“สถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ นครวิถี ธานีรัถยา” เป็นนามพระราชทานแด่ศูนย์กลางระบบรางของประเทศและเส้นทางรถไฟชานเมืองสายสีแดงโดยสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี (สลค.) มีหนังสือที่ นร 0508/ท 4784 ลงวันที่ 2 กันยายน 2565 เรื่อง ขอพระราชทานชื่อเส้นทางรถไฟโครงการระบบรถไฟชานเมืองสายสีแดงอ่อน (ช่วงบางซื่อ-ตลิ่งชัน)[1]
หลังจากนั้น สถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ฯ ก็ปรากฏขึ้นทางสื่ออย่างกว้างขวางจากกรณีการเปลี่ยนป้ายชื่อ[2] ภายในระยะเวลา 6 เดือนนับจากการขอพระราชทานชื่อสถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ฯ ตั้งแต่เดือนกันยายน พ.ศ. 2565 ถึงเดือนมกราคม พ.ศ. 2566 แม้ว่าจะมีการกล่าวถึงในหลายแง่มุม หากยังขาดในด้านภาษากับการเมืองของคำว่า “อภิวัฒน์” ซึ่ง “นายปรีดี พนมยงค์” รัฐบุรุษอาวุโสเป็นบุคคลแรกที่ใช้คำว่า “อภิวัฒน์” เพื่อเรียกการเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475
บทความนี้จึงขอนำเสนอแง่มุมเล็กๆ คือที่มาของคำว่า “อภิวัฒน์” ทั้งความหมายและภาษากับการเมืองของนายปรีดีเพื่อสะท้อนถึงแนวคิดและบริบททางประวัติศาสตร์ของการบัญญัติศัพท์ที่ภาษาไม่อาจแยกขาดจากความเป็นการเมือง
ภาษากับ (สถานที่) การเมือง
“ภาษา (language) มีความเกี่ยวข้องและสัมพันธ์กับการเมือง (politics) อย่างแนบแน่นต่างขยายความซึ่งกันและกันจนบ่อยครั้งที่ภาษาคือการเมืองและการเมืองคือภาษา”[3] และบริบททางสังคมหรือสิ่้งแวดล้อมก็ส่งผลต่อการพัฒนาภาษาและความหมายของภาษาทางการเมืองหรือศัพท์ทางการเมือง (Political Terms) อย่างไม่อาจแยกขาดจากกันได้เช่นกัน[4] ทั้งนี้การใช้ศัพท์การเมืองของคำสำคัญ เช่น คำว่า ปฏิวัติ ประชาชน หรือ หัวก้าวหน้า ฯลฯ ในบริบทการเมืองไทยสมัยหนึ่งถือเป็น “กระบวนการใช้ศัพท์ทางการเมืองเพื่อเผยแพร่และตอบโต้ทางอุดมการณ์”[5]
นอกจากนี้ การตั้งชื่อถนนและสถานที่ต่างๆ ในแต่ละยุคสมัยก็สะท้อนให้เห็นว่ามีภาษากับการเมืองเข้ามาเกี่ยวเนื่องโดยชื่อถนน ตรอกและซอย ในสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์มักจะตั้งชื่อถนนสายหลักและถนนชั้นในของกรุงเทพมหานครมาจากชื่อของชนชั้นนำ ได้แก่ พระมหากษัตริย์ พระบรมวงศานุวงศ์ หรือข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ ตลอดจนเหตุการณ์สำคัญที่เกี่ยวข้องกับสถาบันพระมหากษัตริย์และศาสนาเป็นหลัก
ต่อมาในช่วง พ.ศ. 2493 ได้มีการตั้งชื่อถนนทางหลวงแผ่นดินตามนามของสามัญชนและข้าราชการที่มีคุณูปการต่อสังคมสยาม เช่น ถนนสุขุมวิท เพื่อเป็นเกียรติแก่ พระพิศาลสุขุมวิท อดีตอธิบดีกรมทาง หรือตั้งชื่อทางหลวงแผ่นดินที่ให้ชื่อว่า ถนนพหลโยธิน เพื่อเป็นอนุสรณ์แก่ พระยาพหลพลพยุหเสนา สมาชิกคณะราษฎรคนสำคัญและอดีตนายกรัฐมนตรี
