Focus
- นายปรีดี พนมยงค์ แสดงทัศนะต่อต้านระบอบเผด็จการอำนาจนิยมตั้งแต่การรัฐประหาร 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2490 และการรัฐประหารครั้งอื่นๆ ที่ตามมา กระทั่งถึงวันที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2520 ภายใต้การนำของ พล.ร.อ. สงัด ชลออยู่ อันทำให้ระบอบประชาธิปไตยไทยหยุดชะงักลง
- การต่อต้านเผด็จการทหารของประชาชนนำโดยชนชั้นกลางระหว่างวันที่ 17-24 พฤษภาคม พ.ศ. 2535 สามารถหยุดยั้งการสืบทอดอำนาจของคณะ รสช. ที่ทำรัฐประหารเมื่อ พ.ศ. 2534 ทำให้ พล.อ. สุจินดา คราประยูร หนึ่งในแกนนำของคณะ รสช. ที่เสียสัตย์กลับมารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ต้องลาออกไปในที่สุด หลังจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชทรงไกล่เกลี่ย โดยให้ พล.อ. สุจินดา คราประยูร นายกรัฐมนตรี และ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำผู้ชุมนุมเข้าเฝ้าเพื่อยุติความขัดแย้ง
- 31 ปี หลังเหตุการณ์พฤษภาคม 2535 จนถึง พฤษภาคม 2566 การต่อต้านรัฐประหาร และกระแสการแก้ไขรัฐธรรมนูญใหม่เพื่อให้มีความชอบธรรมยังคงเป็นสิ่งสำคัญที่จะปกป้องประชาธิปไตย หยุดวิกฤติการณ์ทางการเมือง และการรัฐประหารโดยกองทัพ อีกทั้งสะท้อนว่าพลังชนชั้นกลางที่ยืนหยัดในการปกป้องประชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญอันชอบธรรมนั้นสำคัญ เพื่อนำระบอบการปกครองไทยกลับไปสู่ประชาธิปไตยสมบูรณ์
“บุคคลและคณะบุคคลที่สถาปนาระบอบเผด็จการนั้น และผู้นิยมส่งเสริมระบอบนั้นต้องรับผิดชอบต่อปวงชนชาวไทย…”
ปรีดี พนมยงค์, วันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2523
เดือนพฤษภาคมถือเป็นเดือนสำคัญของประวัติศาสตร์การเมืองไทย เนื่องจากเดือนนี้มีเหตุการณ์สำคัญทางการเมืองเกิดขึ้นหลายครั้ง ทั้งเหตุการณ์พฤษภา’35 เหตุการณ์พฤษภา’53 และการรัฐประหาร 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2557 โดยบทความนี้จะนำเสนอเหตุการณ์แรกเนื่องในวาระ 31 ปี พฤษภา’35 ที่มีการชุมนุมทางการเมืองสืบเนื่องมาจากการรัฐประหารของคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (รสช.) ที่นำโดย พล.อ.สุนทร คงสมพงษ์ เข้ายึดอำนาจจากรัฐบาล พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ เมื่อ พ.ศ. 2534[1] ภายหลังการยึดอำนาจทางคณะฯ รสช. ได้จัดตั้งรัฐบาลพลเรือนขึ้นโดยเชิญนายอานันท์ ปันยารชุน อดีตนักการทูตและนักธุรกิจมาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี[2] แล้วร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ คือ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2534 ที่มีลักษณะไม่เป็นประชาธิปไตยเพราะมีบทบัญญัติว่านายกรัฐมนตรีไม่ต้องมาจากการเลือกตั้งเพื่อเปิดทางให้ พล.อ.สุจินดา คราประยูร หนึ่งในผู้นำของคณะฯ รสช. เข้ามาเป็นนายกรัฐมนตรีได้
