เมื่อนึกถึงคุณแม่ ทั้งครูสุดาและครูดุษฎีคิดว่าอะไรเกี่ยวกับคุณแม่ที่อยากจะให้คนรุ่นหลังจดจำหรือสังคมไทยได้เรียนรู้
สุดา: คุณแม่เป็นผู้ที่อยู่ข้างคุณพ่อในเรื่องการงานมาตลอด เป็นที่ปรึกษาที่ดี และเป็นเพื่อนคู่ทุกข์คู่ยากที่ไม่หวั่นไหว เพราะว่าได้ยึดหลักว่า “ธรรมย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรม” เพราะฉะนั้น ถ้าเรายังประพฤติธรรมอยู่ ก็ไม่เห็นต้องเกรงกลัวอะไร
ดุษฎี: เมื่อพูดถึงคุณแม่ผู้อยู่เคียงข้างคุณพ่อมาตลอด ตั้งแต่แต่งงานกันมาจนกระทั่งวาระสุดท้ายของชีวิต ก็ต้องแบ่งออกเป็นอย่างน้อย 3-4 ข้อ ข้อแรก คือ คุณแม่เป็น ‘คู่ชีวิต’ ของคุณพ่อ คำว่า ‘คู่ชีวิต’ นี้ เมื่อสร้างครอบครัวแล้ว ก็เหมือนเป็นคน ๆ เดียวกัน การดูแลอบรมเลี้ยงดูลูก ๆ ก็เป็นแนวทางที่ทำให้เราเป็นเราทุกวันนี้ เรื่องที่สองเป็น ‘คู่คิด’ เนื่องจากคุณแม่เอง ได้ผ่านเหตุการณ์ผันผวนของสังคมไทย แม้กระทั่งถูกจับติดคุกที่สันติบาลอยู่ 84 วัน ก็ผ่านมาแล้ว เพราะฉะนั้นคุณแม่ก็เป็นคู่คิดในการทำงาน ไม่ว่าจะเป็นงานเสรีไทยหรืออีกหลาย ๆ งาน อีกประการหนึ่ง คือ คุณแม่เป็น ‘เพื่อนผู้ปฏิบัติธรรม’ เพราะคุณพ่อเป็นผู้มุ่งมั่นในการปฏิบัติธรรม รวมถึงเรื่องอื่น ๆ ซึ่งนับเป็นโชคดีที่ในฐานะลูกได้มีโอกาสอยู่ใกล้ชิดและรับสิ่งดี ๆ จากทั้งคุณพ่อและคุณแม่
ในฐานะที่นายปรีดี พนมยงค์ เป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลงการปกครองคนสำคัญ ซึ่งเผชิญกับความผันผวนทางการเมืองอยู่มาก ครอบครัวเองต้องรับมืออย่างไรบ้าง
สุดา: ก็ต้องยอมรับเหตุการณ์ ยอมรับความจริง มันก็รับมือลำบากเหมือนกัน วันดีคืนดีเราก็มีแต่แม่ พ่อไม่อยู่ กว่าจะได้พบกันอีกที ก็หลายปีมาก
อยากให้เล่าถึงเหตุการณ์ที่คุณแม่โดนจับขังที่สันติบาลเป็นเวลา 84 วันหน่อยครับ
ดุษฎี: วันนั้นเป็นวันที่คุณแม่ไปเป็นเถ้าแก่สู่ขอคุณเครือพันธ์ ปทุมรส ให้กับคุณศักดิชัย บำรุงพงศ์ เจ้าของนามปากกา ‘เสนีย์ เสาวพงศ์’ ซึ่งตำรวจนั้นเข้ามาจับกุมคุณเฉลียว และเมื่อหันมาเห็นคุณแม่ ก็บอกว่าคุณแม่ก็มีหมายจับเหมือนกัน เพราะฉะนั้นไปด้วยกันเลย และพาคุณแม่ขึ้นรถไปสันติบาล
พี่สาวตอนนั้นอยู่ที่ฝรั่งเศส ส่วนพี่ชายคนโต ปาล พนมยงค์ ก็โดนจับเช่นกันในข้อหากบฎสันติภาพ สภาพที่สันติบาลตอนนั้นเป็นครึ่งตึกครึ่งไม้ คุณแม่ขึ้นไปอยู่ชั้นบน หน้าต่างมีกรง ต้องนอนกับพื้น ปูเสื่อ ด้วยความที่คุณแม่มีญาติพี่น้องเยอะ ทุกคนก็เห็นถึงความไม่เป็นธรรม แวะมาเยี่ยมและเอาอาหารใส่ปิ่นโตมาฝาก