และเมื่อ พ.ศ. 2542 สำนักงานเขตวัฒนา โดยคณะกรรมการพิจารณาตั้งชื่อถนน ตรอก ซอย และสะพานในพื้นที่เขตวัฒนาได้มีมติให้ตั้งชื่อถนนสุขุมวิท 71 ว่า “ถนนสุขุมวิท 71 (ปรีดี พนมยงค์)” และกรุงเทพมหานครได้อนุมัติให้ใช้ชื่อว่าถนนสุขุมวิท 71 (ปรีดี พนมยงค์) เมื่อ พ.ศ. 2545 เพื่อเป็นเกียรติแก่นายปรีดี พนมยงค์[6] เป็นต้น
อภิวัฒน์ : ความหมายศัพท์ทางการเมืองของปรีดี พนมยงค์
ในงานสังสรรค์ชาวธรรมศาสตร์ในสหราชอาณาจักร พ.ศ. 2518 นายปรีดี พนมยงค์ได้เขียนบทความเพื่อลงพิมพ์ในหนังสือที่ระลึกของชาวธรรมศาสตร์เรื่อง ความเป็นมาของศัพท์ไทย ปฏิวัติ, รัฐประหาร, วิวัฒน์, อภิวัฒน์ ซึ่งสืบเนื่องจากการสนทนา ณ ที่ประชุมสามัคคีสมาคม เมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2518 ในประเทศสก็อตแลนด์ ได้มีท่านหนึ่งสอบถามนายปรีดีว่า เหตุใดจึงถ่ายทอดคำอังกฤษ “เรฟโวลูชัน” (revolution) เป็นศัพท์ไทยว่า “อภิวัฒน์” แทนที่จะใช้คำว่า “ปฏิวัติ”
ในวันนั้นนายปรีดีได้ตอบไปอย่างสังเขปเพราะมีเวลาจำกัดจึงได้รวบรวมปัญหาเรื่องศัพท์มาจัดทำเป็นบทความในหนังสือที่ระลึกของชาวธรรมศาสตร์อีกครั้ง
นายปรีดีเริ่มต้นบทความตั้งแต่การอธิบายความหมายคำว่า ศัพท์ ไว้ว่า
“...คำว่า “ศัพท์” ในภาษาไทยนั้น พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถานให้ความหมายไว้ว่า “เสียง, คำ, คำยากที่ต้องแปล; เรื่อง.””
และนายปรีดีได้ยกตัวอย่างเรื่องก่อนวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 ว่าสยามอยู่ในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ที่สืบต่อกันมาหลายพันปี ซึ่งเมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงระบบสังคมจากสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นระบอบราชาธิปไตยใต้รัฐธรรมนูญประชาธิปไตย (คำของนายปรีดี — ผู้เขียน) นั้น ยังไม่เคยมีศัพท์ไทยที่เรียกการเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ ซึ่งต่างจากชาวยุโรปที่ใช้ศัพท์ว่า “เรฟโวลูชัน” ก่อนสยาม โดยนายปรีดีชี้ให้เห็นว่าในช่วงก่อนวันที่ 24 มิถุนายนมีศัพท์การเมืองที่เกี่ยวกับการเปลี่ยนระบบการบริหารราชการแผ่นดิน โดยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชวิจารณ์การเปลี่ยนแปลงในสมัยรัชกาลที่ 5 ว่าเป็นการพลิกแผ่นดิน (Revolution)[7]
ส่วนนายปรีดีได้เล่าถึงการได้รับมอบหมายให้เขียนแถลงการณ์หรือประกาศคณะราษฎร เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 โดยได้อธิบายว่าในการเปลี่ยนระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นระบบราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญประชาธิปไตยนั้น เดิมในยุโรปเรียกว่า Revolution แต่ในไทยยังไม่มีคณะหรือพรรคใดทำการสำเร็จมาก่อน จึงเห็นว่ายังไม่ควรคิดศัพท์ขึ้นใหม่ที่คนไทยยังไม่เข้าใจจึงควรใช้วลีที่ประกอบด้วยคำไทยสามัญและนายปรีดีขยายความว่า