จากสาเหตุของความไม่ชอบธรรมทางรัฐธรรมนูญประกอบกับการครอบงำทางการเมืองและการที่คณะฯ รสช. ไม่ทำตามสัญญาโดยเสียสัตย์ต่อประชาชนว่าจะไม่เข้ามาบริหารประเทศจึงนำมาสู่การชุมนุมทางการเมืองของชนชั้นกลางที่ต่อต้านคณะรัฐประหารโดยกองทัพขึ้นครั้งแรก โดยพลังของชนชั้นกลางกลุ่มใหม่นี้ส่วนใหญ่เป็นนักธุรกิจที่มีมือถือจึงรู้จักกันอีกชื่อว่า ม็อบมือถือ การชุมนุมทางการเมืองได้นำไปสู่การนองเลือดและสลายการชุมนุมฯุ โดยรัฐบาลของคณะฯ รสช. ในระหว่างวันที่ 17-21 พฤษภาคม พ.ศ. 2535 จากการปะทะและปราบปรามผู้ชุมนุมฯ ที่รุนแรงต่อมาจึงเรียกว่า พฤษภาเลือด และเหตุการณ์ได้ยุติลงในวันที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2535 เมื่อ พล.อ.สุจินดา ประกาศลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และแต่งตั้งนายมีชัย ฤชุพันธุ์ ขึ้นดำรงตำแหน่งรักษาการนายกรัฐมนตรี แล้วแก้ไขรัฐธรรมนูญเพิ่มเติมให้นายกรัฐมนตรีมาจากการเลือกตั้ง[3]
จุดตั้งต้นของระบอบเผด็จการทหารสมัยใหม่ได้เริ่มขึ้นที่เหตุการณ์นี้หากการต่อต้านรัฐบาลที่มีลักษณะเผด็จการอำนาจนิยมครั้งแรกได้เกิดขึ้นนับตั้งแต่การรัฐประหาร 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2490 เป็นต้นมา บทความนี้นอกจากจะเสนอให้เห็นพลังของชนชั้นกลาง การเข้าสู่การเมืองของทหารในการเมืองร่วมสมัยดังกล่าวแล้วยังชี้ให้เห็นแนวคิดและบริบททางประวัติศาสตร์ของการต่อต้านเผด็จการอำนาจนิยมผ่านปากคำประวัติศาสตร์ของนายปรีดี พนมยงค์ เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2523 ไว้อีกด้วย
ทัศนะร่วมสมัยของนายปรีดี พนมยงค์ ในการต่อต้านรัฐบาลเผด็จการอำนาจนิยม
ในวาระครบรอบการอภิวัฒน์สยาม 24 มิถุนายน เมื่อ พ.ศ. 2523 นายปรีดี พนมยงค์ ได้ให้สัมภาษณ์แก่ผู้แทนสหภาพเพื่อสิทธิเสรีภาพของประชาชน โดยเน้นไปที่การเสนอแนวคิดเรื่องการต่อต้านระบอบเผด็จการอำนาจนิยมภายหลังการรัฐประหาร 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2490 ว่า ระบอบประชาธิปไตยได้หยุดชะงักลงตั้งแต่เหตุการณ์ดังกล่าวและนายปรีดี ได้สรุปเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ของระบอบเผด็จการอำนาจนิยมหลัง พ.ศ. 2490 ถึงการประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2521 จากเอกสารหลักฐานทางราชการและทางรัฐสภาไว้ดังนี้
สาเหตุ 8 ประการ และทัศนะของนายปรีดี พนมยงค์ เรื่องระบอบประชาธิปไตยหยุดชะงักลง ตั้งแต่การรัฐประหาร 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2490 ถึงการประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2521
จะเห็นได้ว่านายปรีดี อธิบายระบอบเผด็จการอำนาจนิยมที่สำคัญของแต่ละยุคไว้อย่างละเอียดตามลำดับเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์โดยเน้นไปที่เหตุการณ์การรัฐประหารในสมัยรัฐบาลจอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ และจอมพล ถนอม กิตติขจร พ.ศ. 2502 - 2516 จนถึงคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน ที่นำโดย พล.ร.อ.สงัด ชลออยู่ พ.ศ. 2520 หากสะท้อนให้เห็นพลังของมวลชนในเหตุการณ์ 14 ตุลา 2516 และกติกาใหม่ของทหารในการร่างรัฐธรรมนูญ บทสรุปความคิดต่อต้านรัฐประหารและเผด็จการอำนาจนิยมของนายปรีดีได้ปรากฏชัดเจนในคำกล่าวที่ว่า