นึกย้อนกลับไปตอนนี้ก็สงสารคุณแม่ ในห้องขังมองไปไกลสัก 400-500 เมตร ก็จะเห็นเรือนไม้ที่ขังผู้รักสันติภาพทั้งหลาย รวมทั้งพี่ชาย ปาล พนมยงค์ คุณแม่ก็พยายามโผล่หน้าไปที่หน้าต่างเพื่อมองหาลูกชาย แต่ก็ไม่เจอ เห็นเพียงแต่ผู้คนตัวเล็ก ๆ ไกล ๆ
ตัวครูดุษกับน้องวาณีเองก็ต้องไปอยู่โรงเรียนประจำวันจันทร์ถึงศุกร์ จนเมื่อวันศุกร์โรงเรียนปล่อยกลับบ้าน คุณน้าก็ต้องไปรับกลับมาเพื่อมาอยู่กับคุณแม่ในที่คุมขังด้วยในวันเสาร์-อาทิตย์
หากมองย้อนกลับไป ทั้งสองท่านคิดว่า การจับกุมเช่นนั้นกระทำไปเพื่ออะไร เพื่อขมขู่หรือกดดันให้นายปรีดียุติบทบาททางการเมืองหรือเปล่า
สุดา: ตอนที่คุณแม่ถูกจับ เราเข้าใจว่าเป็นการกดดันอย่างหนึ่ง เพราะตอนนั้นคุณพ่อออกไปแล้ว ก็คงจะจับกุมผู้ที่เป็นภรรยาเพื่อให้บอกมาว่า สามีไปไหน อยู่ที่ไหน
อีกข้อหนึ่งก็สืบเนื่องมาจากการรัฐประหารโดยคณะรัฐประหาร 2490 ได้ยึดอำนาจและบุกเข้ามาที่ทำเนียบท่าช้าง ตอนนั้นเป็นช่วงหลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 ไม่กี่ปี ยังจำได้ถึงเสียงระเบิดตามจุดยุทธศาสตร์ อย่างสถานีรถไฟบางกอกน้อย ซึ่งอยู่ตรงข้ามทำเนียบท่าช้างได้ในเวลานั้น คืนหนึ่งในขณะที่เด็ก ๆ นอนไปแล้ว ก็ได้ยินเสียงเช่นนั้นอีก ก็นึกแปลกใจว่า สงครามจบลงไปแล้ว ทำไมยังมีเสียงแบบนั้น จนเช้าจึงได้ทราบเรื่องว่าเกิดอะไรขึ้น … รัฐประหารครั้งนั้นได้อ้างเหตุผลการเข้ายึดอำนาจที่ทำเนียบท่าช้าง มีรถถัง ปืนกลสารพัด ว่าจะมา ‘เปลี่ยนรัฐบาล’ คุณแม่เองก็ตะโกนตอบกลับไปว่า ‘ทำไมมาเปลี่ยนที่นี่ ทำไมไม่เปลี่ยนกันที่สภา’
ปาล พี่ชายเราตอนนั้นที่อายุเพียงไม่ถึง 18 ปี ก็เป็นผู้ใหญ่มาก ดูแลน้อง ๆ ทุกคนและคุณแม่ คอยบอกให้ทุกคนหมอบลงกับพื้น พี่ชายก็คอยช่วยดูแลเราไม่ให้ตกใจ ซึ่งครั้งนั้นก็คงมุ่งจะเอาชีวิตจริง ๆ เนื่องจากกราดยิงเข้าที่กำแพงห้องนอนพอดี
เมื่อรู้ว่ารัฐบาลมองครอบครัวเราอย่างไม่เป็นมิตร ผู้หญิงคนหนึ่งในฐานะคุณแม่สามารถพาครอบครัวผ่านเรื่องราวต่าง ๆ เหล่านั้นมาได้อย่างไร
สุดา: ก็คงต้องมาจากจิตใจอันเข้มแข็ง และยิ่งถ้าไม่มีหัวหน้าครอบครัว ท่านก็ยิ่งต้องสวมบทบาทเป็นทั้งพ่อและแม่ คอยดูแลชีวิตความเป็นอยู่ การกินนอน และให้พวกเราได้รับการศึกษาอย่างต่อเนื่อง
ในสมัยที่อาจารย์ปรีดีต้องลี้ภัยไปอยู่ต่างประเทศนั้น มีคนในประเทศ ไม่ว่าจะเป็นมิตรสหายหรือคนรู้จักที่พยายามจะช่วยเหลือทางครอบครัวหรือไม่