“...จึงสมควรที่จะใช้วลีที่ประกอบด้วยคำไทยธรรมดาสามัญว่า “การเปลี่ยนแปลงการปกครองแผ่นดิน” แต่วลีนี้ยาวไปจึงตัดคำว่า “แผ่นดิน” ออกคงเหลือ “การเปลี่ยนแปลงการปกครอง” และเรียกสมาชิกแห่งคณะราษฎรว่า “ผู้ก่อการเปลี่ยนแปลงการปกครอง” โดยย่อว่า “ผู้ก่อการ” เท่านั้น คือเป็นเพียงผู้ที่เริ่มก่อให้มีการเปลี่ยนระบบเก่าเพื่อเข้าสู่ระบบใหม่ที่จะต้องพัฒนาต่อไป”
จนภายหลัง 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 ได้ราวสองเดือน หม่อมเจ้าวรรณไวทยากร วรวรรณ (พระอิสริยยศในขณะนั้น — ผู้เขียน) ได้ทรงวินิจฉัยว่า การเปลี่ยนหลักมูลของการปกครองแผ่นดินนี้ตรงกับที่เรียกภาษาอังกฤษว่า Revolution แล้วบัญญัติศัพท์ไทยว่า “ปฏิวัติ” ต่อมาเมื่อราชบัณฑิตยสถานได้จัดทำปทานุกรมพิมพ์ครั้งแรก พ.ศ. 2493 เสร็จสิ้นลงได้ส่งผลต่อความหมายของคำว่า “ปฏิวัติ” เป็นคำนามแปลว่าการหมุนกลับ, การผันแปรเปลี่ยนหลักมูล (ป.ปฏิวตฺติ) จากมูลศัพท์คำว่า “ปฏิวัติ” ในภาษาบาลีนี้จึงเป็นที่มาของคำว่า “ปฏิวัติ” อันหมายถึง การหมุนกลับคือเป็นการเปลี่ยนแปลงที่ถอยหลัง โดยนายปรีดีชี้ว่า
“...มูลศัพท์ของคำว่า “ปฏิวัติ” นี้หนักไปทาง “การหมุนกลับ” จึงทำให้ตีความได้ว่า การผันแปรเปลี่ยนหลักมูลของคำว่า “ปฏิวัติ” เป็นการผันแปรชนิดถอยหลังกลับไปเป็นระบบเก่าหรือทำนองระบบเก่า”[8]
และได้กล่าวถึงคำว่า ปฏิวัติ กับคณะราษฎรไว้ด้วยว่า
“คณะราษฎรไม่ประสงค์จะผูกขาดศัพท์ไทยว่า “ปฏิวัติ” ที่พระเจ้าวรวงศ์เธอองค์นั้นบัญญัติขึ้น (พระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหมื่นนราธิปพงศ์ประพันธ์ — ผู้เขียน) แม้ว่าคณะราษฎรนี้มีอำนาจในรัฐบาลอยู่จนกระทั่งเสร็จสงครามโลก ครั้งที่ 2 ซึ่งมีทางที่จะใช้ศัพท์ “ปฏิวัติ” เรียกการกระทำของตนแต่คณะราษฎรก็คงเรียกการกระทำของตนเมื่อ 24 มิถุนายน 2475 ว่า “การเปลี่ยนแปลงการปกครอง” ตามการกระทำที่เป็นจริงว่าเปลี่ยนระบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นระบบราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญประชาธิปไตย และสมาชิกคณะราษฎรก็ไม่ได้ทนงตนในการที่จะเรียกตนเองว่า “นักปฏิวัติ” คือคงเรียกว่า “ผู้ก่อการเปลี่ยนแปลงการปกครองหรือเรียกย่อๆ ว่า “ผู้ก่อการ”[9]
นายปรีดียังชี้ให้เห็นว่าบริบททางการเมืองได้ส่งผลต่อคำว่า “ปฏิวัติ” โดยในระหว่าง พ.ศ. 2489 - 2500 ได้มีบางกลุ่มมิให้ถือว่าการเปลี่ยนแปลงโดยคณะราษฎรเมื่อ พ.ศ. 2475 เป็นการปฏิวัติและเมื่อเกิดเหตุการณ์วันที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2501 โดยจอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ กับพวกได้ร่วมกันจัดตั้งเป็นคณะเรียกว่า “คณะปฏิวัติ” เพื่อล้มล้างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2475 แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. 2495 แล้วปกครองตามระบอบเผด็จการในระยะแรกใช้วิธีการปกครองโดยคำสั่งคณะปฏิวัติที่มีผลเป็นกฎหมายสูงสุด ในทัศนะของนายปรีดีมองการกระทำของจอมพล สฤษดิ์ว่า