“บุคคลและคณะบุคคลที่สถาปนาระบอบเผด็จการนั้น และผู้นิยมส่งเสริมระบอบนั้นต้องรับผิดชอบต่อปวงชนชาวไทย…”[4]
พฤษภาประชาธรรม : พลังของชนชั้นกลางในการปกป้องประชาธิปไตยจากการรัฐประหารโดยกองทัพ
“พฤษภาประชาธรรม” หรือพฤษภา’35 เป็นเหตุการณ์ชุมนุมทางการเมืองที่ประท้วงคณะฯ รสช. ของประชาชนที่กว่าครึ่งเป็นชนชั้นกลางใหม่ซึ่งประกอบอาชีพธุรกิจ พ่อค้า นายทุน ผู้มีฐานะดีและผู้ชุมนุมฯ บางส่วนได้ใช้มือถือที่ขณะนั้นมีราคาสูง และในทศวรรษ 2530 ประชาชนทั่วไปยังไม่มีมือถือใช้กันแพร่หลายจึงมีการเรียกชื่อการชุมนุมทางการเมืองครั้งนี้อีกชื่อว่า “ม็อบมือถือ”[5] โดยผู้ชุมนุมฯ ออกมาต่อต้านการสืบทอดอำนาจของคณะฯ รสช. ที่ทำรัฐประหารเมื่อ พ.ศ. 2534 และต่อมา พล.อ.สุจินดา คราประยูร หนึ่งในแกนนำของคณะฯ รสช. ได้เสียสัตย์กลับมารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี จากเดิมที่พล.อ.สุจินดา เคยกล่าวไว้ในวันที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2534 ว่า
“ผมยืนยันไม่เล่นการเมือง ไม่ลงเลือกตั้ง ไม่เป็นนายกฯ โดยเด็ดขาด การเมืองไม่มีอะไรแน่นอน”[6]
การเมืองของกองทัพในระบบรัฐสภา ท่ามกลางบริบทร่วมสมัยของยุคโลกาภิวัตน์ที่สังคมปรากฏชนชั้นกลางใหม่จากการเติบโตของระบบทุนนิยมระหว่างประเทศและในสังคมไทย การรัฐประหาร 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2534 ของคณะฯ รสช. จึงเป็นการรัฐประหารโดยกองทัพในสังคมการเมืองไทยร่วมสมัย หลังการรัฐประหารทางคณะฯ รสช. ได้มีการแต่งตั้ง นายอานันท์ ปันยารชุน เป็นนายกรัฐมนตรีดำรงตำแหน่งในระหว่างวันที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2534 ถึง 22 มีนาคม พ.ศ. 2535 ถือเป็นการปรับตัวของคณะรัฐประหารที่จัดให้มีการปกครองโดยรัฐบาลพลเรือนทั้งเพื่อเสริมภาพลักษณ์ต่อประชาคมระหว่างประเทศ เพื่อผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ และสร้างความชอบธรรมให้แก่คณะรัฐประหารว่าไม่ได้ต้องการครองอำนาจในการปกครอง โดยเหตุผลที่เลือกนายอานันท์นั้นมี 3 ประการหลัก ได้แก่
- ประสบความสำเร็จในชีวิตราชการ
- เป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ
- ต่างประเทศให้การยอมรับคณะรัฐมนตรีที่มาจากพลเรือน
