไม่มีฉากที่ดิฉันต้องถ่ายด้วยท่านปรีดีก็จะไม่ให้ไป เมื่อดิฉันถ่ายฉากสุดท้ายที่พระบรมมหาราชวังเสร็จแล้ว กองถ่ายทั้งหมดยกเว้นดิฉันก็ยกกองไปจังหวัดแพร่เพื่อถ่ายทำฉากสงคราม ที่มีช้าง มีเผาบ้าน เผาเมือง ดิฉันอยากไปกับพวกเขามาก จัดเสื้อผ้าใส่กระเป๋าเรียบร้อยแล้วแต่ท่านอาจารย์ปรีดีก็ไม่ให้ไป เพราะในกองถ่ายมีแต่ผู้ชายทั้งนั้น
สำหรับดิฉันหลังจากเล่นเรื่องพระเจ้าช้างเผือกแล้วก็ไม่ใด้เล่นเรื่องอื่นอีก "ดิฉันเคารพรักท่านอาจารย์ปรีดีมากจนเรียกท่านว่าพ่อ และเรียกท่านผู้หญิงว่าแม่ตลอดชีวิต" ระหว่างการถ่ายทำบางทีท่านก็มารับไปทานข้าวกับครอบครัวท่าน หรือพาไปนั่งดูกองถ่ายทำงานให้เรารู้ระบบการทำงาน ตอนดิฉันแต่งงาน ท่านก็เป็นเจ้าภาพและให้แต่งในตึกโดม ในพิธีก็มีแต่ญาติสนิทและคนรู้จักในกองถ่ายหนังพระเจ้าช้างเผือกทั้งนั้น
ที่มา : วารุณี โอสถารมย์ (บรรณาธิการ). ประวัติศาสตร์บอกเล่า แผนกเตรียมปริญญามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และการเมือง (ต.ม.ธ.ก.) พ.ศ. 2481 - 2490 เล่ม 1 (พ.ศ. 2481 - 2485) จัดพิมพ์เนื่องในวาระครบรอบ 50 ปี สถาบันไทยคดีศึกษา พ.ศ. 2554, (โรงพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กุมภาพันธ์ 2554), น. 169-170
บทความที่เกี่ยวข้อง :