ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก
ศิลปะ-วัฒนธรรม

เสียงแห่งสันติภาพ พระเจ้าช้างเผือก “The King of The White Elephant” มรดกความทรงจำแห่งโลก

10
กันยายน
2568

 

80 ปี วันสันติภาพไทย  85 ปี “ พระเจ้าช้างเผือก ”

ประเทศไทย บันทึกประวัติศาสตร์โลกผ่าน ‘ อารยอัตลักษณ์ ’ ของชาติด้วย สมุดไทยคำหลวง,  เอกสารอาเซียน และภาพยนตร์ล้ำยุค “ พระเจ้าช้างเผือก ” ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็น “ มรดกความทรงจำแห่งโลก ” (Memory of the World) จาก UNESCO (United Nations Educational, Scientific and Cultural Organization - องค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ) โดม สุขวงศ์ นักวิชาการภาพยนตร์ ผู้ก่อตั้ง หอภาพยนตร์แห่งชาติ และโครงการอนุรักษ์ภาพยนตร์ในประเทศไทย อดีตผู้อำนวยการหอภาพยนตร์องค์การมหาชน ยืนยันพร้อมหลักฐานเชิงระจักษ์ว่า “ พระเจ้าช้างเผือก ” ที่เคยถูกเรียกว่า “ หนังเด็กแก่แดด ” สามารถ ‘ เทียบชั้น ’ เชิงอุดมการณ์ ผ่าน ‘ ภาษาภาพยนตร์ ’ ได้เท่ากับสารคดีระดับโลกประวัติศาสตร์สงครามรัสเซียเรื่อง “ Alexander Nevsky ”  (แม้ว่า ปรีดี พนมยงค์ จะไม่เคยมีโอกาสได้ชมเรื่องนี้ก่อนที่จะมีดำริสร้าง “ พระเจ้าช้างเผือก ”) เรื่องราวของเจ้าชายวีรบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ยังเยาว์ นำกองทัพที่ไม่มั่นคงไปต่อสู้กับกองกำลัง ‘ อัศวินทิวทอนิก ’ ผู้รุกราน อเล็็กซานเดอร์์ เนฟสกี ปัจจุุบันขึ้นชั้นเป็นงานคลาสสิคในทำเนียบภาพยนตร์โลกตลอดกาล เป็น Masterpiece ในหลายด้านจึงเหมาะแก่งานศึกษาค้นคว้าเพื่อการ ‘ เทียบขั้น ’ เป็นอย่างยิ่ง

“ พระเจ้าช้างเผือก ” The King of The White Elephant ได้รับการยกย่องจาก UNESCO ว่าเป็น “ มรดกทางศิลปวัฒนธรรมชิ้นสำคัญ ที่เชิดชูหลักสันติธรรมให้สูง และทรงคุณค่าทางประวัติศาสตร์ ” เป็นความหมายที่ยืนยันชัดเจนว่า “ นี่ไม่ใช่เพียงภาพยนตร์ประวัติศาสตร์เท่านั้น แต่ตัวภาพยนตร์เองคือประวัติศาสตร์โลก ” จึงมีมติมอบ รางวัลเฟลลินี เหรียญเงิน (The Fellini Silver Medal Award เพื่อเชิดชูเกียรติผู้กำกับ และองค์กรสร้างสรรค์ผลงานอนุรักษ์ศิลปะ เมื่อวันที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2550 โดย สภาสากลว่าด้วยภาพยนตร์ โทรทัศน์และการสื่อสารด้านโสตทัศน์ ของ องค์การยูเนสโก UNESCO

หอภาพยนตร์แห่งชาติ ประกาศขึ้นทะเบียน “ พระเจ้าช้างเผือก ” เป็น “ มรดกภาพยนตร์ของชาติ ” เมื่อ พ.ศ. 2554 และใช้เวลาถึง 16 ปี ในการนำเสนอต่อ UNESCO เพื่อให้ได้รับการพิจารณาเป็น “ มรดกความทรงจำแห่งโลก ” จนประสบผลสำเร็จ มีประกาศอย่างเป็นทางการเมื่อ วันที่ 17 เมษายน 2568 และร่วมจารึกคุณค่าให้ประชาชนร่วมยินดีด้วยการจัดฉายภาพยนตร์ - นิทรรศการร่วมกับหลายสถาบัน ประกาศเกียรติคุณเนื่องใน ‘ วันสันติภาพไทย ’ 16 สิงหาคม และเนื่องในวาระที่ภาพยนตร์เรื่อง “พระเจ้าช้างเผือก” ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็น “มรดกความทรงจำแห่งโลก ” ยืนยันการเทียบชั้น ‘ ระดับโลก’ อย่างภาคภูมิในคุณสมบัติสำคัญ ซึ่งเป็นประจักษ์พยานงานอารยศิลปวัฒธรรม ที่จะนำให้คนไทยภูมิใจในมรดกโลกของชาติไทยร่วมกัน

 

 

คุณค่าระดับไหนถึงขึ้นทะเบียน ‘ ระดับโลก ’

ภาพยนตร์ “ พระเจ้าช้างเผือก ” เป็นภาพยนตร์ประเภทเรื่องแสดงขนาดยาว สร้างโดย ศาสตราจารย์ ดร.ปรีดี พนมยงค์ ในนาม ปรีดีโปรดักชัน เมื่อปี พ.ศ. 2483 ขณะดำรงตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ในรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม นับเป็นผลงานภาพยนตร์ที่เกิดขึ้นในท่ามกลางกระแสสงครามแย่งชิงอำนาจที่กำลังเกิดขึ้นในโลกขณะนั้น ซึ่งกำลังจะกระจายเป็นมหาสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยภาพยนตร์เรื่องนี้ได้ทำหน้าที่เป็นกระบอกเสียงเพื่อประกาศอุดมการณ์สันติภาพและสันติสุขแก่โลก สาระสำคัญของภาพยนตร์อยู่ที่ผู้สร้างต้องการสื่อสารไปยังชาวโลกให้ตระหนักถึงภัยของการปกครองและผู้ปกครองที่ไม่อยู่ในศีลธรรม ไม่เคารพกฎกติกาของสังคมโลก ซึ่งนำไปสู่การเบียดเบียนข่มเหงราษฎร และการทำสงครามรุกรานเพื่อนบ้านเพื่อแสวงผลประโยชน์ตนด้วยความโลภโมโทสัน ในขณะที่ผู้ปกครองซึ่งอยู่ในศีลธรรม จะดูแลราษฎรให้อยู่เย็นเป็นสุข และปกป้องราษฎรจากภัยสงคราม ด้วยการทำสงครามต่อผู้รุกรานเพื่อสันติภาพ

พระเจ้าช้างเผือกถือเป็นภาพยนตร์เรื่องยาวที่สร้างก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 ของประเทศไทยเพียงเรื่องเดียวที่เหลือรอดอยูในสภาพสมบูรณ์ เป็นตัวอย่างของผลงานที่แสดงให้เห็นการผสานขนบการสื่อสารแสดงแบบดั้งเดิมของไทยกับการแสดงแบบภาพยนตร์ของตะวันตก ถึงแม้ว่าเมื่อครั้งออกฉายพระเจ้าช้างเผือกจะถูกวิจารณ์ในแง่คุณภาพและเทคนิคการสร้างต่าง ๆ แต่เหนืออื่นใดแนวคิดสันติภาพที่อยู่ในภาพยนตร์ ก็ยังคงเป็นแนวคิดเหนือกาลเวลาที่สำคัญต่อโลกในทุกยุคสมัย

นอกจากจะเป็นภาพยนตร์ที่ชูประเด็นสันติภาพซึ่งเป็นหลักใหญ่ของมนุษยชาติแล้ว ยังเป็นงานที่ถึงพร้อมด้วยความงดงามของศาสตร์ทางศิลปะภาพยนตร์ โดยเป็นผลงานสร้างสรรค์ที่รวมบุคลากรชั้นเอกในด้านต่าง ๆ ของชาติมาร่วมงานกัน อาทิ

• อำนวยการสร้างและเขียนบทภาพยนตร์โดย ศาสตราจารย์ ดร.ปรีดี พนมยงค์ รัฐบุรุษอาวุโสของไทย ผู้นำในการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง การปกครอง ซึ่งนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของประเทศ ผู้ได้รับยกย่องเป็นบุคคลสำคัญของโลกในปี พ.ศ. 2543 โดยยูเนสโก

• ความโดดเด่นของการถ่ายภาพยนตร์โดย ประสาท สุขุม ซึ่งเป็นตากล้องถ่ายภาพยนตร์ระดับมืออาชีพและระดับสมาชิกสมาคมช่างถ่ายภาพยนตร์อเมริกัน (American Society of Cinematographer: A.S.C.) ซึ่งเป็นคนแรกและคนเดียวในประเทศไทย

• งานประพันธ์และกำกับดนตรีในภาพยนตร์โดย พระเจนดุริยางค์ (ปิติ วาทยะกร) ครูใหญ่ทางดนตรีสากลของสยาม แห่งกรมศิลปากร

• ผู้บันทึกเสียง ชาญ บุนนาค ท่านผู้นี้เป็นช่างบันทึกเสียงของโรงถ่ายไทยฟิล์ม และเคยไปดูงานการบันทึกเสียงที่ฮอลลีวูดพร้อมกับประสาท สุขุม เมื่อปี พ.ศ. 2480

• ผู้ตัดต่อ บำรุง แนวพานิช ท่านเป็นช่างตัดต่อผู้มีความชำนาญสูงของวงการภาพยนตร์ไทย และเป็นผู้ก่อตั้งโรงถ่าย น.น.ภาพยนตร์ มาก่อนหน้านี้

• นอกจากนี้ยังมีผู้ชำนาญการด้านต่าง ๆ ที่มาเป็นผู้กำกับเฉพาะทางและเป็นที่ปรึกษา เช่น วงศ์ แสนศิริพันธ์ อดีตผู้แทนราษฎรจังหวัดแพร่ มาเป็นผู้กำกับการโขลงช้าง ในสถานที่ถ่ายทำ ณ จังหวัดแพร่ พระยาเทวาธิราช ซึ่งเป็นผู้ชำนาญการในเรื่องพระราชพิธีและพระราชสำนักโดยตรง มาเป็นที่ปรึกษาด้านพระราชพิธีและเครื่องแต่งกาย

 

 

“ พระเจ้าช้างเผือก ” ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก ด้วยหลักฐานสำคัญที่ได้รับการยืนยันจาก องค์การศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ หรือ UNESCO เมื่อ 17 เมษายน 2568 ว่า การขึ้นทะเบียนคครั้งนี้ไม่ได้เป็นแค่การเพิ่มจำนวนรายการมรดกโลกของไทยในบัญชี UNESCO เท่านั้น แต่ยังเป็นการยืนยันถึงคุณค่าทางประวัติศาสตร์ เพื่อการประกาศสันติภาพด้วยเจตจำนงส่งผ่านภาพยนตร์ “ พระเจ้าช้างเผือก ” ที่สร้างขึ้นเมื่อ 85 ปีก่อน (ถ่ายทำปี พ.ศ. 2483 ฉายวันแรก 4 เมษายน 2484 พร้อมกับ นิวยอร์ค และสิงคโปร์)  ในมิติของเอกสารจดหมายเหตุ ภาพยนตร์เรื่องนี้ถือเป็นผลงานภาพยนตร์ไทยก่อนสงครามโลกครั้งที่สองเรื่องเดียวที่ยังหลงเหลืออยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ จึงมีคุณค่ามหาศาลเพราะเป็นหลักฐานสำคัญของงานสารคดีทั้งประเทศไทยและโลกทุกยุคสมัย ในมิติของการต่อต้านสงครามและต่อสู้เพื่อสันติภาพด้วยศิลปภาพยนตร์ 