ในประการที่สองแสดงถึงการเปลี่ยนแปลงของชนชั้นกลางใหม่ที่ทหารได้คำนึงถึงเนื่องจากนายอานันท์ เคยเป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ หากต่อมาได้จัดให้มีการเลือกตั้งทั่วไปขึ้นเมื่อวันที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2535 ส่งผลให้นายอานันท์ พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี[7] โดยพรรคสามัคคีธรรมชนะการเลือกตั้งครั้งนี้ด้วยมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้รับเลือกตั้งเข้าสู่สภาผู้แทนราษฎรมากที่สุด คือ 79 ที่นั่ง และเมื่อรวบรวมกับพรรคการเมืองอีก 5 พรรคฯ ได้แก่ พรรคสามัคคีธรรม พรรคชาติไทย พรรคกิจสังคม พรรคประชากรไทย และพรรคราษฎร จึงมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจำนวน 195 เสียง จึงรวมตัวกันเสนอชื่อนายณรงค์ วงศ์วรรณ หัวหน้าพรรคสามัคคีธรรม ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี แต่นายณรงค์ กลับไม่สามารถเป็นนายกรัฐมนตรีได้เนื่องจากอุบัติเหตุทางการเมืองบางประการทำให้ พลเอก สุจินดา คราประยูร หนึ่งในคณะฯ รสช. ได้รับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนที่ 19 ของประเทศไทยเมื่อวันที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2535 โดยพลเอก สุจินดา ได้กล่าววลีสำคัญในการเข้ามารับตำแหน่งฯ ครั้งนี้ว่าเป็นการ “เสียสัตย์เพื่อชาติ” และได้รับการวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางจากทั้งนิสิตนักศึกษา นักวิชาการ นักการเมือง และอาจารย์ เช่น
ในวันที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2535 นายอนุสรณ์ ธรรมใจ นักศึกษาไทยในสหรัฐอเมริกา กล่าวว่า
“หากพล.อ.สุจินดา คิดจะเป็นนายกรัฐมนตรีทั้งที่ปฏิเสธมาโดยตลอด ขอให้แสดงสปิริตด้วยการเข้าสังกัดในพรรคการเมืองและลงสมัครรับเลือกตั้ง นอกจากการยื่นหนังสือแล้วทางนักศึกษาไทยจากบอสตันและนิวยอร์กจะนำหรีดดำไปมอบให้รัฐบาล รสช. ผ่านทางสถานทูต พร้อมทั้งปิดข้อความไว้อาลัยที่หน้าสถานทูตด้วย”
ต่อมาในวันที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2535 นายปริญญา เทวานฤมิตรกุล นักศึกษาคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และเลขาธิการสหพันธ์นิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย (สนนท.) กล่าวว่า
“รู้สึกแย่ที่คนกลางที่ทำการรัฐประหารกลับได้เป็นผู้นำประเทศ รู้สึกหมดศรัทธาที่ผู้ใหญ่ไม่รักษาคำพูด...วันเด็กปีหน้า ใครจะกล้าให้คำขวัญสอนให้เด็กไทยซื่อสัตย์ได้”
และในวันที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2535 นายชัยวัฒน์ สถาอานันท์ อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ผู้เชี่ยวชาญวิชาสันติวิธีและความขัดแย้งทางการเมืองไทย กล่าวว่า
“ประชาธิปไตยในเมืองไทยที่มีนายกฯ ที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งนี้เกี่ยวพันกับการเกษตรอย่างแยกกันไม่ออก โดยเฉพาะอย่างยิ่งยางพารา เพราะปีไหนยางมีน้อย คนเราก็อายน้อย ปีไหนมียางมาก คนเราก็อายมาก”[8]
