ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก
เกร็ดประวัติศาสตร์

รำลึกวันสวรรคต รัชกาลที่ 7: เมื่อความต่างทางการเมืองไม่อาจทำลายสายสัมพันธ์ส่วนพระองค์

30
พฤษภาคม
2568

วันที่ 30 พฤษภาคม 2484 เป็นวันที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 7) เสด็จสวรรคตด้วยพระชนมายุเพียง 48 พรรษา ณ ประเทศอังกฤษ หลังทรงสละราชสมบัติได้เพียง 6 ปี ก่อนสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี จะทรงจัดพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพอย่างเรียบง่ายที่สุสานโกลเดอร์สกรีน กรุงลอนดอน

การรำลึกถึงพระมหากษัตริย์ผู้ทรงอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อทางประวัติศาสตร์การเมืองไทยนี้ นอกจากจะเป็นการสดุดีพระเกียรติคุณของพระองค์แล้ว ยังเปิดโอกาสให้เราได้ย้อนพินิจถึงความสัมพันธ์ระหว่างรัชกาลที่ 7 กับผู้นำคณะราษฎร ซึ่งมักถูกตีความคลาดเคลื่อนในหน้าประวัติศาสตร์ ด้วยข้อกล่าวหาว่า “คณะราษฎรล้มล้างหรือใส่ร้ายพระปกเกล้าฯ โดยไม่มีมูล”

บทความนี้จึงมุ่งนำเสนอหลักฐานเชิงประจักษ์จากจดหมาย ลายพระหัตถ์ บันทึกความทรงจำ ปาฐกถา และบทความวิชาการ เพื่อหักล้างมายาคติดังกล่าว และยืนยันว่า แม้จะทรงมีความเห็นต่างทางการเมือง กับคณะราษฎร แต่ไม่มีความบาดหมางใดในทางส่วนพระองค์ ตลอดจนคณะราษฎรได้ทูลถวายพระเกียรติแด่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ อย่างเต็มที่เสมอมา

 


ภาพถ่ายจากงานเลี้ยงปีใหม่ พ.ศ. 2464 (ค.ศ. 1921) ณ กรุงปารีส ซึ่งเป็นปีที่สมเด็จพระปกเกล้าฯ ทรงได้รับแต่งตั้งเป็นรัชทายาท และเป็นปีสุดท้ายที่ทรงประทับอยู่ในฝรั่งเศสก่อนเสด็จนิวัตประเทศไทย ภายในภาพมีนายปรีดี พนมยงค์ และนักเรียนไทยในปารีส เข้าร่วมงานเลี้ยงด้วย
ที่มา : หนังสือ Memoire ความทรงจำของข้าพเจ้า โดย ทวี อิศรเสนา ณ อยุธยา

 

หลังอภิวัฒน์ 2475: จากความขัดแย้งสู่ความประนีประนอม

การเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2475 นำโดยคณะราษฎร เป็นจุดสิ้นสุดของระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ และจุดเริ่มต้นระบอบราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญประชาธิปไตย แม้เหตุการณ์ครั้งนั้นจะเกิดขึ้นโดยไม่เสียเลือดเนื้อ แต่ถ้อยคำในประกาศคณะราษฎร ฉบับที่ 1 ถูกนำมาโจมตีในภายหลังว่าเป็นการ “ใส่ร้าย” พระมหากษัตริย์ โดยปราศจากมูลความจริง

การที่คณะราษฎรได้ขอพระราชทานอภัยต่อพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ ภายหลังจากการเปลี่ยนแปลงการปกครอง มิได้หมายความว่าเนื้อหาในประกาศคณะราษฎร “เป็นเท็จ” หากแต่เป็นการขออภัยในถ้อยคำที่รุนแรงซึ่งใช้ในบริบทของการอภิวัฒน์ (Revolution) เพื่อมุ่งผลสำเร็จเป็นสำคัญ เมื่อสถานการณ์คลี่คลาย ก็ได้มีการประนีประนอมและแสดงไมตรีจิตตามจารีตอันดีงามของสังคมไทย การขออภัยดังกล่าวจึงมิใช่การยอมรับว่าคณะราษฎรได้ใส่ความโดยปราศจากมูลเหตุ หรือสำนึกผิดในการเปลี่ยนแปลงการปกครองแต่อย่างใด หากเป็นการแสดงความเคารพต่อพระมหากษัตริย์โดยไม่ละทิ้งหลักการที่ยึดถือ


[อ่าน “ปรีดี พนมยงค์ ชี้แจงมูลเหตุของการอภิวัฒน์ 2475” ได้ที่นี่ https://pridi.or.th/th/content/2023/06/1583]


อย่างไรก็ตาม เอกสารร่วมสมัยหลายฉบับ ทั้งพระราชหัตถเลขา บันทึกภายในราชสำนัก และคำให้การของฝ่ายคณะราษฎร สะท้อนข้อเท็จจริงว่า แม้พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ จะเคยมีพระราชดำริที่จะพระราชทานรัฐธรรมนูญ แต่ไม่ได้ทรงแจ้งแถลงพระราชประสงค์นั้นให้สาธารณชนทราบ และไม่ได้ดำเนินการอย่างเป็นรูปธรรมด้วยพระองค์เอง การดำเนินการของคณะราษฎรจึงเกิดขึ้นจากความไม่รู้เรื่องกัน และไม่มีหลักฐานว่าคณะราษฎรรู้ล่วงหน้าเกี่ยวกับพระราชประสงค์นั้น

พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ ได้ทรงรับสั่งว่า “ที่คณะราษฎรทำไปไม่ทรงโกรธกริ้วและเห็นใจ เพราะไม่รู้เรื่องกัน” [1]

นอกจากนี้ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ ยังได้มีพระมหากรุณาธิคุณ ทรงลงพระปรมาภิไธยในพระราชกำหนดนิรโทษกรรมในคราวเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 โดยมีข้อความรับรองอย่างชัดเจนว่าการกระทำของคณะราษฎร “เป็นไปด้วยเจตนาดีต่อประเทศชาติอาณาประชาราษฎรแท้ ๆ” และมิได้มีเจตนาโค่นล้มราชบัลลังก์หรือประทุษร้ายแต่อย่างใด ซึ่งนับเป็นการยืนยันสถานะทางกฎหมายและความชอบธรรมของคณะราษฎรอย่างเป็นทางการ