UNESCO ระบุใจความสำคัญว่า “ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นข้อพิสูจน์ถึงสันติภาพและการทูต โดยเป็นภาพยนตร์ไทยเพียงเรื่องเดียวที่รอดชีวิตจากยุคก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งให้ข้อมูลเชิงลึกอันล้ำค่าเกี่ยวกับความบันเทิงในยุคนั้น อีกทั้งยังผสมผสานการแสดงแบบดั้งเดิมของไทยเข้ากับภาษาภาพยนตร์ตะวันตกได้อย่างชำนาญ”

อีกหนึ่งเอกสารจากประเทศไทยที่ได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกความทรงจำแห่งโลก คือ ต้นฉบับนันโทปนันทสูตรคำหลวง (The Manuscript of Nanthopananthasut Kamlaung) ที่ข้อมูลจากหอสมุดแห่งชาติระบุว่าเป็นหนังสือสมุดไทยขาวที่มีจำนวนหน้าหนังสือ 190 หน้า เขียนด้วยเส้นอักษร 2 ชนิด ได้แก่ อักษรขอมย่อ ใช้บันทึกภาษาบาลี และอักษรไทยย่อ ใช้บันทึกภาษาไทย  มีเส้นสี 3 ชนิด ได้แก่ เส้นทอง เส้นชาด และเส้นหมึกในการบันทึก เป็นวรรณคดีทางพระพุทธศาสนาที่แต่งขึ้นในสมัยอยุธยา  ในรัชกาลสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ ซึ่งเป็นพระราชนิพนธ์ของเจ้าฟ้าธรรมาธิเบศร (เจ้าฟ้ากุ้ง)

UNESCO ระบุใจความสำคัญว่า “เอกสารนี้มีคุณค่าทางศีลธรรมที่ไร้ซึ่งกาลเวลา ที่สะท้อนถึงวัฒนธรรมที่ยาวนานหลายศตวรรษของสมัยอยุธยาในด้านพระพุทธศาสนา ภาษา และวัฒนธรรม สามารถสร้างแรงบันดาลใจในการศึกษาด้านบรรพชีวินวิทยา วรรณกรรม ประวัติศาสตร์ ศิลปะร่วมสมัย และความสัมพันธ์ทางพุทธศาสนาระหว่างประเทศ”

รัฐบาลไทยประกาศอย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 26 เม.ย. 68 เวลา 09.00 น. โดย ศศิกานต์ วัฒนะจันทร์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยข่าวดีโดย กรมศิลปากร ว่า องค์การยูเนสโก (UNESCO) ได้ประกาศให้เอกสารสำคัญได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นMemory of the World ” ประจำปี 2568 จำนวนทั้งสิ้น 74 รายการ มีเอกสารจากประเทศไทยได้รับการขึ้นทะเบียนเป็น “ มรดกความทรงจำแห่งโลก ” 3 รายการ ได้แก่ 

รายการที่ 1 เอกสารสมุดไทย นันโทปนันทสูตรคำหลวง (The Manuscript of Nanthopananthasut Kamlaung) เอกสารโบราณล้ำค่าของไทย เป็นวรรณคดีทางพระพุทธศาสนาที่เจ้าฟ้าธรรมธิเบศรไชยเชษฐสุริยวงศ์ (เจ้าฟ้ากุ้ง) ทรงพระนิพนธ์ขึ้นเมื่อปี 2279 ซึ่งเก็บรักษาไว้ที่หอสมุดแห่งชาติ กรมศิลปากร

รายการที่ 2 ภาพยนตร์เรื่อง พระเจ้าช้างเผือก และเอกสารจดหมายเหตุที่เกี่ยวข้อง (The King of the White Elephant and the archival documents) ภาพยนตร์เก็บรักษาไว้ที่หอภาพยนตร์ (องค์การมหาชน) และเอกสารจดหมายเหตุที่เกี่ยวข้องเก็บรักษาไว้ที่สถาบันไทยคดีศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

รายการที่ 3 เอกสารการก่อตั้งประชาคมอาเซียน (The Birth of the Association of Southeast Asia Nations (ASEAN) (Archives about the Formation ASEAN, 1967 – 1976) เก็บรักษาไว้ที่หอภาพยนตร์ (องค์การมหาชน) ซึ่งประเทศไทยเสนอขึ้นทะเบียนร่วมกับประเทศอินโดนีเซีย ประเทศมาเลเซีย และประเทศสิงคโปร์

 

 

สำหรับประเทศไทย ประชุมคณะกรรมการ UNESCO ได้เคยประกาศขึ้นทะเบียนมรดกความทรงจำแห่งโลกมาแล้ว 5 รายการ ได้แก่

1. พ่อขุนรามคำแหง หลักที่ 1 ขึ้นทะเบียนเมื่อปี 2546

2. เอกสารจดหมายเหตุพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงปฏิรูปการบริหารการปกครอง ประเทศสยาม (พุทธศักราช 2411-2453) ขึ้นทะเบียนเมื่อปี 2552

3. จารึกวัดโพธิ์ ประกาศขึ้นทะเบียนในระดับภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก เมื่อพุทธศักราช 2551และขึ้นทะเบียนในระดับโลกเมื่อปี 2554

4. บันทึกการประชุมคณะกรรมการสยามสมาคมในพระบรมราชูปถัมภ์ ในรอบ 100 ปี ขึ้นทะเบียนเมื่อปี 2556

5. ฟิล์มกระจกชุดหอพระสมุดวชิรญาณ ขึ้นทะเบียนเมื่อปี 2559

จึงปัจจุบันประเทศไทย มีเอกสารที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกความทรงจำแห่งโลกรวมแล้วทั้งหมด 9 รายการ ได้แก่ จารึกวัดโพธิ์, ศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหง, เอกสารจดหมายเหตุ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงปฏิรูปการปกครองของสยาม พุทธศักราช 2411 – 2453,  ฟิล์มกระจก และภาพต้นฉบับชุด หอพระสมุดวชิรญาณ, บันทึกการประชุมของคณะกรรมการสยามสมาคมในพระบรมราชูปถัมภ์ และ  คัมภีร์ใบลานเรื่อง ตำนานอุรังคธาตุ

“ การประกาศมรดกความทรงจำแห่งโลกในครั้งนี้ สะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญทางวรรณกรรม พุทธศาสนา และศิลปวัฒนธรรมของชาติไทย มีคุณูปการต่อมนุษยชาติอย่างแท้จริง สมควรที่จะช่วยกันอนุรักษ์และสืบทอดให้คงอยู่สืบไป ” นางสาวศศิกานต์ กล่าว

สามารถสืบค้นรายการเอกสารมรดกความทรงจำแห่งโลกของประเทศไทยได้ที่  https://www.nat.go.th/mow/th-th

 

 

อีกหนึ่งเอกสารสำคัญทางระวัติศาสตร์ คือ ประกาศสันติภาพ ในพระปรมาภิไธยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิด [1] โดย ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ วันที่ 16 สิงหาคม 2568 วาระครบรอบ 80 ปีวันสันติภาพไทย ในวันที่ 16 สิงหาคม 2488 ดร.ปรีดี พนมยงค์ ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ในรัชกาลที่ 8 ได้ออก “ ประกาศสันติภาพ ” อันมีใจความสำคัญว่า “ การประกาศสงครามต่อบริเตนใหญ่และสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 25 มกราคม 2485 นั้น เป็นโมฆะ ” เนื่องจากเป็นการกระทำอันผิดจากเจตจำนงของประชาชนชาวไทย เพราะขัดต่อบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ และกฎหมายบ้านเมือง ตามใจความสำคัญในเอกสารดังต่อไปนี้

 

ประกาศสันติภาพ [2]

ในพระปรมาภิไธยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล

ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ 
(ตามประกาศประธานสภาผู้แทนราษฎร ลงวันที่ 1 สิงหาคม พุทธศักราช 2487) 
ปรีดี พนมยงค์

โดยที่ประเทศไทยได้เคยถือนโยบายอันแน่วแน่ที่จะรักษาความเป็นกลางอย่างเคร่งครัดและจะต่อสู้การรุกรานของต่างประเทศทุกวิถีทาง ดังปรากฏเห็นได้ชัดจากการที่ได้มีกฎหมายกำหนดหน้าที่คนไทยในเวลารบ เมื่อพุทธศักราช 2484 อยู่แล้วนั้น ความจำนงอันแน่วแน่ดังกล่าวนี้ได้แสดงให้เห็นประจักษณ์แล้ว ในเมื่อญี่ปุ่นได้ยาตราทัพเข้าในดินแดนประเทศไทย ในวันที่ 8 ธันวาคม พุทธศักราช 2484 โดยได้มีการต่อสู้การรุกรานทุกแห่ง และทหาร ตำรวจ ประชาชน พลเมืองได้เสียชีวิตไปในการนี้เป็นอันมาก

เหตุการณ์อันปรากฏเป็นสักขพยานนี้ ได้แสดงให้เห็นอย่างแจ่มแจ้งว่า การประกาศสงครามเมื่อวันที่ 25 มกราคม พุทธศักราช 2485 ต่อบริเตนใหญ่และสหรัฐอเมริกา ตลอดทั้งการกระทำทั้งหลายซึ่งเป็นปรปักษ์ต่อสหประชาชาตินั้น เป็นการกระทำอันผิดจากเจตจำนงของประชาชนชาวไทย และฝ่าฝืนขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญและกฎหมายบ้านเมือง ประชาชนชาวไทยทั้งภายในและภายนอกประเทศ ซึ่งอยู่ในฐานะที่จะช่วยเหลือสนับสนุนสหประชาชาติผู้รักที่จะให้มีสันติภาพในโลกนี้ ได้กระทำการทุกวิถีทางที่จะช่วยเหลือสหประชาชาติ ดังที่สหประชาชาติส่วนมากย่อมทราบอยู่แล้ว ทั้งนี้เป็นการแสดงเจตจำนงของประชาชนชาวไทยอีกครั้งหนึ่ง ที่ไม่เห็นด้วยต่อการประกาศสงคราม และการกระทำอันเป็นปฏิปักษ์ต่อสหประชาชาติดังกล่าวมาแล้ว

บัดนี้ ประเทศญี่ปุ่นได้ยอมปฏิบัติตามคำประกาศของสหรัฐอเมริกา บริเตนใหญ่ จีน และสหภาพโซเวียต ซึ่งได้กระทำ ณ นครปอตสดัมแล้ว สันติภาพจึงกลับคืนมาสู่ประเทศไทย อันเป็นความประสงค์ของประชาชนชาวไทย

ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ในพระปรมาภิไธยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จึงขอประกาศโดยเปิดเผยแทนประชาชนชาวไทยว่า การประกาศสงครามต่อสหรัฐอเมริกาและบริเตนใหญ่ เป็นโมฆะไม่ผูกพันประชาชนชาวไทย ในส่วนที่เกี่ยวกับสหประชาชาติ ประเทศไทยได้ตัดสินใจที่จะให้กลับคืนมาซึ่งสัมพันธไมตรีอันดีอันเคยมีมากับสหประชาชาติในการสถาปนาเสถียรภาพในโลกนี้

