ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก
เกร็ดประวัติศาสตร์

ทวี บุณยเกตุ : เสรีไทย ผู้ช่วยหมายเลข 1 ของปรีดี พนมยงค์

3
สิงหาคม
2563

นักเรียนนอกหัวก้าวหน้า

นายทวี บุณยเกตุ เป็นบุคคลระดับหัวหน้าของขบวนการเสรีไทยภายในประเทศ หรือหากจะกล่าวให้ตรงกับความเป็นจริงที่สุด ก็คือ ผู้ช่วยหมายเลข 1 ของ “รู้ธ” (นายปรีดี พนมยงค์) หัวหน้าขบวนการนั่นเอง บุคคลสำคัญท่านนี้เป็นผู้ที่รู้เห็นเหตุการณ์ในวันที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2484 เมื่อกองทัพญี่ปุ่นได้ยาตราเข้าสู่ประเทศไทยเป็นอย่างดี เพราะดำรงตำแหน่งเลขาธิการคณะรัฐมนตรีอยู่ในเวลานั้น

นายทวี บุณยเกตุ เกิดเมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2447 ที่อำเภอกันตัง จังหวัดตรัง เป็นบุตรพระยารณชัยชาญยุทธ (ถนอม บุณยเกตุ) ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ของกระทรวงมหาดไทย กับคุณหญิงทับทิม (สกุลเดิม ศรีเพ็ญ) ได้รับการศึกษาเบื้องต้นที่โรงเรียนเบ็ญจมราชูทิศ จังหวัดจันทบุรี ซึ่งบิดาเป็นเจ้าเมืองอยู่ในขณะนั้น ปี พ.ศ. 2456 เข้าเรียนที่โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย ต่อมาปี พ.ศ. 2457-2460 เข้าศึกษาที่โรงเรียนราชวิทยาลัย จังหวัดนนทบุรี ก่อนที่จะไปศึกษาต่อที่โรงเรียนมัธยมออนการ์แกรมมาสกูล ประเทศอังกฤษ โดยทุนส่วนตัวเมื่อ พ.ศ. 2464 แล้วย้ายไปศึกษาที่คิง’ส คอลเลจในกรุงลอนดอน  นายทวีได้โอนเป็นนักเรียนทุนกระทรวงเกษตราธิการ และไปศึกษาต่อที่ฝรั่งเศสเมื่อ พ.ศ. 2466 โดยเข้าศึกษาวิชากสิกรรมที่ Universitare de l’ Guest ได้รับปริญญาตรีทางกสิกรรมในปี พ.ศ. 2471 จึงกลับมารับราชการที่กระทรวงเกษตราธิการ

 

นายทวี บุณยเกตุ (10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2447 - 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2514)
นายทวี บุณยเกตุ
(10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2447 - 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2514)

 

ผู้ก่อการ

ก่อนเดินทางกลับประเทศไทย นายทวีได้รับการชักชวนให้เข้าเป็นสมาชิกคณะราษฎร ซึ่งก่อตั้งขึ้นที่กรุงปารีสเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2470 (นับศักราชแบบเดิมเป็นปลายปี พ.ศ. 2469) และในวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 นายทวีก็เป็นผู้หนึ่งซึ่งร่วมอยู่ในคณะผู้ก่อการเปลี่ยนแปลงการปกครอง และได้รับแต่งตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรตั้งแต่ชุดแรกเป็นต้นมา

เสรีไทย

ในช่วงของสงครามโลกครั้งที่ 2 นายทวี บุณยเกตุ ซึ่งดำรงตำแหน่งเลขาธิการคณะรัฐมนตรีในรัฐบาลของจอมพล ป. พิบูลสงคราม มีบทบาททางการเมืองที่สำคัญเป็นอย่างมาก เนื่องจากต้องเป็นผู้ประสานงานกับฝ่ายต่าง ๆ ท่ามกลางวิกตที่รุมล้อมรอบด้าน ไม่ว่าจะเป็นความเสียหายจากสงคราม เศรษฐกิจตกต่ำ ความไม่มั่นคงทางการเมืองภายในประเทศ และปัญหาเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างรัฐบาลกับกองทัพญี่ปุ่น แต่ด้วยความรู้ความสามารถของนายทวี ส่งผลให้ประเทศไทยสามารถรอดพ้นมาจากวิกฤตดังกล่าวได้อย่างหวุดหวิด