 

“อันที่จริงการปกครองด้วยวิธีมีพระธรรมนูญการปกครองนี้ เราก็ได้ดำริอยู่ก่อนแล้ว ที่คณะราษฎรคณะนี้กระทำมาเป็นการถูกต้องตามนิยมของเราอยู่ด้วยและด้วยเจตนาดีต่อประเทศชาติ อาณาประชาชนแท้ๆ จะหาการกระทำหรือเพียงเจตนาชั่วร้ายแม้แต่น้อยก็มิได้"

พระราชหัตถเลขาฉบับ 26 มิถุนายน 2475

 


อย่างไรก็ดี แม้พระองค์จะเคยมีพระราชดำริในเชิงเห็นด้วยกับการเปลี่ยนแปลงการปกครองสู่ระบอบรัฐธรรมนูญ หากแต่ในช่วงภายหลัง ทรงมีข้อเรียกร้องหลายประการต่อรัฐบาล เช่น การขอแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 39 เพื่อให้พระมหากษัตริย์สามารถวีโต้กฎหมายและยุบสภาโดยอัตโนมัติ ซึ่ง สะท้อนว่าพระองค์ยังทรงมีมุมมองที่แตกต่างจากหลักการประชาธิปไตยแบบรัฐสภาสมัยใหม่ และเป็นหนึ่งในสาเหตุสำคัญที่นำไปสู่การสละราชสมบัติในที่สุด


ดังนั้น การขอพระราชทานอภัยโทษของคณะราษฎรต่อพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ จึงเป็นการแสดงไมตรีจิตและขอขมาในด้านถ้อยคำรุนแรง มิใช่การยอมรับว่าได้กระทำผิดในการเปลี่ยนแปลงการปกครอง หากแต่เป็นการประคับประคองเสถียรภาพของรัฐในช่วงรอยต่อของระบอบใหม่ โดยยังยึดมั่นในความเคารพต่อพระมหากษัตริย์และหลักการประชาธิปไตยควบคู่กัน

 

พระราชทานรัฐธรรมนูญ 2475 ด้วยพระราชหฤทัย

มีผู้พยายามสร้างความเข้าใจผิดว่า พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ ทรงจำใจต้องพระราชทานรัฐธรรมนูญ 10 ธันวาคม 2475 แต่ข้อเท็จจริงจากคำบอกเล่าของนายปรีดี พนมยงค์ และเอกสารราชการในขณะนั้นแสดงชัดว่า พระองค์ทรงยินดีพระราชทานรัฐธรรมนูญโดยสมัครพระราชหฤทัย ไม่ใช่เพราะถูกบีบบังคับ

ก่อนพิธีพระราชทานรัฐธรรมนูญ พระองค์เสด็จพระราชดำเนินไปยังพระที่นั่งอนันตสมาคม เพื่อบัญชาการซ้อมพิธีด้วยพระองค์เอง ทรงกำหนดลำดับขบวน และทรงเรียกพระยามโนปกรณ์นิติธาดา พระยาพหลพลพยุหเสนา และนายปรีดีไปเฝ้า เพื่อกำหนดขั้นตอนอย่างละเอียด เป็นการแสดงความตั้งพระทัยในการยกสถานะของรัฐธรรมนูญให้เป็นของปวงชนชาวไทยอย่างแท้จริง

ในวันพระราชทานรัฐธรรมนูญ เจ้าประเทศราชทั่วประเทศได้มาเข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทอย่างพร้อมเพรียง แสดงการยอมรับและสนับสนุนรัฐธรรมนูญ ได้แก่ เจ้าแก้วนวรัฐแห่งนครเชียงใหม่ เจ้าจักรคำจรแห่งลำพูน พระยาพิพิธเสนามาตย์แห่งยะหริ่ง พระยาภูผาฯ แห่งระแงะ และเชื้อสายราชวงศ์จากหลายภาคส่วนที่แสดงความชื่นชมอย่างเปิดเผย

รัฐธรรมนูญฉบับถาวรนี้ผ่านการพิจารณาจาก “ผู้แทนราษฎรชั่วคราว” ที่คณะราษฎรแต่งตั้งขึ้นในช่วงเปลี่ยนผ่าน ซึ่งเป็นบุคคลหลากหลายวงศ์ตระกูล รวมถึงชนชั้นสูงจากระบอบเดิม ได้แก่ เจ้าพระยาวงศานุประพัทธ์ เจ้าพระยาพิชัยญาติ เจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรี พระยาอุดมพงศ์เพ็ญสวัสดิ์ หลวงเดชาติวงศ์ หลวงเทพหัสดิน และอีกหลายท่านที่สืบเชื้อสายจากราชตระกูล

ในจำนวน 70 คน มีสมาชิกคณะราษฎรเพียง 31 คน ที่เหลือล้วนเป็นบุคคลในวงราชการและราชสำนัก โดยมีเสียงสนับสนุนรัฐธรรมนูญฉบับนี้อย่างเป็นเอกฉันท์ เป็นหลักฐานยืนยันว่า รัฐธรรมนูญ 10 ธันวาคม 2475 มิใช่ผลงานของคณะราษฎรฝ่ายเดียว หากเป็นฉันทามติจากผู้นำหลากหลายฝ่ายในสังคมขณะนั้น

พระยามโนปกรณ์นิติธาดา ในฐานะประธานคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ ได้แถลงต่อที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร เมื่อวันศุกร์ที่ 25 พฤศจิกายน 2475 โดยยืนยันว่า ร่างรัฐธรรมนูญฉบับถาวร (ซึ่งต่อมาเรียกว่าฉบับ 10 ธันวาคม 2475) ได้มีการติดต่อและประสานงานกับพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ มาโดยตลอด ซึ่งปรากฏหลักฐานในรายงานการประชุมสภาดังนี้