บรรดาดินแดนซึ่งญี่ปุ่นได้มอบให้ไทยครอบครอง คือรัฐกลันตัน ตรังกานู ไทรบุรี ปะริด เชียงตุง และเมืองพานนั้น ประเทศไทยไม่มีความปรารถนาที่จะได้ดินแดนเหล่านี้ และพร้อมที่จะจัดการเพื่อส่งมอบในเมื่อบริเตนใหญ่พร้อมที่จะรับมอบไป

ส่วนบรรดาบทกฎหมายอื่นๆ ใด อันมีผลเป็นปฏิปักษ์ต่อสหรัฐอเมริกา บริเตนใหญ่และเครือจักรวรรดิก็จะได้พิจารณายกเลิกไปในภายหน้า บรรดาความเสียหายอย่างใดๆ จากกฎหมายเหล่านั้น ก็จะได้รับชดใช้โดยธรรม

ในที่สุดนี้ ขอให้ประชาชนชาวไทยทั้งหลาย ตลอดจนชนต่างด้าวซึ่งอยู่ในราชอาณาจักรไทย จงตั้งอยู่ในความสงบ และไม่กระทำการใดๆ อันจะเป็นการก่อกวนความสงบเรียบร้อย พึงยึดมั่นในอุดมคติ ซึ่งได้วางไว้ในข้อตกลงของสหประชาชาติ ณ นครซานฟานซิสโก

ประกาศ ณ วันที่ 16 สิงหาคม พุทธศักราช 2488 เป็นปีที่ 12 ในรัชกาลปัจจุบัน

ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ
ทวี บุณยเกตุ
รัฐมนตรี

 

 

UNESCO Memory of the World Register [3]

มรดกโลก จัดแบ่งเป็น มรดกทางวัฒนธรรมและธรรมชาติ ที่คณะกรรมการมรดกโลกถือว่ามีคุณค่าโดดเด่นในระดับสากล ปัจจุบัน (update เมื่อตุลาคม พ.ศ. 2567) ประกอบด้วยแหล่งมรดกโลกทั้งหมด 1,248 แห่ง ใน 168 ประเทศทั่วโลก แบ่งเป็น แหล่งมรดกโลกทางวัฒนธรรม 972 แห่ง , มรดกทางธรรมชาติ 235 แห่ง และ มรดกโลกแบบผสมผสาน 41 แห่ง ใน 196 รัฐภาคี ที่ได้ให้สัตยาบันอนุสัญญามรดกโลก อิตาลีเป็นประเทศที่มีจำนวนแหล่งมรดกโลกมากที่สุดคือ 60 แห่ง รองลงมาคือจีน (59 แห่ง) เยอรมนี (54 แห่ง) ฝรั่งเศส (53 แห่ง) และสเปน (50 แห่ง)

ปัจจุบัน UNESCO ได้ให้ความสำคัญกับ สื่อโสตทัศน์ [Audiovisual สื่อการเรียนการสอนซึ่งไม่ใช่สิ่งพิมพ์ ที่ต้องใช้ประสาทสัมผัสในการรับสารทั้งการมองเห็น (ภาพ) และการได้ยิน (เสียง) พร้อมกัน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการสื่อสารและจดจำข้อมูล สื่อเหล่านี้ช่วยแปลงแนวคิดที่เป็นนามธรรมให้เป็นรูปธรรม และมักต้องใช้อุปกรณ์ในการเผยแพร่ เช่น โทรทัศน์ เครื่องเล่น vcd-dvd หรือโปรเจคเตอร์] “ มรดกโลก สื่อโสตทัศน์ ยูเนสโก ” หมายถึง ‘ รายการความทรงจำแห่งโลกของยูเนสโก ’ (UNESCO Memory of the World Register) ซึ่งเป็นบัญชีรายชื่อเอกสารและสื่อโสตทัศน์ที่ได้รับการยอมรับว่ามีความสำคัญระดับโลก จึงจัดให้มี “ วันมรดกโสตทัศน์โลก ” WDAH (World Day for Audiovisual Heritage) ขึ้นทุกปีใน วันที่ 27 ตุลาคม  มีการส่งเสริมเฉลิมฉลองเพื่อการรับรู้ และต้องได้รับการอนุรักษ์ (แปลงเป็นดิจิทัล) , การเผยแพร่ข้อมูลเหล่านั้นให้เป็นที่รู้จักเข้าถึงได้โดยสาธารณชนทั่วโลก) และให้ความสำคัญต่อการปกป้องสื่อโสตทัศน์ให้คงอยู่สำหรับคนรุ่นต่อไป เพราะสื่อโสตทัศน์เหล่านี้เปรียบเสมือนคลังความรู้ และบันทึกความทรงจำร่วมกันของมวลมนุษยชาติ

เพื่อสร้างความตระหนักรู้ถึงความสำคัญและความจำเป็นเร่งด่วนในการปกป้องสื่อโสตทัศน์ ซึ่งรวมถึงภาพยนตร์ เทปบันทึกเสียง และม้วนฟิล์ม ที่อาจสูญหายไปหากไม่ได้รับการดูแลรักษา คลังข้อมูลโสตทัศน์จึงมีพันธกิจในการบอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับชีวิตและวัฒนธรรมของผู้คนจากทั่วทุกมุมโลก คลังข้อมูลเหล่านี้ถือเป็นมรดกอันล้ำค่าที่ยืนยันถึงความทรงจำร่วมกันของโลกและเราและเป็นแหล่งความรู้อันทรงคุณค่า เพราะสะท้อนให้เห็นถึงความหลากหลายทางวัฒนธรรม สังคม และภาษาของชุมชน คลังข้อมูลช่วยให้เราเติบโตและเข้าใจโลกที่เราทุกคนร่วมแบ่งปัน การอนุรักษ์มรดกนี้และสร้างความมั่นใจว่ามรดกนี้จะยังคงสามารถเข้าถึงได้โดยสาธารณชนและคนรุ่นหลัง ถือเป็นเป้าหมายสำคัญยิ่งสำหรับสถาบันทุกแห่ง รวมถึงสาธารณชนทั่วไป คลังข้อมูลของ UNESCO ที่สามารถสืบค้นมรดกโลกทุกประเภทและทุกแห่งได้ทั้งหมดคือ “ Digitizing our Shared UNESCO history ” และ “ มรดกความทรงจำแห่งโลก ” (Memory of the World) คือหมวดหนึ่งในนั้นที่มีความสำคัญต่อเราทุกคน

 

 

เทียบ “ KING OF THE WHITE ELEPHANT ”
กับหนังชั้นครู “ ALEXANDER NEVSKY ”
โดย โดม สุขวงศ์ หอภาพยนตร์แห่งชาติ [4]

ภาพยนตร์เรื่อง “ ALEXANDER NEVSKY ”  เป็นงาน Masterpiece ในหลายด้าน ที่ได้ขึ้นชั้นเป็นงานคลาสสิคในทำเนียบหนังโลกตลอดกาลมานานแล้ว    เปิดฉายรอบปฐมทัศน์เมื่อ วันที่ 23 พฤศจิกายน 1938 และฉายรอบปกติในโซเวียตตั้งแต่ 1 ธันวาคม 1938 ฉายในยุุโรปปลายปี 1938 และสหรัฐอเมริกาในปี 1939 ฉายในเอเซีย (ญี่ปุ่น) เมื่อหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 และฉายในไทยรายการเฉพาะกิจ “ สัปดาห์หนังโซเวียต ” เมื่อวันที่ 10 มิถุนายน 1977 ที่ หอศิลป พีระศรี

“ อะเลคซันเดอร์ เนฟสกี ” เป็นหนังรัสเซีย สร้างสมัยสหภาพโซเวียต ยุคสตาลิน ออกฉายเมื่อปี 1938 กำกับโดย เซียร์เก ไอเซ็นสไตน์ และ ดมิตรี วาสิเยฟ โดยโรงถ่าย มอสฟิล์ม ของรัฐบาลกลาง ไอเซนสไตน์ เป็นนักทฤษฎีและนักปฏิบัติโดดเด่นที่สุดคนหนึ่งในประวัติศาสตร์ภาพยนตร์โลก ร่ำเรียนมาทางวิศวกรรมและสถาปัตยกรรม เป็นยุวชนแดง (Red Guards ‘ กองกำลังพิทักษ์แดง ’ เป็นหน่วยอาสาสมัครกึ่งทหารในช่วงการปฏิวัติรัสเซียปี 1917 เพื่อสนับสนุนพรรคบอลเชวิค และ แวนการ์ดแห่งเยาวชนแดง (Vanguard of Red Youth - AKM) เป็นกลุ่มเยาวชนสังคมนิยมหัวรุนแรงในรัสเซียปัจจุบันที่ยึดมั่นในอุดมการณ์ลัทธิมาร์กซ์-เลนิน) และเข้ากลุ่มวัฒนธรรมชนชั้นกรรมาชีพ ทำละครเวที ก่อนจะทำภาพยนตร์และเขียนบทความทฤษฎีภาพยนตร์ จนได้เป็นอาจารย์สอนในโรงเรียนภาพยนตร์แห่งโซเวียต ผลงานภาพยนตร์ของเขาได้แก่ Strike (1925), Battleship Potemkin (1925),  October (1928) ฯลฯ ซี่งสร้างชื่อเสียงให้ตัวเขาและวงการภาพยนตร์โซเวียตในระดับโลก 

ปี 1938 มีสถานการณ์ตึงเครียดในยุโรป เพราะพรรคนาซีของฮิตเลอร์ที่เถลิงอำนาจเป็นเผด็จการพรรคเดียวในเยอรมัน มีแนวคิดที่จะแผ่อิทธิพลครองโลกและจัดระเบียบโลกใหม่ สร้างกองทัพใหญ่โตและเริ่มรุกรานประเทศเล็กประเทศน้อยเพื่อขยายพื้นที่และอำนาจ โซเวียตโดยผู้นำคือ สตาลิน มองเห็นภัยคุกคามของเยอรมัน จึงมีนโยบายปลุกชาตินิยมรัสเซียเพื่อต้านภัยจากเยอรมัน โดยอาศัยพงศาวดารและประวัติศาสตร์เกี่ยวกับวีรชนผู้ยิ่งใหญ่ของรัสเซียโบราณคือ อะเลคซันเดอร์ โยโรสลาวิช เนฟสกี (Alexander Yaroslavich Nevsky 1221 - 1263) ผู้เป็นบุคคลที่ทางการโซเวียตนำกลับขึ้นมาเป็นเรื่องปลุกใจชาวรัสเซีย เพราะเป็นเจ้าชายรัสเซียหนุ่มวัย 19 ปีที่นำทัพรัสเซียขับไล่ทัพสวีเดนผู้บุกรุกจนได้ชัยชนะที่แม่น้ำเนวา (Battle of the Neva ยุทธการเนวา ค.ศ. 1240) ซึ่งทำให้เขาได้รับสมญานามว่า “ เนฟสกี ” ในศตวรรษที่ 15 ทำให้ได้ฉายา อะเลคซันเดอร์แห่งเนวา หรือ เนฟสกี 