“...เป็นอันว่าจอมพล สฤษดิ์ กับพวกได้ถือเอาคำว่า “ปฏิวัติ” ไปใช้เรียกการกระทำของตน สมดังความหมายตามมูลศัพท์ว่า การเปลี่ยนหลักมูลกลับหรือถอยหลังกลับไปสู่ระบบเผด็จการอย่างเจ้าทาสเจ้าศักดินายิ่งกว่าสมบูรณาญาสิทธิราชย์ สมัยพระปกเกล้าฯ
คำสั่งของคณะปฏิวัตินั้น รัฐธรรมนูญฉบับต่อๆ มารวมทั้งฉบับ 2517 ก็รับรองว่าเป็นกฎหมายใช้อยู่จนทุกวันนี้ (ยกเว้นรัฐสภาให้ยกเลิกบางฉบับ)”
จากการรัฐประหารวันที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2501 ของจอมพล สฤษดิ์ และพวกนี้เองที่เป็นจุดเริ่มต้นให้นายปรีดีเริ่มเสนอคำใหม่ขึ้น โดยกล่าวถึงแนวคิดปฏิเสธคำว่าปฏิวัติที่รัฐสภารับรองความหมายหลัง พ.ศ. 2501 ไว้ว่า
“จึงเป็นว่าคำว่า “ปฏิวัติ” ในภาษาไทยนั้นได้รับรองโดยรัฐสภาไทยตามความหมายที่แสดงออกโดยการกระทำของจอมพล สฤษดิ์ กับพวก ผม (นายปรีดี — ผู้เขียน) จึงเห็นว่า ไม่สมควรที่ผู้รักชาติประชาธิปไตยไทยซึ่งต้องการพัฒนาประเทศชาติให้ก้าวหน้าสู่ความเป็นประชาธิปไตยโดยสมบูรณ์จะใช้คำว่า “ปฏิวัติ” เพื่อเรียกการกระทำของตน คือการปล่อยให้เป็นคำไทยที่มีความหมายเฉพาะเรียกการกระทำของจอมพล สฤษดิ์ กับพวกซึ่งเป็นการเปลี่ยนระบบให้ถอยหลังกลับ”
นายปรีดีจึงเสนอให้ถ่ายทอดคำอังกฤษว่า Evolution เป็นศัพท์ไทยว่า “วิวัฒน์” ไว้ในหนังสือความเป็นอนิจจังของสังคม ฉบับพิมพ์ครั้งแรก พ.ศ. 2500 และได้ถ่ายทอดศัพท์อังกฤษว่า Revolution เป็นศัพท์ไทยว่า “อภิวัฒน์” ไว้ดังนี้
“อภิวัฒน์ประกอบด้วยคำ “อภิ” ซึ่งเป็นคำใช้นำหน้าศัพท์ มีความหมายว่า ยิ่ง วิเศษ เหนือ คำว่า “วัฒน์” ซึ่งแปลว่าความเจริญ ความงอกงาม เมื่อรวมความหมายของคำทั้งสองแล้วได้ความว่า
ความงอกงามอย่างยิ่งหรืออย่างวิเศษ ทั้งนี้ตรงกับความหมายทางวิทยาศาสตร์สังคมดังกล่าวมาแล้วคือการเปลี่ยนระบบเก่าตามแนวทางกู้อิสรภาพของมนุษย์ที่ถูกกดขี่เบียดเบียนนั้น เป็นการเปลี่ยนที่ก้าวหน้าซึ่งเป็นการเปลี่ยนอย่างวิเศษ…
ส่วนวิธีการที่จะทำให้บรรลุถึงการ “อภิวัฒน์” นั้น เป็นเรื่องของ “วิธีการ” ซึ่งทุกตำราของเมธี สอนให้พิจารณาตามความเหมาะสมแก่สภาพ ท้องที่ กาละของแต่ละสังคม”[10]
การบัญญัติศัพท์การเมืองคำว่า “อภิวัฒน์” แทนคำว่า “ปฏิวัติ” ในทศวรรษ 2500 ของนายปรีดีจึงถือว่าเป็นกระบวนการใช้ศัพท์ทางการเมืองเพื่อเผยแพร่และตอบโต้ทางอุดมการณ์ต่อรัฐบาลเผด็จการของจอมพล สฤษดิ์ และพวกอย่างแยบยลหากชัดเจน
จาก “อภิวัฒน์” ของปรีดี พนมยงค์สู่ “สถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์”
