5 กุมภาพันธ์ 2469 คือวัน เดือน ปี ของการก่อตั้งคณะราษฎรที่ถูกระบุไว้ในบันทึกประกอบคำประท้วงของนายปรีดี พนมยงค์ บทความชิ้นนี้จึงขอเสนอข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ช่วงการก่อตั้งคณะราษฎร จากบันทึกประกอบคำประท้วงของปรีดี พนมยงค์ บันทึกประวัติศาสตร์ชิ้นสำคัญของนายปรีดีที่ใช้ในการฟ้องร้องคดีต่อ หนังสือ ชีวิต 5 แผ่นดิน ของข้าพเจ้า โดย ประยูร ภมรมนตรี ฉบับพิมพ์ครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. 2518 ซึ่งมีข้อมูลแตกต่างจากหนังสือฉบับดังกล่าว และได้ชี้ให้เห็นข้อมูลสำคัญว่ารากฐานการเคลื่อนไหวของนักเรียนไทยในต่างแดนช่วงเวลานั้นมาจากสามัคยานุเคราะห์สมาคม
การก่อตั้งคณะราษฎร จากพื้นฐานของสามัคยานุเคราะห์สมาคม
นายปรีดี พนมยงค์ นำเสนอหลักฐานประวัติศาสตร์สำคัญเรื่องความขัดแย้งระหว่างอัครราชทูตสยามประจํากรุงปารีสกับสามัคยานุเคราะห์สมาคมซึ่งนายปรีดีต้องรับผิดชอบในฐานะเป็นสภานายกสมาคมฯ เรื่องที่ต้องรับผิดชอบในการในการแผลงสมาคมของนักศึกษาให้มีสภาพเป็นสหภาพแรงงาน (Syndicate) ไว้ 2 ชิ้น ดังนี้
ซึ่งตามวิธีปกติธรรมดานั้น ถ้านักเรียนทุนรัฐบาลที่ศึกษาในต่างประเทศกระทําความผิด กระทรวงเจ้าสังกัดก็เพียงแต่ส่งโทรเลขหรือหนังสือราชการธรรมดาถึงสถานทูตให้ส่งตัวนักเรียนคนนั้น ๆ กลับสู่สยามแต่ในกรณีความขัดแย้งระหว่างท่านอัครราชทูตสยามประจํากรุงปารีสกับสามัคยานุเคราะห์สมาคมนั้น ทางรัฐบาลสยามสมัยนั้นเห็นว่าเป็นเรื่องวิสามัญเรื่องหนึ่งซึ่งนายปรีดีชี้ให้เห็นการจัดการของรัฐบาลสยามไว้ว่า
“ฉนั้นนอกจากกระทรวงการต่างประเทศสยามได้ส่งโทรเลขถึงท่านอัครราชทูตดังที่ ข้าพเจ้าได้ลงพิมพ์ไว้ใน (1) และ (2) แล้ว กระทรวงการต่างประเทศสยามได้ทําหนังสือราชการชั้น “สารตราบัวแก้วน้อย” (นักอักษรศาสตร์สมัยนั้นทราบระเบียบหนังสือราชการแล้วว่า “สารตรา” มีน้ําหนักกว่าหนังสือราชการธรรมดา) ถึงท่านอัครราชทูตสยามยืนยันโทรเลขที่กระทรวงฯ ส่งมาพร้อมทั้งส่งสําเนาพระราชหัตถเลขาและหนังสือของราชเลขาธิการด้วย ดังที่ข้าพเจ้าได้นําภาพถ่ายลงพิมพ์ไว้ต่อไปนี้”
นายปรีดีได้ชี้ให้เห็นผลของการต่อสู้กับท่านอัครราชทูตฯ กรณีสามัคยานุเคราะห์สมาคมไว้ 3 ประการ ได้แก่
ข้าพเจ้าขอเสนอท่านผู้มีใจเป็นธรรมโปรดพิจารณาผลแห่งวิธีต่อสู้ท่านอัครราชทูตตัวและสมบูรณาฯ ดังต่อไปนี้
(1)
การ “ชักจูง” เพื่อนต่อสู้ระบบสมบูรณาฯ นั้นเป็นการเสี่ยงต่อคอขาดบาดตาย จึงไม่อาจทําได้ง่าย ๆ เหมือนชวนเพื่อนไปหาผู้หญิงนั่งรถเที่ยวเล่นด้วยกัน
สามัคยานุเคราะห์สมาคมได้ลงมือต่อสู้ท่านอัครราชทูตซึ่งเป็นตัวแทนระบบสมบูรณานั้น ซึ่งเป็นการต่อสู้พื้นฐานเบื้องต้นคนแล้วจึงจะพัฒนาขึ้นทีละขั้น ๆ