ต่อมาวัย 21 ปี นำทัพรัสเซียต่อต้านทัพเยอรมันที่รุกรานรัสเซีย ในปี 1242 โดยเฉพาะชัยชนะอันเลื่องลือในการยุทธการธารน้ำแข็ง (The Battle on the Ice) เพราะล่อให้กองทัพเยอรมันแตกจมใต้พื้นน้ำแข็งของทะเลสาบเพปัส (Battle of Lake Peipus) และต่อมาเป็นผู้นำกอบกู้อาณาจักรหรือแคว้นต่าง ๆ ของรัสเซียให้เป็นปึกแผ่น เขาสามารถเจรจาต่อรองกับจักรวรรดิมองโกล ที่มีอำนาจบาทใหญ่ในภูมิภาค ทำให้รัสเซียรอดจากการถูกยึดครองและยังมีสันติสุข เมื่อเวลาผ่านไปนับร้อยปี เขาได้รับสถาปนาเป็นนักบุญของคริสตจักรออโธดอกซ์รัสเซีย และมีการสร้างอนุสาวรีย์ไว้ในเมืองสำคัญหลายแห่ง

ในสถานการณ์คับขันจากภัยนาซีเยอรมันเช่นนี้ องค์การภาพยนตร์ของโซเวียตจึงมีโครงการสร้างภาพยนตร์เพื่อใช้ตัวละครในประวัติศาสตร์ เนฟสกี เป็นตัวปลุกใจชาวรัสเซียในเวลานั้นให้พร้อมสู้กับภัยคุกคามของเยอรมันเช่นกัน  และ ไอเซนสไตน์ ได้รับความไว้วางใจให้กำกับภาพยนตร์วาระของชาติเรื่องนี้  และด้วยการควบคุมแบบสนับสนุนอย่างเต็มที่ หนังจึงสร้างเสร็จในเวลากำหนด ก่อนออกฉายไอเซนสไตน์เขียนบทความเผยแพร่ทางหนังสือพิมพ์ ว่าด้วยชัยชนะของเนฟสกีต่อติวโตนิคเยอรมันผู้รุกราน เปรียบดังสตาลินจะมีชัยเหนือนาซีเยอรมัน 

“ ALEXANDER NEVSKY ” ฉายรอบปกติทั่วไปในโซเวียตตั้งแต่ 1 ธันวาคม 1938 ปรากฏว่าได้รับการต้อนรับอย่างดียิ่ง แต่หลายเดือนต่อมา โซเวียตกับนาซีเยอรมันทำสัญญาไม่รุกรานกัน (Molotov–Ribbentrop Pact) เมื่อสิงหาคม 1939 หนังเรื่องนี้จึงถูกถอดออกจากการฉาย แต่แล้วเมื่อนาซีเยอรมันผิดสัญญา เริ่มปฏิบัติการรุกรานประเทศต่าง ๆ และโซเวียต ในเดือนสิงหาคม 1941 หนังจึงถูกนำกลับมาฉายอีก และเพิ่มความเข้มข้น โดยมีการพิมพ์ฟิล์มออกมามากถึง 800 ก๊อปปี้ เพื่อออกฉายไปทั่วโซเวียต พูดกันว่าผู้แสดงตัวประกอบจำนวนมากที่แสดงฉากรบกับเยอรมันในหนัง คือคนที่ได้ออกรบกับทหารเยอรมันในสงครามจริง

“ KING OF THE WHITE ELEPHANT ”  พระเจ้าช้างเผือก เป็นหนังไทย สร้างสมัยประชาธิปไตย ยุคพิบูลสงคราม ออกฉายเมื่อปี 1941 กำกับโดย สัณห์ วสุธาร ผู้นิรนามในโลกภาพยนตร์ ถ่ายทำที่โรงถ่าย ไทยฟิล์ม ของเอกชนไทยซึ่งกำลังเลิกกิจการ และอำนวยการสร้างในนาม ปรีดีภาพยนตร์ โดย ปรีดี พนมยงค์ ผู้ประสบความสำเร็จในการเป็นผู้นำฝ่ายพลเรือนในคณะราษฏรที่ปฏิวัติสยามจาก ‘ ราชาธิปไตย ’ เป็น ‘ประชาธิปไตย ’ เมื่อปี 1932 และขณะสร้างเป็น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ภาพยนตร์ออกฉายเมื่อปี 1941 พ.ศ. 2484 เป็นหนังไทยที่ไม่ปกติเพราะพูดภาษาอังกฤษทั้งเรื่อง  ปัจจุบันเพิ่งขึ้นชั้นเป็น มรดกความทรงจำโลก โดยยูเนสโก ในปี 2025 เมื่อ 17 เมษายน 2568 นี้เอง

ใครได้ดู พระเจ้าช้างเผือก  แล้วดู อะเลคซันเดอร์ เนฟสกี จะต้องนึกสงสัยว่า ปรีดี ผู้สร้างตัวจริงของ พระเจ้าช้างเผือก ได้ดูหนังโซเวียตเรื่องนี้มาก่อนหรือเปล่า จึงคิดทำพระเจ้าช้างเผือก ออกมาเสมือนเงาของกันและกัน ถ้าปรีดีได้ดู ดูที่ไหน เขาจะต้องดูระหว่างปี 1938 เดือนพฤศจิกายน ที่หนังเริ่มออกฉายในโซเวียต ก่อนจะส่งออกฉายในบางประเทศในยุโรปและอังกฤษในปลายปี 1938  และสหรัฐอเมริกาในปี 1939 และกว่าหนังนี้จะมาฉายในเอเชียเพียงบางประเทศ เช่น ญี่ปุ่น ก็หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 แล้ว และในช่วงเวลานั้นไม่เคยเข้ามาฉายในประเทศไทย (เพิ่งเข้ามาฉายเป็นรายการเฉพาะกิจ ในสัปดาห์หนังโซเวียต เมื่อวันที่ 10 มิถุนายน 1977 ที่หอศิลปพีระศรี) ดังนี้เมื่อไม่มีหลักฐานแม้แต่ว่าปรีดีรับรู้การมีอยู่ของหนัง อะเลคซันเดอร์ เนฟสกี จึงน่าทึ่งที่เราสามารถเทียบความ ‘ พ้องกัน ’ ของหนังทั้งสองเรื่องนี้อย่างบังเอิญ แต่ในพ้องก็มี ‘ ความพ้องที่ต่างกัน ’ ด้วย

 

 

เทียบชั้น KING OF THE WHITE ELEPHANT
กับ ALEXANDER NEVSKY [5]

จากกิจกรรม ภาพยนตร์สนทนา เนื่องในวันสันติภาพไทย 16 สิงหาคม และเนื่องในวาระที่ภาพยนตร์เรื่อง “พระเจ้าช้างเผือก” ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกความทรงจำแห่งโลก หอภาพยนตร์ได้จัดฉายภาพยนตร์ “พระเจ้าช้างเผือก” ควบกับ “Alexander Nevsky” สองผลงานที่ความคล้ายคลึงและเชื่อมโยงกันหลายประการ พร้อมการบรรยายโดย สัณห์ชัย โชติรสเศรณี และ โดม สุขวงศ์ เมื่อวันที่ 16 สิงหาคม 2568 ณ โรงภาพยนตร์ศาลาศีนิมา หอภาพยนตร์แห่งชาติ

โดม สุขวงศ์ - แรกเลยจริง ๆ แล้วเราไม่คิดเสนอนะ เราก็เจียมตัวว่าเป็นหนังสมัครเล่นหนังเด็กแก่แดดทำ ไม่กล้าเสนอให้ขึ้นระดับโลก แต่คณะกรรมการมาขอว่าสมัยนี้เขาอยากให้มี สื่อโสตทัศน์ (Audiovisual) ของไทยมีอะไร ผมเสนอ “ พระเจ้าช้างเผือก ” ไป แล้วก็ไม่ผ่านตั้งแต่ปี 2551 ไป present 2 ครั้ง มีเสียงว่ามันไม่เหมาะสม ไม่สมจริง ผิดธรรมเนียมประเพณี ไม่ได้เชิดชูสถาบัน ผมคิดว่าสมควรแล้วล่ะสำหรับหนังต่ำชั้น จนกระทั่งเมื่อสองปีที่แล้วสัณห์ชัยได้เสนออีกทีคราวนี้ถึงได้ผ่าน เมื่อผ่านก็ถือว่า ‘ มีชั้น ’ ถ้าเราจะเทียบชั้นหนังโลกด้วยกันผมไปนึกถึง  ALEXANDER NEVSKY ของโซเวียต ผมเคยดูมาก่อนเป็นเรื่องประหลาดที่ได้มาฉายในกรุงเทพฯ เมื่อปี 2520 หลังเหตุการณ์ 6 ตุลา 2519 บ้านเมืองตกอยู่ในภาวะกลัวคอมมิวนิสต์แต่หนังมาฉายได้ที่ หอศิลป พีระศรี กับสถานทูตโซเวียต จัดหลายเรื่องบางเรื่องถูกเซ็นเซอร์ไม่ให้ฉาย มีเคอร์ฟิวด้วยฉายเสร็จต้องรีบกลับบ้าน

ต่อมาผมถึงได้ดูพระเจ้าช้างเผือก แรกไม่ได้คิดว่าเหมือนกัน จนไม่กี่ปีมานี้ ไม่รู้คิดยังไงว่ามีอะไรที่คล้ายกัน เลยลองเอามาเทียบดู ก่อนจัดรายการนี้ผมก็ดูทั้งสองเรื่อง แล้วคิดว่าปรีดีต้องได้ดูหนังเรื่องนี้ก่อนสร้างแน่นอน ทำไมทำออกมาโครงสร้าง เจตนาก็คล้ายกัน เลยลองถามเอไอว่าปรีดีเคยดูเรื่องนี้ไหม เอไอตอบว่า เคยดู แต่ผมไม่เชื่อเอาหลักฐานมาซิ ปรากฏว่าเอไอมั่ว สุขปรีดา บุตรชายของปรีดี เคยเขียนบทความเรื่อง โฮจิมิน ไปมอสโควปี 1939 ปีที่ฉายเลย สรุปผมคิดว่าปรีดีไม่ได้ดูเรื่องนี้ก่อน เรื่องนี้เขียนขึ้นจากประวัติศาสตร์ไม่กี่บรรทัด ไม่เคยมีนิยายหรืออะไร ถูกเขียนขึ้นโดยตรงเพื่อทำหนัง “ พระเจ้าช้างเผือก ”

แรงดลใจใหญ่หลวงเป็นพื้นฐานหรือตั้งต้นจึงมาจากปัจเจกชนคนเดียว คือ ปรีดี พนมยงค์ แม้มิใช่นักเขียนนิยายหรือนักทำหนังมืออาชีพ แรงดลใจหลักคือการตระหนักว่า เวลานั้นโลกกำลังตกอยู่ในภัยสงคราม หลวงพิบูลย์สงคราม ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี มีแนวโน้มว่ารัฐบาลพร้อมจะก่อสงคราม แทนที่จะรักษาความเป็นกลางซึ่งรัฐบาลเคยประกาศไว้ เมื่อแรกเกิดสงครามในยุโรป เมื่อเห็นสังคมถูกปลุกปั่นไปในทางเห็นดีเห็นงามกับสงครามจนเป็นกระแสหลัก ปรีดีจึงเกิดความคิดอย่างแรงกล้าที่จะทวนหรือต้านกระแสสังคมไทย โดยแต่งเรื่องเป็นนิยายซึ่งใช้วิธีผลิตซ้ำ สงครามไทยรบพม่าตามกระแสหลัก แต่แทนที่จะปลุกใจให้รักชาติแบบคลั่งชาติ ขาดสติยับยั้ง กลับสอนให้คนเห็นว่าแท้จริงแล้ว สงครามเกิดจากความกระหายอำนาจ ลายศ สรรเสริญ และความโลภโมโทสันของผู้ครองรัฐ หรือระเทศเพียงผู้เดียว จึงสอนว่าผู้กครองควรจะมารบราฆ่าฟันกันเองตัวต่อตัว อย่าให้ระชาราษฎร์มาเกี่ยวข้องด้วย แทนที่จะปลุุกใจให้เกลียดชังคั่งแค้นเพื่อนบ้าน กลับเป็นการปลุุกใจให้ชิงชังสงครามที่เกิดจากผู้นำที่ไม่อยู่ในทำนองครองธรรม ไม่ตกเป็นเหยื่อของสงครามอย่างนี้