เมื่อสงครามโลกครั้งที่ 2 ใกล้สิ้นสุดลง ซึ่งเป็นที่แน่ชัดแล้วว่าฝ่ายสัมพันธมิตรนั้นจะเป็นผู้ชนะสงครามในท้ายที่สุด ส่งผลให้จอมพล ป. พิบูลสงครามไม่สามารถครองอำนาจได้ต่อไป รวมถึงนายควง อภัยวงศ์ ซึ่งถูกมองว่าเป็นรัฐบาลชุดต่อเนื่องมาจากรัฐบาลชุดเดิมของจอมพล ป. จึงไม่เป็นที่ไว้วางใจของฝ่ายสัมพันธมิตรไปด้วย เช่นนั้นแล้ว ประเทศไทยจึงจำเป็นต้องมีนายกรัฐมนตรีที่มีความสัมพันธ์อันดีต่อฝ่ายสัมพันธมิตรอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

นายกรัฐมนตรีคนต่อไปของไทยคงเป็นใครอื่นใดไปไม่ได้ นอกจากนายปรีดี พนมยงค์ “รู้ธ” หัวหน้าเสรีไทยในประเทศ และ ม.ร.ว. เสนีย์ ปราโมช หัวหน้าเสรีไทยสายอเมริกา สำหรับนายปรีดีนั้นไม่ต้องการรับตำแหน่งดังกล่าว เนื่องจากเกรงข้อครหาว่าทำการล้มล้างระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์เพื่อหวังอำนาจทางการเมืองและต้องการสนับสนุนนายกรัฐมนตรีอยู่เบื้องหลังมากกว่า ดังนั้น นายปรีดี พนมยงค์ ในฐานะรัฐบุรุษอาวุโสและผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ จึงได้มีโทรเลขเชิญ ม.ร.ว. เสนีย์ ปราโมช ให้เดินทางกลับมารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี

ในขณะเดียวกัน ม.ร.ว. เสนีย์ ปราโมช ไม่สามารถเดินทางกลับมายังประเทศไทยได้ในทันที เนื่องจากต้องเดินทางผ่านประเทศอังกฤษเพื่อแวะไปเจรจาและแสดงอัธยาศัยไมตรี เพื่อคลายความตึงเครียดที่อังกฤษยังมองว่าไทยเคยเป็นชาติศัตรูในช่วงสงครามอยู่ ซึ่งการเดินทางผ่านอังกฤษนี้จะต้องใช้ระยะเวลาที่ไม่สามารถระบุแน่ชัดและเอาแน่เอานอนมิได้ ดังนั้น ประเทศไทยจึงจำเป็นต้องมีนายกรัฐมนตรีเพื่อรักษาการณ์ไปเป็นการชั่วคราวก่อน

นายกฯ ขัดตาทัพ

เมื่อสถานการณ์เป็นเช่นนั้น นายปรีดี พนมยงค์ จึงได้เลือกนายทวี บุณยเกตุ เข้าดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี นายทวีเป็นผู้ที่ได้รับความไว้วางใจจากนายปรีดีเป็นอย่างสูง เนื่องจากเป็นหนึ่งในสมาชิกคณะราษฎร และได้เข้าร่วมงานสำคัญ ๆ กับรัฐบาลของคณะราษฎรอย่างสม่ำเสมอ นอกจากนี้แล้ว นายทวียังเป็น “นายกรัฐมนตรีเงา” ทำหน้าที่สั่งราชการในส่วนที่เกี่ยวกับขบวนการเสรีไทย มาตั้งแต่สมัยรัฐบาลของนายควง อภัยวงศ์ แล้ว แต่ที่ไม่ได้เป็น “นายกรัฐมนตรีตัวจริง” ตั้งแต่สงครามยังไม่ยุตินั้น ก็เนื่องมาจากว่า เขาเป็นคนตรงเกินไป อาจไม่เหมาะในการเจรจากับฝ่ายญี่ปุ่นในช่วงนั้น

แม้ว่านายทวีจะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเพียงแค่ 17 วัน แต่เขาก็ได้สร้างคุณประโยชน์ให้แก่ประเทศชาติอย่างมาก โดยเฉพาะการดำเนินการทางการทูตที่ทำให้รัฐบาลของ ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช ทำงานได้อย่างราบรื่น กล่าวคือ ม.ร.ว.เสนีย์ได้โทรเลขแจ้งมายังรัฐบาลไทยให้เพิ่มจำนวนข้าวที่จะบริจาคให้สหประชาชาติเพื่อช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากภัยสงคราม และหากมีการบริจาคข้าวที่มากขึ้นย่อมหมายถึงการแสดงความบริสุทธิ์ใจในการเข้าร่วมกับฝ่ายสัมพันธมิตร ซึ่งนายทวีได้ปรึกษาหารือกับผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ จนได้ข้อสรุปออกมาว่าให้รับหลักการที่ ม.ร.ว.เสนีย์เสนอมา ส่วนเรื่องปริมาณที่จะบริจาคนั้นค่อยพิจารณาตกลงกันภายหลังได้ การกระทำดังกล่าวแสดงให้เห็นถึงความฉลาดเฉลียวของนายทวีที่ตัดสินใจด้วยความรวดเร็วโดยมิต้องเสียเวลาสอบสวนซึ่งอาจล่าช้าจนส่งผลให้เสียงานได้