ดุษฎี: เรื่องนี้มีความลำบากตรงเรื่องการสื่อสาร มีเพื่อนมีญาติที่จะไปกราบไปหาคารวะก็สื่อสารกันลำบาก เพราะเมื่อกลับมาก็ต้องถูกรัฐบาลเผด็จการทหารในสมัยนั้นออกหมายจับ อย่างเช่นเมื่อพี่สาว (สุดา) ที่อยู่ฝรั่งเศส จะไปเยี่ยมคุณพ่อที่จีนในปี พ.ศ. 2501 และคิดว่าอยู่ด้วยกันที่จีนสักพักก่อนจะกลับมาประเทศไทย แต่กลายเป็นว่าไปไม่ได้แล้ว เพราะโดนออกหมายจับจากไทยด้วยข้อหาไปหาคุณพ่อ ข้อหา “ข้อหากบฎภายในและภายนอกราชอาณาจักร”
เรื่องความช่วยเหลือเอง คุณแม่ก็เคยพูดเสมอว่า ใครช่วยเหลืออะไร เราต้องจดจำไว้ บรรดาญาติมิตรเองก็มีหลายท่านที่ไม่เกรงกลัวอะไร คอยช่วยเหลืออยู่ในทุก ๆ เรื่อง
อย่างคุณอัญชนา โอบอ้อม ซึ่งเคยเป็นคนที่มาอาศัยอยู่ในบ้านป้อมเพชร์ คอยช่วยงานที่บ้าน เป็นคนที่คุณแม่ไว้ใจ และส่งเสริมอยากจะให้ได้รับความรู้จึงส่งให้ไปร่ำเรียนการเรือนที่ราชภัฏพระนครใต้ในปัจจุบัน ต่อมาได้แต่งงานกับคุณสุธี โอบอ้อม (ในภายหลังเป็นผู้ว่าราชการจังหวัดสุรินทร์ และปทุมธานี) ซึ่งทั้งคู่เป็นผู้ที่คอยช่วยเหลือตอนที่คุณพ่อต้องหลบหนีหลังความล้มเหลวของขบวนการประชาธิปไตย 26 กุมภาพันธ์ 2492 โดยได้ติดต่อคุณอุดร รักษมณี เพื่อนรักของคุณสุธี ซึ่งไม่เคยรู้จักกับเรามาก่อน ให้คุณพ่อหลบพักอยู่ที่บ้านฉางเกลือ ที่พักอาศัยของตน อยู่เป็นเวลา 6 เดือน ในภายหลังได้ทราบว่า คุณอุดรเป็นคนที่ติดตามการเมืองและศรัทธาคุณพ่อนับตั้งแต่เหตุการณ์การเปลี่ยนแปลงการปกครอง
เพื่อนหรือคุณครูที่โรงเรียนเซนต์โยเซฟคอนแวนต์ว่ามีส่วนช่วยเหลืออย่างไรบ้าง
ดุษฎี: ทางโรงเรียนช่วยเหลือดีมาก ตอนที่ยังเล็ก และคุณแม่ต้องเอาลูกไปฝากโรงเรียนประจำ ในช่วงที่ไม่ใช่โรงเรียนเปิดเทอม แม่ชีใหญ่ซึ่งเข้าอกเข้าใจครอบครัวเราเป็นอย่างดี ก็ยินดีรับไว้ เรื่องกรณีสวรรคตรัชกาลที่ 8 ก็เข้าใจพวกเรา
นอกจากคุณแม่ซึ่งเป็นศิษย์เก่าแล้ว คุณพ่อก็ยังเกี่ยวข้องกับทางโรงเรียนด้วย คือ ตอนสงครามโลกครั้งที่ 2 ฝรั่งเศสเป็นฝ่ายอักษะ แต่ก็มีบางฝ่ายที่ไม่เห็นด้วย ทางแม่ชีที่โรงเรียนเซนต์โยเซฟฯ นั้นเป็นชาวฝรั่งเศส ก็ได้เดินทางไปหาคุณพ่อที่ทำเนียบท่าช้าง เพื่อแสดงความเข้าใจว่าถึงฝรั่งเศสจะไปเข้าร่วมกับฝ่ายนาซี แต่ก็มีชาวฝรั่งเศสบางส่วนที่ไม่เห็นด้วยอยู่เหมือนกัน
ในยุคนั้นไม่มี Facebook หรือ LINE แล้วติดต่อกันอย่างไร
ดุษฎี: ไม่มีการติดต่อกัน แต่ในยุคนั้นมีเรื่องน่ารักอยู่ คือ ในช่วงที่คุณพ่อไม่อยู่ เมื่อจับตัวไม่ได้ ก็จับเมียจับลูกแทน จนคุณแม่บอกว่าอยู่ประเทศไทยไม่ได้แล้ว ต้องไปอยู่ต่างประเทศ ซึ่งความคิดหนึ่ง คือ การไปอยู่กับปาล ลูกชายคนโต และอีกความคิดหนึ่งนั้น คือ การไปตามหาคุณพ่อ