(2)
ผลส่วนรวมที่ได้รับจากการต่อสู้ครั้งนั้น คือ
(ก) แม้ว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระบรมราชวินิจฉัยให้ยุบสามัคยานุเคราะห์สมาคม แต่พระองค์ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ท่านอัครราชทูตกราบบังคมทูลชี้แจงเกี่ยวกับฎีกาของนักศึกษาเกี่ยวกับการจ่ายเงินเดือน ซึ่งต่อมาก็ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานเงินเดือนเพิ่มให้แก่นักศึกษา อันเป็นประวัติการณ์ที่องค์การคนงานในสยามยังไม่เคยได้รับความสําเร็จในการเรียกร้องค่าจ้างเพิ่มขึ้นในสมัยก่อนนั้น
(ข) ผลที่ได้ใหญ่ว่านักศึกษาได้เงินเดือนเพิ่มขึ้นนั้นก็คือ ก่อนเพิ่มขึ้นนั้นก็คือ นักศึกษาได้บทเรียนว่าความสามัคคีร่วมกัน เป็นปึกแผ่นสามารถต่อสู้ระบบสมบูรณาฯ ได้ ซึ่งเป็นการ “ก่อหวอด” อันใหญ่ที่สําคัญที่จะทําให้เพื่อนจํานวนหนึ่ง จัดตั้ง “ปาร์ตี้” หรือ “คณะ” ที่จะเป็นกองหน้าในการต่อสู้ระบบสมบูรณาฯ นั้นขึ้นสูงขึ้นไปตามลําดับ
(3)
ก่อนที่สมาคมจะลงมือดําเนินการดังกล่าวนั้น ข้าพเจ้าคาดการณ์ไว้แล้วว่าผู้ที่จะต้องถูกทางราชการลงโทษนั้นคือ ข้าพเจ้าในฐานะเป็นสภานายกของสมาคม ซึ่งจะต้องถูกเรียกตัวกลับไปสยามก่อนสําเร็จปริญญาเอก
เมื่อเพื่อนสมาชิกหลายคนได้ทราบความตามโทรเลขฉบับแรกของเสนาบดีกระทรวงการต่างประเทศถึงสถานทูตให้ส่งตัวข้าพเจ้ากลับสยามนั้น เพื่อนสมาชิกหลายคนก็ได้แสดงความเป็นปึกแผ่น “Solidarity” ร่วมกันที่จะสละเงินเดือนส่วนหนึ่งของตนเพื่อให้ข้าพเจ้าได้เรียนจนสําเร็จขั้นปริญญาเอก
แต่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงพระมหากรุณาฯ ตามฎีกาของนายเสียงบิดาข้าพเจ้า โดยข้าพเจ้าได้ศึกษาต่อไปจนสําเร็จปริญญาเอกแล้ว จึงให้ข้าพเจ้าเดินทางกลับสู่สยาม
และนายปรีดีชี้ให้เห็นว่านายประยูร ภมรมนตรี ไม่ได้เข้าร่วมในการต่อสู้ในครั้งนี้
เมื่อครบกําหนด 15 วันแห่งการประชุมประจําฤดูร้อน ค.ศ. 1926 (พ.ศ. 2468) ซึ่งได้มีการต่อสู้อัครราชทูตตัวแทนระบบสมบูรณาฯ ดังกล่าวในข้อ 16. นั้นแล้ว วันรุ่งขึ้นเวลาเข้าสมาคมฯ ได้จัดให้นักเรียนส่วนมากเดินทางออกจากเมืองซาเดรต์กลับไปยังกรุงปารีส ด้วยความอาลัยรักกันเป็นอย่างมากคงเหลือแต่ปรีดีกับเพื่อน 5 คนที่รอคอยที่ซาเดรต์เพื่อสรุปผลของการประชุมสมาคมฯ ที่ได้พัฒนาทางการต่อสู้ระบบสมบูรณาฯ
เพื่อน 5 คนนี้เรียงตามลําดับอาวุโสที่ได้ศึกษาในต่างประเทศนานกว่าคนอื่นตามลําดับ ดังต่อไปนี้