การเสียสัตย์เพื่อชาติที่ทหารเข้าสู่การเมืองในระบบรัฐสภาครั้งนี้จึงนำมาสู่การนองเลือดในเวลาต่อมา โดยการประท้วงก่อตัวขึ้นทันทีหลังจากที่ พล.อ.สุจินดา รับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ทั้งการชุมนุมของนิสิตนักศึกษาหลากหลายมหาวิทยาลัย การอดอาหารประท้วงด้านหน้ารัฐสภาของ ร.ต.อ.ฉลาด วรฉัตร ในวันที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2535 ต่อมามี พล.ต.จำลอง ศรีเมือง หัวหน้าพรรคพลังธรรม เข้าร่วมการประท้วงและเป็นแกนนำฯ จึงทำให้การชุมนุมฯ ครั้งนี้ขยับขยายไปในวงกว้าง จนเพิ่มจำนวนผู้ชุมนุมที่เป็นชนชั้นกลางขึ้นนับแสนคน โดยมีข้อเรียกร้องหลักคือ ให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญฯ ที่ปิดช่องว่างทางกฎหมายไม่ให้มีนายกรัฐมนตรีคนนอกได้ หรือปิดสวิตช์นายกฯ คนนอกนั่นเอง จนกระทั่งเกิดเหตุการณ์ความรุนแรงปะทุสูงขึ้นในวันที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2535 จากการชุมนุมฯ ใหญ่ ณ ท้องสนามหลวงโดยมีผู้ชุมนุมประมาณ 500,000 คน แล้วเคลื่อนขบวนประชาชนผ่านถนนราชดำเนินไปยังทำเนียบรัฐบาลและปะทะกับเจ้าหน้าที่ฯ ของรัฐบาลที่เข้ามาสลายการชุมนุมฯ
ท่ามกลางวิกฤติการณ์ทางการเมืองที่มีการปะทะ นองเลือด จับกุม และสลายการชุมนุมฯ ราว 3-4 วัน จนล่วงมาถึงในวันที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2535 ก็มีการเผยแพร่เทปบันทึกภาพพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ทางโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย ทรงมีพระราชดำรัสให้พล.อ.สุจินดา นายกรัฐมนตรี และพล.ต.จำลอง แกนนำผู้ชุมนุมฯ เข้าเฝ้าฯ เพื่อยุติความขัดแย้งทางการเมืองกระทั่งในวันที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2535 ทาง พล.อ.สุจินดา ได้ประกาศลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อให้นายกรัฐมนตรีมาจากการเลือกตั้ง[9]
จากเหตุการณ์ระหว่างวันที่ 17-24 พฤษภาคม พ.ศ. 2535 ระบุว่ามีผู้เสียชีวิตจำนวน 44 ราย มีผู้สูญหายจำนวน 48 ราย มีผู้พิการจำนวน 11 ราย มีผู้บาดเจ็บสาหัส จำนวน 47 ราย และมีผู้บาดเจ็บ จำนวน 1,728 ราย และยังมีผู้สูญหายกว่า 500 ราย หากไม่ทราบจำนวนผู้ถูกจับกุมที่แน่ชัด[10]
31 ปีผันผ่านจากเหตุการณ์พฤษภาคม’35 จนถึงพฤษภาคม พ.ศ. 2566 กงล้อประวัติศาสตร์ดูจะหมุนกลับไปมาระหว่างการออกแบบสถาบันการเมืองในระบบรัฐสภาของกองทัพ การต่อต้านรัฐประหารจากพลังของชนชั้นกลาง และกระแสการแก้ไขรัฐธรรมนูญใหม่เพื่อให้มีความชอบธรรม หากสิ่งสำคัญที่จะปกป้องประชาธิปไตย หยุดวิกฤติการณ์ทางการเมือง และการรัฐประหารโดยกองทัพที่พยายามสวมทับรูปแบบการปกครองพลเรือนได้คือ การเริ่มต้นของประชาชน จากเหตุการณ์พฤษภา’35 ยังสะท้อนว่าพลังชนชั้นกลางที่ยืนหยัดในการปกป้องประชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญอันชอบธรรมนั้นสำคัญและเป็นไปได้เพื่อนำระบอบการปกครองไทยกลับไปสู่ประชาธิปไตยสมบูรณ์
ที่มาของภาพ : หนังสือที่ระลึกวันปรีดี, siamcollection, gettyimage และศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน
บรรณานุกรม
เอกสารชั้นต้นและหนังสือพิมพ์ :
- ผู้จัดการรายวัน. 27 มกราคม 2536. หน้า 1, 20, 22.