"อนึ่ง ข้าพเจ้า (พระยามโนฯ) ขอเสนอด้วยว่า ในการร่างพระธรรมนูญนี้อนุกรรมการได้ติดต่อกับสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวตลอดเวลา จนถึงอาจจะกล่าวได้ว่าได้ร่วมมือกันทำข้อความตลอด ในร่างที่เสนอมานี้ ได้ทูลเกล้าฯถวายและทรงเห็นชอบด้วยทุกประการแล้ว และที่กล่าวได้ว่าทรงเห็นชอบนั้น ไม่ใช่แต่เพียงทรงเห็นชอบด้วยอย่างข้อความที่กราบบังคมทูลเกล้าขึ้นไป ยิ่งกว่านั้น เป็นที่พอพระราชหฤทัยมาก”

นายปรีดีเห็นว่า ธรรมนูญสองฉบับแรกดังกล่าว โดยเฉพาะในรัฐธรรมนูญฉบับ 10 ธันวาคม 2475 พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงโอนพระราชอำนาจมาให้ประชาชนเพื่อให้มีสภาเดียวอันถือว่า เป็น “สังคมสัญญา” ระหว่างพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ ในฐานะทรงเป็นตัวแทนระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์กับปวงชนชาวไทย และได้ทรงโอนพระราชอำนาจนั้นด้วยความเต็มพระทัยมิได้ถูกบังคับหรือโดยเสียมิได้ที่จำต้องพระราชทานแต่อย่างใด

[อ่าน ข้อเท็จจริงบางประการเกี่ยวกับการพระราชทานรัฐธรรมนูญได้ที่นี่: https://pridi.or.th/th/content/2024/03/1898]

อีกหนึ่งหลักฐานที่สะท้อนว่าพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ ทรงสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านในระบอบใหม่  คือพระราชหัตถเลขาลงวันที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2476 ที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ ทรงมีถึงพระยาพหลพลพยุหเสนา นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น เพื่อขอให้ดำรงตำแหน่งต่อไป แม้พระยาพหลฯ จะขอลาออกโดยอ้างเหตุผลด้านความรู้และภาระหน้าที่ ความตอนหนึ่งระบุว่า

“ข้าพเจ้าเห็นว่าคุณสมบัติอันสำคัญยิ่งของนายกรัฐมนตรีก็คือเป็นผู้ได้รับความเชื่อถือไว้วางใจของประชาชนพลเมือง และเป็นผู้ที่สามารถยึดเหนี่ยวน้ำใจคนทั้งหลาย ประสานสามัคคีพร้อมเพรียงกัน ช่วยให้ราชการดำเนิรไปด้วยดีปราศจากอุปสรรคเป็นประโยชน์ดีงามแก่ชาติบ้านเมือง ในเวลาบัดนี้จะหาผู้ใดนอกจากตัวท่านที่จะบริบูรณ์ด้วยคุณสมบัติดังว่ามานี้ยากนัก”

พระองค์ยังทรงชี้แจงถึงเหตุผลที่ไม่สามารถอนุญาตให้ลาออกได้ ด้วยทรงห่วงใยความมั่นคงของบ้านเมือง และทรงยืนยันว่าการดำรงตำแหน่งของพระยาพหลฯ ไม่ใช่การผิดคำพูดหรือผิดสัตย์ในทางใด หากเป็นความจำเป็นเพื่อผลประโยชน์ของชาติ

 


พระราชหัตถเลขา ลงวันที่ 3 กรกฎาคม 2476 จากพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ถึงพระยาพหลพลพยุหเสนา ทรงขอให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีต่อไป เพื่อความมั่นคงของบ้านเมือง
[อ่านพระราชหัตถเลขาฉบับเต็มได้ที่นี่: https://pridi.or.th/th/content/2025/05/2492]

 

ข้อเท็จจริงเรื่องการสละราชสมบัติ

เมื่อความเห็นต่างทางการเมืองระหว่างพระมหากษัตริย์กับผู้นำรัฐบาลทวีความซับซ้อนขึ้น โดยเฉพาะหลังกรณีกบฏบวรเดช (พ.ศ. 2476) พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ ทรงตัดสินพระราชหฤทัย สละราชสมบัติ ในวันที่ 2 มีนาคม 2477 พร้อมมีพระราชหัตถเลขาประกาศเหตุผลอย่างตรงไปตรงมาว่าทรงไม่อาจ “ครองราชสมบัติสมพระเกียรติ” ภายใต้เงื่อนไขการเมืองขณะนั้นได้[2]

แต่ที่สำคัญคือ พระองค์มิได้ทรงโกรธเคืองต่อคณะราษฎรเป็นการส่วนพระองค์ ดังความตอนหนึ่งในโทรเลขลงวันที่ 12 มีนาคม 2477 ที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สถานทูตไทย ณ กรุงลอนดอน แจ้งมายังรัฐบาลว่า

“ข้าพเจ้าและพระชายาขอบใจรัฐบาลที่ได้แสดงความหวังดีมา ข้าพเจ้ามีความเสียใจที่ข้าพเจ้าและรัฐบาลไม่สามารถตกลงกันได้ในปัญหาต่างๆ ซึ่งเรามีความเห็นแตกต่างกัน ข้าพเจ้าขอให้รัฐบาลมั่นใจว่า ข้าพเจ้ามิได้มีความรู้สึกโกรธขึ้งและแค้นเคืองด้วยเหตุการณ์ที่ได้เกิดขึ้นนั้นเลย และขอให้คณะรัฐบาลจงบรรลุความสำเร็จทุกประการ”

– ลงนาม “ประชาธิปก”

ข้อความข้างต้นถือเป็นคำยืนยันจากองค์พระประมุขเองว่า แม้จะทรงผิดหวังที่ตกลงกับรัฐบาลไม่ได้ แต่ก็มิได้ทรงผูกพระราชหฤทัยเป็นศัตรู หากยังทรงอำนวยพรให้รัฐบาลคณะราษฎรประสบความสำเร็จในการสร้างชาติบ้านเมืองต่อไป นับเป็นการ “ปิดเกม” ความขัดแย้งทางการเมืองอย่างมีน้ำใจนักกีฬา และมีพระราชจริยวัตรอันน่าเคารพยิ่ง