1. นายตั้ว ลพานุกรม กรรมการสามัคยานุเคราะห์สมาคมได้ไปศึกษาในเยอรมนีตั้งแต่ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 1 เมื่อสยามประกาศสงครามต่อเยอรมันแล้วรัฐบาลเยอรมันได้จับตัวนายตั้วกับคนไทยอีกหลายคนเป็นเชลยศึก ต่อมาเยอรมันได้ตกลงหยุดยิงกับสัมพันธมิตรแล้ว (แต่ยังไม่ยอมลงนามสัญญาสันติภาพ) รัฐบาลเยอรมันได้ปล่อยตัวนายตั้วฯ นายตั้วฯจึงสมัครเป็นทหารอาสาไทยได้ยศจ่านายสิบเสร็จสงครามแล้วนายตั้วฯ ได้ไปศึกษาชั้นปริญญาเอกที่สวิตเซอร์แลนด์
2. รองอํามาตย์เอกหลวงศิริราชไมตรีนามเดิม จรูญ สิงหเสนี เลขานุการสถานทูตสยามประจํากรุงปารีส อดีตนักเรียนกฎหมาย, นายสิบตรีกองหนุนแห่งกองทหารอาสาไทยระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 1
3. นายแนบ พหลโยธิน เนติบัณฑิตย้ายจากอังกฤษไปเตรียมศึกษาปริญญาเอกที่มหาวิทยาลัยปารีส, นายแนบฯ เป็นบุตร์พระยาพหลพลพยุหเสนา (นพ) พี่ชายของพระยาพหลพยุหเสนา (พจน์) ที่ต่อมาเป็นหัวหน้าคณะราษฎร
4. ร.ท.แปลก ขีตตะสังคะ (สําเร็จวิชา ร.ร.เสนาธิการทหารบกสยาม กําลังศึกษาภาษาฝรั่งเศสและเลขคณิตเพื่อเข้าศึกษาที่ ร.ร.นายทหารปืนใหญ่ฝรั่งเศส)
5. ร.ต.ทัศนัย มิตรภักดี (กําลังเรียนที่ร.ร. นายทหารม้าฝรั่งเศส)
หมายเหตุ
ร.ท.ประยูรฯ มิได้เข้าร่วมการประชุมครั้งนั้น เนื่องจากท่านอัครราชทูตห้ามมิให้นักเรียนในความดูแลของสถานทูตเดินทางไปร่วมประชุมกับนักเรียนอังกฤษที่กรุงลอนดอน ฉนั้นสมาคมฯ นั้นจึงมีมติให้นักเรียนทุนส่วนตัวที่ไม่ได้ติดต่อสถานทูต 3 คนคือ ร.ท.ประยูรฯ, นายเดือน บุนนาค, นายเข็ม ณ ป้อมเพ็ชร, เป็นตัวแทนของสมาคมเดินทาง ไปร่วมประชุมกับนักเรียนไทยในกรุงลอนดอน ร.ท.ประยูรฯ มีหนังสือเดินทางที่ยังไม่ขาดอายุจึงเดินทางไปได้ ส่วนนายเดือนกับนายเข็มต้องขอหนังสือเดินทางใหม่ สถานทูตจึงตั้งเงื่อนไขว่าจะออกหนังสือเดินทางให้ต่อเมื่อทั้ง สองคนให้สัญญาว่าจะไม่ร่วมประชุมกับนักเรียนอังกฤษ
(2)
ในการประชุมพิเศษครั้งนั้นที่ประชุมเห็นต้องกันว่า นักเรียนส่วนข้างมากที่ได้ร่วมประชุมสมาคมฯ นั้นมีจิตสำนึกสูงแล้วที่สามารถร่วมในการเปลี่ยนระบบสมบูรณาฯมาเป็นระบบราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญได้ตามระดับแห่ง ตามเหมาะสมของสภาพของแต่ละคน ฉนั้นจึงเป็นการสมควรที่ปรีดีกับเพื่อน 5 คนนั้นและ ร.ท.ประยูรฯ อีกคนหนึ่ง ได้ร่วมกันเตรียมการก่อตั้ง “คณะ (ปาร์ตี้)” ขึ้นเป็นการลับเพื่อเป็นแกนกลางแห่งขบวนการเปลี่ยนระบบปกครองดังกล่าวนั้นขึ้นมาก่อนแล้วค่อย ๆชวนเพื่อคนอื่นให้เข้าร่วม
ที่ประชุมเห็นชอบพร้อมกันที่จะเตรียมการเพื่อก่อตั้ง “คณะ” (ปาร์ตี้)แล้ว ได้ปรึกษากันว่าเมื่อมีคณะก็ต้องมีชื่อคณะให้กระทัดรัดแสดงว่าเป็นคณะที่เป็นกองหน้าของราษฎร และเสียสละเพื่อราษฎร เมื่อพิจารณาชื่อต่าง ๆ ที่มีผู้เสนอแล้วจึงตกลงกันใช้ชื่อ คณะว่า “คณะราษฎร” ซึ่งเป็นมงคลนามดังที่ข้าพเจ้ากล่าวแล้วในข้อ 6.3.