 

 

เทียบศิลปภาพยนตร์

“ ALEXANDER NEVSKY ” เป็นภาพยนตร์รัสเซียสร้างสมัยสหภาพโซเวียต ยุุคสตาลิน (1927-1953) กำกับโดย เซียร์เก ไอเซ็นสไตน์ (Sergei Mikhailovich Eisenstein 1898-1948) และ ดมิตรี วาสิเยฟ (1900-1989) สร้างงานโดย โรงถ่ายมอสฟิล์ม ของรัฐบาลกลาง นำทีม  เขียนบท กำกับ ตัดต่อ โดย เซอร์เก ไอเซนสไตน์ นักทฤษฎีและนักปฏิบัติที่โดดเด่นที่สุดคนหนึ่งในระวัติศาสตร์ภาพยนตร์โลก มีผู้กำกับภาพคู่ใจที่ทำงานร่วมกันมาจากหลายเรื่องก่อนหน้านี้ คือ เอดูอาร์ด ทิสเซ (Eduard Tisse) คนที่ทำให้เขาและวงการภาพยนตร์โซเวียตประสบความสำเร็จมีชื่อเสียงในระดับโลก  ไอเซนสไตน์ เป็นทั้งศิลปินนักออกแบบ การก่อสร้าง ช่างวาดเส้น เป็นนักทฤษฎีภาพยนตร์ เขียนงานวิชาการและสอนวิชาภาพยนตร์ เขาสร้างทฤษฎีและฏิบัติจริงในผลงานภาพยนตร์สามเรื่องที่สร้างไว้  Strike (1925) , Battleship Potemkin (1925) และ October (1928) จุดเด่นในงานของเขาคือ การจัดองค์ระกอบภาพและการตัดต่อที่มีการสร้างความหมายต่าง ๆ อย่างชัดเจน แม้ได้รับโจทย์จากผู้อำนวยการสร้างซึ่งควบคุมการผลิตไม่ให้ออกมาเป็นแนว จิตนิยม ที่มีความเป็น Art Movie สูง เพื่อให้เข้าถึงคนทั่วไปในวงกว้างแล้วก็ตาม แต่ตัวตนของความเป็นศิลปินหลากสาขาย่อมฉายคุณค่าอยู่ในงานทุกเรื่องที่เขากำกับ

เมื่อเทียบกับ “ พระเจ้าช้างเผือก ” ผู้ควบคุมงานสร้างคือ ปรีดี พนมยงค์ บทบาทและสถานะของการสร้างงานเทียบเท่า ไอเซนสไตน์ เพียงแต่ผลงานเป็นชิ้นแรกและชิ้นสุดท้ายของปราชญ์นักปกครอง นักกฎหมาย นักวิชาการ นักการทูต ขณะดำเนินงานสร้างในปี 2483 ปรีดี พนมยงค์ ดำรงตำแหน่ง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ มีอายุ 40 ปี เท่ากับ ไอเซนสไตน์ ช่วงที่สร้างเรื่อง “ อเล็กซานเดอร์ เนฟกี้ ” ใน “ ALEXANDER NEVSKY ” ใช้นักแสดงมืออาชีพในอุตสาหกรรมภาพยนต์โซเวียตทั้งหมด โดยเฉพาะพระเอก คือ เนฟสกี รับบทโดย นิโคเลย์ เชอร์คาซอฟ (Nikolay Cherkasov 1903 - 1966 จากสถาบันการละครและภาพยนตร์แห่งเลนินกราด เรียนการแสดงละคร บัลเลต์ กายกรรม เขาเป็นนักแสดงที่มีชื่อเสียงมาก่อน (ตอนแสดงเป็นเนฟสกี ในวัย 21 ปี เชอร์คาซอฟมีอายุ 34 ปี ซึ่งแก่กว่าอายุุในบท 13 ปี) นักแสดงประกอบนับพันคนใช้ทหารประจำการในกองทัพแดง จึงมีความเป็นมืออาชีพและมีทักษะสูง

ตรงข้ามกับผู้แสดงของ “ พระเจ้าช้างเผือก ” ผู้แสดงเป็นมือสมัครเล่นอาสาการกุศล การแสดงเป็นแบบ ‘ สมมุติ ’ ตามขนบโบราณที่ไม่สมจริง (เริ่มแนวสมจริงในรัชกาลที่ 5 แพร่หลายในรัชการที่ 6)การพูดต้องใช้ภาษาอังกฤษที่ไม่คุ้นเคยจึงดูเป็นท่องบทน่าขำ ยกเว้นผู้แสดงเป็น พระเจ้าจักรา คือ เรณู กฤตยากร (เรอเน โกด๊าท) ที่พูดภาษาอังกฤษได้คล่อง กับ ประดับ ระบิลวงศ์ ผู้รับบทพระเจ้าหงสา ผู้แสดงระกอบเป็นชาวบ้าน ทหาร ช้างราว 150 เชือก เป็นช้างงานในป่าไม้ของ เจ้าวงศ์ แสนศิริพันธ์ ผู้กำกับช้าง (master of the elephants) จากจังหวัดแพร่ ร่วมด้วยม้าแกลบธรรมดาไม่น่าเกรงขามแม้ดูสมจริง เมื่อออกฉายเสียงสื่อส่วนใหญ่วิจารณ์การแสดงว่าดูตลก มีเพียงหนังสือการละครเล่มเดียวที่เห็นว่าการแสดงเป็นธรรมชาติ

 

 

งานด้านศิลปกรรมหรือ Production Design ใน “ อเล็กซานเดอร์ เนฟสกี ” มี Art Directer คือ นิโคไล โซโลยอฟ (Nikolai Soloyov 1910 - 1976) และร่วมออกแบบฉากโดย โยเซฟ สปิิเนล (Joseph Spinel) (1892 - 1980) การออกแบบงานสร้างถูกกำหนดมาอย่างมีหลักทางวิชาการ และพิถีพิถันให้ดูสมจริงเป็นธรรมชาติ เจตนาออกแบบสื่อความมายเชิงสัญลักษณ์และอารมณ์อย่างเป็นเอกภาพทั้งเรื่อง ถ่ายโดย เอดูอาร์ด ทิสเซ (Eduard Tissee 1897-1961) ตากล้องคู่บุญของ ไอเซ็นสไตน์ น่าสังเกตว่าเขาใช้กล้องถ่ายหนังฝรั่งเศสยี่ห้อ เดอร์บี รุ่น ปาร์โว มือหมุนและมอเตอร์เป็นกล้องหลัก ซึ่งเป็นหนึ่งในกล้องพิมพ์นิยมตั้งแต่ยุคหนังเงียบ ฉากส่วนใหญ่ในหนัง “ อเล็กซานเดอร์ เนฟสกี ” เป็นฉากภายนอกภูมิูประเทศทุ่งราบ ทะเลสาบ และโดยเฉพาะฉากการรบในฤดูหนาวที่เยือกเย็นเป็นน้ำแข็ง ขณะถ่ายเป็นฤดูร้อนแต่ต้องจัดให้เป็นฤดูหนาวในโรงถ่าย ย้อมสีต้นไม้ช่วยสร้างบรรยากาศ

ฉากพระราชวังทั้งสองเรื่องใช้ฉากเขียนไม่ใช่สถานที่จริง ที่ต้องใช้ความชำนาญและอวดฝีมือย่างยิ่งคือฉากการรบ โดยเฉพาะ ‘ ยุทธหัตถี ’ คือการรบโดยกองทัพช้างของสองฝ่ายประจัญบานกันเป็นไฮไลท์ของหนัง การถ่ายทำ “ พระเจ้าช้างเผือก ” ช่างถ่ายภาพยนตร์คือ ประสาท สุุขุุม (1901 - 1973) ซึ่งเป็นมืออาชีพสมาชิกสมาคมช่างถ่ายภาพยนตร์แห่ง สหรัฐอเมริกา (American Soceity of Cinematographer (ASC) ประสาทเรียน วิชาการถ่ายภาพยนตร์ที่ฮอลลีวู้ดเมื่อ ปี 1923 และได้ทำงานเป็นช่างถ่ายภาพยนตร์ข่าวในฮอลลีวู้ดที่บริษัทพาราเมาท์ เขาเป็นผู้ร่วมก่อตั้ง โรงถ่ายไทยฟิล์์ม และเป็นหัวหน้าช่างถ่ายภาพยนตร์ของโรงถ่ายตั้งแต่่เริ่มเปิดกิจการเมื่อปี 2481 มีผลงาน 5 เรื่่อง ก่อนที่โรงถ่ายจะหยุดกิจการในปี 2483 จึง ได้ทำงานร่วมกับปรีดีใน “ พระเจ้าช้างเผือก ” ซึ่งนอกจากทำหน้าที่ถ่ายภาพยนตร์แล้วยังเป็นที่ปรึกษาด้านเทคนิคให้ปรีดีด้วย

ถ่ายทำทั้งฉากภายในและภายนอกที่ โรงถ่ายไทยฟิล์ม ทุ่งมหาเมฆ และยกกองไปถ่ายนอกสถานที่ ฉากการจับช้างป่า ฉากสงคราม หงสาตีกานบุุรี ฉากสงครามยุุทธหัตถี ที่ตำบลป่าแดง-ช่อแฮ่ จังหวัดแพร่ ฉากพระราชวังหงสาที่พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติพระนคร และฉากพระราชวังอโยธยาที่วัดพระแก้ว พระบรมมหาราชวัง เริ่มการถ่ายทำเดือนมีนาคมไปถึงเดือนกรกฏาคม 2483 ซึ่งเป็นฤดููร้อน ประสาทใช้กล้องอเมริกันยี่ห้อมิทเชลล์ 35 มม. ซึ่งเป็นกล้องพิมพ์นิยมมาตรฐานหนังเสียงในฮอลลีวู้ดขณะนั้น และใช้สัดส่วนภาพแบบ Academic หนังเสียง คือ 1.37:1 เช่นเดียวกับใน “ อเล็กซานเดอร์ เนฟสกี ” ที่ฉาก ‘ยุทธการธารน้ำแข็ง’ Battle of the Ice (1242) เป็นไฮไลท์

 