 


พระอิริยาบถในต่างแดน

 

บันทึกของนายปรีดี พนมยงค์ ในวาระครบรอบ 50 ปีประชาธิปไตย พ.ศ. 2525 ได้กล่าวถึงเรื่องนี้ไว้ชัดเจนว่า รัชกาลที่ 7 ทรงให้อภัยแก่คณะราษฎรอย่างแท้จริง และมิได้ทรงโกรธเคือง อีกทั้งยังมีพระราชหัตถเลขาที่แสดงพระราชประสงค์จะเสด็จกลับมาประทับที่จังหวัดตรัง ซึ่งรัฐบาลขณะนั้นก็กำลังพิจารณาเพื่อสนองพระราชประสงค์ แต่ยังไม่ทันดำเนินการ พระองค์ก็เสด็จสวรรคตเสียก่อน ท่านกล่าวไว้ดังนี้

"เมื่อท่านได้สละแล้วก็มีโทรเลขของเจ้าคุณพระพหลฯ กราบทูลฯ … 'รัฐบาลได้รับพระราชหัตถเลขาทรงสละราชสมบัติแล้วด้วยความโทมนัส' ... ท่านก็ไม่ได้โกรธเคือง ก็ถูกแล้วล่ะเวลานั้นภายหลังกบฏ (บวรเดช) ท่าน ก็ได้พูดหลายอย่าง เราก็ได้กราบทูลฯไป สิ่งที่จะทำให้ท่านได้ก็ได้ทำ ออกกฎหมายอะไรให้ แต่บางอย่างหลักการก็เป็นไปไม่ได้ แล้วท่านก็ได้ตอบมา แล้วท่านอวยพรให้รัฐบาลได้มีความสำเร็จในการงาน"

“ท่านก็จบ game ด้วยดีอย่าง sporting spirit แล้ว พอเข้ามาท่านก็ได้ชมเชยมีอยู่นิจตลอดไปเลย แล้วเราก็ไม่มีอะไร … ภรรยา (ท่านผู้หญิงพูนศุข) ไปเซ็นชื่อถวายพระพรอยู่เสมอ แล้วทำอย่างเสมอต้นเสมอปลาย ผมไปอังกฤษ ไปเฝ้าท่าน เป็นเช่นนี้ แต่พวกที่อยู่ห่างไกลไป เอาเรื่องนี้เข้ามา…”

“บางคนที่เคยเป็นมหาดเล็กชั้นต่ำของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ … พยายามที่จะฟื้นเอาเรื่องที่มีข้อขัดแย้งระหว่างพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ กับคณะราษฎรมาขยายความ เพื่อแสดงตนเป็นผู้นิยมราชาธิปไตยยิ่งกว่าพระราชาธิบดี ชนรุ่นใหม่ที่ต้องการสัจจะแท้จริง … ควรขอพระราชทานพระราชวโรกาสจากสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี … และเจ้านายใกล้ชิด เพื่อทราบพระราชทรรศนะที่แท้จริง”[3]

“พระองค์ได้เคยมีพระราชหัตถเลขาถึงรัฐบาลในขณะนั้นที่มีพระราชประสงค์จะเสด็จกลับมาประทับที่จังหวัดตรัง ตามฐานะแห่งพระราชอิสริยยศสมเด็จเจ้าฟ้าประชาธิปกซึ่งพระองค์ได้สงวนไว้ในการสละราชสมบัติ คณะรัฐบาลกำลังพิจารณาพระราชประสงค์นั้น แต่ก็ยังมิทันกราบบังคมทูลไป ครั้นแล้วพระองค์ก็เสด็จสวรรคต จึงเป็นที่น่าเสียดายของข้าพเจ้าและเพื่อนหลายคนในคณะราษฎร มหาดเล็กชั้นต่ำที่มิได้ตามเสด็จไปอยู่กับพระองค์ในอังกฤษไม่มีทางรู้เรื่องนี้”[4]

“เมื่อเสร็จสงครามแล้ว ข้าพเจ้าได้สถาปนาพระเกียรติของพระองค์ท่านให้คืนคงเป็นพระมหากษัตริย์ของประเทศไทยอย่างเต็มที่ ดังปรากฏในลายพระหัตถ์ของหม่อมเจ้าศุภสวัสดิ์วงศ์สนิท และพระกระแสรับสั่งของสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี”[5]

[อ่าน จดหมายลายพระหัตถ์ของท่านชิ้น เรื่อง ขอบคุณนายปรีดีที่สถาปนาคืนพระเกียรติของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ: https://pridi.or.th/th/content/2022/12/1368]

ภายหลังทรงสละราชสมบัติและเสด็จฯ ไปประทับ ณ ประเทศอังกฤษ ความสัมพันธ์ในทางส่วนพระองค์ระหว่างพระปกเกล้าฯ และคณะราษฎรยังคงดำเนินไปด้วยความเคารพและให้เกียรติกันเสมอ ฝ่ายรัฐบาลไทยได้ทูลเกล้าฯ ถวายสิทธิสวัสดิการที่เหมาะสมแก่ทั้งสองพระองค์ (พระปกเกล้าฯ และสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี) เพื่อทรงใช้จ่ายในการดำรงพระชนมชีพอย่างสมพระเกียรติในต่างแดน

โดยเฉพาะนายปรีดีและท่านผู้หญิงพูนศุข พนมยงค์ ซึ่งเคารพเทิดทูนพระองค์ในฐานะอดีตพระมหากษัตริย์ไทย ก็ยังคงแสดงไมตรีจิตอย่างสม่ำเสมอ เช่น ในวาระขึ้นปีใหม่หรือวันเฉลิมพระชนมพรรษา ท่านผู้หญิงพูนศุข จะไปลงนามถวายพระพรที่วังสุโขทัยเป็นนิจ ดังเช่นที่เคยกระทำเมื่อครั้งพระองค์ยังทรงดำรงพระราชสถานะ การแสดงออกเช่นนี้เป็นหลักฐานชัดเจนว่าคณะราษฎรมิได้มีท่าทีอาฆาตมาดร้ายในทางส่วนตัวต่อองค์พระประมุขผู้จากจรเลยแม้แต่น้อย