ดังที่กล่าวไปแล้วข้างต้นว่า “สถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ นครวิถี ธานีรัถยา” คือนามพระราชทานแด่ศูนย์กลางระบบรางของประเทศไทยและเส้นทางรถไฟชานเมืองสายสีแดง ทั้งนี้ การเปลี่ยนชื่อสถานีกลางเป็นสถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์นั้นมาจากสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี (สลค.) มีหนังสือที่ นร 0508/ท 4784 ลงวันที่ 2 กันยายน 2565 เรื่อง ขอพระราชทานชื่อเส้นทางรถไฟโครงการระบบรถไฟชานเมืองสายสีแดงอ่อน (ช่วงบางซื่อ-ตลิ่งชัน) โดยโครงการระบบรถไฟชานเมืองสายสีแดงเข้ม (บางซื่อ-รังสิต) และสถานีกลางบางซื่อได้รับพระราชทานนามของสถานีต่างๆ ดังต่อไปนี้
- พระราชทานชื่อเส้นทางรถไฟชานเมืองสายสีแดงอ่อน (บางซื่อ-ตลิ่งชัน) ระยะที่ 1 ว่า “นครวิถี”
- พระราชทานชื่อเส้นทางรถไฟชานเมืองสายสีแดงเข้ม (บางซื่อ-รังสิต) ระยะที่ 1 ว่า “ธานีรัถยา”
- พระราชทานชื่อสถานีกลางบางซื่อว่า “สถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์”
สถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ มีความหมายว่า ความเจริญรุ่งเรืองแห่งกรุงเทพมหานคร และขณะที่กำลังดำเนินการเปลี่ยนชื่อเมื่อวันที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2565 ได้มีการลงนามในสัญญาจ้างระหว่างบริษัทฯ ที่ก่อสร้างกับการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ในการก่อสร้างโครงการปรับปรุงป้ายชื่อ “สถานีกลางบางซื่อ” เป็น “สถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์” และตราสัญลักษณ์ของการรถไฟแห่งประเทศไทยโดยมีมูลค่าโครงการ 33,169,726.39 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม)[11]
ดังนี้ จะเห็นได้ว่าความหมายของศัพท์บัญญัติคำว่า “อภิวัฒน์” ใน “สถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์” จากหน่วยงานรัฐไทย ณ ปัจจุบันมิได้ยึดโยงกับการเปลี่ยนแปลงของระบอบทางการเมืองโดยตรง หากในด้านกำเนิดของคำศัพท์ได้สะท้อนให้เห็นการใช้ภาษากับการเมืองในระยะเปลี่ยนผ่านทางสถาบันการเมืองอย่างแยบคาย และยิ่งเมื่อเราทราบความหมายของศัพท์คำว่า “อภิวัฒน์” จากข้างต้นว่าหมายถึงการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475
อาจชวนกันตั้งข้อสังเกตและตั้งคำถามว่า ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา “มรดกคณะราษฎร” ได้มีการถูกทำให้สูญหายไปอย่างไร้ร่องรอย ไม่ว่าจะเป็นหมุดคณะราษฎร อนุสาวรีย์ปราบกบฏ หรือแม้กระทั่งการเปลี่ยนชื่อค่ายพหลโยธินและค่ายพิบูลสงคราม แต่ไฉนเลยอยู่ๆ กลับมีการนำคำว่า “อภิวัฒน์” ซึ่งผู้ที่ให้ความหมายใหม่ของคำคำนี้คือ ‘นายปรีดี พนมยงค์’ แกนนำคนสำคัญสายพลเรือนของ “คณะราษฎร”
ภาพประกอบ : ราชกิจจานุเบกษา, ทีมพีอาร์การรถไฟแห่งประเทศไทย และสถาบันปรีดี พนมยงค์
บรรณานุกรม
เอกสารชั้นต้น :
- ราชกิจจานุเบกษา. เรื่องตั้งชื่อทางหลวงแผ่นดินและสะพานขนาดใหญ่, ประกาศในราชกิจจานุเบกษา วันที่ 12 ธันวาคม 2493, เล่ม 67, ตอนที่ 67, หน้า 6377-6389.
- สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี (สลค.). หนังสือที่ นร 0508/ท 4784 ลงวันที่ 2 กันยายน 2565. เรื่อง ขอพระราชทานชื่อเส้นทางรถไฟโครงการระบบรถไฟชานเมืองสายสีแดงอ่อน (ช่วงบางซื่อ-ตลิ่งชัน) โครงการระบบรถไฟชานเมืองสายสีแดงเข้ม (บางซื่อ-รังสิต).
หนังสือภาษาไทย :
- กนกวลี ชูชัยยะ, พจนานุกรมวิสามานยนามไทย : วัด วัง ถนน สะพาน ป้อม, (กรุงเทพฯ: ราชบัณฑิตยสถาน, 2548)
- ไชยรัตน์ เจริญสินโอฬาร, ภาษากับการเมือง/ความเป็นการเมือง พิมพ์ครั้งที่ 2, (กรุงเทพฯ: โครงการตำราและสิ่งพิมพ์ คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2551)
- ปรีดี พนมยงค์, ความเป็นมาของศัพท์ไทย “ปฏิวัติ, รัฐประหาร, วิวัฒน์, อภิวัฒน์”, (กรุงเทพฯ: สถาบันสยามเพื่อการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรม, 2519)
- ปรีดี พนมยงค์, ความเป็นอนิจจังของสังคม พิมพ์ครั้งที่ 10, (กรุงเทพฯ: สายธาร, 2552)
- สมบัติ จันทรวงศ์, ภาษาทางการเมือง: พัฒนาการของแนวอธิบายการเมืองและศัพท์การเมืองในงานเขียนประเภทสารคดีทางการมืองของไทย พ.ศ. 2475-2525, (กรุงเทพฯ: สถาบันไทยคดีศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2533)
วิทยานิพนธ์ :
- นพปฎล ศรีวงษ์รัตน์, “การต่อสู้เชิงสัญลักษณ์ในการเมืองไทย: ศึกษากรณีหมุดคณะราษฎร,” (วิทยานิพนธ์ รัฐศาสตรมหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2560)
- ปนิตา จิตมุ่ง, “การตั้งชื่อถนนในกรุงเทพมหานคร,” (วิทยานิพนธ์ อักษรศาสตรมหาบัณฑิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2554)
สื่ออิเล็กทรอนิกส์ :
- ทีมพีอาร์การรถไฟแห่งประเทศไทย. (16 ตุลาคม 2565). “สถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ นครวิถี ธานีรัถยา”.
- นริศ จรัสจรรยาวงศ์. The People Story-ซอยทองหล่อเกี่ยวพันกับการเมืองและ “คณะราษฎร”. สืบค้นจาก
- บัณฑิต จุลาสัย และจตุพร จันทร์เทศ. (16 กันยายน 2565). ถนนแห่งพระรามาธิบดี ถนนพระรามทั้ง 7 สาย.
- สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี. (1 ตุลาคม 2565). รัฐบาลน้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณฯ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานชื่อเส้นทางรถไฟชานเมืองสายสีแดง และสถานีกลางบางซื่อ “สถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์”.
- วัลยา. (17 พฤษภาคม 2565). การต่อสู้บนถนนสายประดิษฐ์มนูธรรม.
- The Standard Team. (29 กันยายน 2565). สถานีกลางบางซื่อขอพระราชทานชื่อใหม่ ‘สถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์’ รถไฟฟ้าสายสีแดง ‘นครวิถี-ธานีรัถยา.
- The Standard Team. (4 มกราคม 2566). ธงทองระบุ ไม่ควรทำป้ายถาวร หากคิดขอพระราชทานชื่อสถานีกลางบางซื่อใหม่.
[1] สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี (สลค.). หนังสือที่ นร 0508/ท 4784 ลงวันที่ 2 กันยายน 2565. เรื่อง ขอพระราชทานชื่อเส้นทางรถไฟโครงการระบบรถไฟชานเมืองสายสีแดงอ่อน (ช่วงบางซื่อ-ตลิ่งชัน) โครงการระบบรถไฟชานเมืองสายสีแดงเข้ม (บางซื่อ-รังสิต).
[2] The Standard Team. (4 มกราคม 2566). ธงทองระบุ ไม่ควรทำป้ายถาวร หากคิดขอพระราชทานชื่อสถานีกลางบางซื่อใหม่.
[3] ไชยรัตน์ เจริญสินโอฬาร, ภาษากับการเมือง/ความเป็นการเมือง พิมพ์ครั้งที่ 2, (กรุงเทพฯ: โครงการตำราและสิ่งพิมพ์ คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2551), (21).
[4] สมบัติ จันทรวงศ์, ภาษาทางการเมือง: พัฒนาการของแนวอธิบายการเมืองและศัพท์การเมืองในงานเขียนประเภทสารคดีทางการมืองของไทย พ.ศ. 2475-2525, (กรุงเทพฯ: สถาบันไทยคดีศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2533), น. 9.
[5] เรื่องเดียวกัน, น. 263.
[6] วัลยา. (17 พฤษภาคม 2565). การต่อสู้บนถนนสายประดิษฐ์มนูธรรม.
[7] ปรีดี พนมยงค์, ความเป็นมาของศัพท์ไทย “ปฏิวัติ, รัฐประหาร, วิวัฒน์, อภิวัฒน์”, (กรุงเทพฯ: สถาบันสยามเพื่อการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรม, 2519), น. 1-9.
[8] เรื่องเดียวกัน, น. 10-13.
[9] เรื่องเดียวกัน, น. 15.
[10] เรื่องเดียวกัน, น. 30-32.
[11] ทีมพีอาร์การรถไฟแห่งประเทศไทย. (16 ตุลาคม 2565). “สถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ นครวิถี ธานีรัถยา”. และ สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี. (1 ตุลาคม 2565). รัฐบาลน้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณฯ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานชื่อเส้นทางรถไฟชานเมืองสายสีแดง และสถานีกลางบางซื่อ “สถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์”.
- การเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475
- รวินทร์ คำโพธิ์ทอง
- ปรีดี พนมยงค์
- กรุงเทพอภิวัฒน์
- สถานีกลางบางซื่อ
- สถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์
- คณะราษฎร
- พระพิศาลสขมวิท
- พระยาพหลพลพยุหเสนา
- วรรณไวทยากร วรวรรณ
- สมบูรณาญาสิทธิราชย์
- ราชาธิปไตย
- ประชาธิปไตย
- สฤษดิ์ ธนะรัชต์
- คณะปฏิวัติ
- กนกวลี ชูชัยยะ
- ไชยรัตน์ เจริญสินโอฬาร
- สมบัติ จันทรวงศ์
- นพปฎล ศรีวงษ์รัตน์
- ปนิตา จิตมุ่ง
- นริศ จรัสจรรยาวงศ์
- บัณฑิต จุลาสัย
- จตุพร จันทร์เทศ