ส่วนหลักการ, วิธีการ, ข้อบังคับ, วินัย, เกี่ยวกับคณะนั้นให้ต่างคนต่างร่วมศึกษาค้นคว้าเปรียบเทียบตัวอย่างของคณะต่าง ๆ เพื่อนําไปปรึกษาในที่ประชุมก่อตั้งคณะราษฎรซึ่งจะได้กําหนดให้มีขึ้นในต้นปีคริสตศักราช 1927 ปฏิทินไทยขณะนั้นยังเป็น พ.ศ. 2469 เพราะ พ.ศ. 2470 ตั้งต้นเมื่อ 1 เมษายน)
อนึ่ง สมัยนั้นสถานทูตสยามประจำกรุงปารีสมีระเบียบว่า นักเรียนที่มีผลการศึกษาดีก็จะได้เดินทางกลับสยามอัตราคนโดยสารขั้นที่ 1 แต่สถานทูตเห็นว่าข้าพเจ้ายังมีความผิดติดค้างอยู่จึงให้ข้าพเจ้าเดินทางอัตราขั้นที่ 2 เพื่อนสมาชิกสมาคมฯ ซึ่งได้ทราบเรื่องนี้จึงได้สละเงินคนละเล็กคนละน้อยเพื่อให้นายปรีดีเพิ่มตั๋วขั้นที่ 2 เป็นขั้นที่ 1 ซึ่งแสดงถึงความเป็นปึกแผ่นของสมาชิกสามัคยานุเคราะห์สมาคมกับนายปรีดีและเป็นครั้งแรกที่นายปรีดีได้นำการต่อสู้และเคลื่อนทางการเมืองเพื่อความเป็นธรรมอย่างเป็น ‘รูปธรรม’ ก่อนการอภิวัฒน์ 2475 และนายปรีดีกล่าวไว้ในเวลาต่อมาว่า
“การ “ก่อตั้งคณะราษฎร” ณ กรุงปารีสนั้นเป็นการดําเนินต่อจากพื้นฐานที่สามัคยานุเคราะห์สมาคม ได้ก่อหวอดไว้”
ข้อเท็จจริงในการประชุมก่อตั้งคณะราษฎรในบันทึกประกอบคำประท้วงของนายปรีดี พนมยงค์
นายปรีดีบันทึกข้อเท็จจริงในการประชุมก่อตั้งคณะราษฎรไว้อย่างละเอียดดังนี้
“เมื่อปรีดีสอบได้ปริญญาเอกในต้นปี พ.ศ. 1927 (ปฏิทินไทยขณะนั้นยังเป็น พ.ศ. 2469) แล้วจึงได้ปรึกษาเพื่อนที่อยู่ในปารีสถึงสถานที่และวันที่จะประชุมก่อตั้งคณะราษฎร
(1)
สถานที่นั้นเห็นควรเช่าห้องใหญ่ในบ้านพักหมายเลขที่ 5 แห่งถนน ดี ซอมเมอราด์ (Rue du Sommerard) ซึ่งอยู่ใกล้ ๆ กับอาคารที่ปรีดีกับร.ท. แปลกเช่าห้องอยู่ และเป็นอาคารที่ปรีดีในฐานะสภานายกสมาคม ได้เคยจัดหาให้เพื่อนนักเรียนอาศัยอยู่(ร.ท.ประยูร ก็ได้เช่าห้องขนาดย่อมอาศัยอยู่ที่อาคารนั้น)
(2)
ส่วนวันประชุมนั้นสําหรับเทียนที่อยู่ในปารีสหรือใกล้ปารีสก็พร้อมที่จะประชุมได้ทุกวัน แต่สําหรับนายตั้ว ลพานุกรมนั้นอยู่ที่สวิตเซอร์แลนด์จําเป็นต้องเดินทางเป็นการลับไปปารีสโดยมิให้อัครราชทูตทราบ (สมัยนั้นสถานทูตมีระเบียบว่านักเรียนที่อยู่นอกกรุงปารีสและอยู่ในประเทศอื่นจะเข้ามากรุงปารีสก็ต่อเมื่อได้รับอนุญาตจากสถานทูต) เมื่อปรีดีได้ทราบว่านายตั้วจะเดินทางมาปารีสได้ในวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2469 จึงได้นัดประชุมก่อตั้งคณะราษฎรในวันที่ 5 กุมภาพันธ์ โดยเพื่อนได้ช่วยกันออกเงินค่าเช่าห้องใหญ่แห่งบ้านพักดังกล่าวเป็นที่ประชุมให้สมเกียรติพอสมควร และใช้เวลาประชุม 3 วัน เพราะมีเรื่องสําคัญต้องปรึกษากันให้ตกลงเป็นเอกฉันท์
(3)
ผู้ร่วมประชุมจํานวน 7 คน คือ ปรีดีกับเพื่อน 5 คน…”
นายปรีดีได้เสนอให้เห็นว่าข้อมูลเรื่องการก่อตั้งคณะราษฎรจากบันทึกเรื่อง หนังสือชีวิต 5 แผ่นดินของข้าพเจ้า โดยนายประยูร ภมรมนตรี มีข้อมูลคลาดเคลื่อนจากข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ดังต่อไปนี้
พล.ท.ประยูรฯ ได้กล่าวไว้ใน “สรุปการปฏิวัติ” ของท่านซึ่งข้าพเจ้าได้คัดมาลงพิมพ์ไว้ในข้อ 2. แล้วนั้น ท่านนายพลผู้นี้ได้ปฏิเสธไม่รู้ไม่เห็นด้วยในการ “ก่อตั้งคณะราษฎร” และท่านได้ปฏิเสธ “หลัก 6 ประการ” ของคณะราษฎร และปฏิเสธหัวหน้าส่วนรวมและหัวหน้าฝ่ายต่าง ๆ ของคณะราษฎร ฯลฯ ดังที่ข้าพเจ้าได้ชี้แจงความจริงไว้ในหลายข้อก่อน ๆ แล้ว
ในหนังสือของพล.ท.ประยูรฯ หน้า 99-101 ท่านนายพลผู้นี้จึงกล่าวถึงการที่ท่าน“ริเริ่ม”ชักชวนหรือที่ สํานักพิมพ์เรียกว่า “ชักจูง”ข้าพเจ้า (ปรีดี), ร.ท.แปลก ขีตตะสังคะ (หลวงพิบูลสงคราม), ร.ต.ทัศนัย มิตรภักดี (หลวงทัศนัยนิยมศึก), ดร.ตั้ว ลพานุกรม, นายแนบ พหลโยธิน, ให้ร่วมคิดเปลี่ยนแปลงการปกครองฯ และท่านว่า ข้าพเจ้าชวนเพื่อนได้คนเดียวคือ “หลวงศิริราชไมตรี” (จรูญ สิงหเสนี) ให้ร่วมคิดด้วยนั้น
ครั้นแล้ว พล.ท. ประยูรฯ อ้างต่อไปว่าท่านได้จัดให้เริ่มเปิดการประชุมคิดเปลี่ยนแปลงการปกครองขึ้นที่ “บ้านพักของท่านตั้งอยู่บนถนนดี ซอมเมอราด์ หมายเลข 5 นั้นเมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2467” อันเป็นวันที่ท่านนายพลฯ กล่าวว่า “ข้าพเจ้า(ประยูรฯ) ได้ถือเป็นวันอุดมมงคลฤกษ์ซึ่งตรงกับวันเกิดของข้าพเจ้า (ประยูรฯ)”
ผู้อ่านหนังสือของพล.ท.ประยูรฯ หลายคนจึงหลงเข้าใจผิดว่า บุคคลอีก 6 คน (นอกจากตัวร.ท.ประยูรฯ) นั้นได้ยอมอยู่ภายใต้คำ “ชักจูง” ของร.ท. ประยูรฯ ถึงขนาดที่ “ถือเอาวันคล้ายวันเกิดของร.ท.ประยูรฯ เป็นอุดมมงคลฤกษ์” ในการก่อตั้งคณะเปลี่ยนแปลงการปกครองฯและยอมถือเอา “บ้านพัก” ของร.ท. ประยูรฯ เป็นที่ประชุมครั้งแรก คําว่า “บ้านพัก” นี้ในหนังสือของพล.ท.ประยูรฯ หน้า 128 ท่านนายพลผู้นี้เขียนว่า “ร่วมประชุมครั้งแรกที่ “บ้านข้าพเจ้า” (ประยูร) รวมทั้งหมด : 7 คน
นายปรีดีได้เสนอข้อสังเกตเปรียบเทียบเกี่ยวกับการก่อตั้งคณะราษฎรไว้เป็นเบื้องต้น 6 ประการ ได้แก่
“(ก)
รายชื่อบุคคล 7 คนตรงกับรายชื่อของบุคคลที่ร่วมก่อตั้งคณะราษฎร ณ กรุงปารีสเมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2469 ซึ่งข้าพเจ้าได้กล่าวถึงไว้ในหนังสือของข้าพเจ้าเรื่อง “บางเรื่องเกี่ยวกับ เกี่ยวกับการก่อตั้งคณะราษฎร ฯลฯ” พิมพ์เมื่อ พ.ศ. 2515
(ข)
ถ้าสมมติว่าการประชุมครั้งแรกเป็นปี พ.ศ. 2467 ตามที่พล.ท.ประยูร อ้างไว้เช่นนั้น ร.ท.ประยูร ที่เพิ่งเดินทางไปถึงปารีสได้เพียงไม่กี่เดือน และท่านเพิ่งเรียนภาษาฝรั่งเศสเพื่อเตรียมจะเข้าเรียนในโรงเรียนรัฐศาสตร์ และยังไม่ได้เข้าเรียน จึงทําให้ผู้ซื้อหนังสือของท่านหลงเข้าใจผิดว่าร.ท.ประยูรฯ มีความปรีชาสามารถ “ชักจูง”บุคคลดังกล่าวให้ยอมอยู่ภายใต้การนําของท่าน
อนึ่ง ข้อเท็จจริงที่เป็นจริงอีกอย่างหนึ่ง คือ พ.ศ. 2467 นั้น นายแนบ พหลโยธินศึกษาอยู่ในประเทศอังกฤษ สังกัดสถานทูตสยามประจํากรุงลอนดอน นายแนบฯเพิ่งย้ายมาศึกษาต่อขั้นปริญญาเอกที่กรุงปารีสใน พ.ศ. 2468 ภายหลัง 1 ปีจากวันที่ พล.ท.ประยูรฯ อ้างไว้ว่านายแบบมาได้ประชุมด้วยที่บ้านของ พล.ท.ประยูรฯ
(ค.)
สมัยนั้นมีอาคารหนึ่งตั้งอยู่ที่ถนน “ดี ซอมเมอราด์” ( Rue du Sommerard) หมายเลข 5 ห่างจากอาคารที่ข้าพเจ้ากับร.ท. แปลกฯ เช่าห้องอยู่ประมาณ 80 เมตร อาหารหมายเลข 5 ดังกล่าวนั้นมีห้องเล็กและห้องใหญ่ให้คนเช่า ข้าพเจ้าในฐานะสภานายกสามัคยานุเคราะห์สมาคมได้เคยจัดให้นักเรียนไทยไปเช่าอยู่ตามฐานะ ของแต่ละคนที่จะสามารถเสียค่าเช่าห้องขนาดใด ร.ท.ประยูรฯ เขียนไว้ในหนังสือของท่านว่า ท่านได้ทุนเล่าเรียนหลวง ฉนั้นห้องที่ ร.ท.ประยูรฯ เช่าอยู่จึงเป็นขนาดย่อมตามฐานะขณะนั้นของท่าน
ส่วนผู้ร่วมประชุมอีก 6 คนนั้นบางคนเป็นนักเรียนที่สถานทูตจัดให้เป็นขั้น “อาวุโสสูง” (Super Senior) ซึ่งได้เงินเดือนและค่าใช้จ่ายมากกว่านักเรียนขั้นอาวุโสธรรมดา ส่วนอีกคนหนึ่งเป็นเลขานุการสถานทูตได้เงินเดือนมากกว่านักเรียน คือ รองอํามาตย์เอก หลวงสิริราชไมตรี ฉนั้นถ้าผู้ใดหลงเชื่อว่าผู้ร่วมประชุมอีกคนนั้นไปอาศัยห้องขนาดย่อมของ ร.ท.ประยูรฯ (ที่ท่านผู้นี้เรียกว่า “บ้านพัก” หรือ “บ้านข้าพเจ้า”) เป็นที่ประชุมแล้วก็จะต้องเข้าใจผิดไปได้ว่าบุคคล 6 คนนั้นไม่มีน้ําใจเป็นนักกีฬาที่จะช่วยกันออกเงินเช่าห้องใหญ่ในอาคารนั้นเป็นที่ประชุม อันเป็นการเอาเปรียบ ร.ท.ประยูรฯ มากที่ไปอาศัยห้องเล็กของ ร.ท.ประยูรฯ เป็นที่ประชุมเบียดเสียดเบียดกันถึง 7 คน และจะไม่ปลอดโปร่งในการประชุมเรื่องสําคัญ
แต่การประชุม “ก่อตั้งคณะราษฎร” ในวันที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2469 นั้น ผู้ก่อตั้งฯได้ช่วยกันออกเงินค่า “ห้องใหญ่” เป็นที่ประชุมให้สมเกียรติแก่การ “ก่อตั้งคณะราษฎร” ซึ่งต้องใช้เวลา 3 วันในการประชุมนั้นเพราะต้องปรึกษาเรื่องสําคัญต่าง ๆ ให้ตกลงกันเป็นเอกฉันท์
(ง)
ผู้ร่วมเข้าประชุมมิได้รู้มาก่อนว่าวันประชุมวันแรกนั้นตรงกับวันคล้ายวันเกิดของ ร.ท.ประยูรฯ หากรู้ก่อนแล้วก็จะไม่ถือเอาวันนั้นเป็นอุดมมงคลฤกษ์ เพราะจะเปิดโอกาสให้ ร.ท.ประยูรฯ ฉลองวันคล้ายวันเกิดของท่านให้เมื่อเสร็จเสียก่อน แล้วประชุมก่อตั้งคณะราษฎรในวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2469 ก็ได้
(จ)
ร.ท.ประยูรฯ จะใช้เหตุผลอย่างใดบ้างจึงจะทําให้เพื่อนอีก 6 คนยอมอยู่ภายใต้การ “ชักจูง” ของท่านนั้น ข้าพเจ้าจะเสนอให้ท่านที่ปรารถนาสัจจะวิเคราะห์วิจารณ์ในข้อ 18, 20, 21, ว่าสมเหตุสมผลสมควรเพียงใดหรือไม่
(ฉ)
ส่วนการ “ก่อตั้งคณะราษฎร” ณ กรุงปารีสนั้นเป็นการดําเนินต่อจากพื้นฐานที่สามัคยานุเคราะห์สมาคม ได้ก่อหวอดไว้…”
จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่นายปรีดี พนมยงค์ เขียนถึงข้อเท็จจริงเรื่องการประชุมก่อตั้งคณะราษฎรก่อนการอภิวัฒน์สยาม 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 ชี้ให้เห็นว่ายังมีแง่มุมทางประวัติศาสตร์ใหม่ และมีคุณค่าให้ศึกษาค้นคว้าอย่างไม่รู้จบ ตราบใดที่การอภิวัฒน์ยังไม่นำไปสู่ประชาธิปไตยสมบูรณ์
หมายเหตุ :
- คงอักขร การสะกดคำศัพท์ การเว้นวรรคตามเอกสารต้นฉบับ
- ภาพประกอบจากบันทึกประกอบคำประท้วงของนายปรีดี พนมยงค์
บรรณานุกรม
หลักฐานชั้นต้น :
- ปรีดี พนมยงค์, บันทึกประกอบคำประท้วงของนายปรีดี พนมยงค์, (มปท., มปป.)