 

คนไทยทุกหมู่เหล่าสมานสามัคคี ในภารกิจเสรีไทย

 


สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี กับหัวหน้าและผู้นำเสรีไทยในไทย อังกฤษ และสหรัฐอเมริกา

 

ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 (พ.ศ. 2484-2488) เกิดพัฒนาการสำคัญที่ผลักดันสายสัมพันธ์ระหว่างอดีตราชวงศ์และผู้นำคณะราษฎรให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น กล่าวคือ ขบวนการเสรีไทย ซึ่งเป็นเครือข่ายต่อต้านญี่ปุ่นที่มีนายปรีดี พนมยงค์ ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ เป็นหัวหน้าขบวนการในประเทศ

ในส่วนของเสรีไทยสายอังกฤษนั้น ปรากฏว่า สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี (พระบรมราชินีในรัชกาลที่ 7) ได้ทรงมีส่วนร่วมสนับสนุนอย่างเงียบๆ โดยทรงลงพระนามเข้าร่วมเป็นสมาชิกเพื่อเป็นขวัญและกำลังใจให้คณะทำงาน แม้ขณะนั้นจะต้องเสด็จลี้ภัยการทิ้งระเบิดไปประทับยังแคว้นเวลส์ก็ตาม ขณะเดียวกัน หม่อมเจ้าศุภสวัสดิ์วงศ์สนิท สวัสดิวัตน (ท่านชิ้น) ซึ่งทรงเป็นพระเชษฐาในสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี ก็ทำหน้าที่เป็นแกนนำคนสำคัญของเสรีไทยสายอังกฤษ โดยประสานกับรัฐบาลอังกฤษและนายปรีดี พนมยงค์ในฐานะหัวหน้าเสรีไทยในประเทศ จากระยะไกล

ภารกิจเสรีไทยนี้นับเป็นจุดร่วมที่ทำให้ คนต่างสถานะ ต่างความคิด มาร่วมมือกันเพื่อชาติ กล่าวคือฝ่ายเจ้านายชั้นสูงและฝ่ายคณะราษฎรสามารถทำงานร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่ ด้วยเป้าหมายเดียวกันคือกอบกู้เอกราชอธิปไตยของประเทศคืนจากญี่ปุ่น

หลังสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 ราวปี พ.ศ. 2488-2489 สถานการณ์การเมืองในประเทศเอื้ออำนวยให้ฟื้นฟู พระเกียรติยศของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ ขึ้นอย่างเป็นทางการอีกครั้ง ในขณะนั้นนายปรีดี พนมยงค์ดำรงตำแหน่งสำคัญทางการเมือง (ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์และต่อมาเป็นนายกรัฐมนตรี) ได้ริเริ่มดำเนินการให้รัฐไทยเชิดชูสถานะของรัชกาลที่ 7 ในฐานะ อดีตพระมหากษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรี อย่างเต็มภาคภูมิ ดังที่หม่อมเจ้าศุภสวัสดิ์ฯ ได้เขียนจดหมายถึงนายปรีดีเมื่อเดือนมีนาคม พ.ศ. 2489 แสดงความซาบซึ้งใจไว้ว่า

“สมเด็จ (พระนางเจ้ารำไพพรรณี) ขอบพระทัยคุณหลวงและคุณพูนศุขมากที่ส่งเครื่องสักการะมาถวายพระบรมอัฐิ และพอพระทัยมากที่คุณหลวงได้ช่วยเหลือยังพระเกียรติของสมเด็จพระปกเกล้าฯ ให้คืนคงเป็นกษัตริย์ของประเทศเราอย่างเต็มที่ ทั้งความตั้งใจที่คุณหลวงจะพยายาม justify action ของท่านด้วย… สมเด็จทรงพอพระทัยมากและตรัสว่า ตกลงยอมรับให้คุณหลวงเข้าเป็น “สวัสดิวัตน” (คนหนึ่งของราชตระกูล)!”

 


จดหมายลายพระหัตถ์ของหม่อมเจ้าศุภสวัสดิ์วงศ์สนิท สวัสดิวัตน (ท่านชิ้น) ลงวันที่ 10 มีนาคม 2489 ถึงนายปรีดี พนมยงค์ แสดงความขอบพระทัยในนามของสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี
อ่านจดหมายฉบับเต็มได้ที่นี่: https://pridi.or.th/th/content/2022/12/1368

 

ข้อความจากจดหมายลายพระหัตถ์ข้างต้นสะท้อนภาพอันน่าประทับใจของความสัมพันธ์ สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี ทรงปีติยินดีที่นายปรีดีช่วยฟื้นฟูพระเกียรติยศของพระสวามี และถึงกับทรงรับสั่งเชิงหยอกเย้าว่ายอมรับนายปรีดี “เข้าเป็นคนในตระกูลสวัสดิวัตน” เลยทีเดียว นับเป็นพระอารมณ์ขันที่แสดงถึงความใกล้ชิดไว้วางพระราชหฤทัยต่อสามัญชนผู้นี้อย่างมาก

ขณะเดียวกัน หม่อมเจ้าศุภสวัสดิ์ฯ ซึ่งทรงเป็นทั้งพระญาติสนิทของพระปกเกล้าฯ และผู้นำเสรีไทย ก็ย้ำในจดหมายว่า ทุกคนในคณะของพระองค์ “appreciate” คุณหลวง (ปรีดี) อย่างจริงใจ และตั้งตาคอยจะได้พบปะสังสรรค์กันอีกในเร็ววัน จดหมายฉบับนี้จึงเป็นหลักฐานเชิงประจักษ์ที่ชัดเจนยิ่งว่า คณะราษฎรได้ถวายพระเกียรติแด่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ อย่างเต็มที่ หลังสงคราม โดยไม่มีความบาดหมางหลงเหลืออยู่เลยในระดับความสัมพันธ์ส่วนตัว