จนวันหนึ่ง เมื่อไปอยู่ฝรั่งเศสไม่กี่เดือน มีคนเอาจดหมายมาให้ เขียนสั้น ๆ และลงท้ายชื่อว่า Félix ที่แผลงมาจาก Félicitation แปลว่า ปรีดี หมายถึงคุณพ่อนั่นเอง หลังจากนั้นก็เริ่มมีการติดต่อกัน และในที่สุดก็ได้เดินทางไปหาที่ประเทศจีน
ในขณะที่อาจารย์ปรีดีหายไปและไม่ได้ติดต่อกัน ครอบครัวตอนนั้นเป็นอย่างไร รู้สึกกังวลกันอย่างไรบ้าง
สุดา: จะมีช่วงที่คุณพ่อยังอยู่ในประเทศไทยและแอบหลบซ่อนอาศัยอยู่ในบ้านผู้หวังดีที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อนแต่ให้พักพิง ซึ่งเวลาจะติดต่อกันก็ต้องอาศัยคนที่ไว้ใจได้คอยส่งข่าวให้เท่านั้น
บทบาทของท่านผู้หญิงพูนศุขในการใช้ชีวิตอยู่ที่จีนและฝรั่งเศส
ดุษฎี: ย้อนกลับมาตอนอยู่เมืองไทย เมื่อไม่มีหัวหน้าครอบครัว ไม่มีเงินเดือนแล้วเท่ากับไม่มีรายได้ ต้องอาศัยรายได้จากคุณแม่ที่มาจากครอบครัวที่มีอันจะกิน จากทรัพย์สินที่บิดามารดาของท่านให้ไว้เพื่อเลี้ยงดูครอบครัว
ตอนที่ไปอยู่ประเทศจีนตอนนั้น เขาเห็นว่าเป็นผู้ที่ทำคุณงามความดีให้กับประเทศชาติ มีอุดมการณ์ที่รักชาติและสันติภาพ เขาจึงต้อนรับเช่นแขกต่างประเทศ ซึ่งในช่วงนั้นก็ไม่มีการติดตามตัวจากรัฐบาลไทย เนื่องจากจีนปกครองด้วยระบบคอมมิวนิสต์ ที่รัฐบาลไทยในเวลานั้นไม่ยอมรับ จึงมิได้มีการขอความร่วมมือกัน
ด้านกายภาพก็อยู่ด้วยความสบายมาก เนื่องจากเขามีผู้ติดตามคอยช่วยดูแลอยู่ แม้แต่อาหารเองก็ได้รับการจัดเตรียมในฐานะชาวต่างชาติ มากกว่าผู้อื่นที่ต้องจัดสรรปันส่วนเท่า ๆ กันทุกคน รวมถึงเรื่องสิทธิรักษาพยาบาลเราก็ได้รับเป็นพิเศษ
แต่ตอนไปอยู่ที่ฝรั่งเศสนั้น ด้วยคุณงามความดีที่สร้างไว้ เขาก็ยินดีต้อนรับ แต่ก็มิได้มีการให้อะไรพิเศษ คือ ให้พักอาศัยอยู่ได้ แต่เรื่องการเงินนั้นต้องดูแลตัวเอง คุณพ่อต้องเรียกร้องเงินบำนาญอยู่หลายปี หลังจากที่ไม่มีการจ่ายให้มานาน จนมีการฟ้องร้องกระทรวงการคลัง และในที่สุดก็ชนะความ คุณแม่ก็อาศัยจากดอกเบี้ยเงินฝากบ้างอะไรบ้างคอยส่งให้เรียน
คุณพ่อเคยบังคับให้ลูก ๆ เล่นการเมืองบ้างหรือไม่
สุดา: คุณพ่อไม่เคยยุให้เราทั้งสองเล่นการเมือง แต่ถ้าพูดเรื่องการเมืองก็คงจะมีบ้าง ในความหมายที่ให้เข้าใจในการเมือง เข้าใจในระบบประชาธิปไตย เข้าใจในการต่อสู้เพื่อสันติภาพ แต่นอกจากนี้พี่ปาลของเราก็เคยลงสมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา รวมถึงเคยเป็นพลทหาร (ทหารเกณฑ์) ซึ่งเขาก็รู้สึกดีใจและเต็มใจในการเข้ารับหน้าที่
อยากให้เล่าเรื่องโรแมนติกระหว่างคุณพ่อและคุณแม่หน่อย
ดุษฎี: ในสมัยนั้นเป็นยุคศักดินา ถึงแม้ว่าผู้ชายและผู้หญิงจะหมั้นหมายกันแล้ว ก็ยังไม่สามารถออกไปเที่ยวด้วยกันได้เหมือนอย่างสมัยนี้ ในช่วงหมั้นและก่อนแต่งงาน คุณพ่อเคยพาคุณแม่ไปดูละคร ซึ่งโรแมนติกมากสมัยก่อน เนื่องจากหนุ่มสาวจะไม่ได้ไปไหนด้วยกัน จำได้ว่าเล่นอยู่แถว ๆ ศาลหลักเมือง สนามไชยในปัจจุบัน แต่ไม่สามารถจำได้ว่าเรื่องอะไร นั่นเป็นครั้งเดียวที่ทั้งสองท่านไปดูละครด้วยกันก่อนแต่งงาน
ความสัมพันธ์ของทั้งสองท่านนั้นเท่าเทียมกันจริง ๆ และผู้ชายเองยกย่องฝ่ายภรรยาซึ่งในสมัยนั้นหาได้ยาก เวลาพูดถึงก็จะพูดถึงในแง่ดี พูดแต่เรื่องดี ๆ หรือเวลาขอความเห็นอะไร พวกเราคุยกันก็จะบอกว่าให้ถามคุณแม่สิ เพื่อยกให้เห็นว่า ความเห็นของคุณแม่ก็สำคัญ และที่สำคัญมีความเกรงใจคุณแม่ เช่น ความชอบในการรับประทานอาหารอาจจะไม่เหมือนกัน คุณพ่อนั้นชอบรับประทานทุเรียน ส่วนคุณแม่นั้นเหม็นกลิ่นทุเรียนเป็นที่สุด ในเวลาที่อยู่ฝรั่งเศส มีเพื่อนพ้องส่งทุเรียนไปให้ คุณพ่อก็จัดให้หลานอีกคนหนึ่งไปตั้งโต๊ะในสนามหลังบ้านนั่งรับประทาน เพื่อจะได้ไม่มีกลิ่นมารบกวนคุณแม่ คือ มีความเกรงใจคุณแม่ เคารพซึ่งกันและกัน รวมถึงคอยดูแลกันอยู่เสมอ
ที่มา: เรียบเรียงจากงาน PRIDI Talks ครั้งที่ 8 “บทบาทของสตรีผู้อยู่เคียงข้างผู้นำ” เนื่องในวาระครบรอบ 109 ปีชาตกาล ท่านผู้หญิงพูนศุข พนมยงค์ เมื่อวันที่ 9 มกราคม 2564 ซึ่งมีนายศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์ เป็นผู้ดำเนินรายการ
โปรโมชั่นเดือนมกราคม ชุดหนังสือ 109 ปีชาตกาล ท่านผู้หญิงพูนศุข จากราคาเต็ม 1,150 บาท ลดเหลือ 999 บาท (จัดส่งฟรีทั่วประเทศ) ประกอบไปด้วย
1. เสื้อยืด “ธรรมย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรม” มูลค่า 350 บาท
2. หนังสือ “ไม่ขอรับเกียรติยศใดๆ ทั้งสิ้น ๙๕ ปี ๔ เดือน ๙ วัน พูนศุข พนมยงค์” มูลค่า 300 บาท
3. หนังสือ “หวนอาลัยพูนศุข พนมยงค์” มูลค่า 500 บาท
สั่งซื้อได้ทาง https://shop.pridi.or.th/th
- พูนศุข พนมยงค์
- สุดา พนมยงค์
- ดุษฎี พนมยงค์
- PRIDI Talks
- PRIDI Talks 8
- ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์
- เครือพันธ์ ปทุมรส
- ศักดิชัย บำรุงพงศ์
- เสนีย์ เสาวพงศ์
- เฉลียว ปทุมรส
- ปาล พนมยงค์
- กบฏสันติภาพ
- เซนต์โยเซฟคอนแวนต์
- ทำเนียบท่าช้าง
- รัฐประหาร 2490
- สงครามโลกครั้งที่สอง
- สถานีรถไฟบางกอกน้อย
- กบฎภายในและภายนอกราชอาณาจักร
- อัญชนา โอบอ้อม
- สุธี โอบอ้อม
- ขบวนการประชาธิปไตย 26 กุมภาพันธ์ 2492
- กบฏวังหลวง
- อุดร รักษมณี
- บ้านฉางเกลือ
- Félix
- ปรีดี-พูนศุข