การออกแบบฝ่ายกองทัพติวโตนิคเยอรมันดููน่าเกลียดน่ากลัวเต็มไปด้วยความมุ่งร้าย  ความเจ้าเล่ห ์ และครอบงำด้วยลัทธิศาสนา เห็นไม้กางเขนและรููปเครื่องหมายกางเขน กับเครื่องหมายอัศวินเยอรมันครอบอยู่เสมอ เดิมทีการออกแบบให้มีเครื่องหมายสวัสดิกะของนาซีปนอยู่ด้วยแต่แก้ออกไป ในขณะที่ฉากเกี่ยวกับศาสนาของฝ่ายรัสเซียจะถููกลดความสำคัญลง ตามนโยบายของคอมมิวนิสต์ที่ไม่ให้ความสำคัญกับศาสนา วัดคริสต์ออร์โธด็อกซ์ของฝ่ายรัสเซียจึงเห็นเพียงหลังคายอดโดม มีกางเขนโดยไม่เน้น พิธีกรรมทางศาสนาก็แสดงอยู่ห่างไกล ไม่ให้มีบทบาทจริงจัง เครื่องแต่งกายเป็นการออกแบบและจัดสร้างที่สำคัญ ชุุดศึกสำหรับออกรบของสองฝ่ายต้องผ่านการศึกษาค้นคว้าและอาศัยข้อมููลประวัติศาสตร์ แต่ก็ออกแบบให้ชุดของเยอรมันดููน่าสะพรึงกลัว ชั่วร้้าย และทรงอำ นาจ เกราะเหล็กที่่ดููหนักหนาเพื่่อสมเหตุผลที่จะทำให้แผ่นน้ำแข็งบนธารทะเลสาบปริแตกกลืนชีวิต หมวกเหล็กของทหารเยอรมันก็ดูคล้ายหมวกทหารเยอรมันในสงครามโลก ครั้งที่ 1 และหมวกทหารนาซี

 

 

“ พระเจ้าช้างเผือก ” ผู้กำกับศิลป์ คือ ม.จ. ยาใจ จิตรพงศ์ (1910 - 1996 ทรงเป็นพระโอรสองค์ใหญ่ของ จ้าฟ้ากรมพระนริศรานุุวัติวงศ์ ศิลปินใหญ่ของชาติ ทรงสำเร็จการศึกษาวิชาออกแบบศิลปอุุตสาหกรรมจาก มหาวิทยาลัยปารีส และ เวลานั้นรับราชการอยู่ที่กรมศิลปากร จึงนับว่าทรงเป็นเอกผู้หนึ่งในทางช่างและศิลปะของประเทศไทย) และมี พระยาเทวาธิราช (ม.ร.ว. โป้ย มาลากุุล 1889 - 1967) อดีตสมุุหพระราชพิธีในราชสำนัก ร. 7 ผู้สนใจเรื่องงานถ่ายทำภาพยนตร์ สมัครเล่นมาเป็นที่ปรึกษาฝ่ายพระราชพิธีและจัดเครื่องแต่งกาย

เสื้อผ้าเครื่องแต่งกายของตัวละครใน “ พระเจ้าช้างเผือก ” ลอกมาจากชุดเครื่องแต่งตัวละครรำ ทั้งอโยธยาและหงสา และอ้างอิงจากภาพเขียนฝาผนัง โดยเฉพาะภาพเขียนยุทธหัตถีที่มีอยู่หลายสำนวน ชุดออกศึกของทั้งสองฝ่ายก็ยังอยู่ในแบบเครื่องแต่งตัวละคร ทหารหงสายังนุ่งโสร่ง โพกหัว ทั้งสองฝ่ายไม่มีเสื้อเกราะเพราะเชื่่อว่าเราใช้เครื่องราง สักยันต์ ผ้ายันต์เป็นเกราะ ธงชัยประจำช้างศึกของสองฝ่ายก็เป็นธงยันต์ ส่วนเครื่องแต่งตัวของไพร่พลตลอดจนชาวบ้านกานบุรีก็ใช้ชุดปกติ แทบจะคือชุดชาวบ้านร่วมสมัย มีเสื้อผ้าเครื่องแต่งตัวที่น่าสังเกตว่าอาจจะบังเอิญมาล้อกับชุดเสื้อลายจุุดของอัครมหาเสนาบดีหงสา ที่ดูมีอารมณ์ครึ้มกับเสื้อลายดอกกลมโตของ ขุนศึกบุสไล ผู้สนุกสนาน ในเวลาถ่ายทำตรงนี้อาจถือว่าเป็นวิธีการแนว ‘ คติสมมุติ ’ ของการแสดงไทยในแบบระเพณีดั้งเดิมได้

 

 

เมื่อถึงฉากสองทัพปะทะกันอย่างเต็มที่ คือฉากที่เจ้าบุเรงต้องนำทัพหลวงออกรบกับทัพหลวงพระเจ้าจักรา เป็นสงครามบนหลังช้างอย่างเต็มกำลัง มีมุุมกล้องที่คล้ายกับฉากรบใหญ่ใน “ อเล็กซานเดอร์ เนฟสกี ”  คือถ่ายระยะไกลสุุดจากมุุมระดับพื้นเห็นขอบฟ้า แล้วจึงเห็นกองทัพค่อย ๆ โผล่ขึ้นมาตามแนวเส้นขอบฟ้าตลอดแนว ใน อเล็กซานเดอร์ เนฟสกี คือ กองทัพม้าโผล่ขึ้นมาแล้วเคลื่อนจนถึงกล้อง ใพระเจ้าช้างเผือก คือกองทัพช้าง แต่ที่เป็นทีเด็ดของพระเจ้าช้างเผือกคือ เมื่อกองทัพช้างเคลื่อนเข้ามาใกล้แล้วยังมีช็อตมหัศจรรย์เมื่อเห็นช้างตัวมหึมาเดินเหยียบย่ำผ่านหัวคนไป ซึ่งเกิดจากการขุดหลุมลึกเพื่อวางกล้องและใช้เลนส์มุมกว้างวางไว้ในหลุุม ตั้งกล้องมุมเงยเสยขึ้นรับกองทัพช้างเดินข้ามกล้องไปอย่างน่าหวาดหวั่น เป็นภาพที่น่าตื่นตาระทึกใจ และสะกดอยู่ในความทรงจำ ส่งให้เห็นอำนาจเหนือกว่าของช้างสาร ฉากรบใหญ่แบบเข้าประจัญบานตะลุมุบอนกัน ทั้งสองเรื่่องมีท่วงทำนองการถ่ายภาพและการตัดต่อที่คล้ายกัน แต่ของ “ อเล็กซานเดอร์ เนฟสกี ” มีมวลและพลวัตมากกว่า ลีลาคือการตัดสลับภาพระหว่างสองกองทัพเคลื่อนเข้าหากันคนละทิศทาง และเมื่อเข้าต่อสู้ฟาดฟันกันมีการตัดภาพเข้าระยะปานกลางและระยะใกล้มากกว่า หรือมีการขยายรายละเอียดการต่อสู้มากกว่า

 

 

ด้านดนตรี ภาพยนตร์เรื่อง “ อเล็กซานเดอร์ เนฟสกี ” มีการประพันธ์ ดนตรีขึ้นใหม่เป็นพิเศษเฉพาะของภาพยนตร์ โดยยอดคีตกรและนักเปียโนคลาสสิคของโซเวียต คือ เซอร์เก โปรโคฟิเยฟ (Sergei Prokofiev) (1891-1953) และมีชื่อเสียงระดับโลกมาตั้งแต่ต้นศตวรรษที่ 20 ได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในคีตกวีแนวอาวองการ์ดของรัสเซียและยุโรป ส่วน “ พระเจ้าช้างเผือก ” ใช้วิธีแต่งดนตรีขึ้นจากเพลงที่มีอยู่แล้ว ทั้งเพลงไทยเดิม และเพลงสากลคลาสสิค แต่เลือกมาตีความตามฉาก ผู้ทำดนตรีคือ พระเจนดุริยางค์ (ปิติ วาทยากร 1883-1968) ซึ่งเป็นบุรพาจารย์ดนตรีสากลในสยาม เป็นลูกครึ่ง เยอรมัน-มอญ บิดาเป็นครูดนตรีให้วงแตรทหารไทย พระเจนเป็นหัวหน้าวงดนตรีสากลหรือซิมโฟนี ออร์เคสตร้าของกรมศิลปากร และในปี 1936-37 ได้รับทุุนจาก กรมศิลปากรให้เดินทางไปดูงานกิจการดนตรีและการศึกษาดนตรีในหลายประเทศของยุโรป

น่าทึ่งที่เมื่อเทียบดนตรีของ “ อเล็กซานเดอร์ เนฟสกี ” กับ “ พระเจ้าช้างเผือก ” แล้ว ทั้งสองเรื่องต่างใช้เพลงคลาสสิค แต่ที่ต่างกันคือของ “ อเล็กซานเดอร์ เนฟสกี ” ให้ โปรโคฟิเยฟ เป็นผู้แต่งทำนองเพลงขึ้นมาใหม่ทั้งหมด ตามโจทย์ที่ไอเซ็นสไตน์ผู้กำกับขอให้สร้างดนตรีที่มีลักษณะของรัสเซียยุคกลาง ฉากรบใหญ่จะมีทั้งบรรเลงและเพลงร้องประโคมประกอบกับภาพที่เข้ากับจังหวะการเคลื่อนไหวและองค์ประกอบภาพตลอด แต่มิใช่ว่าหนังทั้งสองเรื่องนี้ใช้เพลงประกอบไปทุุกฉาก มีหลายช่วงเวลาของบางฉากที่ไม่ให้มีเสียงดนตรีเลย แต่ปล่อยให้เสียงในบรรยากาศหรือสียงที่ควรมีอยู่ตามธรรมชาติของกาลเทศะในฉากนั้น ๆ ทำงาน

 

 

การตัดต่อ ไอเซ็นสไตน์ขึ้นชื่อเรื่องการคิดค้นวิธีการตัดต่อ ภาพยนตร์ จนเกิดเป็นแบบฉบับที่เรียกว่า มองตาจ (montage) หลังจากที่เขาศึกษาวิเคราะห์กายภาพการตัดต่อในภาพยนตร์ชั้นครูของฮอลลีวู้ดจนทะลุปรุโปร่งเสมือนนักเรียนแพทย์ผ่าศพ จึงทดลองปฏิบัติการตัดต่อภาพยนตร์ ซึ่งกลายเป็นหนึ่งในแบบฉบับการตัดต่อของสำนักภาพยนตร์โซเวียต เขาสร้างไวยากรณ์ใหม่ของการตัดต่อ ผสมผสานทฤษฎีจิตวิทยาและหลักปรัชญา มาร์กซิสต์ หลักไวยากรณ์การสร้างคำของอักษรจีน หลักนาฏศิลป์ญี่ปุ่น รวมสารพัดหลักคิด จนสร้างแบบแผนการตัดต่อภาพยนตร์ของเขาขึ้น แต่สำหรับเรื่อง “อเล็กซานเดอร์ เนฟสกี” ซึ่งเป็นหนังเสียงอาศัยการสื่อด้วยภาพและการเคลื่่อนไหวจึงไม่เข้มข้นเท่ากับหนังเงียบ และประกอบกับไอเซ็นสไตน์ถููกคุุมไม่ให้เดินแนวทางเดิม ดังนั้นการตัดต่อภาพยนตร์ในเรื่องนี้จึงลดความเข้มข้นลงทั้ง ๆ ที่ไอเซ็นสไตน์เป็นผู้ตัดต่อหนังเรื่องนี้เอง ไม่มีการตัดต่อเพื่อสร้างความหมายใหม่หรือความหมายเปรียบเทียบ แต่มีการตัดต่อแบบสร้างอารมณ์และผสานกับการแต่งดนตรีประกอบเป็นพิเศษโดยคีตกรเอกของโซเวียตด้วย จึงยังเห็นสกุลตัดต่อโซเวียตชัดและไม่ยึดแนวฮอลลีวู้ดคลาสสิค

ส่วน “ พระเจ้าช้างเผือก ” ตัดต่อภาพยนตร์โดย บำรุง แนวพานิช ซึ่งตระกูลนี้เป็นตระกูลบุกเบิกการสร้างภาพยนตร์ไทยรายหนึ่งก่อนสงครามโลก เคยก่อตั้งบริษัท น.น. ภาพยนตร์ มีผลงานภาพยนตร์สามสี่เรื่อง บำรุงทำหน้้าที่อำนวยการสร้าง ถ่ายภาพยนตร์และตัดต่อเช่นเดียวกับไอเซ็นสไตน์ทำ “ อเล็กซานเดอร์ เนฟสกี ”  ไม่ได้มีเส้นเรื่่องที่สลับซับซ้อน แต่เดินเรื่องไปตามลำดับเวลาปกติ และถือว่ามีอัตราการตัดภาพในแต่ละฉากน้อย การเคลื่อนไหวกล้องก็ไม่มาก จุดเด่นของการตัดต่อจึงไปอยู่ที่่ฉากการสู้รบตะลุมบอน ปรากฏว่าทั้งสองเรื่องใช้ดนตรีประกอบสร้างอารมณ์ไปกับภาพและการเคลื่อนไหวของภาพด้วย

 

 

วาระสำคัญ 80 ปี วันสันติภาพไทย 

เนื่องในโอกาสครบรอบ 80 ปี วันสันติภาพไทย เมื่อวันเสาร์ที่ 16 สิงหาคม 2568 และเพื่อเฉลิมฉลองในวาระที่องค์การ UNESCO มีมติขึ้นทะเบียนภาพยนตร์เรื่อง “ พระเจ้าช้างเผือก (The King of the White Elephant) ” และเอกสารจดหมายเหตุที่เกี่ยวข้องซึ่งจัดเก็บโดย หอจดหมายเหตุธรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เป็น “ มรดกความทรงจำแห่งโลก ” (Memory of the World) ประกาศเมื่อวันที่ 17 เมษายน 2568 นอกจากภาพยนตร์พระเจ้าช้างเผือกแล้ว เอกสารที่ประเทศไทยเป็นผู้เสนอและร่วมเสนอด้วยอีกสองรายการ ที่ได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกความทรงจำแห่งโลก คือ

• The Birth of the Association of Southeast Asia Nations (ASEAN) (Archives about the Formation ASEAN, 1967 - 1976) (การกำเนิดของสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) (เอกสารเกี่ยวกับการก่อตั้งอาเซียน, 1967 - 1976) ร่วมเสนอโดย อินโดนีเซีย มาเลเซีย สิงคโปร์ และไทย

• The Manuscript of Nanthopananthasut Kamlaung (22 July, 1736) (เอกสารต้นฉบับ นันโทปนันทสูตรคำหลวง (22 กรกฎาคม พ.ศ.2279)

สถาบันปรีดี พนมยงค์ จึงร่วมกับ วิทยาลัยนวัตกรรม และ หอภาพยนตร์ (องค์การมหาชน) จัดฉายภาพยนตร์และเสวนาหัวข้อ “ พระเจ้าช้างเผือก (The King of the White Elephant) ภาพยนตร์ในฐานะมรดกวัฒนธรรม สู่กระบวนการขึ้นทะเบียน ความทรงจำแห่งโลก ” ร่วมเสวนากับวิทยากร คุณสัณห์ชัย โชติรสเศรณี รองผู้อำนวยการหอภาพยนตร์ (องค์การมหาชน) และ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. เวฬุรีย์ เมธาวีวินิจ อาจารย์ประจำหลักสูตร BMCI

ดำเนินรายการโดย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.กาญจนา เหล่าโชคชัยกุล เมื่อวันศุกร์ที่ 15 สิงหาคม 2568  ห้อง 404 ชั้น 4 วิทยาลัยนวัตกรรม อาคารอเนกประสงค์ 3 มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์

รับฟังการเสวนาย้อนหลัง : นักข่าวพลเมือง Citizen Journalist

https://youtu.be/DTCuktrbsSM?si=5A-Ew6CHZwzM1U4M

นอกจากนี้ สถาบันไทยคดีศึกษา ยังร่วมกับ หอสมุดแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จัดแสดงนิทรรศการเรื่อง “ พระเจ้าช้างเผือก ; ภาพยนตร์การเมือง - สันติภาพ สู่มรดกความทรงจำของคนรุ่นใหม่ ” เนื่องในโอกาสครบรอบ 79 ปี วันสันติภาพไทย และเนื่องในโอกาสที่คณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยแผนงานความทรงจำแห่งโลกของประเทศไทย ประกาศรับรอง “พระเจ้าช้างเผือก The King of the White Elephant” เป็นเอกสารมรดกความทรงจำแห่งโลกของประเทศไทย (National Register) เมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 2566

นิทรรศการ “ พระเจ้าช้างเผือก ”  จัดแสดงเมื่อ 16-23 สิงหาคม 2568 ณ โถงทางเข้าชั้น U1 หอสมุดปรีดี พนมยงค์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์

Charnvit Kasetsiri https://www.facebook.com/share/p/1Zd4d8tDPQ/

เนื้อหาที่จัดแสดง ประกอบด้วย

- ภาพถ่ายกองถ่ายทำภาพยนตร์พระเจ้าช้างเผือกที่จังหวัดแพร่

- ต้นฉบับหนังสือพระเจ้าช้างเผือก ฉบับภาษาอังกฤษและภาษาฝรั่งเศส

- ข่าวตัดเกี่ยวกับภาพยนตร์พระเจ้าช้างเผือก

- งานฉลอง 60 ปี ภาพยนตร์เรื่อง พระเจ้าช้างเผือก

- นิตยสารที่เกี่ยวข้องกับภาพยนตร์พระเจ้าช้างเผือก

- โสตทัศน์วัสดุเกี่ยวกับภาพยนตร์พระเจ้าช้างเผือก

- หนังสือพระเจ้าช้างเผือก ฉบับภาษาอังกฤษและภาษาไทย

- จดหมายโต้ตอบในการฉายภาพยนตร์

- สมุดบันทึกนายปรีดี เรื่องพระเจ้าช้างเผือก

เป็นต้น

ผู้ที่สนใจต้องการชมเอกสารจดหมายเหตุเกี่ยวกับภาพยนตร์เรื่อง “ พระเจ้าช้างเผือก (The King of the White Elephant) ” หรือสืบค้นเรื่องราวต่าง ๆ เกี่ยวกับมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ สามารถติดต่อ หอจดหมายเหตุมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้หลายช่องทาง

สถานที่ : หอจดหมายเหตุธรรมศาสตร์ (Thammasat Archives)

ชั้น 2 อาคารอุทยานการเรียนรู้ป๋วย 100 ปี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต

เปิดทำการ : จันทร์-ศุกร์ เวลา 09.00 น. – 16.00 น.

ปิดทำการ : เสาร์-อาทิตย์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์

website: http://arc.tu.ac.th/

E-mail: [email protected]

โทร: 02-564 4444-59 ต่อ 4801 (ดาวเรือง), 4803 (ฐานิตา)

 

 

นอกจากนิทรรศการ-เสวนาแล้ว ภายในงานยังจัดแสดง ละครร้องผสมสื่อภาพยนตร์ ’ เรื่อง “พระเจ้าช้างเผือก” (ฉบับย่อ) โดยคณะละคร Anatta Theatre Troupe กำกับการแสดงโดย ประดิษฐ ประสาททอง ศิลปินศิลปินแห่งชาติ ปี 2565 สาขาศิลปะการแสดง ดนตรีบรรเลงสดโดย วงปี่พาทย์คณะ “ ศิษย์เชตวัน ”นำทีมโดย Pom Chatchai / ร่วมด้วยคณะระบำจาก ม.สวนสุนันทา นำทีมโดย ครูมาร์ช Mananshaya Phetruchee / ทีมงานเทคนิก โดย Eddy Sarayut และ Nook / ทีมจัดการ โดย Duangjai Phiao Hiransri  และ Preechayut Art Chang ร่วมสร้างสรรค์โดยนักแสดง Jet Thanarat , Kriengkrai Fookasem , Guitarr Thanyathon และ Danaya Buntasnakul

การแสดงละคร “พระเจ้าช้างเผือก”  (ฉบับเต็ม) จะจัดแสดงใน เทศกาลละครกรุงเทพ 2025 ณ หอศิลวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร BACC

Bangkok Theatre Festival ในวันที่ 8-23 พฤศจิกายน 2568 ณ พื้นที่ดาวกระจายหลายจุด

หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร (BACC)

อุทยานการเรียนรู้ TK Park

สามย่านมิตรทาวน์ โซน Sky Garden

และพื้นที่รอบกรุงเทพฯ

ติดตามความเคลื่อนไหวได้ที่ Facebook page : Bangkok Theatre Festival

 

 

ในโอกาสที่ภาพยนตร์ในการอนุรักษ์ของหอภาพยนตร์ เรื่อง “ พระเจ้าช้างเผือก ” รวมทั้งเอกสารจดหมายเหตุที่เกี่ยวข้องซึ่งอนุรักษ์โดย หอจดหมายเหตุ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็น “ มรดกความทรงจำแห่งโลก ” (Memory of the World) โดยองค์การเพื่อการศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ หรือ ยูเนสโก (UNESCO) พิพิธภัณฑ์ภาพยนตร์ไทยซึ่งเป็นสถานที่จัดแสดงวัตถุสิ่งเกี่ยวเนื่องทรงคุณค่าในประวัติศาสตร์ภาพยนตร์เพื่อให้สาธารณชนได้ศึกษาเรียนรู้และชื่นชม จึงได้จัดแสดงฉลองพระองค์และพระแสงดาบ ชุดและอาวุธประจำกายของพระเจ้าจักรา ตัวละครเอกจากภาพยนตร์เรื่อง “ พระเจ้าช้างเผือก ” หรือชื่อภาษาอังกฤษ “ The King of The White Elephant ” ออกฉายครั้งแรกในปี 2484 หอภาพยนตร์ ได้รับมอบวัตถุทั้งสองมาจาก คุณดุษฎี พนมยงค์ บุตรีของนายปรีดี พนมยงค์ ผู้เป็นเจ้าของบทประพันธ์และผู้อำนวยการสร้างภาพยนตร์เรื่องนี้ โดยคุณดุษฎีได้พบขณะกำลังรื้อของย้ายบ้านที่ซอยสวนพลู จึงติดต่อหอภาพยนตร์ให้นำไปอนุรักษ์ไว้ สิ่งของที่ได้รับมอบนอกจากฉลองพระองค์และพระแสงดาบแล้ว ยังมีฟิล์มสำเนาเนกาติฟไนเตรทของภาพยนตร์พระเจ้าช้างเผือกเกือบครบทั้งเรื่องอีกด้วย นับเป็นการค้นพบครั้งสำคัญอีกครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์มรดกความทรงจำโลก

ชุดฉลองพระองค์นี้ใช้ถ่ายทำในฉากออกศึก ถูกตัดเย็บอย่างประณีตด้วยผ้าดำแขนยาว มีกระดุมซ่อนผ่าหน้า ปักแถบดิ้นทองที่ต้นแขน ปลายแขน ปก ยาวตลอดสาบเสื้อและชายเสื้อ ส่วนพระแสงดาบทำจากเหล็ก ด้ามทำจากไม้หุ้มด้วยเงินดุนลายสวยงาม ฝักพระแสงดาบลงรักประดับมุกอย่างงดงาม จัดแสดงอยู่ใน “ นิทรรศการหนึ่งศตวรรษภาพยนตร์ไทย ” บริเวณชั้นสองของพิพิธภัณฑ์ภาพยนตร์ไทย ผู้ที่สนใจสามารถเข้าชมวัตถุจัดแสดงประเภทเครื่องแต่งกายที่ถือว่าเก่าแก่ที่สุดในประวัติศาสตร์ภาพยนตร์ไทยได้ใน “พิพิธภัณฑ์ภาพยนตร์ไทยกับเส้นทางศตวรรษภาพยนตร์ไทย ”  เปิดให้บริการทุกวันอังคารถึงวันอาทิตย์ (หยุดวันจันทร์) วันละ 3 รอบ 11.00 น. 14.00 น. และ 16.00 น. สามารถมาจองรอบหน้างานได้โดย ไม่เสียค่าใช้จ่ายในการเข้าชม

 

photo : ร้านมายาพานิชย์ (หอภาพยนตร์แห่งชาติ)

 

DVD และหนังสือพระเจ้าช้างเผือก

DVD และหนังสือพระเจ้าช้างเผือก เป็นบันทึกระวัติศาสตร์เรื่องราวความสำคัญของ “ พระเจ้าช้างเผือก ” (The King of the White Elephant) ภาพยนตร์ที่หอภาพยนตร์ไทยอนุรักษ์ไว้ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกความทรงจำแห่งโลก (Memory of the World) โดย องค์การเพื่อการศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ หรือ ยูเนสโก (UNESCO) ในปี 2568 พร้อมกับตัวเอกสารจดหมายเหตุที่เกี่ยวข้อง ได้รับการอนุรักษ์ โดย หอจดหมายเหตุ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เป็นภาพยนตร์ไทยพูดภาษาอังกฤษที่สร้างขึ้นเพื่อเผยแพร่แนวคิดเรื่องสันติภาพให้แก่นานาประเทศในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 อำนวยการสร้างและเขียนเรื่องโดย ปรีดี พนมยงค์ ภาพยนตร์เรื่องนี้ถือเป็นภาพยนตร์ไทยขนาดยาวเพียงเรื่องเดียวจากยุคก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่ยังหลงเหลือในสภาพสมบูรณ์เต็มเรื่อง

“ พระเจ้าช้างเผือก ”  เป็นภาพยนตร์ไทยขาวดำ ในระบบ 35 มม. บันทึกเสียงขณะถ่ายทำ ให้เสียงเป็นภาษาอังกฤษทั้งเรื่อง สร้างเสร็จในปี พ.ศ. 2483 เพื่อส่งไปประกวดรางวัลสันติภาพเพื่อรางวัลโนเบิล (Noble Prize for Peace) ที่สหรัฐอเมริกา ออกฉายเมื่อวันที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2484 โดยฉายรอบปฐมทัศน์พร้อมกันที่ ศาลาเฉลิมกรุง สิงคโปร์ และ นิวยอร์ก อำนวยการสร้างและเขียนบทโดย ปรีดี พนมยงค์ กำกับโดย สันธ์ วสุธาร กำกับภาพโดย ประสาท สุขุม

DVD พระเจ้าช้างเผือก ราคา 300 บาท

หนังสือ พระเจ้าช้างเผือก  ราคา 200 บาท

ในวาระร่วมฉลอง “ พระเจ้าช้างเผือก ” ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกความทรงจำแห่งโลก (Memory of the World) โดย องค์การเพื่อการศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (UNESCO) ทางร้าน มายาพานิชย์ (หอภาพยนตร์) ลดราคาพิเศษ BOXSET DVD พระเจ้าช้างเผือก จาก 300 บาท เหลือ 240 บาท กับหนังสือ พระเจ้าช้างเผือก 2 ภาษา ราคา 200 บาท เหลือ 160 บาท ซื้อ 2 อย่าง จากราคาเต็ม 500 บาท เหลือเพียง 400 บาท

สนใจสั่งซื้อได้ที่หอภาพยนตร์ หรือสั่งออนไลน์ได้ทาง

facebook page  มายาพานิชย์-หอภาพยนตร์

และ Line id : mayapanichshop โทร. 063-465-7227

สามารถชมภาพยนตร์ “ พระเจ้าช้างเผือก ” เต็มเรื่องได้ที่ www.youtube.com

ภาพยนต์พระเจ้าช้างเผือก ๒๔๘๔

(The King of the White Elephant 1941)

ต้นฉบับภาษาอังกฤษ Thai Subtitle

https://youtu.be/uiu7-X0Kh_U?si=pFGP0aBt_FpmiPzL

พากย์ไทยhttps://youtu.be/DenTuorhSNI?si=bJJMm3wQzuaCCgUp

 

 

แนะนำหนังสือ “ โมฆสงคราม  80 ปี สันติภาพไทย ” ยุทธศาสตร์เอกราช สันติภาพเชิงรุก และบทเรียนเพื่ออนาคต : จำนวน 567 หน้า : ราคา 680 บาท https://pridi.or.th/th/content/2025/08/2590

คำนำ : ยุทธศาสตร์เอกราช สันติภาพเชิงรุก และบทเรียนเพื่ออนาคต

แปดทศวรรษผันผ่านจากเช้าวันที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2488 วันที่ประเทศไทยประกาศ  ‘ สันติภาพ ’ ยุติสถานะสงครามกับฝ่ายสัมพันธมิตรอย่างเป็นทางการ คำประกาศฉบับนั้นไม่ใช่เพียงบทสรุปของมหาสงคราม หากคือหลักหมุดทางประวัติศาสตร์ที่ยืนยันว่า ชาติเล็กในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้สามารถยืนหยัดรักษาเอกราชและศักดิ์ศรีของตนไว้ได้ ด้วยพลังแห่งปัญญา ยุทธศาสตร์ และความเสียสละของผู้กล้า

วาระรอบ 80 ปี วันสันติภาพไทย จึงเป็นโอกาสเหมาะยิงในการย้อนทบทวนภูมิปัญญาในอดีต เชื่อมโยงกับปัจจุบัน และวางรากฐานสู่อนาคต

“โมฆสงคราม” คือผลงานเชิงประจักษ์ของรัฐบุรุษอาวุโส ปรีดี พนมยงค์ ซึ่งได้รับการจัดพิมพ์ครั้งแรกเมื่อปี 2558 ในวาระครบรอบ 70 ปี “ วันสันติภาพไทย ”

ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 2 จัดทำขึ้นเพื่อเป็นบรรณาการแด่สันติภาพ ในวาระ 80 ปี วันสันติภาพไทย โดยกองบรรณาธิการได้แก้ไขคำผิด ขยายเชิงอรรถ และเพิ่มเติมเอกสารสำคัญ เพื่อให้ผู้อ่านร่วมสมัยเข้าถึงบริบททางประวัติศาสตร์ และ “ยุทธศาสตร์เอกราช” ของไทย ได้อย่างรอบด้านยุทธศาสตร์ดังกล่าวหยั่งรากใน “หลักเอกราช” อันเป็นหลักข้อแรกในหลัก 6 ประการของคณะราษฎร ซึ่งกำหนดให้ต้องพิทักษ์อิสรภาพของชาติทั้งทางการเมือง การศาล และเศรษฐกิจ ไว้ให้มั่นคง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในยุคนั้นต่างปฏิญาณจะธำรงหลักนี้อย่างเคร่งครัด และนำพารัฐนาวาไทยในช่วงทศวรรษ 2470-2480 ยกเลิกสนธิสัญญาไม่เป็นธรรม และล้มเลิก “ สิทธิสภาพนอกอาณาเขต ” ที่ชาติตะวันตกเคยถือเหนือไทยจนหมดสิ้น

ต่อมา หลักเดียวกันนี้ ได้กลายเป็นเสาหลักทางอุดมการณ์ของ “ ขบวนการเสรีไทย ” และเป็นหัวใจในนโยบายของนายปรีดี พนมยงค์ ที่มุ่งฟื้นฟูเอกราชและอธิปไตยของชาติให้กลับคืนมาอย่างสมบูรณ์ภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 บทบาทภาคสนามและเวทีการทูตของเสรีไทย คือกุญแจสำคัญที่ทำให้ไทยรอดพ้นสถานะประเทศผู้แพ้สงคราม จนสามารถฟื้นความสัมพันธ์กับนานาชาติได้อย่างสง่างาม

สำหรับการพิมพ์ครั้งที่ 2  ได้เพิ่มเติมเนื้อหาสำคัญ ได้แก่

  • คำชี้แจงภาพยนตร์และนวนิยาย “ พระเจ้าช้างเผือก ” - งานประพันธ์ภาษาอังกฤษชิ้นแรกของปรีดี พนมยงค์ ซึ่งเขียนขึ้นก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 ถ่ายทอดวิสัยทัศน์สันติภาพผ่านพุทธภาษิต “ นตถิ สนติปรํ สุขํ ” (สุขอื่น ยิ่งกว่าความสันติ ไม่มี) และถ้อยคำเตือนใจว่า “ ชัยชนะแห่งสันติภาพ หาได้มีชื่อเสียงบรรลือนามน้อยกว่าชัยชนะแห่งสงครามไม่ ” ถ้อยคำนี้ไม่เพียงสื่ออุดมคติของผู้ประพันธ์ หากยังฝังรากอยู่ในวิธีคิดทางการเมืองของนายปรีดี และเป็นรากฐานของวิเทโศบายที่นำพาไทยหลีกเลี่ยงการตกอยู่ในฐานะประเทศผู้แพ้สงครามในเวลาต่อมา
  • “ จดหมายถึงพระพิศาลสุขุมวิท ” - เอกสารส่วนบุคคลที่เปิดเผยภาพลึกของการเจรจา การตัดสินใจ และจุดเปลี่ยนในนโยบายต่างประเทศของไทยในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ
  • บทวิเคราะห์ “ ยุทธศาสตร์เอกราช ” พร้อมชุดเอกสารทางการทูตที่เผยแพร่ครบถ้วนเป็นครั้งแรก ช่วยให้ผู้อ่านเข้าใจบริบทของสงครามและสันติภาพในเชิงโครงสร้าง และ สะท้อนแนวคิด “ สันติภาพเชิงรุก ” ซึ่งยืนหยัดปกป้องอธิปไตย พร้อมปฏิเสธสงครามอันไม่ชอบธรรม

 

 


[1] Peace Festival Week 2025,  Institute of Human Rights and Peace Studies, Mahidol University,  สืบค้น 5 สิงหาคม 2568 https://www.facebook.com/IHRP.Mahidol/videos/773204632118308

[2] ประกาศสันติภาพ , สถาบันปรีดี พนมยงค์ , สืบค้น 5 สิงหาคม 2568  https://pridi.or.th/th/content/2021/08/797

[3] Preserving UNESCO's heritage for future generations, www.unesco.org/en, สืบค้น 5 สิงหาคม 568 https://www.unesco.org/en/archives

[4] ภาพยนตร์สนทนา พระเจ้าช้างเผือก กับ Alexander Nevsky, Film Archive Thailand หอภาพยนตร์แห่งชาติ , สืบค้น 3 กันยายน 2568 https://youtu.be/IDwIMLFGLSo?si=fbmrSbeFMwgQAYAS

[5] โดม สุขวงศ์ , เทียบชั้น KING OF THE WHITE ELEPHANT กับ  ALEXANDER NEVSKY ,  fapot.or.th , สืบค้น 20 สิงหาคม 2568 https://fapot.or.th/assets/upload/ebook/[email protected]