- กองบรรณาธิการ ผู้จัดการ. บันทึก “ภาพ-คำพูด-เหตุการณ์” ประวัติศาสตร์พฤษภาทมิฬ. กรุงเทพฯ: ผู้จัดการ, มปท.
หนังสือ :
- คณะกรรมการญาติวีรชนพฤษภา’ 35. ประชาธิปไตยฉบับน้ำตา : ประมวลกิจกรรมของคณะกรรมการญาติวีรชนพฤษภา’35 ในรอบหนึ่งทศวรรษ (2535-2545). กรุงเทพฯ: เดือนตุลา, 2545.
- คณะกรรมการญาติวีรชนพฤษภา’ 35. จดหมายเหตุวันที่ 17 พฤษภาคมประชาธรรม. กรุงเทพฯ: เดือนตุลา, 2547.
- ธำรงศักดิ์ เพชรเลิศอนันต์. “ข้ออ้าง” การปฏิวัติ-รัฐประหาร กบฎในการมืองไทยปัจจุบัน : บทวิเคราะห์และเอกสาร. กรุงเทพฯ: มูลนิธิโครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์, 2550.
- ธีรภัทร์ เสรีรังสรรค์. ตัดวงจรรัฐประหาร. กรุงเทพฯ: วิญญูชน, 2563.
- ปรีดี พนมยงค์. แนวความคิดประชาธิปไตยของปรีดี พนมยงค์. กรุงเทพฯ: มูลนิธิปรีดี พนมยงค์ โครงการ 60 ปี ประชาธิปไตย.
- ผาสุก พงษ์ไพจิตร และ คริส เบเคอร์. เศรษฐกิจการเมืองไทยสมัยกรุงเทพฯ. เชียงใหม่ : ซิลค์เวอร์บุคส์, 2542.
- วาสนา นาน่วม. สุจินดา คราประยูร กำเนิดและอวสาน รสช.. พิมพ์ครั้งที่ 5. กรุงเทพฯ: มติชน, 2555.
- มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์. สดุดีวีรชนประชาธิปไตย 17-21 พ.ค. 2535. กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2535.
- อดินันท์ พรหมพันธ์ใจ. เปรมาธิปไตย การเมืองไทยระบอบไฮบริด. กรุงเทพฯ: อิลลูมิเนชัน, 2563.
- เอนก เหล่าธรรมทัศน์. ม็อบมือถือ ชนชั้นกลางและนักธุรกิจกับพัฒนาการประชาธิปไตย. กรุงเทพฯ: มติชน, 2536.
- Dominic Faulder. Anand Panyarachun and the making of modern Thailand. Singapore: Editions Didier Millet, 2018.
สื่ออิเล็กทรอนิกส์ :
- บีบีซีไทย. (2 เมษายน 2565). พฤษภาทมิฬ: ครบรอบ 30 ปี เหตุสลายการชุมนุมประท้วงขับไล่ พล.อ. สุจินดา คราประยูร.
- เผด็จ ขำเลิศสกุล, รัฐประหาร รสช. โดย พล.อ. สุนทร คงสมพงษ์ เปิดบันทึกรัฐบาลอังกฤษหลังปิดลับ 27 ปี.
[1] วาสนา นาน่วม, สุจินดา คราประยูร กำเนิดและอวสาน รสช., พิมพ์ครั้งที่ 5 (กรุงเทพฯ: มติชน, 2555), น. 183.
[2] โปรดดูเพิ่มเติม Dominic Faulder, Anand Panyarachun and the making of modern Thailand, (Singapore: Editions Didier Millet, 2018).