นอกจากนั้นแล้ว นายทวียังได้ยกเลิกประกาศต่าง ๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อญี่ปุ่น และผ่านพระราชบัญญัติควบคุมผู้ที่เป็นศัตรูต่อสหประชาชาติ รวมทั้งหลีกเลี่ยงไม่ลงนามในสัญญา 21 ข้อ จึงเท่ากับเป็นการเปิดโอกาสให้ ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช เจรจาจนเป็นผลดีต่อประเทศไทยในท้ายที่สุด

ชีวิตที่ผันผวน

เหตุการณ์การรัฐประหารในวันที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2490 มีผลกระทบต่อนายทวีอย่างมหาศาล จนต้องลี้ภัยออกนอกประเทศไปพำนักอยู่ที่ปีนัง ประเทศมาเลเซีย จนกระทั่งจอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ ได้ก่อรัฐประหารโค่นล้มจอมพล ป. พิบูลสงคราม นายทวีจึงได้เดินทางกลับมายังประเทศไทยและรับตำแหน่งสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ และต่อมาได้รับตำแหน่งประธานสภาร่างรัฐธรรมนูญในปี พ.ศ. 2511

นายทวี บุณยเกตุ ใช้ชีวิตในบั้นปลายด้วยการสนับสนุนพัฒนาอุตสาหกรรมของประเทศไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบทบาทของภาคเอกชน และได้รับเลือกให้เป็นนายกสมาคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย จนถึงแก่อนิจกรรมด้วยโรคหัวใจเมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2514 รวมอายุได้ 67 ปี และได้รับพระราชทานเพลิงศพ ณ เมรุหน้าพลับพลาอิศริยาภรณ์ วัดเทพศิรินทราวาส เมื่อวันที่ 8 มีนาคม ในปีต่อมา

“ผู้ปิดทองหลังพระ”

ด้วยความรู้ความสามารถและความซื่อสัตย์ นายทวี บุณยเกตุได้ปฏิบัติหน้าที่อย่างละเอียดรอบคอบ โดยเฉพาะด้านการทูตและการระหว่างประเทศของไทยซึ่งตกอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ นายทวีสามารถนำพาประเทศไทยรอดพ้นจากการตกเป็นผู้แพ้สงครามมาได้ และยังปูทางให้นายกรัฐมนตรีคนต่อไปสามารถดำเนินการต่อได้อย่างราบรื่น นายทวีสมควรได้รับการยกย่องเชิดชูเกียรติจากคนรุ่นหลังในฐานะ “ผู้ปิดทองหลังพระ” ที่มิได้มีบทบาทโดดเด่นอยู่ในแถวหน้าของประวัติศาสตร์การเมือง หากเป็นบุคคลสำคัญผู้อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์สำคัญต่าง ๆ ทั้งช่วงการเปลี่ยนแปลงการปกครองและช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2

จนอาจกล่าวได้ว่า หากประเทศไทยมิได้มีเอกบุรุษนามว่า ทวี บุณยเกตุ ในวันนั้น ก็อาจจะไม่มีเอกราชและอำนาจอธิปไตยอันสมบูรณ์ในวันนี้ ก็เป็นได้

 

อ้างอิง

  • วิชิตวงศ์ ณ ป้อมเพชร. 2546. ตำนานเสรีไทย. กรุงเทพฯ: แสงดาว. หน้า 617-635.
  • วิจิตร วิชัยสาร. 2515. รัฐบาลไทยสมัยนายทวี บุณยเกตุ เป็นนายกรัฐมนตรี (31 สิงหาคม - 16 กันยายน 2488). วิทยานิพนธ์รัฐศาสตรมหาบัณฑิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
  • อรรถสิทธิ์ พานแก้ว. ม.ป.ป. นายทวี บุณยเกตุ. ฐานข้อมูลการเมืองการปกครอง สถาบันพระปกเกล้า. เข้าถึงได้จาก http://wiki.kpi.ac.th/index.php?title=นายทวี_บุณยเกตุ