 

ความยุติทางกฎหมายหลังสละราชสมบัติ: คดียึดทรัพย์ และการคืนวังศุโขทัย

 


คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ พ.ศ. 2482 ในคดียึดทรัพย์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ และสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี

 

อีกช่วงหนึ่งที่มักไม่ถูกกล่าวถึงมากนัก แต่มีความสำคัญอย่างยิ่งในการเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับราชวงศ์ภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง คือกรณีพิพาทเรื่องทรัพย์สินส่วนพระองค์ของรัชกาลที่ 7 ซึ่งนำไปสู่การฟ้องร้องในชั้นศาลและมีคำพิพากษาศาลอุทธรณ์เมื่อ พ.ศ. 2482

ในคดีนี้ กระทรวงการคลังได้ยื่นฟ้องพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ และสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี เพื่อเรียกคืนทรัพย์สินที่รัฐบาลเห็นว่าเป็นของแผ่นดิน ไม่ใช่ทรัพย์สินส่วนพระองค์ และรวมถึงการยึดวังศุโขทัยซึ่งเป็นวังที่ประทับเดิมของพระองค์ คดีสิ้นสุดลงโดยศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษาให้จำเลยแพ้คดี และทรัพย์สินตกเป็นของรัฐ

อย่างไรก็ดี ในสมัยรัฐบาล พลเรือตรี ถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ เมื่อ พ.ศ. 2489 ซึ่งนายปรีดี พนมยงค์ เป็นรัฐบุรุษอาวุโส ได้มีการเจรจาไกล่เกลี่ยและประนีประนอมยุติข้อพิพาทนี้ โดยรัฐบาลทำสัญญาประนีประนอมกับสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี ไม่ดำเนินการเรียกทรัพย์เพิ่มอีก และถวายสิทธิให้ทรงกลับมาประทับ ณ วังศุโขทัยได้ตลอดพระชนมชีพ

การคืนวังศุโขทัยและการยุติข้อพิพาทนี้ มิใช่เพียงแค่การคืนทรัพย์สินเท่านั้น หากแต่เป็นการประสานไมตรีอย่างเป็นทางการระหว่างรัฐกับพระราชวงศ์ เป็นบทพิสูจน์ถึงความตั้งใจของนายปรีดีในการสมานฉันท์และฟื้นฟูความสัมพันธ์ให้กลับมาในบรรยากาศแห่งความเข้าใจและเกียรติยศ

นับแต่นั้น ความสัมพันธ์ในทางส่วนพระองค์ระหว่างสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี กับครอบครัวปรีดี–พูนศุข พนมยงค์ ก็แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น มีการติดต่อสื่อสารกันอย่างสม่ำเสมอ ท่านผู้หญิงพูนศุขเคยจัดส่งของขวัญ เช่น กุ้งแห้ง ไปถวายถึงประเทศอังกฤษ ซึ่งสมเด็จฯ ทรงมีลายพระหัตถ์ตอบขอบพระทัยกลับมาอย่างอบอุ่นและเป็นกันเอง ทั้งยังมีพระราชกระแสรับสั่งแสดงความพอพระทัยต่อการที่ท่านผู้หญิงพูนศุขและนายปรีดีลงนามถวายพระพรในโอกาสสำคัญอยู่เป็นนิจ สายใยแห่งไมตรีจิตนี้จึงดำรงอยู่เหนือความเปลี่ยนแปลงในทางการเมืองอย่างแท้จริง

 


ภาพจดหมายต้นฉบับพร้อมซองจากสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินีในรัชกาลที่ 7 ลงวันที่ 3 ตุลาคม 2489 ประทับตราไปรษณีย์จากกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ จ่าหน้าถึงท่านผู้หญิงพูนศุข พนมยงค์ ณ กรุงเทพฯ ภายในจดหมายทรงมีพระราชหัตถเลขาขอบใจที่ท่านผู้หญิงพูนศุขได้จัดส่ง “กุ้งแห้ง” ไปถวาย ซึ่งทรงโปรดอย่างยิ่งและมีพระราชดำรัสตอบถึงไมตรีจิตนั้นอย่างอบอุ่น
อ่านบทความ “เมื่อพูนศุขถวายกุ้งแห้ง” ได้ที่นี่: https://pridi.or.th/th/content/2022/01/944

 

หลายบุคคลได้มีการติดต่อสื่อสารและจัดส่งของขวัญจากเมืองไทยไปถวายสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี อย่างต่อเนื่อง ท่านผู้หญิงพูนศุข พนมยงค์ เป็นหนึ่งในผู้แสดงไมตรีจิตนั้น โดยได้จัดส่ง “กุ้งแห้ง” ไปถวายถึงประเทศอังกฤษ ผ่านทางหม่อมเจ้าศุภสวัสดิ์วงศ์สนิท (ท่านชิ้น) ต่อมาเมื่อวันที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2489 สมเด็จฯ ได้มีพระราชหัตถเลขาจากที่ประทับชั่วคราว ณ 11 Manchester Square, London มีความว่า:

“แม่ พูนศุข ทราบ กุ้งแห้งที่ฝากพี่ชิ้นมาให้นั้นได้รับนานแล้ว ขอบใจอย่างมากที่นึกถึง ฉันต้องขอโทษในการที่ไม่ได้ตอบไปให้ก่อนนี้ ไม่มีข้อแก้ตัวว่าอะไรเลยนอกจากว่าเหลวไหล ได้ของรับประทานอะไรที่เป็นของไทยแล้วดีใจเสมอ เพราะที่เมืองนี้ยาก กุ้งแห้งนั้นเวลานี้ได้รับประทานกันอร่อย และตัวโตดีด้วย…”

ในลายพระหัตถ์ฉบับเดียวกัน ยังทรงแสดงความห่วงใยถึงอาการป่วยของนายปรีดี โดยยังเรียกขานด้วยความคุ้นเคยว่า “คุณหลวงประดิษฐ์” ว่า:

“ได้ทราบว่าคุณหลวงประดิษฐ์ไม่ค่อยจะสบาย หวังว่าจะไม่เป็นอะไรมากมาย เห็นจะเป็นเพราะเหนื่อยมาก และยังจะมีเรื่องกวนใจอีกหลายเรื่องด้วย หวังว่าเวลานี้คงจะหายดีแล้ว…”

“…ในที่สุดนี้ขอขอบใจอีกที ฉันเห็นว่าแม่พูนศุขได้บุญมากที่ส่งของมาให้ หวังว่าสบายดีทั้งครอบครัว”

ล่วงมา พ.ศ. 2492 สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณีได้อัญเชิญ พระบรมอัฐิของรัชกาลที่ 7 กลับสู่ประเทศไทย เป็นการถาวร ซึ่งรัฐบาลไทยในขณะนั้น (จอมพล ป. พิบูลสงคราม) ได้ดำเนินการจัดพระราชพิธีรับพระบรมอัฐิอย่างสมพระเกียรติ และอัญเชิญพระบรมอัฐิขึ้นประดิษฐาน ณ พระวิมาน ชั้นบนของพระที่นั่งจักรีมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง เพื่อถวายบังคมและประกอบพิธีบรรจุในพระโกศจนเสร็จสิ้น เหตุการณ์นี้เป็นเสมือนบทสรุปทางประวัติศาสตร์ที่แสดงให้ประจักษ์ว่า ไม่มีฝ่ายใดคิดลบหลู่หรือผูกใจเจ็บกับอีกฝ่ายในระยะยาว ตรงกันข้าม ทั้งสองฝ่ายต่างร่วมมือกันเพื่อเทิดพระเกียรติยศและศักดิ์ศรีของชาติร่วมกัน

 

ทำลายมายาคติ: ต่างอุดมการณ์แต่ไม่ใช่ศัตรู

จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์ข้างต้น เราสามารถหักล้างมายาคติที่ว่า “คณะราษฎรเป็นผู้ล้มล้างหรือใส่ร้ายรัชกาลที่ 7 โดยไร้เหตุผล” ได้อย่างชัดเจน ทั้งพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ และผู้นำคณะราษฎรต่างก็เป็นผู้มีอุดมการณ์และความปรารถนาดีต่อชาติบ้านเมือง เพียงแต่มียุทธวิธีและทัศนะทางการเมืองที่แตกต่างกันในช่วงหนึ่งของประวัติศาสตร์ ความเห็นต่างดังกล่าว จำกัดอยู่ในกรอบของหน้าที่และหลักการ มิได้ลุกลามเป็นความอาฆาตพยาบาทส่วนบุคคลแต่อย่างใด

  1. หลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง พระปกเกล้าฯ ยังทรงร่วมมือกับรัฐบาลใหม่เท่าที่จะทรงทำได้ พร้อมทั้งทรงเน้นย้ำว่ามิได้ทรงโกรธเคืองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และทรงอำนวยพรให้คณะราษฎรประสบความสำเร็จในการบริหารประเทศ
  2. คณะราษฎรเองก็นบนอบเคารพในสถานะพระมหากษัตริย์ของรัชกาลที่ 7 ตลอดมา จะเห็นได้ว่าหลังพระองค์ทรงออกประทับที่อังกฤษ นายปรีดีและภริยา ก็แสดงความเคารพส่วนพระองค์อย่างสม่ำเสมอ ทั้งในรูปแบบการลงนามถวายพระพรและการเข้าเฝ้าฯ
  3. ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ยังร่วมมือกันในขบวนการเสรีไทย และหลังสงคราม นายปรีดีได้สถาปนาพระเกียรติของรัชกาลที่ 7 คืนอย่างเต็มที่ รวมถึงการอัญเชิญพระบรมอัฐิกลับไทยอย่างสมพระเกียรติในปี 2492 ซึ่งล้วนสะท้อนว่าคณะราษฎรมุ่งหมายจะให้พระองค์ทรงได้รับการจดจำและยกย่องอย่างที่พระมหากษัตริย์ทรงควรจะได้รับ

กล่าวโดยสรุป พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 และคณะราษฎรไม่ใช่ “ศัตรู” ในทางส่วนตัวต่อกัน หากแต่เป็นผู้ร่วมสมัยที่ต่างมีบทบาทนำในการเปลี่ยนผ่านระบอบการปกครองของไทย พระองค์ทรงวางพระองค์เหนือความขัดแย้งทางการเมืองและทรงประคับประคองความเป็นปึกแผ่นของชาติไว้ด้วยพระวิจารณญาณ ขณะที่คณะราษฎรก็แสดงออกถึงความเคารพเทิดทูนในสถาบันพระมหากษัตริย์ อย่างต่อเนื่อง มิตรภาพและความเข้าใจที่ทั้งสองฝ่ายมีต่อกันนี้เองที่ช่วยลดทอนความรุนแรงของความขัดแย้ง และทำให้การเปลี่ยนผ่านสู่ประชาธิปไตยเป็นไปได้โดยไม่สูญเสียความเป็นอันหนึ่งอันเดียวของชาติ

 


สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี ทรงมีพระราชเสาวนีย์ฝากขอบพระทัยนายปรีดีและท่านผู้หญิงพูนศุข พนมยงค์ ที่ส่งโทรเลขถวายพระพรเนื่องในวาระวันเฉลิมพระชนมพรรษาครบ 6 รอบ (72 พรรษา) ลงวันที่ 30 ธันวาคม 2519

 


ปรีดี-พูนศุข พนมยงค์ กับ หม่อมเจ้าหญิงอัปภัศราภา เทวกุล (ดิศกุล) และหม่อมเสมอ สวัสดิวัตน์ (ชายาหม่อมเจ้าศุภสวัสดิ์วงศ์สนิท) ณ บ้านอองโตนี ชานกรุงปารีส

 

บทส่งท้าย

ในวาระครบรอบ 84 ปีแห่งวันสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว การรำลึกถึงพระองค์จึงควรดำเนินควบคู่ไปกับความเข้าใจประวัติศาสตร์อย่างรอบด้าน ดังที่ได้เสนอมาแล้วข้างต้น ภาพลักษณ์ของ “พระมหากษัตริย์ผู้ถูกคณะราษฎรล้มล้าง” เป็นมายาคติที่ควรลบล้าง ด้วยข้อเท็จจริงที่ว่าพระองค์ทรงดำรงพระองค์อย่างสมพระเกียรติ ด้วยพระวิสัยทัศน์ประชาธิปไตยโดยสันติ ขณะเดียวกันคณะราษฎรก็มิได้มุ่งร้ายหรือจาบจ้วงเบื้องสูงในทางส่วนตัว หากแต่มุ่งเปลี่ยนโครงสร้างการเมืองให้สอดคล้องยุคสมัย และยังคงถวายความเคารพต่อพระองค์อย่างที่สุดเท่าที่กาลเทศะจะอำนวย

พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงทรงควรค่าแก่การรำลึกถึง ไม่เพียงในฐานะพระมหากษัตริย์ไทยพระองค์หนึ่ง หากยังในฐานะ แบบอย่างของผู้นำที่เคารพเสียงของราษฎรและเห็นแก่ประโยชน์ชาติเป็นที่ตั้ง ความสัมพันธ์อันงดงามระหว่างพระองค์กับผู้นำคณะราษฎรที่ถ่ายทอดผ่านจดหมายเหตุ เอกสาร และคำบอกเล่าต่าง ๆ เป็นหลักฐานยืนยันถึง สายใยแห่งความปรารถนาดีและการให้อภัย ซึ่งช่วยสมานฉันท์บาดแผลทางการเมืองในยุคนั้น นับเป็นมรดกทางวัฒนธรรมการเมืองที่ควรค่าแก่การศึกษาและจดจำ

“ชนรุ่นใหม่ที่ต้องการสัจจะแท้จริง แทนที่จะเชื่อฟังคำบอกเล่าที่คลาดเคลื่อน ก็ควรเสาะหาข้อเท็จจริงจากผู้ที่อยู่ใกล้ชิดเหตุการณ์จริง” – ปรีดี พนมยงค์

ดังคำกล่าวของรัฐบุรุษอาวุโสปรีดี พนมยงค์ ข้างต้น การเรียนรู้ประวัติศาสตร์จากหลักฐานและปากคำของผู้รู้เห็นเหตุการณ์จริง ย่อมนำเราไปสู่ความจริงแท้ ปราศจากอคติหรือภาพจำอันคลาดเคลื่อน ในการรำลึกถึงพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวครั้งนี้ เราจึงควรจดจำพระองค์ใน ภาพแห่งความจริง ผู้ซึ่งแม้จะทรงมีมุมมองต่างจากคณะราษฎรในบางเรื่อง แต่ก็ทรงได้รับการถวายพระเกียรติจากพวกเขาอย่างเต็มที่และจริงใจ ทั้งสองฝ่ายต่างหลอมรวมอยู่ในเรื่องราวการสร้างชาติร่วมกัน และต่างก็สมควรได้รับเกียรติภูมิในประวัติศาสตร์ไทยคู่กันอย่างมิอาจแบ่งแยกได้

 

เอกสารอ้างอิง

  1. ปรีดี พนมยงค์. บางเรื่องเกี่ยวกับการก่อตั้งคณะราษฎรและระบบประชาธิปไตย. (2515)
  2. ม.จ. ศุภสวัสดิ์วงศ์สนิท สวัสดิวัตน. 1 ศตวรรษ ศุภสวัสดิ์: 23 สิงหาคม 2543. (2543)
  3. เอกสารจดหมายเหตุ หอจดหมายเหตุแห่งชาติ และหอจดหมายเหตุมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (จดหมายลายพระหัตถ์ สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี และ หม่อมเจ้าศุภสวัสดิ์ฯ ถึง ปรีดี – พูนศุข พนมยงค์)
  4. “ความสัมพันธ์ระหว่างรัชกาลที่ 7 สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี กับปรีดี-พูนศุข พนมยงค์.” เว็บไซต์สถาบันปรีดี พนมยงค์ (2567)
  5. Silpa-Mag บทความออนไลน์: “พระบรมอัฐิรัชกาลที่ 7 จากกรุงลอนดอนกลับสู่สยาม อย่างสมพระเกียรติ” (เข้าถึง 2025)

 


[1] บันทึกลับที่เจ้าพระยามหิธร ราชเลขาธิการ เป็นผู้จดพระราชกระแสของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ ที่พระราชทานเมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2475

[2] พระองค์ทรงมีข้อเรียกร้อง 9 ประการต่อรัฐบาลพระยาพหลฯ ซึ่งรวมถึงข้อเสนอให้แก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 39 เพื่อให้พระมหากษัตริย์มีสิทธิวีโต้กฎหมายและยุบสภาได้โดยอัตโนมัติ ข้อเสนอเหล่านี้ ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร โดยผู้แทน เช่น ร.ต. สอน วงษ์โต และ ร.ท. ทองคำ คล้ายโอภาส ชี้ว่าคำขอนี้ขัดต่อหลักประชาธิปไตยอย่างร้ายแรง รัฐบาลได้พยายามสนองพระราชประสงค์เท่าที่สามารถกระทำได้ภายใต้ขอบเขตรัฐธรรมนูญ เช่น ไม่ถอดบรรดาศักดิ์ ลดโทษบางคดี และรักษาสถานะของทหารรักษาวัง อีกทั้งยังได้กราบบังคมทูลขอให้พระองค์ทบทวนพระราชดำริ แต่ก็ไม่เป็นผล

[3] ปรีดี พนมยงค์, แนวความคิดประชาธิปไตยฯ, มูลนิธิปรีดี พนมยงค์, 2535, หน้า 19.

[4] เพิ่งอ้าง

[5] เพิ่งอ้าง