[3] อ่านเนื้อหาและลำดับเหตุการณ์พฤษภา’35 โดยละเอียดได้ที่ กองบรรณาธิการ ผู้จัดการ, บันทึก “ภาพ-คำพูด-เหตุการณ์” ประวัติศาสตร์พฤษภาทมิฬ, (กรุงเทพฯ: ผู้จัดการ, มปท.), คณะกรรมการญาติวีรชนพฤษภา’ 35, จดหมายเหตุวันที่ 17 พฤษภาคมประชาธรรม, (กรุงเทพฯ: เดือนตุลา, 2547) และมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, สดุดีวีรชนประชาธิปไตย 17-21 พ.ค. 2535, (กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2535).
[4] ปรีดี พนมยงค์, แนวความคิดประชาธิปไตยของปรีดี พนมยงค์, (กรุงเทพฯ: มูลนิธิปรีดี พนมยงค์ โครงการ 60 ปี ประชาธิปไตย), น. 64-74.
[5] เอนก เหล่าธรรมทัศน์, ม็อบมือถือ ชนชั้นกลางและนักธุรกิจกับพัฒนาการประชาธิปไตย, (กรุงเทพฯ: มติชน, 2536).
[6] กองบรรณาธิการ ผู้จัดการ, บันทึก “ภาพ-คำพูด-เหตุการณ์” ประวัติศาสตร์พฤษภาทมิฬ, (กรุงเทพฯ: ผู้จัดการ, มปท.), น. 9.
[7] วาสนา นาน่วม, สุจินดา คราประยูร กำเนิดและอวสาน รสช., พิมพ์ครั้งที่ 5 (กรุงเทพฯ: มติชน, 2555), น. 193-194.
[8] กองบรรณาธิการ ผู้จัดการ, บันทึก “ภาพ-คำพูด-เหตุการณ์” ประวัติศาสตร์พฤษภาทมิฬ, (กรุงเทพฯ: ผู้จัดการ, มปท.), น. 11-17.
[9] กองบรรณาธิการ ผู้จัดการ, บันทึก “ภาพ-คำพูด-เหตุการณ์” ประวัติศาสตร์พฤษภาทมิฬ, (กรุงเทพฯ: ผู้จัดการ, มปท.) และ คณะกรรมการญาติวีรชนพฤษภา’ 35, จดหมายเหตุวันที่ 17 พฤษภาคมประชาธรรม, (กรุงเทพฯ: เดือนตุลา, 2547)
[10] คณะกรรมการญาติวีรชนพฤษภา’ 35, ประชาธิปไตยฉบับน้ำตา: ประมวลกิจกรรมของคณะกรรมการญาติวีรชนพฤษภา’35 ในรอบหนึ่งทศวรรษ (2535-2545), (กรุงเทพฯ: เดือนตุลา, 2545)
- พฤษภาทมิฬ
- พฤษภาประชาธรรม
- รวินทร์ คำโพธิ์ทอง
- ปรีดี พนมยงค์
- พฤษภา 35
- พฤษภา 53
- สุนทร คงสมพงษ์
- ชาติชาย ชุณหะวัณ
- อานันท์ ปันยารชุน
- คณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ
- สุจินดา คราประยูร
- ม็อบมือถือ
- มีชัย ฤชุพันธุ์
- รัฐธรรมนูญฉบับใต้ตุ่ม
- คณะราษฎร
- สฤษดิ์ ธนะรัชต์
- ถนอม กิตติขจร
- สัญญา ธรรมศักดิ์
- เหตุการณ์ 14 ตุลา
- สงัด ชลออยู่
- ธานินทร์ กรัยวิเชียร
- เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์
- จำลอง ศรีเมือง
- ณรงค์ วงศ์วรรณ
- อนุสรณ์ ธรรมใจ
- ปริญญา เทวานฤมิตรกุล
- สหพันธ์นิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย
- ชัยวัฒน์ สถาอานันท์
- ฉลาด วรฉัตร
- นายกรัฐมนตรี
- พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช